ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)

5.3

เขียนโดย watcharakarn

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.

  67 ตอน
  3 วิจารณ์
  41.95K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

53) เจ้ากรรมนายเวร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

             “อะไรตกน่ะคุณ” ผมพูดพยายามเพ่งสายตามองมันอย่างพินิจพิจารณา แต่แล้วมันก็ตกลงมาอีกเม็ด และอีกเม็ด สะดุดความสนใจจนทำให้ผมถึงกับหยุดเดิน

 

              “สาริกา…นี่คุณมีรังแคด้วยเหรอ” ผมเอ่ยถาม

 

              “ตุบ” เธอใช้มือข้างหนึ่งที่กอดคอผมอยู่ทุบลงมาเบาๆ ตรงแผงอกแล้วพูดเสียงสูงว่า “จะบ้าเหรอ….ใครว่านี่รังแคนี่มันน้ำตาของฉันต่างหากเล่า”

 

              หลังจากนั้นหญิงชราก็ใช้มือใช้ไม้ปาดเช็ดน้ำตาป้อยๆ

 

              “น่าอายชะมัดเลยแก่แล้วยังมาร้องไห้เหมือนเด็กๆ”

 

              “น้ำตาคุณเหรอ สวยจังยังกับเพชรแน่ะเรืองแสงในตัวเองด้วย”

 

              ผมกะจะก้มลงเก็บมาดูแต่ก็ยงโย่ยงหยกไม่ถนัดเอาเสียเลย

 

              “นายทำอะไรของนาย รีบเดินเถอะป่านนี้แท็กซี่คงมารอรับแล้ว” เธอเร่งเร้า

 

              “โลกวิญญาณมีแท็กซี่บริการด้วยเหรอดีจังแหะ” ผมพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความประหลาดใจ

 

              หลังจากนั้นผมก็สับเท้าเดินถี่ขึ้น จนไม่นานนักก็ออกมาถึงหน้าปากซอยซึ่งติดกับถนนภายนอก พอมีรถราวิ่งผ่านอยู่บ้างในตอนดึกดื่นแบบนี้ ไฟจากร้านสะดวกซื้อซึ่งเปิดบริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอันคุ้นเคยส่องแสงเรืองพาให้ผมอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด

 

              ‘ได้เจอคนบ้างแล้วดีจัง’ ผมคิดน้ำตารื้นขึ้นมาอีกหน

 

              ผมรีบจ้ำอ้าวเพื่อกะจะไปยืนรอตรงใต้แสงไฟหน้าร้าน แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อวัยรุ่นในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนกลุ่มหนึ่งพากันเดินหยอกล้อเล่นหัวตัดหน้าเข้าประตูบานเลื่อนที่ส่งสัญญาณเสียง ตื้อ…ดืออไปข้างในร้าน ทันใดนั้นเจ้าสุนัขขนสีน้ำตาลแซมขาวดูมอมๆ ตัวหนึ่งซึ่งนอนอยู่ข้างถังขยะใบเล็กๆ ก็ชันคอขึ้นมาเห่ากรรโชกขู่เราจนผมรำคาญ

 

              “โถไอ้ด่าง เอ็งจะเห่าไปทำไมวะไม่เคยเห็นผียายทวชเหรอไงฟร๊ะ”

 

              “เป้ง!” ฝาถาดกล่องขนมตีลงบนหัวผมในทันทีทันควัน

 

              “โอ๊ย!”

 

              “เพื่อนเล่นเหรอ…” หญิงชราที่กอดคอขี่หลังผมอยู่พูดเสียงขุ่น

 

              “คุณนี่ตีผมอีกแล้วนะ” ผมหันไปต่อว่าเธอ แต่พอเหลือบมองตรงหน้าอีกทีก็ต้องตาเบิกโพลงด้วยอารามตกใจระคนหวาดกลัวเมื่อเห็นวิญญาณหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลทองใส่ชุดสายเดี่ยวสีชมพูหวานและกางเกงยีนขาสั้นยืนเลือดท่วมอยู่ด้านหลังเจ้าด่างที่กำลังเห่าโฮ่ง โฮ่ง สลับกับส่งเสียงข่มขวัญในลำคอดัง แฮ่ แฮ่ ห่างจากผมไปเพียงไม่กี่ก้าว

 

              ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือทั้งสองปรากฏกายให้เห็นแต่เพียงท่อนบนจนถึงต้นขาส่วนที่ถัดลงไปนั้นไม่มี

 

                มือข้างหนึ่งของสาวร่างเล็กสอดผสานมือน้อยๆ ของเด็กผู้หญิงวัยสามสี่ขวบซึ่งอยู่ในชุดเดรสแขนสั้นสีขาวติดโบว์สีแดงดูน่ารักน่าชังปนสยองเนื่องด้วยมีเลือดโซมกายเช่นเดียวกัน

 

              ทั้งสองยืนหันหน้าเข้าผนังกระจกร้าน โลหิตหยดไหลนองพื้นชวนให้ขวัญผวา

 

              “ผะผะผีตายโหง” ผมหลุดปากออกมาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง

 

              “ไม่น่าจะใช่…ฉันคิดว่าน่าจะเป็นอีกพวกนึง” สาริกากล่าวเสียงพร่าพลางปล่อยมือจากลำคอผมแล้วหย่อนเท้าก้าวลงยืนกับพื้น “นายไม่ต้องกลัวไปหรอก”

 

              “เอ้าๆ คุณจะลงก็ไม่บอกกันเลยนะ” ผมโวยก่อนจะหันไปดุไอ้หมาปากเปราะที่ยังเห่าเสียงดัง “มึงนี่ก็จะเห่าอะไรกันนักกันหนา ชู่ว์ เงียบ บอกว่าให้เงียบไง”  

 

              “แล้วสองคนนี้เค้า…คือ” ผมถามด้วยความสงสัย

 

              “น่าจะเป็นเจ้ากรรมนายเวร”

 

              พอได้ยินดังนั้นผมก็ชะงักไป หญิงชราจึงอธิบายต่อว่า “เจ้ากรรมนายเวรเป็นดวงวิญญาณที่ผูกติดกับผู้ที่ทำกรรมไว้แก่ตน เกิดจากความโกรธ แค้น อาฆาตพยาบาท จึงไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะได้ชำระกรรมนั้นหรืออโหสิกรรมให้”

 

              “แล้วพวกนี้เค้าต่างจากพวกวิญญาณอื่นๆ ยังไงล่ะคุณ นี่ไม่ใช่พวกตายโหงเหรอ”

 

              “ฉันรับรู้ได้ถึงกระแสจิตความพยาบาทที่สองตนนั้นปล่อยออกมา มันรุนแรงมาก และอีกอย่างพวกนี้จะไม่ค่อยสนอกสนใจอะไรนอกจากการตามติดผู้ที่ผูกกรรมไว้กับตน” เธอเล่าด้วยสีหน้าเรียบเฉยประหนึ่งว่ามันเป็นเรื่องที่เจ้าตัวพบเจอหรือพูดถึงอยู่เป็นประจำ

 

              “อย่างตอนนี้ ขนาดฉันกับนายเอะอะเสียงดังสองคนนั่นก็ยังไม่หันมามองเลยสักนิดแต่กลับเฝ้ามองใครบางคนที่อยู่ในนั้น”

 

              ผมรีบหันไปตามคำพูดที่สาริกาบอกในทันที

 

              “พวกเด็กวัยรุ่น”

 

              ‘ใครกันที่ทำให้พวกเธอโกรธแค้นขนาดนี้’ ผมนึกสงสัย

 

              “อยากรู้เหรอ” สาริกากล่าว “ถ้านายโชคดีนายจะได้รู้”

 

              “ยังไง…คุณ” ผมผินหน้ามองอีกฝ่ายที่พูดเป็นปริศนา ก่อนเจ้าตัวจะเฉลยว่า

 

              “นายสามารถใช้พลังวิญญาณล่วงรู้ความคิดของผู้อื่นได้ด้วยนะ เหมือนกับฉันที่อ่านความคิดนายออก แล้วก็สื่อสารกับนายได้ด้วยยังไงล่ะ เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ต้องใช้กระแสจิต หรือสมาธิที่ตั้งมั่นขั้นสูงขึ้นมาอีกหน่อย ปกติพวกวิญญาณธรรมดาน่ะไม่รู้ทริคเรื่องนี้กันหรอก แต่ฉันคิดว่านายน่าจะทำได้…ลองดูแล้วกันฉันจะสอนให้”

 

              “ห๊ะ..ตะตะตอนเนี๊ยะอะเหรอ”

 

              “ก็ใช่น่ะสิ จะให้ตอนไหนล่ะ” สาริกาบอกแล้วจึงวางมาดขรึมพลางเหลือบไปยังวิญญาณตรงหน้า “ก่อนอื่นฉันอยากให้นายกำหนดจิตมองตรงไปที่สองคนนั่น”

 

              ผมพยักหน้าหงึกแล้วรีบปฏิบัติตามในทันที

 

              “ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาป้องหู” นางฟ้าชราอธิบายต่อพร้อมกับเมียงมองมาดูการวางไม้วางมือของผม

 

              “แผ่ๆ เปิดมืออกมาหน่อยอย่าปิดหมดแบบนั้นสิ แล้วจะได้ยินได้ยังไง”

 

              “อ่อๆ ยังงี้ใช่มั๊ย แบบนี้” ผมรีบปรับท่าทางให้ถูกต้อง

 

              “อืมใช่เสร็จแล้วก็ ภาวนาในใจว่า จงได้ยิน”

 

              ‘จงได้ยินจงได้ยินจงได้ยิน’

 

              “อย่าเร็วเกินไปสิ ช้าๆ ชัดๆ ไม่ต้องรีบ” เจ้าหล่อนกำกับเสียงเรียบ

 

              พอได้ฟังดังนั้นผมจึงพยายามใจเย็นลงและเพ่งสายตาและสมาธิไปอีกครั้งหนึ่ง

 

              …………………………………วิ้ง……………………………

 

              กระแสลมบนโลกมนุษย์พัดมาวูบหนึ่ง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเงียบสงัดลงเหมือนเกิดอาการหูดับไปชั่วขณะ

 

              ประหนึ่งว่าผมกับสองแม่ลูกคู่นั้นยืนอยู่ในห้องที่ปิดทึบกันเพียงสามคน

 

              “ซะ ซะ ซะ” เสียงผู้หญิงดังแว่ว…ก่อนจะชัดเจนขึ้นในวินาทีถัดมา

 

              “ตายซะ”

 

              “เอ๊ะ!” ผมตกใจที่ได้ยินถ้อยคำสาปแช่งนั้นถนัดหู

 

              ฉับพลันนั้น

 

              “พ่อจ๋า หนูคิดถึงพ่ออออ” เสียงเด็กผู้หญิงดังแทรกเข้ามาในหัวก่อนที่เสียงกร้าวของผู้เป็นแม่จะดังก้องด้วยแรงอาฆาตมาดร้าย

 

              “แกต้องตาย ตายซะ ตายซะ ฉันจะฆ่าแก!!!”

 

              จู่ๆ เจ้าของใบหน้าโชกเลือดซึ่งหันข้างให้ผมอยู่ก็ผินหน้ามาทางนี้นิดหนึ่งทำเอาผมสะดุ้งโหยง

 

              “เฮ้ย!” ผมรีบชักมือที่ป้องหูออก สมาธิหลุดหายในบัดดล

 

              หลังจากนั้นวิญญาณสาวผมยาวจึงหันกลับไปมองตรงดังเดิม ก่อนที่สองแม่ลูกจะลอยวูบผ่านบานกระจกเข้าไปในร้านหน้าตาเฉย หากว่าผมยังมีชีวิตอยู่ป่านนี้ก็คงร้องลั่น ฉี่ราด วิ่งเตลิดเปิดเปิงไปไกลแล้ว แต่เมื่อได้ผจญภัยผ่านเหตุการณ์สยองขวัญต่างๆ นานามามากมายก็ดูจะปรับสภาพรับกับความน่ากลัวชวนขนหัวลุกแบบนี้ขึ้นมาได้บ้าง

 

              “นายยังทำได้ไม่ดีพอ…หล่อนรู้ตัวแล้วว่านายแอบอ่านความคิดเธออยู่” สาริกาที่ยืนสังเกตุอยู่ข้างๆ เอ่ยน้ำเสียงแหบพร่า “หากเป็นพวกโหงพราย หรือวิญญาณผีตายโหงนี่ป่านนี้นายเสร็จไปแล้ว”

 

              “อืม…”ผมก้มหน้ามองพื้นอย่างเซ็งๆ

 

              “ฉันไม่รู้หรอกว่าใครที่มีกรรมร่วมกันกับวิญญาณแม่ลูกคู่นี้ แต่จะต้องเป็นหนึ่งในเด็กๆ กลุ่มนี้อย่างแน่นอน” สาริกากล่าวเสริมขึ้นมา “ที่น่าหวั่นใจก็คือ ไม่รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรจะทำอะไรกับเขาบ้าง บางครั้งมันก็อาจจะหมายถึงการเอาชีวิต”

 

              “ละละแล้วคุณจะไม่ไปช่วยเขาเหรอ” ผมเงยหน้ามองเธอพร้อมถามเสียงตะกุกตะกัก

 

              “นายก็ดูสภาพฉันก่อนสิ…อีกอย่างมันก็เป็นผลกรรมของเขาเองฉันจะไปก้าวก่ายไม่ได้ แค่เรื่องมาช่วยนายจากท่านท้าวมหายมฉันก็วุ่นวายจะแย่แล้ว”

 

              ผมรับฟังอย่างเข้าใจ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

ชอบอ่านนิยายแนวไทยๆ กันมั๊ย

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา