ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.87K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) เขฬะนาคา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฮือ ฮือ ฮือ” เสียงครางน่าขนลุกขนพองของพวกมันดังระงม
“เหว๋ออ!” ผมเผลอร้องออกมาก่อนที่จะตะปบปากตัวเองไว้ อารามตกใจทำให้ถอยกรูดจนเกือบจะเสียหลัก รู้สึกถึงฝ่าเท้าที่เหยียบย่ำพรืดพราดไปบนพื้นผิวขรุขระลื่นๆ ซึ่งคงเป็นใบหน้าหรือมือ แขนของใครต่อใคร
“ระวังกางเกงนายจะถูกดึงนะ” เธอเอ่ยปากเตือน ผมก้มลงดูแวบหนึ่งเห็นไอ้มือผีลามกพยายามทึ้งชายกางเกงผ้าร่มสีแดงแช้ดขาสามส่วนให้หลุดออกให้ได้
‘เวรจริงไอ้พวกผีบ้า’ ผมนึกอย่างหัวเสียพลางกระชากกางเกงให้หลุดออกจากมือหยาบลื่นสีซีดคล้ำของมัน
“ประตูหนีไฟที่ใกล้ที่สุด” เธอกล่าวออกมาสั้นๆ
“มาเดี๋ยวผมพาไปเอง” ผมขันอาสาเป็นผู้นำทางเพราะรู้ดีว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วจึงเงยหน้ามองย้อนขึ้นไปตามทางขั้นบันได
…ก็ข้างบนนี้อย่างไรล่ะ
“มาาานอยู่นี่ มาาานอยู่ทาางนี้” คราวนี้พวกวิญญาณบ้าพากันส่งเสียงขรม ผมกับสาริกามองหน้ากันด้วยอารามตกใจไม่คิดว่าพวกมันจะมีสันดานขี้ฟ้องแบบนี้…ซวยแล้วเรา
…ให้ตายเถอะ…
‘จะทำยังไงกันดีล่ะ’ เสียงโหวกเหวกของเหล่าวิญญาณทำให้ผมกลัวเสียยิ่งกว่าผิวซีดๆ และใบหน้าราวกับศพของพวกมันนั้นอีก หากจะเปรียบสถานการณ์ในตอนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับผู้ต้องหาที่กำลังหลบหนีการจับกุมของผู้คุมเรือนจำอย่างหัวซุกหัวซุนอย่างไรอย่างนั้น ผมไม่อยากถูกจับ ไม่อยากลงนรก ผมกลัว!
ทันใดนั้นเองสาริกาก็สาดน้ำบริสุทธ์ในคนโทเบญจรงค์ขนาดใหญ่ซึ่งงดงามวิจิตรด้วยลายเทพพนมล้อมกรอบด้วยลายดอกไม้ลงสีดำ ขาว แดง ทองแวววาว และน้ำเงินครามตัดกันงดงามชดช้อย ลงโครมใส่เหล่าวิญญาณ ส่วนกลางของภาชนะที่ป่องออกถูกยกขึ้นตามท่าทางการเทเผยให้เห็นรูปนูนสูงตัวพญานาคทองคำขนาดใหญ่ดวงเนตรฝังเม็ดทับทิมสีแดงวิบวับเหยียดกายยาวพันล้อมคนโทไว้อยู่ชวนให้ผมอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง
“อะไรน่ะ?”
“เขฬะนาคา” เธอตอบ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีเลยถามซ้ำอีกหน
“แล้วไอ้เขฬะนาคานี่มันคืออะไรเล่า”
“มันคือน้ำลายพยานาค” ร่างเพรียวขยายความ “ฉันใช้พลังของฉันเพื่อเสกมันมา คงพอจะถ่วงเวลาไอ้พวกนี้ได้บ้างแต่ก็คงไม่นานนัก รีบไปเถอะฉันไม่ไหวแล้ว…พาฉันไปหน่อย…ประตูหนีไฟ” เธอกล่าวเสียงอ่อนระโหยก่อนจะมีอาการคอตกหน้าคว่ำเหมือนจะเป็นลม
“เฮ้…คุณนางฟ้า อย่าพึ่งเป็นอะไรไปตอนนี้นะ โธ่” ผมเรียกเจ้าหล่อนเบาๆ ก่อนจะจับมืออันนุ่มนวลและบอบบางนั้นไว้แล้วจูงหญิงสาวในสภาพโงนเงนโซเซค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นทีละขั้นอย่างทุลักทุเลเพราะน้ำสีดำเหนียวเหนอะนั้นยังคงเปรอะเต็มฝ่าเท้า ยกขาทีก็ติดหนืดตามมาด้วย
“แปะ แปะ แปะ” ผมก้าวไป ก้าวไป ช้าๆ ฝ่าเท้าเปลือยหนักอึ่งจากยางเหลวๆ ที่เกาะแน่น พอมองไปโดยรอบก็เห็นพวกวิญญาณสวะพากันหลับใหลกันไปหมดแล้ว…นี่สินะคงเป็นอิทธิฤทธิ์ของน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่น
“คุณระวัง!” ผมอุทานเมื่อร่างของหญิงสาวทรุดยวบลงไปราวกับจะล้ม จึงต้องถือวิสาสะเข้าไปประคองร่างเพรียวและโอบกระชับไหล่กลมมนไว้ก่อนที่สาวเจ้าจะไถลลงไปกองอยู่กับพื้น
แผ่นหลังของเราทั้งคู่ไต่ระดับสูงขึ้นไปสู่ชั้นสี่ของตัวอาคารแม้จะเป็นเพียงแค่ชั้นเดียว บันไดแค่ไม่กี่ขั้นแต่ก็กลับรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าซึ่งกว่าที่จะขึ้นไปถึงจุดหมายได้ก็ดูเป็นเรื่องยากเย็นกว่าที่มันเคยเป็น
ผมมองไปข้างหน้าและหันมองอีกฝ่ายเป็นครั้งคราว ข้างบนสุดสายตานั้นคือผนังสีขาวแถบเขียวอันว่างเปล่า แต่ถ้าเดินเยื้องไปนิดหนึ่งก็จะเจอซอกทางหนีไฟซึ่งมีบานประตูเล็กๆ สีเทารอเราอยู่ตรงสุดทาง สาริกาคอพับคออ่อนซบศีรษะอิงซอกไหล่ผม เส้นผมดำสนิทยาวปรกลงมาปิดหน้าปิดตาบดบังวงหน้าขาวและเครื่องหน้าสวยๆ ไปเสียหมดสิ้น เช่นเดียวกันกับแสงออร่าสว่างไสวที่ล้อมรอบตัวเธอก็ดูเหมือนจะอ่อนกำลังลงด้วยเช่นกัน
‘เพราะเธอช่วยเราไว้แท้ๆ ถึงเป็นแบบนี้’ ผมนึกสะท้อนอยู่ในใจ
“ฮึ่บ ฮึ่บ…ถึงแล้วคุณ” ไม่นานเราสองคนก็มาถึงหน้าประตูบานเล็กสีเทาเข้ม แม้ด้านบนมีหลอดไฟดาวน์ไลท์ซึ่งฝังอยู่บนฝ้าเพดานฉายส่องกระทบผนังแคบๆ อยู่แต่ก็มิอาจสู้แสงสีขาวเจิดจ้าที่ลอดออกมารอบวงกบประตูได้เลยแม้แต่น้อย
‘นี่มันอะไรกัน…?’
ในตอนนั้นเองที่แผ่นหลัง รู้สึกเย็นวะวาบขึ้นมาวูบหนึ่งบรรยากาศความไม่ชอบมาพากลแปลกๆ ทำให้ผมใจคอไม่ดี บางทีคุณลุงแกอาจจะกำลังคุ้มคลั่งอยู่ข้างล่างนั่น เขาจะรู้ไหมนะว่าผมอยู่ข้างบนนี้…ถ้ากลิ่นของความตายโชยลงไปถึงในนรกจริงไม่แน่ว่าท้าวมหายมก็อาจจะได้กลิ่นของวิญญาณด้วยก็เป็นได้ พอนึกถึงนัยน์ตาสีแดงทอแสงเรืองคู่นั้นแล้วก็
“อึ๋ย…!” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อน้ำหนักมือของอีกฝ่ายกดลงตรงต้นแขน กระชับแน่นราวกับจะจับยึดไว้และพอหันไปมองก็ต้องพบกับความสะพรึงปรากฏแก่สายตา
แทนที่จะเป็นมือเรียวผิวขาวผ่องเป็นยองใยทว่าสิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นฝ่ามือและท่อนแขนของหญิงชราที่มีผิวหนังเหี่ยวแห้งสีซีดเผือดเต็มไปด้วยเม็ดกระกระจายเต็มไปหมด
“เฮ้ย!” ผมหลุดปากอุทานเสียงหลง พลันปรากฏแสงวูบแล่นวาบไปทั่วทั้งตัวด้วยอารามตื่นตกใจ
“ฮือ ฮือ…” เสียงที่เค้นออกมาจากลำคอเหนียงยานฟังหลอนยะเยือก พร้อมกับที่อีกฝ่ายค่อยๆ เงยขึ้นมาภายใต้เส้นผมดำที่ยาวรกปรกหน้าทว่าผมกลับมองเห็นความสยดสยองนั้นเต็มสองลูกตา
“เหว๋ออ!” ผมเผลอร้องออกมาก่อนที่จะตะปบปากตัวเองไว้ อารามตกใจทำให้ถอยกรูดจนเกือบจะเสียหลัก รู้สึกถึงฝ่าเท้าที่เหยียบย่ำพรืดพราดไปบนพื้นผิวขรุขระลื่นๆ ซึ่งคงเป็นใบหน้าหรือมือ แขนของใครต่อใคร
“ระวังกางเกงนายจะถูกดึงนะ” เธอเอ่ยปากเตือน ผมก้มลงดูแวบหนึ่งเห็นไอ้มือผีลามกพยายามทึ้งชายกางเกงผ้าร่มสีแดงแช้ดขาสามส่วนให้หลุดออกให้ได้
‘เวรจริงไอ้พวกผีบ้า’ ผมนึกอย่างหัวเสียพลางกระชากกางเกงให้หลุดออกจากมือหยาบลื่นสีซีดคล้ำของมัน
“ประตูหนีไฟที่ใกล้ที่สุด” เธอกล่าวออกมาสั้นๆ
“มาเดี๋ยวผมพาไปเอง” ผมขันอาสาเป็นผู้นำทางเพราะรู้ดีว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วจึงเงยหน้ามองย้อนขึ้นไปตามทางขั้นบันได
…ก็ข้างบนนี้อย่างไรล่ะ
“มาาานอยู่นี่ มาาานอยู่ทาางนี้” คราวนี้พวกวิญญาณบ้าพากันส่งเสียงขรม ผมกับสาริกามองหน้ากันด้วยอารามตกใจไม่คิดว่าพวกมันจะมีสันดานขี้ฟ้องแบบนี้…ซวยแล้วเรา
…ให้ตายเถอะ…
‘จะทำยังไงกันดีล่ะ’ เสียงโหวกเหวกของเหล่าวิญญาณทำให้ผมกลัวเสียยิ่งกว่าผิวซีดๆ และใบหน้าราวกับศพของพวกมันนั้นอีก หากจะเปรียบสถานการณ์ในตอนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับผู้ต้องหาที่กำลังหลบหนีการจับกุมของผู้คุมเรือนจำอย่างหัวซุกหัวซุนอย่างไรอย่างนั้น ผมไม่อยากถูกจับ ไม่อยากลงนรก ผมกลัว!
ทันใดนั้นเองสาริกาก็สาดน้ำบริสุทธ์ในคนโทเบญจรงค์ขนาดใหญ่ซึ่งงดงามวิจิตรด้วยลายเทพพนมล้อมกรอบด้วยลายดอกไม้ลงสีดำ ขาว แดง ทองแวววาว และน้ำเงินครามตัดกันงดงามชดช้อย ลงโครมใส่เหล่าวิญญาณ ส่วนกลางของภาชนะที่ป่องออกถูกยกขึ้นตามท่าทางการเทเผยให้เห็นรูปนูนสูงตัวพญานาคทองคำขนาดใหญ่ดวงเนตรฝังเม็ดทับทิมสีแดงวิบวับเหยียดกายยาวพันล้อมคนโทไว้อยู่ชวนให้ผมอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง
“อะไรน่ะ?”
“เขฬะนาคา” เธอตอบ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีเลยถามซ้ำอีกหน
“แล้วไอ้เขฬะนาคานี่มันคืออะไรเล่า”
“มันคือน้ำลายพยานาค” ร่างเพรียวขยายความ “ฉันใช้พลังของฉันเพื่อเสกมันมา คงพอจะถ่วงเวลาไอ้พวกนี้ได้บ้างแต่ก็คงไม่นานนัก รีบไปเถอะฉันไม่ไหวแล้ว…พาฉันไปหน่อย…ประตูหนีไฟ” เธอกล่าวเสียงอ่อนระโหยก่อนจะมีอาการคอตกหน้าคว่ำเหมือนจะเป็นลม
“เฮ้…คุณนางฟ้า อย่าพึ่งเป็นอะไรไปตอนนี้นะ โธ่” ผมเรียกเจ้าหล่อนเบาๆ ก่อนจะจับมืออันนุ่มนวลและบอบบางนั้นไว้แล้วจูงหญิงสาวในสภาพโงนเงนโซเซค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นทีละขั้นอย่างทุลักทุเลเพราะน้ำสีดำเหนียวเหนอะนั้นยังคงเปรอะเต็มฝ่าเท้า ยกขาทีก็ติดหนืดตามมาด้วย
“แปะ แปะ แปะ” ผมก้าวไป ก้าวไป ช้าๆ ฝ่าเท้าเปลือยหนักอึ่งจากยางเหลวๆ ที่เกาะแน่น พอมองไปโดยรอบก็เห็นพวกวิญญาณสวะพากันหลับใหลกันไปหมดแล้ว…นี่สินะคงเป็นอิทธิฤทธิ์ของน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่น
“คุณระวัง!” ผมอุทานเมื่อร่างของหญิงสาวทรุดยวบลงไปราวกับจะล้ม จึงต้องถือวิสาสะเข้าไปประคองร่างเพรียวและโอบกระชับไหล่กลมมนไว้ก่อนที่สาวเจ้าจะไถลลงไปกองอยู่กับพื้น
แผ่นหลังของเราทั้งคู่ไต่ระดับสูงขึ้นไปสู่ชั้นสี่ของตัวอาคารแม้จะเป็นเพียงแค่ชั้นเดียว บันไดแค่ไม่กี่ขั้นแต่ก็กลับรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าซึ่งกว่าที่จะขึ้นไปถึงจุดหมายได้ก็ดูเป็นเรื่องยากเย็นกว่าที่มันเคยเป็น
ผมมองไปข้างหน้าและหันมองอีกฝ่ายเป็นครั้งคราว ข้างบนสุดสายตานั้นคือผนังสีขาวแถบเขียวอันว่างเปล่า แต่ถ้าเดินเยื้องไปนิดหนึ่งก็จะเจอซอกทางหนีไฟซึ่งมีบานประตูเล็กๆ สีเทารอเราอยู่ตรงสุดทาง สาริกาคอพับคออ่อนซบศีรษะอิงซอกไหล่ผม เส้นผมดำสนิทยาวปรกลงมาปิดหน้าปิดตาบดบังวงหน้าขาวและเครื่องหน้าสวยๆ ไปเสียหมดสิ้น เช่นเดียวกันกับแสงออร่าสว่างไสวที่ล้อมรอบตัวเธอก็ดูเหมือนจะอ่อนกำลังลงด้วยเช่นกัน
‘เพราะเธอช่วยเราไว้แท้ๆ ถึงเป็นแบบนี้’ ผมนึกสะท้อนอยู่ในใจ
“ฮึ่บ ฮึ่บ…ถึงแล้วคุณ” ไม่นานเราสองคนก็มาถึงหน้าประตูบานเล็กสีเทาเข้ม แม้ด้านบนมีหลอดไฟดาวน์ไลท์ซึ่งฝังอยู่บนฝ้าเพดานฉายส่องกระทบผนังแคบๆ อยู่แต่ก็มิอาจสู้แสงสีขาวเจิดจ้าที่ลอดออกมารอบวงกบประตูได้เลยแม้แต่น้อย
‘นี่มันอะไรกัน…?’
ในตอนนั้นเองที่แผ่นหลัง รู้สึกเย็นวะวาบขึ้นมาวูบหนึ่งบรรยากาศความไม่ชอบมาพากลแปลกๆ ทำให้ผมใจคอไม่ดี บางทีคุณลุงแกอาจจะกำลังคุ้มคลั่งอยู่ข้างล่างนั่น เขาจะรู้ไหมนะว่าผมอยู่ข้างบนนี้…ถ้ากลิ่นของความตายโชยลงไปถึงในนรกจริงไม่แน่ว่าท้าวมหายมก็อาจจะได้กลิ่นของวิญญาณด้วยก็เป็นได้ พอนึกถึงนัยน์ตาสีแดงทอแสงเรืองคู่นั้นแล้วก็
“อึ๋ย…!” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อน้ำหนักมือของอีกฝ่ายกดลงตรงต้นแขน กระชับแน่นราวกับจะจับยึดไว้และพอหันไปมองก็ต้องพบกับความสะพรึงปรากฏแก่สายตา
แทนที่จะเป็นมือเรียวผิวขาวผ่องเป็นยองใยทว่าสิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นฝ่ามือและท่อนแขนของหญิงชราที่มีผิวหนังเหี่ยวแห้งสีซีดเผือดเต็มไปด้วยเม็ดกระกระจายเต็มไปหมด
“เฮ้ย!” ผมหลุดปากอุทานเสียงหลง พลันปรากฏแสงวูบแล่นวาบไปทั่วทั้งตัวด้วยอารามตื่นตกใจ
“ฮือ ฮือ…” เสียงที่เค้นออกมาจากลำคอเหนียงยานฟังหลอนยะเยือก พร้อมกับที่อีกฝ่ายค่อยๆ เงยขึ้นมาภายใต้เส้นผมดำที่ยาวรกปรกหน้าทว่าผมกลับมองเห็นความสยดสยองนั้นเต็มสองลูกตา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ