ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
40.30K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
37) ความดีที่ยังคงอยู่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความร่างของชายชราสั่นระริกขณะที่ผมเดินเข้าไปดูอาการของแกที่ตะลึงปากอ้าตาค้างอยู่ตรงหน้าด้วยความเป็นห่วงจากนั้นผู้เฒ่าจึงก้มศีรษะลงกลอกกวาดสายตามองพื้นไปมาราวกับคนที่กำลังใช้ความคิดหนัก
“ยะยะแย่แล้ว…” ริมฝีปากบางใต้เรียวหนวดสีขาวแซมดำเปล่งเสียงตะกุกตะกักออกมาด้วยความกริ่งเกรง มือขวาอันเหี่ยวแห้งเกาะกุมหัวไม้เท้าแน่นราวกับผู้พูดได้ตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความกลัวที่ลึกสุดประมาณกระนั้นแหละ
“ทะทะท่านท้าวต้องตะตะตามมาแน่”
“คุณตาครับเป็นอะไรรึเปล่าครับเนี่ย?” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพ่อเฒ่า แต่พอได้ยินถ้อยคำรำพึงนั้นก็พลันชะงักรู้สึกวิตกจริตขึ้นมาเหมือนกัน
“พาวิญญาณหนีมาแบบนี้ นี่มันความผิดร้ายแรงเลยนะขอรับ กระผมวะว่าว่าพวกคุณรีบออกไปจากที่นี่เสียจะดีกว่า” แกแนะปากคอสั่น “หากท่านท้าวตามมาล่ะก็คงแย่แน่ๆ….”
“เรื่องมันยาวมากเลยล่ะค่ะคุณตา ฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าทำไมท่านท้าวถึงต้องออกโรงขึ้นมาถึงเมืองมนุษย์แบบนี้ที่จริงแล้วนายนี่ก็แค่…” แค่สาริกาปรายตามองมาทางนี้ผมก็รู้ในทันทีว่าเธอกำลังจะพูดอะไรต่อจึงชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“เป็นหอบหืดตายครับ / ฆ่าตัวตาย” ผมโพล่งออกไปพร้อมกับที่เจ้าหล่อนเอ่ยออกมาพอดีทำให้เสียงของเราประสานกันโดยไม่ตั้งใจ ก่อนตนเองจะส่งสายตาตำหนิแกมขอร้องไปยังอีกฝ่ายด้วยความกระดากอายขณะที่พ่อเฒ่ายังคงยืนทำหน้างุนงงด้วยคงฟังไม่ถนัดชัดหู
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะตา” เธอคงพอจะอ่านสีหน้าแววตาของผมออกเลยรีบพูดกลบเกลื่อนแล้วจึงดักคอแกไว้เมื่อเห็นท่าทีกระอักกระอวนใจของอีกฝ่าย “ไม่ต้องห่วงนะคะ พวกเราหนีมากันไกลมากคงไม่ง่ายที่พวกนั้นจะหาพวกเราเจอ ฉันแค่แวะมาที่นี่เดี๋ยวก็ไปแล้วค่ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็สะบัดแผ่นพลาสติกใสคลี่ออกอีกครั้ง ส่วนอีกข้างก็มีกระจกวิเศษถือไว้อยู่ในมือเตรียมจะไปสะสางงานต่อให้เสร็จ
“โอ้...ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันหรอกครับพักอยู่ที่นี่กันก่อนก็ได้ ตามสบายเลยครับคุณคุณ” ชายชรากล่าวแก้เกี้ยว ดูจากอาการแค่นยิ้มของแกแล้วน่าจะเป็นการเชื้อเชิญโดยมารยาทตามประสาเจ้าบ้านที่ดีเสียมากกว่า
“ขอบคุณค่ะตา” สาริกาตอบรับสีหน้าเรียบ ก่อนจะย่างเท้าไปหาพี่เทิดศักดิ์ที่กำลังหยิบงานชิ้นใหม่ซึ่งก็คือหม้อหุงข้าวไฟฟ้าสีขาวลายดอกกุหลาบขนาดย่อมขึ้นมาพลิกตะแคงเพื่อตรวจสภาพภายนอกก่อนจะลงมือซ่อมแซม
ผมผงกศีรษะให้ชายชราเป็นเชิงขอตัวแล้วจึงก้าวอาดๆ ตามสาริกาไป
“ในที่สุดก็พบแล้วสินะ” ร่างเพรียวซึ่งกำลังหันหลังให้ผม และยื่นกระจกอนันตยกรรมส่องไปยังชายพิการหุ่นท้วมผิวเกรียมแดดเปรยออกมาเสียงเครือเหมือนรู้สึกตื้นตันกับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า
“อะไรเหรอคุณให้ผมดูมั่งสิ” ผมว่าพลางเข้าไปเกาะไหล่กลมมนทั้งสองข้างแล้วชะโงกหน้ามองจำนวนตัวเลขที่ปรากฏให้เห็นบนบานกระจกก่อนจะร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นกับค่าเฉลี่ยความดีที่สูงลิ่ว
“โหหหแปดสิบเปอร์เซ็นต์!”
ทว่าพอผินหน้าไปทางหญิงสาวก็เผลออุทานด้วยความตกใจที่เห็นอีกฝ่ายส่งสายตาตำหนิมาพาให้ต้องรีบลดมือลงจากไหล่เล็กๆ นั้นโดยพลัน
“ชะอุ๊ย…โทษที” ผมกล่าวขออภัยเธอสั้นๆ แล้วจึงทอดสายตาลงมองพี่เทิดศักดิ์ด้วยความชื่นชม
“น่าดีใจเนอะที่ยังมีคนแบบนี้เหลืออยู่…ผมไม่คิดว่า…”
“ที่แบบนี้จะมีคนดีๆ ได้สินะ” สาริกากล่าวต่อ
“ไม่ใช่หรอก…” ผมตอบ “ที่สังคมเรายังมีคนดีๆ แบบนี้ต่างหาก”
เมื่อได้ยินดังนั้นหญิงสาวก็คลี่ยิ้มออกมานิดหนึ่งแล้วจึงพูดถึงตัวพี่เทิดศักดิ์ให้ฟังว่า
“แต่ก่อนนั้นชายผู้นี้ก็เคยตกอยู่ในความสิ้นหวังไม่ต่างอะไรกับนายนั่นแหละ ได้แต่แบมือขอทาน นั่งก้มหน้านับเศษเหรียญ เศษสตางค์ และทอดถอนลมหายใจทิ้งไปเพียงวันๆ” กล่าวแล้วร่างเพรียวก็เสกให้ของวิเศษหายวับไปในพริบตาก่อนจะวางมาดกอดอก
“จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็ได้พบกับเด็กหนุ่มซึ่งได้มอบสิ่งที่วิเศษสุดให้แก่เขา” เธอบอกพลางเลื่อนดวงตาคมโตมองมายังผม
“ยะยะแย่แล้ว…” ริมฝีปากบางใต้เรียวหนวดสีขาวแซมดำเปล่งเสียงตะกุกตะกักออกมาด้วยความกริ่งเกรง มือขวาอันเหี่ยวแห้งเกาะกุมหัวไม้เท้าแน่นราวกับผู้พูดได้ตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความกลัวที่ลึกสุดประมาณกระนั้นแหละ
“ทะทะท่านท้าวต้องตะตะตามมาแน่”
“คุณตาครับเป็นอะไรรึเปล่าครับเนี่ย?” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพ่อเฒ่า แต่พอได้ยินถ้อยคำรำพึงนั้นก็พลันชะงักรู้สึกวิตกจริตขึ้นมาเหมือนกัน
“พาวิญญาณหนีมาแบบนี้ นี่มันความผิดร้ายแรงเลยนะขอรับ กระผมวะว่าว่าพวกคุณรีบออกไปจากที่นี่เสียจะดีกว่า” แกแนะปากคอสั่น “หากท่านท้าวตามมาล่ะก็คงแย่แน่ๆ….”
“เรื่องมันยาวมากเลยล่ะค่ะคุณตา ฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าทำไมท่านท้าวถึงต้องออกโรงขึ้นมาถึงเมืองมนุษย์แบบนี้ที่จริงแล้วนายนี่ก็แค่…” แค่สาริกาปรายตามองมาทางนี้ผมก็รู้ในทันทีว่าเธอกำลังจะพูดอะไรต่อจึงชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“เป็นหอบหืดตายครับ / ฆ่าตัวตาย” ผมโพล่งออกไปพร้อมกับที่เจ้าหล่อนเอ่ยออกมาพอดีทำให้เสียงของเราประสานกันโดยไม่ตั้งใจ ก่อนตนเองจะส่งสายตาตำหนิแกมขอร้องไปยังอีกฝ่ายด้วยความกระดากอายขณะที่พ่อเฒ่ายังคงยืนทำหน้างุนงงด้วยคงฟังไม่ถนัดชัดหู
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะตา” เธอคงพอจะอ่านสีหน้าแววตาของผมออกเลยรีบพูดกลบเกลื่อนแล้วจึงดักคอแกไว้เมื่อเห็นท่าทีกระอักกระอวนใจของอีกฝ่าย “ไม่ต้องห่วงนะคะ พวกเราหนีมากันไกลมากคงไม่ง่ายที่พวกนั้นจะหาพวกเราเจอ ฉันแค่แวะมาที่นี่เดี๋ยวก็ไปแล้วค่ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็สะบัดแผ่นพลาสติกใสคลี่ออกอีกครั้ง ส่วนอีกข้างก็มีกระจกวิเศษถือไว้อยู่ในมือเตรียมจะไปสะสางงานต่อให้เสร็จ
“โอ้...ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันหรอกครับพักอยู่ที่นี่กันก่อนก็ได้ ตามสบายเลยครับคุณคุณ” ชายชรากล่าวแก้เกี้ยว ดูจากอาการแค่นยิ้มของแกแล้วน่าจะเป็นการเชื้อเชิญโดยมารยาทตามประสาเจ้าบ้านที่ดีเสียมากกว่า
“ขอบคุณค่ะตา” สาริกาตอบรับสีหน้าเรียบ ก่อนจะย่างเท้าไปหาพี่เทิดศักดิ์ที่กำลังหยิบงานชิ้นใหม่ซึ่งก็คือหม้อหุงข้าวไฟฟ้าสีขาวลายดอกกุหลาบขนาดย่อมขึ้นมาพลิกตะแคงเพื่อตรวจสภาพภายนอกก่อนจะลงมือซ่อมแซม
ผมผงกศีรษะให้ชายชราเป็นเชิงขอตัวแล้วจึงก้าวอาดๆ ตามสาริกาไป
“ในที่สุดก็พบแล้วสินะ” ร่างเพรียวซึ่งกำลังหันหลังให้ผม และยื่นกระจกอนันตยกรรมส่องไปยังชายพิการหุ่นท้วมผิวเกรียมแดดเปรยออกมาเสียงเครือเหมือนรู้สึกตื้นตันกับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า
“อะไรเหรอคุณให้ผมดูมั่งสิ” ผมว่าพลางเข้าไปเกาะไหล่กลมมนทั้งสองข้างแล้วชะโงกหน้ามองจำนวนตัวเลขที่ปรากฏให้เห็นบนบานกระจกก่อนจะร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นกับค่าเฉลี่ยความดีที่สูงลิ่ว
“โหหหแปดสิบเปอร์เซ็นต์!”
ทว่าพอผินหน้าไปทางหญิงสาวก็เผลออุทานด้วยความตกใจที่เห็นอีกฝ่ายส่งสายตาตำหนิมาพาให้ต้องรีบลดมือลงจากไหล่เล็กๆ นั้นโดยพลัน
“ชะอุ๊ย…โทษที” ผมกล่าวขออภัยเธอสั้นๆ แล้วจึงทอดสายตาลงมองพี่เทิดศักดิ์ด้วยความชื่นชม
“น่าดีใจเนอะที่ยังมีคนแบบนี้เหลืออยู่…ผมไม่คิดว่า…”
“ที่แบบนี้จะมีคนดีๆ ได้สินะ” สาริกากล่าวต่อ
“ไม่ใช่หรอก…” ผมตอบ “ที่สังคมเรายังมีคนดีๆ แบบนี้ต่างหาก”
เมื่อได้ยินดังนั้นหญิงสาวก็คลี่ยิ้มออกมานิดหนึ่งแล้วจึงพูดถึงตัวพี่เทิดศักดิ์ให้ฟังว่า
“แต่ก่อนนั้นชายผู้นี้ก็เคยตกอยู่ในความสิ้นหวังไม่ต่างอะไรกับนายนั่นแหละ ได้แต่แบมือขอทาน นั่งก้มหน้านับเศษเหรียญ เศษสตางค์ และทอดถอนลมหายใจทิ้งไปเพียงวันๆ” กล่าวแล้วร่างเพรียวก็เสกให้ของวิเศษหายวับไปในพริบตาก่อนจะวางมาดกอดอก
“จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็ได้พบกับเด็กหนุ่มซึ่งได้มอบสิ่งที่วิเศษสุดให้แก่เขา” เธอบอกพลางเลื่อนดวงตาคมโตมองมายังผม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ