เรื่องราวในโลกสัตว์เทพ
-
เขียนโดย NobYK
วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 05.56 น.
8 ตอน
0 วิจารณ์
7,167 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563 06.06 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) ตอนที่ 4.5 วิ่งเข้าหา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หลังเลิกเรียนผมก็หันไปหาเธอคนนั้นแล้วตั้งใจจะตอบคำถามที่เธอถามเอาไว้ แต่ก็มีคนเข้ามาขัดซะก่อน
“นี่เธอ--”
“เฮ้ เธอน่ะพวกเรามีเรื่องอยากคุยด้วยช่วยไปด้วยกันหน่อยสิ”
คนในห้องหรือเปล่านะ จำไม่ได้เลย เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดูแข็งๆ ก่อนจะหันมามองผมแล้วยิ้มให้ ด้วยรอยยิ้มที่ผมคุ้นเคยกับมันดี
“เจ้าชายจะพูดอะไรหรือเปล่าครับ”
“อะ ปะ- เปล่า...”
เพราะมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยจนเผลอนึกย้อนนึกถึงรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาพักหนึ่ง จึงทำให้ตอบแบบตะกุกตะกักเล็กน้อย...รอยยิ้มแบบนี้มันชวนอ้วกจริงๆ นั่นแหละ
“งั้นหรือครับ ถ้างั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ หลังจากนี้พวกเราจะไปเที่ยวกันต่อ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรอนะครับ เนอะ”
“...อา”
ชายคนนั้นพูดพลางหันไปทามเธอคนนั้น เธอตอบพวกนั้นด้วยน้ำเสียงต่างจากปกติเล็กน้อย ดูท่าจะไม่เต็มใจเท่าไหร่แต่ก็ตอบรับไป
“งั้นหรอ เพื่อนกันนี่เอง อืม เข้าใจแล้ว”
ผมฝืนยิ้มออกมาให้ปกติที่สุดแล้วพยักหน้าให้กับพวกเธอ เธอมองมาที่ผมด้วยสายตาแปลกๆ มันคืออะไรกันนะ ไม่เคยเห็นสายตาแบบนี้มาก่อนเลย
จากนั้นผมก็รีบเก็บของแล้วออกจากห้องมาทันที ราวกับรีบหนีจากสายตาแบบนั้นของเธอ ทำไมพอโดนมองแบบนั้นในอกผมก็เจ็บปวดขึ้นมา
มันรู้สึกทรมานจนหายใจไม่ออก และไม่อยากจะอยู่ต่อหน้าเธอ อยากหนีไปจากสายตาแบบนั้น ไม่สิ ผมไม่อยากให้เธอมองมาที่ผมด้วยสายตาแบบนั้น
‘นี้ชิบารุ รู้หรือเปล่าว่าสายตาแบบนั้นคืออะไร’
‘ก็คง ผิดหวังล่ะมั้ง’
‘ผิดหวัง งั้นหรอ...’
เธอกำลังผิดหวังในตัวผมงั้นหรอ เพราะผมไม่พูดอะไรแย้งพวกนั้นขึ้นน่ะหรอ หรือว่าเรื่องที่ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้สิ่งที่พวกนั้นตั้งใจจะทำกันนะ
“แกจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”
“เอ๋”
“จะหลบอยู่หลังเด็กคนนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่”
ถูกของชิบารุ ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ครั้งแรก รวมถึงหลายๆ ครั้งที่มีคนพยายามจะแกล้งผม ผมก็ได้แต่นิ่งรับมันเอาไว้เงียบๆ จนท้ายที่สุดผมก็ปล่อยให้เธอเข้ามาช่วยเพียงอย่างเดียว แต่ว่า
‘ผมรักเธอที่เป็นแบบนั้--’
‘ถ้างั้นแกก็ไม่ต่างจากพวกที่แกเกลียดนักหรอก!!’
‘…’
‘แกก็แค่ หลอกใช้ความใจดีของเธออยู่แค่นั้นแหละ!!’
พอชิบารุตะคอกใส่ผมแบบนั้น ผมก็หยุดชะงักลงโดยที่หยุดอยู่ตรงหน้าลดพอดี คนที่ขับรถมองผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง เพราะผมในตอนนี้นั้นหน้าซีดเผือด
ผมจึงยิ้มกลับไปให้เขาเพื่อไม่ให้เป็นห่วงผมแล้วเดินขึ้นรถไป ผม...กำลังหลอกใช้เธออยู่งั้นหรอ แต่ แต่ว่า...
ผมได้แต่คิดถึงเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่สามารถตอบอะไรชิบารุกลับไปได้ ชิบารุเองหลังจากตะคอกใส่ผมก็เงียบไปเลย เขาก็โกรธผมอยู่รึเปล่านะ
---------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------
วันต่อมาผมก็มาในเวลาเดิมแต่แปลกไปตรงที่เธอคนนั้นยังมาไม่ถึง เป็นอะไรหรือเปล่านะ ผมสงสัยและเฝ้ามองไปที่ประตู รอเวลาที่เธอมา
จนเวลาผ่านไปไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่สำหรับผมมันยาวนานมาก ช่วงเวลาที่ไม่ได้เฝ้ามองเธอ มันช่างผ่านไปนานเหลือเกิน ในที่สุดเธอคนนั้นก็เดินเข้ามา
“วันนี้มาช้านะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า เมื่อวานเราไปเที่ยวกันแล้วกลับดึก ก็แค่นั่นแหละ”
“งั้นหรอ...คิดว่ามีเรื่องกันซะอีก อืม ดีแล้วล่ะ”
ผมรู้อยู่แก่ใจดี ว่ามันคงไม่ใช่แบบนั้นแน่ๆ แต่ก็เลือกที่จะแกล้งโง่ไป
อา เธอมองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีกแล้ว ผมยิ้มให้เธอแล้วหันหน้าหลบไปทางอื่น ผมคงมองหน้าเธอไม่ติดอีกสักพักแน่เลย
แล้วผมกับเธอก็คุยกันน้อยลง เธอแทบไม่พูดกับผมเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ตอนกินข้าว เธอก็ลุกออกไปที่อื่น จนเวลาผ่านไป 3 วัน
วันนี้ผมก็นั่งอยู่คนเดียวในห้องเหมือนเดิม แต่จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องแล้วมองรอบๆ เล็กน้อย
ก่อนจะตรงมาที่โต๊ะข้างๆ ผมแล้วค้นกระเป๋า ทะ- ทำยังไงดีไม่เคยคุยกับเธอคนนี้ด้วย ไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี
‘จะหลบอยู่หลังเด้กคนนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่’
ในตอนนั้นเองผมก็นึกคำพูดของชิบารุได้ ผมจะ...เอาแต่พึ่งพาเธอเพียงอย่างเดียวไม่ได้ พอผมคิดได้แบบนั้นก็ยื่นมือไปจับแขนของผู้หญิงคนนั้นไว้
เธอคนนั้นหยุดลงเล็กน้อย แล้วหันมามองคมด้วยหน้าตาที่น่ากลัวสุดๆ ไม่ๆ ผมจะกลัวไม่ได้ ผมจ้องตาเธอกลับไปแล้วพูดออกมา
“เธอเป็นใครน่ะ นี่ไม่ใช่กระเป๋าเธอซะหน่อย”
“เจ้าชาย...ขอโทษนะพอดีมีความจำเป็นนิดหน่อย ช่วยปล่อยได้ไหม”
สีหน้าเธอดูหงุดหงิดและเคร่งเครียดมาก อาจจะจำเป็นจริงๆ ก็ได้ แต่ผมจะเชื่อเธอได้ยังไงกัน ในตอนที่ผมกำลังจะตอบเธอกลับไปแบบนั้น ชิบารุก็พูดขัดขึ้นมาหลังจากที่ไม่ได้คุยกับผมมาสักพัก
“เด็กคนนี้ไม่ได้โกหก”
ผมเงียบครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือของไอริ เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะหันกลับไปค้นกระเป๋าต่อ พร้อมกับพูดขึ้นลอยๆ
“ขอบคุณ ที่เข้าใจ”
แล้วไม่นานเธอก็หยิบกล่องสีขาวขึ้นมาอันหนึ่ง พอมองดีๆ ก็เห็นว่าเป็นกล่องพยาบาล นี้เธอคนนั้นพกของแบบนี้ติดตัวหลอดเลยงั้นหรอ ไม่สิ ตอนนี้มีเรื่องที่ต้องสนใจมากกว่าเรื่องนั้น
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ...”
ผมทำสีหน้ากังวลแล้วถามออกไป ไอริหันมามองเล็กน้อยก่อนจะเดิน โดยพูดทิ้งท้ายเอาไว้อย่างเร่งรีบ
“เดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลังนะ”
จากนั้นไอริก็วิ่งออกจากห้องไป จนเวลาผ่านไป ไอริก็กลับเข้ามาพร้อมกับเธอคนนั้น ในตอนที่คนอื่นกลับเข้าห้องกันมาเกือบทุกคนแล้ว โดยที่ไอริมีสีหน้าหงุดหงิดปนเศร้า
เธอคนนั้นไม่แม้แต่จะมองหน้าผมด้วยซ้ำ เธอเอาแต่นั่งลงเงียบๆ โดยไม่คิดจะอธิบายอะไรให้ผมรู้เลย บางที...เธออาจจะเกลียดผมก็ได้
แล้วในวันต่อมา ตอนเที่ยงหลังจากไอริลงไปกินข้าวเสร็จ เธอก็กลับมาเร็วกว่าวันก่อนๆ แล้วมานั่งกับผม แล้วเริ่มเล่าทุกอย่างให้ฟัง
ทั้งเรื่องที่เธอคนนั้นบอกเธอว่าโดนทำร้าย ทั้งเรื่องที่มีแผลเหวอะหวะ ผมได้แต่นั่งเงียบๆ แล้วพูดออกมาอย่างแผ่วเบา
“ว่าแล้วเชียว ว่าต้องมีเรื่องกัน”
“นี่เจ้าชาย รู้อยู่แล้วงั้นหรอ...”
เธอพูดออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึงและกัดฟันเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไรออกมาราวกับพยายามกดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้
“ชะ- ใช่ แต่ไม่รู้ว่าทำไมพวกนั้นถึงหาเรื่องเธอ”
“ไอ้โง่เอ๊ย”
ชิบารุพูดขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ในตอนที่ผมจะถามเขาว่าหมายถึงอะไร ไอริก็ทุบโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง พร้อมกับลุกพรวดขึ้น
“ไอ้ เจ้า โง่!!”
เธอตะโกนใส่หน้าผมเสียงดังจนผมสะดุ้ง เธอยกมือขวาขึ้นมาเตรียมจะตบ แต่ก็หยุดชะงักแล้วค่อยๆ ลดมือลง คงนึกได้ว่าถ้าทำอะไรผมคงจบไม่สวยนัก
ไอรินั่งลงอย่างช้าๆ ดวงตายังคงจับจ้องมาที่ผมอย่างโกรธเคือง ผมได้แต่มองด้วยสีหน้าหวาดกลัว เธอค่อยๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย
“โทษทีเลือดขึ้นหน้าไปหน่อย ช่วยปล่อยผ่านหน่อยได้ไหม”
“อะ- อืม...”
“นี่เจ้าชายฉันขออะไรหน่อยได้ไหม”
“อะไรงั้นหรอ”
“ช่วยเลิกยุ่งกับเธอได้ไหม”
“…”
“จะแลกที่นั่งกับฉันก็ได้ แต่ขอร้องล่ะ ถ้ายังโง่ หรือแกล้งโง่แบบนี้ล่ะก็ อย่ายุ่งกับเธอเลย”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากไอริพูดออกมาแบบนั้น ทำไมเธอถึงอยากให้ผมเลิกยุ่งกับเธอคนนั้นล่ะ ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไร ไอริก็พูดขัดขึ้นมาก่อน
“ทะ- ทำไมล่ะ ทำไม…เธอถึงอยากให้ผมออกห่างขนาดนั้นล่ะ”
“นี่ไม่ได้แกล้งโง่จริงๆ งั้นหรอ…ไม่อยากจะเชื่อเลย”
ไอริกุมขมับแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันขึ้นมามองผม ในนั้นมีความโกรธที่ปนความเกลียดชังเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
“ก็เพราะนายนั่นแหละ เจ้าชาย”
“ผะ- ผมหรอ”
“ใช่ ไม่เคยสังเกตเลยหรือไง สายตาที่พวกนั้นมองมาที่เธอ เวลาที่อยู่กับนาย”
“…ไม่ได้สังเกตเลย ทำไมพวกเขาต้องมองแบบนั้นล่ะ”
“เฮ้อ เจ้าชายคงรู้ตัวใช่ไหม ว่ามีคนพยายามแกล้งนาย”
“อืม แต่เธอคนนั้นก็ช่วยเอาไว้ตลอด”
“เพราะเธอช่วยนั่นแหละ ถึงได้โดนหมายตาแทน”
ผมได้แต่เงียบ ไม่สิ ผมพูดอะไรไม่ออกมากกว่า ได้แต่ก้มหน้าลงเล็กน้อย ทำให้ไอริมองจิกผมมากกว่าเดิม แล้วก็พูดต่อ
“ตอนนี้เธอก็กำลังตีตัวออกห่างจากนายอยู่ แต่ถ้านายยังตามเธอต่อแบบนี้ มันก็ไม่มีความหมายอะไร นายก็แค่จะหวังใช้ประโยชน์จากความใจดีของเธองั้นหรอ”
ผมได้แต่กำมือแน่นและเม้มปากด้วยความเจ็บใจ งั้นหรอ มันเป็นแบบนั้นเองงั้นหรอ นี้สินะที่ชิบารุบอก ผมมันไม่ต่างจากพวกนั้นเลย ที่ใช้ประโยชน์จากเธอ
ในตอนนั้นเอง ที่ไอริกัดฟันแน่นอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยื่นมือมาจับคอเสื้อผม แล้วกระชากจนต้องลุกจากเก้าอี้เธอจ้องตาผมด้วยความโกรธสุดขีด
“ถ้ามันไม่ใช่แบบนั้น ก็เลิกแกล้งโง่แล้วทำอะไรสักอย่างสิ!”
“เอะ ผม…”
“นายจะใช้ข้ออ้างอะไรงั้นหรอ ถ้านายไม่กล้าจัดการตรงๆ ก็ใช้ไอ้สถานะเจ้าชายของนายซะสิ จะหวังให้ผู้หญิงมาปกป้องตัวเองไปตลอดน่ะ มันทุเรศ!!”
ผมสะดุ้งเฮือกใหญ่ ในใจมันจุกไปหมด ผมกำหมัดแน่น ถูกของไอริ จะมารอให้เธอคนนั้นมาปกป้องอย่างเดียวมันทุเรศชะมัด
ผมจับมือของไอริแล้วออกแรงเล็กน้อย เธอจึงทำหน้าตกใจแล้วปล่อยมือผม แล้วในตอนนี้เอง ผมก็ตั้งมั่นในใจอย่างแน่วแน่ว่า
“ผมไม่ได้หลอกใช้เธอ ผมจะไม่หยุดเข้าหาเธอ ผมจะหาทางทำอะไรสักอย่างเอง”
ผมพูดออกมาโดยที่มือยังคงจับแขนของไอริเอาไว้ เธอค่อยๆ ผ่อนสีหน้าลง จากตกใจกลายเป็นยิ้มออกมาแทน
“ถ้างั้นนายก็มีสิ่งที่ต้องทำอยู่ไม่ใช่หรอ”
ไอริปล่อยมือจากผม ผมทำเพียงพยักหน้าให้เธอ จากนั้นไอริก็บอกที่ที่เธอคนนั้นอยู่ให้ แล้วผมก็รีบวิ่งออกจากห้องไป
ตรงไปหาเธอคนนั้น ที่ผมหลงใหล คนที่เป็นแรงผลักดันให้ผมก้าวเดินต่อ คนที่คอยปกป้องผมมาตั้งแต่เปิดเรียน แล้วผมก็เรียกเธอคนนั้น ที่ไม่เคยแม้แต่จะแนะนำตัวกันเลยด้วยซ้ำออกมา
“นี่เธอ!!”
“นี่เธอ--”
“เฮ้ เธอน่ะพวกเรามีเรื่องอยากคุยด้วยช่วยไปด้วยกันหน่อยสิ”
คนในห้องหรือเปล่านะ จำไม่ได้เลย เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดูแข็งๆ ก่อนจะหันมามองผมแล้วยิ้มให้ ด้วยรอยยิ้มที่ผมคุ้นเคยกับมันดี
“เจ้าชายจะพูดอะไรหรือเปล่าครับ”
“อะ ปะ- เปล่า...”
เพราะมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยจนเผลอนึกย้อนนึกถึงรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาพักหนึ่ง จึงทำให้ตอบแบบตะกุกตะกักเล็กน้อย...รอยยิ้มแบบนี้มันชวนอ้วกจริงๆ นั่นแหละ
“งั้นหรือครับ ถ้างั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ หลังจากนี้พวกเราจะไปเที่ยวกันต่อ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรอนะครับ เนอะ”
“...อา”
ชายคนนั้นพูดพลางหันไปทามเธอคนนั้น เธอตอบพวกนั้นด้วยน้ำเสียงต่างจากปกติเล็กน้อย ดูท่าจะไม่เต็มใจเท่าไหร่แต่ก็ตอบรับไป
“งั้นหรอ เพื่อนกันนี่เอง อืม เข้าใจแล้ว”
ผมฝืนยิ้มออกมาให้ปกติที่สุดแล้วพยักหน้าให้กับพวกเธอ เธอมองมาที่ผมด้วยสายตาแปลกๆ มันคืออะไรกันนะ ไม่เคยเห็นสายตาแบบนี้มาก่อนเลย
จากนั้นผมก็รีบเก็บของแล้วออกจากห้องมาทันที ราวกับรีบหนีจากสายตาแบบนั้นของเธอ ทำไมพอโดนมองแบบนั้นในอกผมก็เจ็บปวดขึ้นมา
มันรู้สึกทรมานจนหายใจไม่ออก และไม่อยากจะอยู่ต่อหน้าเธอ อยากหนีไปจากสายตาแบบนั้น ไม่สิ ผมไม่อยากให้เธอมองมาที่ผมด้วยสายตาแบบนั้น
‘นี้ชิบารุ รู้หรือเปล่าว่าสายตาแบบนั้นคืออะไร’
‘ก็คง ผิดหวังล่ะมั้ง’
‘ผิดหวัง งั้นหรอ...’
เธอกำลังผิดหวังในตัวผมงั้นหรอ เพราะผมไม่พูดอะไรแย้งพวกนั้นขึ้นน่ะหรอ หรือว่าเรื่องที่ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้สิ่งที่พวกนั้นตั้งใจจะทำกันนะ
“แกจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”
“เอ๋”
“จะหลบอยู่หลังเด็กคนนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่”
ถูกของชิบารุ ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ครั้งแรก รวมถึงหลายๆ ครั้งที่มีคนพยายามจะแกล้งผม ผมก็ได้แต่นิ่งรับมันเอาไว้เงียบๆ จนท้ายที่สุดผมก็ปล่อยให้เธอเข้ามาช่วยเพียงอย่างเดียว แต่ว่า
‘ผมรักเธอที่เป็นแบบนั้--’
‘ถ้างั้นแกก็ไม่ต่างจากพวกที่แกเกลียดนักหรอก!!’
‘…’
‘แกก็แค่ หลอกใช้ความใจดีของเธออยู่แค่นั้นแหละ!!’
พอชิบารุตะคอกใส่ผมแบบนั้น ผมก็หยุดชะงักลงโดยที่หยุดอยู่ตรงหน้าลดพอดี คนที่ขับรถมองผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง เพราะผมในตอนนี้นั้นหน้าซีดเผือด
ผมจึงยิ้มกลับไปให้เขาเพื่อไม่ให้เป็นห่วงผมแล้วเดินขึ้นรถไป ผม...กำลังหลอกใช้เธออยู่งั้นหรอ แต่ แต่ว่า...
ผมได้แต่คิดถึงเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่สามารถตอบอะไรชิบารุกลับไปได้ ชิบารุเองหลังจากตะคอกใส่ผมก็เงียบไปเลย เขาก็โกรธผมอยู่รึเปล่านะ
---------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------
วันต่อมาผมก็มาในเวลาเดิมแต่แปลกไปตรงที่เธอคนนั้นยังมาไม่ถึง เป็นอะไรหรือเปล่านะ ผมสงสัยและเฝ้ามองไปที่ประตู รอเวลาที่เธอมา
จนเวลาผ่านไปไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่สำหรับผมมันยาวนานมาก ช่วงเวลาที่ไม่ได้เฝ้ามองเธอ มันช่างผ่านไปนานเหลือเกิน ในที่สุดเธอคนนั้นก็เดินเข้ามา
“วันนี้มาช้านะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า เมื่อวานเราไปเที่ยวกันแล้วกลับดึก ก็แค่นั่นแหละ”
“งั้นหรอ...คิดว่ามีเรื่องกันซะอีก อืม ดีแล้วล่ะ”
ผมรู้อยู่แก่ใจดี ว่ามันคงไม่ใช่แบบนั้นแน่ๆ แต่ก็เลือกที่จะแกล้งโง่ไป
อา เธอมองผมด้วยสายตาแบบนั้นอีกแล้ว ผมยิ้มให้เธอแล้วหันหน้าหลบไปทางอื่น ผมคงมองหน้าเธอไม่ติดอีกสักพักแน่เลย
แล้วผมกับเธอก็คุยกันน้อยลง เธอแทบไม่พูดกับผมเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ตอนกินข้าว เธอก็ลุกออกไปที่อื่น จนเวลาผ่านไป 3 วัน
วันนี้ผมก็นั่งอยู่คนเดียวในห้องเหมือนเดิม แต่จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องแล้วมองรอบๆ เล็กน้อย
ก่อนจะตรงมาที่โต๊ะข้างๆ ผมแล้วค้นกระเป๋า ทะ- ทำยังไงดีไม่เคยคุยกับเธอคนนี้ด้วย ไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี
‘จะหลบอยู่หลังเด้กคนนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่’
ในตอนนั้นเองผมก็นึกคำพูดของชิบารุได้ ผมจะ...เอาแต่พึ่งพาเธอเพียงอย่างเดียวไม่ได้ พอผมคิดได้แบบนั้นก็ยื่นมือไปจับแขนของผู้หญิงคนนั้นไว้
เธอคนนั้นหยุดลงเล็กน้อย แล้วหันมามองคมด้วยหน้าตาที่น่ากลัวสุดๆ ไม่ๆ ผมจะกลัวไม่ได้ ผมจ้องตาเธอกลับไปแล้วพูดออกมา
“เธอเป็นใครน่ะ นี่ไม่ใช่กระเป๋าเธอซะหน่อย”
“เจ้าชาย...ขอโทษนะพอดีมีความจำเป็นนิดหน่อย ช่วยปล่อยได้ไหม”
สีหน้าเธอดูหงุดหงิดและเคร่งเครียดมาก อาจจะจำเป็นจริงๆ ก็ได้ แต่ผมจะเชื่อเธอได้ยังไงกัน ในตอนที่ผมกำลังจะตอบเธอกลับไปแบบนั้น ชิบารุก็พูดขัดขึ้นมาหลังจากที่ไม่ได้คุยกับผมมาสักพัก
“เด็กคนนี้ไม่ได้โกหก”
ผมเงียบครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือของไอริ เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะหันกลับไปค้นกระเป๋าต่อ พร้อมกับพูดขึ้นลอยๆ
“ขอบคุณ ที่เข้าใจ”
แล้วไม่นานเธอก็หยิบกล่องสีขาวขึ้นมาอันหนึ่ง พอมองดีๆ ก็เห็นว่าเป็นกล่องพยาบาล นี้เธอคนนั้นพกของแบบนี้ติดตัวหลอดเลยงั้นหรอ ไม่สิ ตอนนี้มีเรื่องที่ต้องสนใจมากกว่าเรื่องนั้น
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ...”
ผมทำสีหน้ากังวลแล้วถามออกไป ไอริหันมามองเล็กน้อยก่อนจะเดิน โดยพูดทิ้งท้ายเอาไว้อย่างเร่งรีบ
“เดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลังนะ”
จากนั้นไอริก็วิ่งออกจากห้องไป จนเวลาผ่านไป ไอริก็กลับเข้ามาพร้อมกับเธอคนนั้น ในตอนที่คนอื่นกลับเข้าห้องกันมาเกือบทุกคนแล้ว โดยที่ไอริมีสีหน้าหงุดหงิดปนเศร้า
เธอคนนั้นไม่แม้แต่จะมองหน้าผมด้วยซ้ำ เธอเอาแต่นั่งลงเงียบๆ โดยไม่คิดจะอธิบายอะไรให้ผมรู้เลย บางที...เธออาจจะเกลียดผมก็ได้
แล้วในวันต่อมา ตอนเที่ยงหลังจากไอริลงไปกินข้าวเสร็จ เธอก็กลับมาเร็วกว่าวันก่อนๆ แล้วมานั่งกับผม แล้วเริ่มเล่าทุกอย่างให้ฟัง
ทั้งเรื่องที่เธอคนนั้นบอกเธอว่าโดนทำร้าย ทั้งเรื่องที่มีแผลเหวอะหวะ ผมได้แต่นั่งเงียบๆ แล้วพูดออกมาอย่างแผ่วเบา
“ว่าแล้วเชียว ว่าต้องมีเรื่องกัน”
“นี่เจ้าชาย รู้อยู่แล้วงั้นหรอ...”
เธอพูดออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึงและกัดฟันเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไรออกมาราวกับพยายามกดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้
“ชะ- ใช่ แต่ไม่รู้ว่าทำไมพวกนั้นถึงหาเรื่องเธอ”
“ไอ้โง่เอ๊ย”
ชิบารุพูดขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ในตอนที่ผมจะถามเขาว่าหมายถึงอะไร ไอริก็ทุบโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง พร้อมกับลุกพรวดขึ้น
“ไอ้ เจ้า โง่!!”
เธอตะโกนใส่หน้าผมเสียงดังจนผมสะดุ้ง เธอยกมือขวาขึ้นมาเตรียมจะตบ แต่ก็หยุดชะงักแล้วค่อยๆ ลดมือลง คงนึกได้ว่าถ้าทำอะไรผมคงจบไม่สวยนัก
ไอรินั่งลงอย่างช้าๆ ดวงตายังคงจับจ้องมาที่ผมอย่างโกรธเคือง ผมได้แต่มองด้วยสีหน้าหวาดกลัว เธอค่อยๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย
“โทษทีเลือดขึ้นหน้าไปหน่อย ช่วยปล่อยผ่านหน่อยได้ไหม”
“อะ- อืม...”
“นี่เจ้าชายฉันขออะไรหน่อยได้ไหม”
“อะไรงั้นหรอ”
“ช่วยเลิกยุ่งกับเธอได้ไหม”
“…”
“จะแลกที่นั่งกับฉันก็ได้ แต่ขอร้องล่ะ ถ้ายังโง่ หรือแกล้งโง่แบบนี้ล่ะก็ อย่ายุ่งกับเธอเลย”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากไอริพูดออกมาแบบนั้น ทำไมเธอถึงอยากให้ผมเลิกยุ่งกับเธอคนนั้นล่ะ ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไร ไอริก็พูดขัดขึ้นมาก่อน
“ทะ- ทำไมล่ะ ทำไม…เธอถึงอยากให้ผมออกห่างขนาดนั้นล่ะ”
“นี่ไม่ได้แกล้งโง่จริงๆ งั้นหรอ…ไม่อยากจะเชื่อเลย”
ไอริกุมขมับแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันขึ้นมามองผม ในนั้นมีความโกรธที่ปนความเกลียดชังเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
“ก็เพราะนายนั่นแหละ เจ้าชาย”
“ผะ- ผมหรอ”
“ใช่ ไม่เคยสังเกตเลยหรือไง สายตาที่พวกนั้นมองมาที่เธอ เวลาที่อยู่กับนาย”
“…ไม่ได้สังเกตเลย ทำไมพวกเขาต้องมองแบบนั้นล่ะ”
“เฮ้อ เจ้าชายคงรู้ตัวใช่ไหม ว่ามีคนพยายามแกล้งนาย”
“อืม แต่เธอคนนั้นก็ช่วยเอาไว้ตลอด”
“เพราะเธอช่วยนั่นแหละ ถึงได้โดนหมายตาแทน”
ผมได้แต่เงียบ ไม่สิ ผมพูดอะไรไม่ออกมากกว่า ได้แต่ก้มหน้าลงเล็กน้อย ทำให้ไอริมองจิกผมมากกว่าเดิม แล้วก็พูดต่อ
“ตอนนี้เธอก็กำลังตีตัวออกห่างจากนายอยู่ แต่ถ้านายยังตามเธอต่อแบบนี้ มันก็ไม่มีความหมายอะไร นายก็แค่จะหวังใช้ประโยชน์จากความใจดีของเธองั้นหรอ”
ผมได้แต่กำมือแน่นและเม้มปากด้วยความเจ็บใจ งั้นหรอ มันเป็นแบบนั้นเองงั้นหรอ นี้สินะที่ชิบารุบอก ผมมันไม่ต่างจากพวกนั้นเลย ที่ใช้ประโยชน์จากเธอ
ในตอนนั้นเอง ที่ไอริกัดฟันแน่นอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยื่นมือมาจับคอเสื้อผม แล้วกระชากจนต้องลุกจากเก้าอี้เธอจ้องตาผมด้วยความโกรธสุดขีด
“ถ้ามันไม่ใช่แบบนั้น ก็เลิกแกล้งโง่แล้วทำอะไรสักอย่างสิ!”
“เอะ ผม…”
“นายจะใช้ข้ออ้างอะไรงั้นหรอ ถ้านายไม่กล้าจัดการตรงๆ ก็ใช้ไอ้สถานะเจ้าชายของนายซะสิ จะหวังให้ผู้หญิงมาปกป้องตัวเองไปตลอดน่ะ มันทุเรศ!!”
ผมสะดุ้งเฮือกใหญ่ ในใจมันจุกไปหมด ผมกำหมัดแน่น ถูกของไอริ จะมารอให้เธอคนนั้นมาปกป้องอย่างเดียวมันทุเรศชะมัด
ผมจับมือของไอริแล้วออกแรงเล็กน้อย เธอจึงทำหน้าตกใจแล้วปล่อยมือผม แล้วในตอนนี้เอง ผมก็ตั้งมั่นในใจอย่างแน่วแน่ว่า
“ผมไม่ได้หลอกใช้เธอ ผมจะไม่หยุดเข้าหาเธอ ผมจะหาทางทำอะไรสักอย่างเอง”
ผมพูดออกมาโดยที่มือยังคงจับแขนของไอริเอาไว้ เธอค่อยๆ ผ่อนสีหน้าลง จากตกใจกลายเป็นยิ้มออกมาแทน
“ถ้างั้นนายก็มีสิ่งที่ต้องทำอยู่ไม่ใช่หรอ”
ไอริปล่อยมือจากผม ผมทำเพียงพยักหน้าให้เธอ จากนั้นไอริก็บอกที่ที่เธอคนนั้นอยู่ให้ แล้วผมก็รีบวิ่งออกจากห้องไป
ตรงไปหาเธอคนนั้น ที่ผมหลงใหล คนที่เป็นแรงผลักดันให้ผมก้าวเดินต่อ คนที่คอยปกป้องผมมาตั้งแต่เปิดเรียน แล้วผมก็เรียกเธอคนนั้น ที่ไม่เคยแม้แต่จะแนะนำตัวกันเลยด้วยซ้ำออกมา
“นี่เธอ!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ