ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
5.3
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
67 ตอน
3 วิจารณ์
41.87K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
20) ‘ผม’ และ ‘เธอ’
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“วื้บบบบ”
ทันทีที่ตัวได้ผ่านเข้ามา ร่างผมก็ถลำลงกระแทกกับอะไรสักอย่างดังพลั่ก
“อุปส์”
ตอนแรกผมก็นึกว่ามันคือเบาะนุ่มๆ ที่นางฟ้าแสนสวยตระเตรียมเอามารองรับไว้เสียอีกแต่พอลืมตาตื่นก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นแอร์แบ็คชั้นดีแท้จริงแล้วก็คือหน้าอกหน้าใจของเจ้าหล่อนต่างหากเรียกได้ว่าคะมำลงไปซุกร่องปทุมถันคู่งามพอดีเป๊ะ
‘มิน่าล่ะทำไมถึงนุ่มจัง’ ผมคิดอย่างเคอะเขิน
“เอ่อ…นายทับตัวฉันอยู่” สาริกาที่นอนหงายปล่อยผมสีน้ำตาลเข้มดัดเป็นลอนยาวคลี่สยายกับพื้นบอกเสียงอ้อมแอ้มพร้อมกับใช้สองมือดันตัวผมซึ่งกำลังคร่อมร่างบอบบางอยู่อย่างไม่ได้ตั้งใจให้ออกห่างเนินเนื้อขาวๆ ขณะที่ผมซึ่งเปียกมะล่อกมะแล่กราวกับลูกหมาตกน้ำได้แต่กะพริบตาปริบๆ ด้วยงุงนงงต่อสถานการณ์
นัยน์ตาคมโตใต้เรือนคิ้วเข้มเส้นเล็กเรียวมองสบมาในระยะที่สองเราใกล้ชิดกันทำให้ผมได้พินิจใบหน้าที่แต่งแต้มเพียงบางเบานั้นอย่างถนัดชัดเจน
เปลือกตาของเธอปัดไล้จางๆ ส่วนพวงแก้มเรียวระบายเป็นสีชมพูระเรื่อดูเปล่งปลั่งรับกับริมฝีปากได้รูปเคลือบสวยด้วยเฉดชมพูที่เข้มกว่าหน่อยและชุ่มฉ่ำแวววาวคล้ายการแต่งหน้าสไตล์นู้ดที่ขับเน้นความเป็นธรรมชาติของผู้หญิงให้เผยเสน่ห์ออกมาดังบุษบาแรกแย้ม
มองแล้วก็อดที่จะนิยมชมชอบในความงดงามของดวงหน้าใสที่ประดิษฐ์แต่เพียงน้อยขึ้นมาไม่ได้
พลันตนเองก็บังเกิดความรู้สึกแปลกๆ พลุ่งพล่านกำจายไปทั่วสรรพางค์เกินกว่าจะระงับเมื่อเห็นสาวสวยหยาดเยิ้มอยู่ตรงหน้าหากเพียงมิใช่ด้วยแรงปรารถนาทางเพศรสหรือกามารมณ์แต่กลับเป็นสิ่งใดนั้นก็ยากที่จะเข้าใจ
“ผมขะขะขอโทษมันเป็นอุบัติเหตุน่ะ” ผมซึ่งพึ่งจะตั้งสติได้รีบขอโทษขอโพยพลางถอยพรวดพราดจนล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่ในท่านั่งชันเข่ามือยันพื้น ทันใดก็เกิดอาการปวดแปลบแล่นร้าวไปทั่วทั้งแขนทำให้ต้องรีบชักมือขึ้นแล้วมองที่แผลฉกรรจ์ซึ่งมีเลือดไหลโซมไปหมด
“โอะโอ๊ยย!” ผมอุทานพลางสะบัดน้อยๆ หวังให้คลายความเจ็บรู้สึกใจเสียกลัวเหลือเกินว่ามือขวาจะใช้การไม่ได้อีก
“เป็นอะไรมากรึเปล่า?” หญิงสาวซึ่งไว้หน้าม้าปัดไปข้างซ้ายชันกายขึ้นมาแล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยพลางเอื้อมมือมาจับท่อนแขนสีแทนพลิกไปมาเพื่อดูอาการ
ที่คาดผมกุหลาบสีชมพูอ่อนดอกโตซึ่งสอดเข้ากับเรือนผมเงางามดูโดดเด่นรับกับชุดเดรสสั้นผ้าชีฟองคอถ่วงสีโอโรสแขนตุ๊กตาที่เจ้าหล่อนสวมใส่เป็นอย่างดีเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสาวเปรี้ยวเข็ดฟันให้กลายเป็นอ่อนหวานน่ารักราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยายราวกับเป็นคนละคน
“นะนะนี่คุณเปลี่ยนชุดใหม่เหรอ?” ผมตั้งข้อสงสัย พลางไล่สายตาตามร่างเพรียวที่ลุกยืนอวดเรียวขาสวยบนรองเท้าส้นสูงรัดข้อสีน้ำตาล ชายกระโปรงสั้นเหนือเข่าแต่งระบายเฉียงสามชั้นเลิกเปิดเล็กน้อยยามเคลื่อนไหว แม้หญิงสาวจะมีแสงออร่าสีขาวส่องสว่างรอบตัวอยู่ตลอดเวลาแต่ครั้งนี้ผมกลับรำคาญมันน้อยลง และรู้สึกอุ่นใจที่มีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน
“ฮึ่บ” เธอเปล่งเสียงออกมาเบาๆ แล้วจึงยื่นมือข้างหนึ่งมาให้จับ ผมวางมือซ้ายลงบนมือนุ่มๆ อย่างไว้เนื้อเชื่อใจก่อนที่สาริกาจะฉุดดึงร่างเปียกปอนให้ลุกขึ้นพร้อมกับพูดแก้ต่างว่า “ไม่เคยได้ยินรึไงที่เขาบอกว่าเป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวยฉันก็อยากแต่งตัวบ้างอะไรบ้างสิคะคุณผู้ชาย”
ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็วางท่ากอดอก
“ขอบคุณนะ” ผมบอกเหนียมๆ พยายามเก็บซ่อนความขวยเขินที่ชักกำเริบเมื่ออยู่ต่อหน้าสาวงาม “หมายถึงเรื่องที่คุณช่วยผมไว้ให้หนีรอดออกมาได้”
อีกฝ่ายยกยิ้มนิดหนึ่งแล้วจึงกล่าวกับผมว่า
“หากนายจะขอบคุณก็คงต้องขอบคุณตัวนายเองมากกว่าที่ไม่ยอมถอดใจง่ายๆ ไม่เคยมีดวงวิญญาณตนไหนรอดพ้นเงื้อมมือของพวกยมทูตได้หรอกนะโดยเฉพาะท่านท้าวมหายม” เธอบอกแล้วจึงเงยหน้ามองเพดาน “ส่วนเรื่องกระแสสมุทรน่ะก็เป็นฝีมือเทพธิดาแห่งสาครเพื่อนสนิทของฉันบนชั้นฟ้าโน่นต่างหาก”
“ขอบใจเธอมากนะแพรวภิตา” ร่างระหงปรารภออกมาเบาๆ ปานให้ใครบางคนเบื้องบนได้รับรู้
จากนั้นสาริกาจึงลดหน้าลงมองผมก่อนจะเสสายตามองพื้นปูนเปลือยขัดมันสีเทาอย่างคนที่รู้สึกผิด
“ฉันเองซะอีกที่ช่วยอะไรนายไม่ได้เลยน่าอายจริงๆ” นางฟ้าสาวกล่าวตำหนิตนเองเสียงเศร้าๆ
“ไม่เป็นไรหรอกคุณเองก็ทำดีที่สุดแล้ว” ผมตอบประโลมใจเธอ แต่ในหัวกลับคิดเป็นอีกอย่าง
‘ช่ายยย คุณมันไม่ได้เรื่องได้ความจริงๆ นี่คงเอาแต่แต่งหน้าทำผมเตรียมไปงานแต่งที่ไหนล่ะสิ ถึงไม่ยอมมาช่วยผมกลัวชุดเปียกรึไงแม่คุณ’
ทันใดนั้นหน้าสวยที่กำลังคลี่ยิ้มละไมก็หุบลง
“ทะทะทำไมคุณทำหน้าแบบนั้นล่ะ?” ผมถามเสียงตะกุกตะกักที่เห็นหญิงสาวเท้าสะเอวตีสีหน้าบึ้งตึงบรรยากาศมาคุลอยมาทันใด
“ฉันไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้นหรอกนะตาบื้ออยากโดนอีกเรอะไง” เธอตอบเสียงฉุนหน้ายังคงงอง้ำเป็นม้าหมากรุก
‘เฮ้ยลืมไป…เธอได้ยินความคิดเรานี่หว่า พลาดแล้วเรา!’ นึกได้ดังนั้นสายตาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นอาวุธประจำกายของเธอเข้าเต็มสองตา ซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาอยู่ในมือของเจ้าหล่อนตั้งแต่เมื่อไหร่
ฝากล่องคุ้กกี้ของยัยโหดทำให้ผมเย็นวะวาบไปถึงสันหลัง และยังไม่ทันได้เตรียมใจสาริกาก็ชูมันขึ้นสูงคงจะฟาดเปรี้ยงลงมาแน่แล้ว
“อึ๋ยยอย่านะ!” ผมร้องเสียงหลงพลางยกแขนขึ้นป้อง รู้สึกกลัวปนแขยงแผ่นเหล็กกลมๆ สีแดงเถือกไปเสียแล้วสิ
“อาราาายของนายยะ” อีกฝ่ายลากเสียงยาว พอมองไปก็เห็นเธอกำลังยกมันขึ้นมาพัดเฉยดังพึ่บพับๆ เส้นผมสลวยเผยิบขึ้นลงตามแรงลมกระพือทั้งยังวางท่าราวกับพวกอาซ้อขี้ร้อนพร้อมกับบ่นพึมไม่หยุดปาก
“บนโลกมนุษย์นี่มันร้อนเหลือหลายร้อนกันได้ร้อนกันดีร้อนทุกปีโอซงโอโซนถูกทำลายไปหมดแล้วรึไงก็อย่างว่าแหละตัดมันเข้าไปน่ะป่าไม้พวกนายทุนนี่ก็งาบกันจังเดือดร้อนท่านรุกขเทวดานางตานีเค้าต้องหอบข้าวหอบของอพยพย้ายถิ่นกันจ้าล่ะหวั่นไม่รู้บ้างรึไงทีไม้ป่าเดียวกันล่ะปลูกกันจังเฮ้อ…เออแล้วมือนายเป็นไงบ้าง”
ผมซึ่งยืนบิดผ้ารีดน้ำอยู่ปรื้ด ปรื้ดจำต้องชะงักเมื่อจู่ๆ เธอก็วกมาถาม
“ห่ะ ห๋า…อ๋อก็ยังเจ็บอยู่อะดิ” ผมบอกหน้าแหยพิษของบาดแผลทำให้มือบวมเป่งและเป็นสีม่วงคล้ำเหมือนกำลังจะเน่าส่วนฝ่าเท้ากับแข้งขาก็ยังคงแสบร้อนอยู่ไม่หาย ก่อนจะเหลียวหลังไปมองบานประตูไม้ทาสีขาวที่ตนเองพึ่งจะทะเล่อทะล่าออกมาอย่างหวาดหวั่นด้วยกลัวว่าจะมีตัวอะไรโผล่ตามมาอีกรึเปล่า
“แล้วนี่สรุปว่าเรารอดแล้วจริงๆ ใช่มั๊ย?” ผมถามหญิงสาวซึ่งกำลังกอดอกอยู่แอบแปลกใจที่ถาดในมือนั้นถูกซ่อนไว้ไหนแล้วก็ไม่รู้
“ใช่” เธอตอบสั้นๆ พร้อมกับพยักหน้ายืนยัน “นายรอดแล้ว”
พอได้ยินเพียงเท่านั้นก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจเหลือประมาณ
ทันทีที่ตัวได้ผ่านเข้ามา ร่างผมก็ถลำลงกระแทกกับอะไรสักอย่างดังพลั่ก
“อุปส์”
ตอนแรกผมก็นึกว่ามันคือเบาะนุ่มๆ ที่นางฟ้าแสนสวยตระเตรียมเอามารองรับไว้เสียอีกแต่พอลืมตาตื่นก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นแอร์แบ็คชั้นดีแท้จริงแล้วก็คือหน้าอกหน้าใจของเจ้าหล่อนต่างหากเรียกได้ว่าคะมำลงไปซุกร่องปทุมถันคู่งามพอดีเป๊ะ
‘มิน่าล่ะทำไมถึงนุ่มจัง’ ผมคิดอย่างเคอะเขิน
“เอ่อ…นายทับตัวฉันอยู่” สาริกาที่นอนหงายปล่อยผมสีน้ำตาลเข้มดัดเป็นลอนยาวคลี่สยายกับพื้นบอกเสียงอ้อมแอ้มพร้อมกับใช้สองมือดันตัวผมซึ่งกำลังคร่อมร่างบอบบางอยู่อย่างไม่ได้ตั้งใจให้ออกห่างเนินเนื้อขาวๆ ขณะที่ผมซึ่งเปียกมะล่อกมะแล่กราวกับลูกหมาตกน้ำได้แต่กะพริบตาปริบๆ ด้วยงุงนงงต่อสถานการณ์
นัยน์ตาคมโตใต้เรือนคิ้วเข้มเส้นเล็กเรียวมองสบมาในระยะที่สองเราใกล้ชิดกันทำให้ผมได้พินิจใบหน้าที่แต่งแต้มเพียงบางเบานั้นอย่างถนัดชัดเจน
เปลือกตาของเธอปัดไล้จางๆ ส่วนพวงแก้มเรียวระบายเป็นสีชมพูระเรื่อดูเปล่งปลั่งรับกับริมฝีปากได้รูปเคลือบสวยด้วยเฉดชมพูที่เข้มกว่าหน่อยและชุ่มฉ่ำแวววาวคล้ายการแต่งหน้าสไตล์นู้ดที่ขับเน้นความเป็นธรรมชาติของผู้หญิงให้เผยเสน่ห์ออกมาดังบุษบาแรกแย้ม
มองแล้วก็อดที่จะนิยมชมชอบในความงดงามของดวงหน้าใสที่ประดิษฐ์แต่เพียงน้อยขึ้นมาไม่ได้
พลันตนเองก็บังเกิดความรู้สึกแปลกๆ พลุ่งพล่านกำจายไปทั่วสรรพางค์เกินกว่าจะระงับเมื่อเห็นสาวสวยหยาดเยิ้มอยู่ตรงหน้าหากเพียงมิใช่ด้วยแรงปรารถนาทางเพศรสหรือกามารมณ์แต่กลับเป็นสิ่งใดนั้นก็ยากที่จะเข้าใจ
“ผมขะขะขอโทษมันเป็นอุบัติเหตุน่ะ” ผมซึ่งพึ่งจะตั้งสติได้รีบขอโทษขอโพยพลางถอยพรวดพราดจนล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่ในท่านั่งชันเข่ามือยันพื้น ทันใดก็เกิดอาการปวดแปลบแล่นร้าวไปทั่วทั้งแขนทำให้ต้องรีบชักมือขึ้นแล้วมองที่แผลฉกรรจ์ซึ่งมีเลือดไหลโซมไปหมด
“โอะโอ๊ยย!” ผมอุทานพลางสะบัดน้อยๆ หวังให้คลายความเจ็บรู้สึกใจเสียกลัวเหลือเกินว่ามือขวาจะใช้การไม่ได้อีก
“เป็นอะไรมากรึเปล่า?” หญิงสาวซึ่งไว้หน้าม้าปัดไปข้างซ้ายชันกายขึ้นมาแล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยพลางเอื้อมมือมาจับท่อนแขนสีแทนพลิกไปมาเพื่อดูอาการ
ที่คาดผมกุหลาบสีชมพูอ่อนดอกโตซึ่งสอดเข้ากับเรือนผมเงางามดูโดดเด่นรับกับชุดเดรสสั้นผ้าชีฟองคอถ่วงสีโอโรสแขนตุ๊กตาที่เจ้าหล่อนสวมใส่เป็นอย่างดีเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสาวเปรี้ยวเข็ดฟันให้กลายเป็นอ่อนหวานน่ารักราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยายราวกับเป็นคนละคน
“นะนะนี่คุณเปลี่ยนชุดใหม่เหรอ?” ผมตั้งข้อสงสัย พลางไล่สายตาตามร่างเพรียวที่ลุกยืนอวดเรียวขาสวยบนรองเท้าส้นสูงรัดข้อสีน้ำตาล ชายกระโปรงสั้นเหนือเข่าแต่งระบายเฉียงสามชั้นเลิกเปิดเล็กน้อยยามเคลื่อนไหว แม้หญิงสาวจะมีแสงออร่าสีขาวส่องสว่างรอบตัวอยู่ตลอดเวลาแต่ครั้งนี้ผมกลับรำคาญมันน้อยลง และรู้สึกอุ่นใจที่มีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน
“ฮึ่บ” เธอเปล่งเสียงออกมาเบาๆ แล้วจึงยื่นมือข้างหนึ่งมาให้จับ ผมวางมือซ้ายลงบนมือนุ่มๆ อย่างไว้เนื้อเชื่อใจก่อนที่สาริกาจะฉุดดึงร่างเปียกปอนให้ลุกขึ้นพร้อมกับพูดแก้ต่างว่า “ไม่เคยได้ยินรึไงที่เขาบอกว่าเป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวยฉันก็อยากแต่งตัวบ้างอะไรบ้างสิคะคุณผู้ชาย”
ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็วางท่ากอดอก
“ขอบคุณนะ” ผมบอกเหนียมๆ พยายามเก็บซ่อนความขวยเขินที่ชักกำเริบเมื่ออยู่ต่อหน้าสาวงาม “หมายถึงเรื่องที่คุณช่วยผมไว้ให้หนีรอดออกมาได้”
อีกฝ่ายยกยิ้มนิดหนึ่งแล้วจึงกล่าวกับผมว่า
“หากนายจะขอบคุณก็คงต้องขอบคุณตัวนายเองมากกว่าที่ไม่ยอมถอดใจง่ายๆ ไม่เคยมีดวงวิญญาณตนไหนรอดพ้นเงื้อมมือของพวกยมทูตได้หรอกนะโดยเฉพาะท่านท้าวมหายม” เธอบอกแล้วจึงเงยหน้ามองเพดาน “ส่วนเรื่องกระแสสมุทรน่ะก็เป็นฝีมือเทพธิดาแห่งสาครเพื่อนสนิทของฉันบนชั้นฟ้าโน่นต่างหาก”
“ขอบใจเธอมากนะแพรวภิตา” ร่างระหงปรารภออกมาเบาๆ ปานให้ใครบางคนเบื้องบนได้รับรู้
จากนั้นสาริกาจึงลดหน้าลงมองผมก่อนจะเสสายตามองพื้นปูนเปลือยขัดมันสีเทาอย่างคนที่รู้สึกผิด
“ฉันเองซะอีกที่ช่วยอะไรนายไม่ได้เลยน่าอายจริงๆ” นางฟ้าสาวกล่าวตำหนิตนเองเสียงเศร้าๆ
“ไม่เป็นไรหรอกคุณเองก็ทำดีที่สุดแล้ว” ผมตอบประโลมใจเธอ แต่ในหัวกลับคิดเป็นอีกอย่าง
‘ช่ายยย คุณมันไม่ได้เรื่องได้ความจริงๆ นี่คงเอาแต่แต่งหน้าทำผมเตรียมไปงานแต่งที่ไหนล่ะสิ ถึงไม่ยอมมาช่วยผมกลัวชุดเปียกรึไงแม่คุณ’
ทันใดนั้นหน้าสวยที่กำลังคลี่ยิ้มละไมก็หุบลง
“ทะทะทำไมคุณทำหน้าแบบนั้นล่ะ?” ผมถามเสียงตะกุกตะกักที่เห็นหญิงสาวเท้าสะเอวตีสีหน้าบึ้งตึงบรรยากาศมาคุลอยมาทันใด
“ฉันไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้นหรอกนะตาบื้ออยากโดนอีกเรอะไง” เธอตอบเสียงฉุนหน้ายังคงงอง้ำเป็นม้าหมากรุก
‘เฮ้ยลืมไป…เธอได้ยินความคิดเรานี่หว่า พลาดแล้วเรา!’ นึกได้ดังนั้นสายตาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นอาวุธประจำกายของเธอเข้าเต็มสองตา ซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาอยู่ในมือของเจ้าหล่อนตั้งแต่เมื่อไหร่
ฝากล่องคุ้กกี้ของยัยโหดทำให้ผมเย็นวะวาบไปถึงสันหลัง และยังไม่ทันได้เตรียมใจสาริกาก็ชูมันขึ้นสูงคงจะฟาดเปรี้ยงลงมาแน่แล้ว
“อึ๋ยยอย่านะ!” ผมร้องเสียงหลงพลางยกแขนขึ้นป้อง รู้สึกกลัวปนแขยงแผ่นเหล็กกลมๆ สีแดงเถือกไปเสียแล้วสิ
“อาราาายของนายยะ” อีกฝ่ายลากเสียงยาว พอมองไปก็เห็นเธอกำลังยกมันขึ้นมาพัดเฉยดังพึ่บพับๆ เส้นผมสลวยเผยิบขึ้นลงตามแรงลมกระพือทั้งยังวางท่าราวกับพวกอาซ้อขี้ร้อนพร้อมกับบ่นพึมไม่หยุดปาก
“บนโลกมนุษย์นี่มันร้อนเหลือหลายร้อนกันได้ร้อนกันดีร้อนทุกปีโอซงโอโซนถูกทำลายไปหมดแล้วรึไงก็อย่างว่าแหละตัดมันเข้าไปน่ะป่าไม้พวกนายทุนนี่ก็งาบกันจังเดือดร้อนท่านรุกขเทวดานางตานีเค้าต้องหอบข้าวหอบของอพยพย้ายถิ่นกันจ้าล่ะหวั่นไม่รู้บ้างรึไงทีไม้ป่าเดียวกันล่ะปลูกกันจังเฮ้อ…เออแล้วมือนายเป็นไงบ้าง”
ผมซึ่งยืนบิดผ้ารีดน้ำอยู่ปรื้ด ปรื้ดจำต้องชะงักเมื่อจู่ๆ เธอก็วกมาถาม
“ห่ะ ห๋า…อ๋อก็ยังเจ็บอยู่อะดิ” ผมบอกหน้าแหยพิษของบาดแผลทำให้มือบวมเป่งและเป็นสีม่วงคล้ำเหมือนกำลังจะเน่าส่วนฝ่าเท้ากับแข้งขาก็ยังคงแสบร้อนอยู่ไม่หาย ก่อนจะเหลียวหลังไปมองบานประตูไม้ทาสีขาวที่ตนเองพึ่งจะทะเล่อทะล่าออกมาอย่างหวาดหวั่นด้วยกลัวว่าจะมีตัวอะไรโผล่ตามมาอีกรึเปล่า
“แล้วนี่สรุปว่าเรารอดแล้วจริงๆ ใช่มั๊ย?” ผมถามหญิงสาวซึ่งกำลังกอดอกอยู่แอบแปลกใจที่ถาดในมือนั้นถูกซ่อนไว้ไหนแล้วก็ไม่รู้
“ใช่” เธอตอบสั้นๆ พร้อมกับพยักหน้ายืนยัน “นายรอดแล้ว”
พอได้ยินเพียงเท่านั้นก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจเหลือประมาณ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ