ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.96K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
53) เจ้ากรรมนายเวร
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “อะไรตกน่ะคุณ” ผมพูดพยายามเพ่งสายตามองมันอย่างพินิจพิจารณา แต่แล้วมันก็ตกลงมาอีกเม็ด และอีกเม็ด สะดุดความสนใจจนทำให้ผมถึงกับหยุดเดิน
“สาริกา…นี่คุณมีรังแคด้วยเหรอ” ผมเอ่ยถาม
“ตุบ” เธอใช้มือข้างหนึ่งที่กอดคอผมอยู่ทุบลงมาเบาๆ ตรงแผงอกแล้วพูดเสียงสูงว่า “จะบ้าเหรอ….ใครว่านี่รังแคนี่มันน้ำตาของฉันต่างหากเล่า”
หลังจากนั้นหญิงชราก็ใช้มือใช้ไม้ปาดเช็ดน้ำตาป้อยๆ
“น่าอายชะมัดเลยแก่แล้วยังมาร้องไห้เหมือนเด็กๆ”
“น้ำตาคุณเหรอ สวยจังยังกับเพชรแน่ะเรืองแสงในตัวเองด้วย”
ผมกะจะก้มลงเก็บมาดูแต่ก็ยงโย่ยงหยกไม่ถนัดเอาเสียเลย
“นายทำอะไรของนาย รีบเดินเถอะป่านนี้แท็กซี่คงมารอรับแล้ว” เธอเร่งเร้า
“โลกวิญญาณมีแท็กซี่บริการด้วยเหรอดีจังแหะ” ผมพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความประหลาดใจ
หลังจากนั้นผมก็สับเท้าเดินถี่ขึ้น จนไม่นานนักก็ออกมาถึงหน้าปากซอยซึ่งติดกับถนนภายนอก พอมีรถราวิ่งผ่านอยู่บ้างในตอนดึกดื่นแบบนี้ ไฟจากร้านสะดวกซื้อซึ่งเปิดบริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอันคุ้นเคยส่องแสงเรืองพาให้ผมอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด
‘ได้เจอคนบ้างแล้วดีจัง’ ผมคิดน้ำตารื้นขึ้นมาอีกหน
ผมรีบจ้ำอ้าวเพื่อกะจะไปยืนรอตรงใต้แสงไฟหน้าร้าน แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อวัยรุ่นในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนกลุ่มหนึ่งพากันเดินหยอกล้อเล่นหัวตัดหน้าเข้าประตูบานเลื่อนที่ส่งสัญญาณเสียง ตื้อ…ดืออไปข้างในร้าน ทันใดนั้นเจ้าสุนัขขนสีน้ำตาลแซมขาวดูมอมๆ ตัวหนึ่งซึ่งนอนอยู่ข้างถังขยะใบเล็กๆ ก็ชันคอขึ้นมาเห่ากรรโชกขู่เราจนผมรำคาญ
“โถไอ้ด่าง เอ็งจะเห่าไปทำไมวะไม่เคยเห็นผียายทวชเหรอไงฟร๊ะ”
“เป้ง!” ฝาถาดกล่องขนมตีลงบนหัวผมในทันทีทันควัน
“โอ๊ย!”
“เพื่อนเล่นเหรอ…” หญิงชราที่กอดคอขี่หลังผมอยู่พูดเสียงขุ่น
“คุณนี่ตีผมอีกแล้วนะ” ผมหันไปต่อว่าเธอ แต่พอเหลือบมองตรงหน้าอีกทีก็ต้องตาเบิกโพลงด้วยอารามตกใจระคนหวาดกลัวเมื่อเห็นวิญญาณหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลทองใส่ชุดสายเดี่ยวสีชมพูหวานและกางเกงยีนขาสั้นยืนเลือดท่วมอยู่ด้านหลังเจ้าด่างที่กำลังเห่าโฮ่ง โฮ่ง สลับกับส่งเสียงข่มขวัญในลำคอดัง แฮ่ แฮ่ ห่างจากผมไปเพียงไม่กี่ก้าว
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือทั้งสองปรากฏกายให้เห็นแต่เพียงท่อนบนจนถึงต้นขาส่วนที่ถัดลงไปนั้นไม่มี
มือข้างหนึ่งของสาวร่างเล็กสอดผสานมือน้อยๆ ของเด็กผู้หญิงวัยสามสี่ขวบซึ่งอยู่ในชุดเดรสแขนสั้นสีขาวติดโบว์สีแดงดูน่ารักน่าชังปนสยองเนื่องด้วยมีเลือดโซมกายเช่นเดียวกัน
ทั้งสองยืนหันหน้าเข้าผนังกระจกร้าน โลหิตหยดไหลนองพื้นชวนให้ขวัญผวา
“ผะผะผีตายโหง” ผมหลุดปากออกมาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
“ไม่น่าจะใช่…ฉันคิดว่าน่าจะเป็นอีกพวกนึง” สาริกากล่าวเสียงพร่าพลางปล่อยมือจากลำคอผมแล้วหย่อนเท้าก้าวลงยืนกับพื้น “นายไม่ต้องกลัวไปหรอก”
“เอ้าๆ คุณจะลงก็ไม่บอกกันเลยนะ” ผมโวยก่อนจะหันไปดุไอ้หมาปากเปราะที่ยังเห่าเสียงดัง “มึงนี่ก็จะเห่าอะไรกันนักกันหนา ชู่ว์ เงียบ บอกว่าให้เงียบไง”
“แล้วสองคนนี้เค้า…คือ” ผมถามด้วยความสงสัย
“น่าจะเป็นเจ้ากรรมนายเวร”
พอได้ยินดังนั้นผมก็ชะงักไป หญิงชราจึงอธิบายต่อว่า “เจ้ากรรมนายเวรเป็นดวงวิญญาณที่ผูกติดกับผู้ที่ทำกรรมไว้แก่ตน เกิดจากความโกรธ แค้น อาฆาตพยาบาท จึงไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะได้ชำระกรรมนั้นหรืออโหสิกรรมให้”
“แล้วพวกนี้เค้าต่างจากพวกวิญญาณอื่นๆ ยังไงล่ะคุณ นี่ไม่ใช่พวกตายโหงเหรอ”
“ฉันรับรู้ได้ถึงกระแสจิตความพยาบาทที่สองตนนั้นปล่อยออกมา มันรุนแรงมาก และอีกอย่างพวกนี้จะไม่ค่อยสนอกสนใจอะไรนอกจากการตามติดผู้ที่ผูกกรรมไว้กับตน” เธอเล่าด้วยสีหน้าเรียบเฉยประหนึ่งว่ามันเป็นเรื่องที่เจ้าตัวพบเจอหรือพูดถึงอยู่เป็นประจำ
“อย่างตอนนี้ ขนาดฉันกับนายเอะอะเสียงดังสองคนนั่นก็ยังไม่หันมามองเลยสักนิดแต่กลับเฝ้ามองใครบางคนที่อยู่ในนั้น”
ผมรีบหันไปตามคำพูดที่สาริกาบอกในทันที
“พวกเด็กวัยรุ่น”
‘ใครกันที่ทำให้พวกเธอโกรธแค้นขนาดนี้’ ผมนึกสงสัย
“อยากรู้เหรอ” สาริกากล่าว “ถ้านายโชคดีนายจะได้รู้”
“ยังไง…คุณ” ผมผินหน้ามองอีกฝ่ายที่พูดเป็นปริศนา ก่อนเจ้าตัวจะเฉลยว่า
“นายสามารถใช้พลังวิญญาณล่วงรู้ความคิดของผู้อื่นได้ด้วยนะ เหมือนกับฉันที่อ่านความคิดนายออก แล้วก็สื่อสารกับนายได้ด้วยยังไงล่ะ เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ต้องใช้กระแสจิต หรือสมาธิที่ตั้งมั่นขั้นสูงขึ้นมาอีกหน่อย ปกติพวกวิญญาณธรรมดาน่ะไม่รู้ทริคเรื่องนี้กันหรอก แต่ฉันคิดว่านายน่าจะทำได้…ลองดูแล้วกันฉันจะสอนให้”
“ห๊ะ..ตะตะตอนเนี๊ยะอะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ จะให้ตอนไหนล่ะ” สาริกาบอกแล้วจึงวางมาดขรึมพลางเหลือบไปยังวิญญาณตรงหน้า “ก่อนอื่นฉันอยากให้นายกำหนดจิตมองตรงไปที่สองคนนั่น”
ผมพยักหน้าหงึกแล้วรีบปฏิบัติตามในทันที
“ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาป้องหู” นางฟ้าชราอธิบายต่อพร้อมกับเมียงมองมาดูการวางไม้วางมือของผม
“แผ่ๆ เปิดมืออกมาหน่อยอย่าปิดหมดแบบนั้นสิ แล้วจะได้ยินได้ยังไง”
“อ่อๆ ยังงี้ใช่มั๊ย แบบนี้” ผมรีบปรับท่าทางให้ถูกต้อง
“อืมใช่เสร็จแล้วก็ ภาวนาในใจว่า จงได้ยิน”
‘จงได้ยินจงได้ยินจงได้ยิน’
“อย่าเร็วเกินไปสิ ช้าๆ ชัดๆ ไม่ต้องรีบ” เจ้าหล่อนกำกับเสียงเรียบ
พอได้ฟังดังนั้นผมจึงพยายามใจเย็นลงและเพ่งสายตาและสมาธิไปอีกครั้งหนึ่ง
…………………………………วิ้ง……………………………
กระแสลมบนโลกมนุษย์พัดมาวูบหนึ่ง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเงียบสงัดลงเหมือนเกิดอาการหูดับไปชั่วขณะ
ประหนึ่งว่าผมกับสองแม่ลูกคู่นั้นยืนอยู่ในห้องที่ปิดทึบกันเพียงสามคน
“ซะ ซะ ซะ” เสียงผู้หญิงดังแว่ว…ก่อนจะชัดเจนขึ้นในวินาทีถัดมา
“ตายซะ”
“เอ๊ะ!” ผมตกใจที่ได้ยินถ้อยคำสาปแช่งนั้นถนัดหู
ฉับพลันนั้น
“พ่อจ๋า หนูคิดถึงพ่ออออ” เสียงเด็กผู้หญิงดังแทรกเข้ามาในหัวก่อนที่เสียงกร้าวของผู้เป็นแม่จะดังก้องด้วยแรงอาฆาตมาดร้าย
“แกต้องตาย ตายซะ ตายซะ ฉันจะฆ่าแก!!!”
จู่ๆ เจ้าของใบหน้าโชกเลือดซึ่งหันข้างให้ผมอยู่ก็ผินหน้ามาทางนี้นิดหนึ่งทำเอาผมสะดุ้งโหยง
“เฮ้ย!” ผมรีบชักมือที่ป้องหูออก สมาธิหลุดหายในบัดดล
หลังจากนั้นวิญญาณสาวผมยาวจึงหันกลับไปมองตรงดังเดิม ก่อนที่สองแม่ลูกจะลอยวูบผ่านบานกระจกเข้าไปในร้านหน้าตาเฉย หากว่าผมยังมีชีวิตอยู่ป่านนี้ก็คงร้องลั่น ฉี่ราด วิ่งเตลิดเปิดเปิงไปไกลแล้ว แต่เมื่อได้ผจญภัยผ่านเหตุการณ์สยองขวัญต่างๆ นานามามากมายก็ดูจะปรับสภาพรับกับความน่ากลัวชวนขนหัวลุกแบบนี้ขึ้นมาได้บ้าง
“นายยังทำได้ไม่ดีพอ…หล่อนรู้ตัวแล้วว่านายแอบอ่านความคิดเธออยู่” สาริกาที่ยืนสังเกตุอยู่ข้างๆ เอ่ยน้ำเสียงแหบพร่า “หากเป็นพวกโหงพราย หรือวิญญาณผีตายโหงนี่ป่านนี้นายเสร็จไปแล้ว”
“อืม…”ผมก้มหน้ามองพื้นอย่างเซ็งๆ
“ฉันไม่รู้หรอกว่าใครที่มีกรรมร่วมกันกับวิญญาณแม่ลูกคู่นี้ แต่จะต้องเป็นหนึ่งในเด็กๆ กลุ่มนี้อย่างแน่นอน” สาริกากล่าวเสริมขึ้นมา “ที่น่าหวั่นใจก็คือ ไม่รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรจะทำอะไรกับเขาบ้าง บางครั้งมันก็อาจจะหมายถึงการเอาชีวิต”
“ละละแล้วคุณจะไม่ไปช่วยเขาเหรอ” ผมเงยหน้ามองเธอพร้อมถามเสียงตะกุกตะกัก
“นายก็ดูสภาพฉันก่อนสิ…อีกอย่างมันก็เป็นผลกรรมของเขาเองฉันจะไปก้าวก่ายไม่ได้ แค่เรื่องมาช่วยนายจากท่านท้าวมหายมฉันก็วุ่นวายจะแย่แล้ว”
ผมรับฟังอย่างเข้าใจ
“สาริกา…นี่คุณมีรังแคด้วยเหรอ” ผมเอ่ยถาม
“ตุบ” เธอใช้มือข้างหนึ่งที่กอดคอผมอยู่ทุบลงมาเบาๆ ตรงแผงอกแล้วพูดเสียงสูงว่า “จะบ้าเหรอ….ใครว่านี่รังแคนี่มันน้ำตาของฉันต่างหากเล่า”
หลังจากนั้นหญิงชราก็ใช้มือใช้ไม้ปาดเช็ดน้ำตาป้อยๆ
“น่าอายชะมัดเลยแก่แล้วยังมาร้องไห้เหมือนเด็กๆ”
“น้ำตาคุณเหรอ สวยจังยังกับเพชรแน่ะเรืองแสงในตัวเองด้วย”
ผมกะจะก้มลงเก็บมาดูแต่ก็ยงโย่ยงหยกไม่ถนัดเอาเสียเลย
“นายทำอะไรของนาย รีบเดินเถอะป่านนี้แท็กซี่คงมารอรับแล้ว” เธอเร่งเร้า
“โลกวิญญาณมีแท็กซี่บริการด้วยเหรอดีจังแหะ” ผมพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความประหลาดใจ
หลังจากนั้นผมก็สับเท้าเดินถี่ขึ้น จนไม่นานนักก็ออกมาถึงหน้าปากซอยซึ่งติดกับถนนภายนอก พอมีรถราวิ่งผ่านอยู่บ้างในตอนดึกดื่นแบบนี้ ไฟจากร้านสะดวกซื้อซึ่งเปิดบริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอันคุ้นเคยส่องแสงเรืองพาให้ผมอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด
‘ได้เจอคนบ้างแล้วดีจัง’ ผมคิดน้ำตารื้นขึ้นมาอีกหน
ผมรีบจ้ำอ้าวเพื่อกะจะไปยืนรอตรงใต้แสงไฟหน้าร้าน แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อวัยรุ่นในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนกลุ่มหนึ่งพากันเดินหยอกล้อเล่นหัวตัดหน้าเข้าประตูบานเลื่อนที่ส่งสัญญาณเสียง ตื้อ…ดืออไปข้างในร้าน ทันใดนั้นเจ้าสุนัขขนสีน้ำตาลแซมขาวดูมอมๆ ตัวหนึ่งซึ่งนอนอยู่ข้างถังขยะใบเล็กๆ ก็ชันคอขึ้นมาเห่ากรรโชกขู่เราจนผมรำคาญ
“โถไอ้ด่าง เอ็งจะเห่าไปทำไมวะไม่เคยเห็นผียายทวชเหรอไงฟร๊ะ”
“เป้ง!” ฝาถาดกล่องขนมตีลงบนหัวผมในทันทีทันควัน
“โอ๊ย!”
“เพื่อนเล่นเหรอ…” หญิงชราที่กอดคอขี่หลังผมอยู่พูดเสียงขุ่น
“คุณนี่ตีผมอีกแล้วนะ” ผมหันไปต่อว่าเธอ แต่พอเหลือบมองตรงหน้าอีกทีก็ต้องตาเบิกโพลงด้วยอารามตกใจระคนหวาดกลัวเมื่อเห็นวิญญาณหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลทองใส่ชุดสายเดี่ยวสีชมพูหวานและกางเกงยีนขาสั้นยืนเลือดท่วมอยู่ด้านหลังเจ้าด่างที่กำลังเห่าโฮ่ง โฮ่ง สลับกับส่งเสียงข่มขวัญในลำคอดัง แฮ่ แฮ่ ห่างจากผมไปเพียงไม่กี่ก้าว
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือทั้งสองปรากฏกายให้เห็นแต่เพียงท่อนบนจนถึงต้นขาส่วนที่ถัดลงไปนั้นไม่มี
มือข้างหนึ่งของสาวร่างเล็กสอดผสานมือน้อยๆ ของเด็กผู้หญิงวัยสามสี่ขวบซึ่งอยู่ในชุดเดรสแขนสั้นสีขาวติดโบว์สีแดงดูน่ารักน่าชังปนสยองเนื่องด้วยมีเลือดโซมกายเช่นเดียวกัน
ทั้งสองยืนหันหน้าเข้าผนังกระจกร้าน โลหิตหยดไหลนองพื้นชวนให้ขวัญผวา
“ผะผะผีตายโหง” ผมหลุดปากออกมาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
“ไม่น่าจะใช่…ฉันคิดว่าน่าจะเป็นอีกพวกนึง” สาริกากล่าวเสียงพร่าพลางปล่อยมือจากลำคอผมแล้วหย่อนเท้าก้าวลงยืนกับพื้น “นายไม่ต้องกลัวไปหรอก”
“เอ้าๆ คุณจะลงก็ไม่บอกกันเลยนะ” ผมโวยก่อนจะหันไปดุไอ้หมาปากเปราะที่ยังเห่าเสียงดัง “มึงนี่ก็จะเห่าอะไรกันนักกันหนา ชู่ว์ เงียบ บอกว่าให้เงียบไง”
“แล้วสองคนนี้เค้า…คือ” ผมถามด้วยความสงสัย
“น่าจะเป็นเจ้ากรรมนายเวร”
พอได้ยินดังนั้นผมก็ชะงักไป หญิงชราจึงอธิบายต่อว่า “เจ้ากรรมนายเวรเป็นดวงวิญญาณที่ผูกติดกับผู้ที่ทำกรรมไว้แก่ตน เกิดจากความโกรธ แค้น อาฆาตพยาบาท จึงไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะได้ชำระกรรมนั้นหรืออโหสิกรรมให้”
“แล้วพวกนี้เค้าต่างจากพวกวิญญาณอื่นๆ ยังไงล่ะคุณ นี่ไม่ใช่พวกตายโหงเหรอ”
“ฉันรับรู้ได้ถึงกระแสจิตความพยาบาทที่สองตนนั้นปล่อยออกมา มันรุนแรงมาก และอีกอย่างพวกนี้จะไม่ค่อยสนอกสนใจอะไรนอกจากการตามติดผู้ที่ผูกกรรมไว้กับตน” เธอเล่าด้วยสีหน้าเรียบเฉยประหนึ่งว่ามันเป็นเรื่องที่เจ้าตัวพบเจอหรือพูดถึงอยู่เป็นประจำ
“อย่างตอนนี้ ขนาดฉันกับนายเอะอะเสียงดังสองคนนั่นก็ยังไม่หันมามองเลยสักนิดแต่กลับเฝ้ามองใครบางคนที่อยู่ในนั้น”
ผมรีบหันไปตามคำพูดที่สาริกาบอกในทันที
“พวกเด็กวัยรุ่น”
‘ใครกันที่ทำให้พวกเธอโกรธแค้นขนาดนี้’ ผมนึกสงสัย
“อยากรู้เหรอ” สาริกากล่าว “ถ้านายโชคดีนายจะได้รู้”
“ยังไง…คุณ” ผมผินหน้ามองอีกฝ่ายที่พูดเป็นปริศนา ก่อนเจ้าตัวจะเฉลยว่า
“นายสามารถใช้พลังวิญญาณล่วงรู้ความคิดของผู้อื่นได้ด้วยนะ เหมือนกับฉันที่อ่านความคิดนายออก แล้วก็สื่อสารกับนายได้ด้วยยังไงล่ะ เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ต้องใช้กระแสจิต หรือสมาธิที่ตั้งมั่นขั้นสูงขึ้นมาอีกหน่อย ปกติพวกวิญญาณธรรมดาน่ะไม่รู้ทริคเรื่องนี้กันหรอก แต่ฉันคิดว่านายน่าจะทำได้…ลองดูแล้วกันฉันจะสอนให้”
“ห๊ะ..ตะตะตอนเนี๊ยะอะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ จะให้ตอนไหนล่ะ” สาริกาบอกแล้วจึงวางมาดขรึมพลางเหลือบไปยังวิญญาณตรงหน้า “ก่อนอื่นฉันอยากให้นายกำหนดจิตมองตรงไปที่สองคนนั่น”
ผมพยักหน้าหงึกแล้วรีบปฏิบัติตามในทันที
“ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาป้องหู” นางฟ้าชราอธิบายต่อพร้อมกับเมียงมองมาดูการวางไม้วางมือของผม
“แผ่ๆ เปิดมืออกมาหน่อยอย่าปิดหมดแบบนั้นสิ แล้วจะได้ยินได้ยังไง”
“อ่อๆ ยังงี้ใช่มั๊ย แบบนี้” ผมรีบปรับท่าทางให้ถูกต้อง
“อืมใช่เสร็จแล้วก็ ภาวนาในใจว่า จงได้ยิน”
‘จงได้ยินจงได้ยินจงได้ยิน’
“อย่าเร็วเกินไปสิ ช้าๆ ชัดๆ ไม่ต้องรีบ” เจ้าหล่อนกำกับเสียงเรียบ
พอได้ฟังดังนั้นผมจึงพยายามใจเย็นลงและเพ่งสายตาและสมาธิไปอีกครั้งหนึ่ง
…………………………………วิ้ง……………………………
กระแสลมบนโลกมนุษย์พัดมาวูบหนึ่ง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเงียบสงัดลงเหมือนเกิดอาการหูดับไปชั่วขณะ
ประหนึ่งว่าผมกับสองแม่ลูกคู่นั้นยืนอยู่ในห้องที่ปิดทึบกันเพียงสามคน
“ซะ ซะ ซะ” เสียงผู้หญิงดังแว่ว…ก่อนจะชัดเจนขึ้นในวินาทีถัดมา
“ตายซะ”
“เอ๊ะ!” ผมตกใจที่ได้ยินถ้อยคำสาปแช่งนั้นถนัดหู
ฉับพลันนั้น
“พ่อจ๋า หนูคิดถึงพ่ออออ” เสียงเด็กผู้หญิงดังแทรกเข้ามาในหัวก่อนที่เสียงกร้าวของผู้เป็นแม่จะดังก้องด้วยแรงอาฆาตมาดร้าย
“แกต้องตาย ตายซะ ตายซะ ฉันจะฆ่าแก!!!”
จู่ๆ เจ้าของใบหน้าโชกเลือดซึ่งหันข้างให้ผมอยู่ก็ผินหน้ามาทางนี้นิดหนึ่งทำเอาผมสะดุ้งโหยง
“เฮ้ย!” ผมรีบชักมือที่ป้องหูออก สมาธิหลุดหายในบัดดล
หลังจากนั้นวิญญาณสาวผมยาวจึงหันกลับไปมองตรงดังเดิม ก่อนที่สองแม่ลูกจะลอยวูบผ่านบานกระจกเข้าไปในร้านหน้าตาเฉย หากว่าผมยังมีชีวิตอยู่ป่านนี้ก็คงร้องลั่น ฉี่ราด วิ่งเตลิดเปิดเปิงไปไกลแล้ว แต่เมื่อได้ผจญภัยผ่านเหตุการณ์สยองขวัญต่างๆ นานามามากมายก็ดูจะปรับสภาพรับกับความน่ากลัวชวนขนหัวลุกแบบนี้ขึ้นมาได้บ้าง
“นายยังทำได้ไม่ดีพอ…หล่อนรู้ตัวแล้วว่านายแอบอ่านความคิดเธออยู่” สาริกาที่ยืนสังเกตุอยู่ข้างๆ เอ่ยน้ำเสียงแหบพร่า “หากเป็นพวกโหงพราย หรือวิญญาณผีตายโหงนี่ป่านนี้นายเสร็จไปแล้ว”
“อืม…”ผมก้มหน้ามองพื้นอย่างเซ็งๆ
“ฉันไม่รู้หรอกว่าใครที่มีกรรมร่วมกันกับวิญญาณแม่ลูกคู่นี้ แต่จะต้องเป็นหนึ่งในเด็กๆ กลุ่มนี้อย่างแน่นอน” สาริกากล่าวเสริมขึ้นมา “ที่น่าหวั่นใจก็คือ ไม่รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรจะทำอะไรกับเขาบ้าง บางครั้งมันก็อาจจะหมายถึงการเอาชีวิต”
“ละละแล้วคุณจะไม่ไปช่วยเขาเหรอ” ผมเงยหน้ามองเธอพร้อมถามเสียงตะกุกตะกัก
“นายก็ดูสภาพฉันก่อนสิ…อีกอย่างมันก็เป็นผลกรรมของเขาเองฉันจะไปก้าวก่ายไม่ได้ แค่เรื่องมาช่วยนายจากท่านท้าวมหายมฉันก็วุ่นวายจะแย่แล้ว”
ผมรับฟังอย่างเข้าใจ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ