เรื่องราวในโลกสัตว์เทพ
-
เขียนโดย NobYK
วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 05.56 น.
8 ตอน
0 วิจารณ์
7,170 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563 06.06 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ตอนที่ 3 เรื่องวุ่นๆ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หลังจากเลิกเรียนฉันหันไปมองเจ้าชายก็สังเกตเห็นายคนที่เคยแกล้งเจ้าชายแสยะยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินมาหาฉัน
“นี่เธอ--”
“เฮ้ เธอน่ะพวกเรามีเรื่องอยากคุยด้วยช่วยไปด้วยกันหน่อสิ”
ว้า เจ้าชายน่าสงสารแฮะโดนขัดแบบไม่สนใจไยดีเลย ชายคนนั้นพูดพร้อมทั้งปั้นยิ้มออกมาจนดูแปลกชวนอ้วกเชียวล่ะ
“เจ้าชายจะพูดอะไรหรือเปล่าครับ”
“อะ ปะ- เปล่า...”
“งั้นหรือครับ ถ้างั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ หลังจากนี้พวกเราจะไปเที่ยวกันต่อ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรอนะครับ เนอะ”
“...อา”
ฉันตอบพวกนั้นไปแบบไม่เต็มใจนัก แต่ก็นะถ้าไม่ได้ตามเกมมันคงตามรังควานไม่เลิกแน่
“งั้นหรอ เพื่อนกันนี่เอง อืม เข้าใจแล้ว”
…นี่เชื่อด้วยงั้นหรอ เอาเถอะอย่าไปหวังอะไรจากเจ้าชายจะดีกว่า ฉันยังคงมองที่เขาครู่หนึ่งก่อนที่เจ้าชายจะเก็บของแล้วเดินออกไป ฉันจึงยิ้มมุมปากและพูดขึ้น
“ต้มเจ้าชายซะเปื่อยเลยนะ”
‘ปึง!!’
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเสียงของเขาที่ใช้มือทุบลงบนโต๊ะตรงหน้าฉันอย่างแรง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าตาน่ากลัวทันที
“แกหุบปาก แล้วตามมาเงียบๆ ก็พอ”
“...”
จากนั้นฉันก็หยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้นเดินตามพวกนั้นไปเงียบๆ เห หลังโรงยิมหรอย้ายไปที่ไหนก็คุ้นเคยกับที่นี่ดีแฮะตัวฉัน
‘ปัง’
ชายคนนั้นที่เป็นหัวหน้าดันฉันเข้ากำแพงแล้วใช้กำปั้นทุบด้านหลังแนจนเกิดเสียงดัง โอ้ นี่ใช่ที่คนเขาเรียกกันว่าคาเบะด้งรึเปล่านะเพิ่งเคยโดนครั้งแรกนี่แหละ
“แกคงรู้ใช่ไหมว่าโดนเรียกมาเพราะอะไร”
“ถ้าขนาดนี้ไม่รู้ตัวก็คงโง่สุดๆ แล้วล่ะนะ”
เอ ฉันพึ่งสังเกตแฮะว่าพวกนี้มีกันมากขนาดนี้เลยหรอ อืม หญิง 2 ชาย 3 รวมก็ 7 คน
“โหดร้ายกันจังนะ ก็แค่ผู้หญิงที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้คนเดียวเอง…กลัวรึไง”
ฉันพูดพร้อมทั้งหัวเราะเล็กน้อย แล้วก็ได้แต่คิดลึกๆ ในใจว่าฉันจะไปยั่วโมโหพวกนั้นทำไมกันนะ ช่างเถอะ
“แต่ฉันก็ยังสงสัยอยู่นะ ทำไมพวกนายต้องหาเรื่องฉันกันด้วยล่ะ”
“เพราะแกขวางพวกเราอยู่ไงล่ะ”
“เห หรอ จำไม่เห็นเคยได้นะว่าพวกเราเคยยุ่งเกี่ยวกันมาก่อน”
ที่จริงก็รู้อยู่หรอกทั้งเรื่องที่พวกนั้นพยายามเข้าหาเจ้าชาย แต่เจ้าชายดันไม่ห่างจากฉันเลย ในตอนที่พวกนั้นจะแอบแกล้งเจ้าชาย ฉันก็รู้ตัวและกันไว้ให้ได้หมด จนพวกนั้นเลิกพยายามไป
“ขอทีเถอะ แค่นั่งกับเจ้าชายก็ปวดหัวพอแล้ว ต้องมาตามเช็ดเรื่องที่พวกนายจะทำอีก ฉันไม่อยากให้มีเรื่องวุ่นหรอกนะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชาย”
“คิดว่าพูดกับใครอยู่วะ ไม่รู้จักข้ารึไง”
“พอดีเป็นคนที่จำชื่อคนไม่เก่งน่ะ โดยเฉพาะคนที่ไม่สนใจน่ะนะ”
“กรอด ปากดีนักนะ!! รับนี่ไปแล้วจำไว้ซะว่าข้ามีชื่อว่า ไทยะ”
ไทยะงั้นหรอ ไม่คุ้นหูเลยแฮะ เขาง้างมือขวาขึ้นกำหมัดและต่อยมาที่ฉันตรงๆ ฉันเลยเอียงหัวหลบเล็กน้อยปล่อยให้กำปั้นของเขาเลยไปโดนกำแพงด้านหลังแทน
“อั๊ก เจ็บ…แก หลบทำไมวะ”
“แล้วฉันมีเหตุผลอะไรที่ต้องรับหมัดแกตรงๆ ด้วย โง่รึเปล่า”
ไทยะกุมมือขวาพร้อมทั้งหน้าบูดเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด ก็นะดูท่าจะใส่แรงเต็มเหนี่ยวเลยนี่นา ไม่นานนักเขาก็ลุกขึ้นและต่อยมาที่ฉันอีกรอบ
ดูจากฝีมือน่าจะไม่เคยฝึกต่อสู้มาก่อน มือสมัครเล่นนี่ของง่ายเลยนะ ฉันใช้มือดันหมัดของเขาขึ้นแล้วจับข้อมือออกแรงล็อกไปด้านหลังของไทยะแล้วกดลงพื้น
“อึก มองไรกันวะ รุมแม่งดิเฮ้ย”
ฉันตัวกระตุกกึกพลางปล่อยมือจากแขนของเขา จริงสิ ถึงจะมือสมัครเล่นแต่ก็มีกันเยอะนี่นะ ฉันหลบหมัดของชายคนหนึ่งได้แบบฉิวเฉียด อีกคนก็เข้าทางด้านหลัง อะ ถือแท่งเหล็กด้วยแฮะ อันตรายนะเนี่ย
ฉันเลยเบี่ยงตัวหลบจับแขนและออกแรงดันเขาใส่กำแพง จนใบหน้าของชายคนนั้นพุ่งเข้าชนกำแพงเข้าอย่างจัง ดูท่าคงเจ็บน่าดู ก็นะมีเลือดไหลออกจากหน้าผากและจมูกด้วย
“เสร็จไป 1”
ฉันพึมพำออกมาแล้วหยิบแท่งเหล็กของคนนั้นขึ้นมา...อ้าว ไม่ใช่เหล็กแฮะ ก็แค่พลาสติกที่ทำรูปร่างเป็นแท่งเหล็กแค่นั้นเอง ช่างเถอะ อย่างน้อยก็แข็งพอทำให้คนหมดสติได้ล่ะนะ ขอใช้หน่อยแล้วกัน
“หนอย แก!!”
คนที่ต่อยพลาดเมื่อกี้ทำสีหน้าโกรธที่เห็นเพื่อนหมดสติไปแล้วลุกขึ้นต่อยฉันอีกรอบ ฉันถอยหลังเล็กน้อยรอจังหวะแล้วฟาดพลาสติกในมือใส่กลางหัวเขาอย่างจัง จากนั้นก็ถีบเข้าที่ท้องจนเขาล้มไป
“เสร็จไป 2”
เหลือไทยะสินะ...
“ระวังขวา”
“!!”
จู่ๆ ก็มีเสียงที่เคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วดังขึ้นในหัว ฉันจึงตั้งพลาสติกในมือขึ้นมากันทางขวาไว้และก็มีบางอย่างมากระแทกจนฉันเสียหลักเล็กน้อย
“...เวทมนตร์เรอะ”
ฉันมองพลาสติกในมือที่มีควันลอยขึ้นพร้อมทั้งพลาสติกที่ค่อยๆ ละลายเพราะความร้อน ผู้หญิงอีกสองคนที่ยืนดูจนถึงเมื่อกี้ผลัดกันร่ายเวทยิงใส่ฉัน ถ้าโดนคงเจ็บหนักน่าดูแฮะ...
“เสร็จข้าล่ะ!”
“อึก”
เพราะมัวแต่มองไปที่เวทมนตร์จึงโดนไทยะต่อยเข้าที่หน้าอย่างจัง ทั้งแรงของผู้ชายที่ดูโตเกินวัยของเขา บวกกับเวทเสริมแกร่งทำให้ฉันกระเด็นไปชนกับกำแพง
“อั๊ก”
ฉันไอออกมาเล็กน้อยเพราะแรงกระแทก ในตอนที่จะลุกขึ้นพลางคิดวิธีโต้กลับอยู่นั้น จู่ๆ ร่างกายก็ปวดร้าวไปทั้งตัวทำให้ลุกไม่ขึ้นและล้มลงนอนค่ำกับพื้น อึก แผลเก่ามาออกฤทธิ์อะไรตอนนี้
“เหอะๆ สุดท้ายก็เก่งแต่ปากล่ะวะ”
“หึ...แล้วจะทำไมล่ะ...อย่างน้อยก็จัดการคนของแกได้แล้วกัน”
“ยังจะพูดมากได้อีกนะ”
“อึก”
ไทยะเดินเข้ามาใกล้ฉันแล้วใช้เท้าเตะหน้าของฉันจนกระเด็นไปทางผู้หญิงสองคนที่ปล่อยเวทมาใส่พอดี
ความเจ็บปวดกระจายไปทั่วทั้งร่างเริ่มหายใจติดขัดเล็กน้อยจนหอบ สติเริ่มเลือนราง ฉันมองเห็นคนที่ฉันทำให้หมดสติไปทั้งสองคนลุกขึ้นมา
คุยกับไทยะนิดหน่อยก่อนจะตรงมาและเตะเข้าที่ท้องของฉัน ฉันตัวงอและบิดไปมาด้วยความจุก ก่อนจะพยายามคว่ำตัวลงพื้นไม่ให้โดนตรงท้องอีก
พวกนั้นยิ่งได้ใจกว่าเดิมและเข้ามากระทืบฉัน 3 คน เพราะดวงตาเริ่มขุ่นมัวจึงมองไม่เห็นว่ากำลังทำสีหน้าแบบไหนกันอยู่ แต่ก็เดาได้ล่ะนะ ว่ากำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน แล้วสติของฉันก็ดับวูบลงไป...
------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------
“อุ๊ อึก...”
ฉันค่อยๆ ขยับตัวเล็กน้อยหลังจากได้สติ พวกนั้นพูดอะไรทิ้งท้ายนะ ‘อย่ามายุ่งกับเจ้าชายอีก’ มั้ง
เฮ้อ ก็แค่ช่วยคนที่ลำบากจะอะไรกันนักหนานะ จากนั้นฉันก็พลิกตัวนอนหงายขึ้นมองบนท้องฟ้า อา นี้มืดแล้วหรอ กี่โมงกันละเนี่ย
“เฮ้ เมื่อกี้นายเตือนฉันใช่ไหม”
มันอาจจะเหมือนกับฉันเสียสติแล้วพูดคนเดียว แต่คนที่ฉันพูดด้วยไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นวิญญาณสัตว์เทพในตัวฉันเอง
“ใช่”
เขาตอบฉันมาเพียงคำสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบจนเดาอารมณ์ไม่ได้ ก็นะ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว เขามักจะพูดคุยแค่ที่จำเป็นอยู่แล้ว
หลังจากตอนพิธีทำสัญญาตอนเด็กๆ ที่เขาปฏิเสธไป เขาก็แทบไม่พูดคุยอะไรกับฉันอีกเลย ก่อนหน้านั้นเวลาชวนคุยก็จะคุยด้วยแท้ๆ เพราะรู้สึกผิดหรือเปล่านะ
“ขอโทษ...”
“...เรื่องอะไรล่ะ”
“ถ้าเจ้าทำสัญญากับข้า เจ้าก็คงไม่ต้องโดนอะไรแบบนี้”
“พูดแบบนั้นแสดงว่านายจะทำสัญญากับฉันรึไง”
“ไม่”
“ฮะๆ เห็นไหมล่ะ”
ฉันหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะหยุดและชูมือขึ้นบนฟ้า และค่อยๆ พูดออกมาเพียงลำพัง โดยหวังเล็กน้อยว่าเขาจะคุยเป็นเพื่อนฉันอีกสักหน่อย
“ฉันรู้ว่านายเองก็มีเหตุผลของตัวเอง เพราะงั้นอย่ารู้สึกผิดไปเลยนะ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก ยังไงซะตอนนี้พวกเราก็ต้องอยู่ด้วยกัน ไปชั่วชีวิต”
“งั้นหรอ”
ตอบกลับมาสั้น ๆ เหมือนเคยเลยแฮะ เอาเถอะหวังมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ฉันลดมือลงและนอนแผ่ไปกับพื้นอีกรอบ
“ไม่กลับบ้านรึ”
“ขออีกหน่อยแล้วกัน”
“หรือว่าเจ้าไม่อยากกลับไป”
“...ก็นิดหน่อย แต่ยังไง ก็ต้องกลับไป ไม่ว่ายังไง”
ฉันพูดออกมาพลางกำมือแน่นและค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง อา พอมองดูดีๆ แล้วชุดเละไม่หมดเลย ทั้งเปื้อนดิน เลือด และรอยไหม้
“เฮ้อ นั่นสินะ รีบกลับไปทำแผลดีกว่า”
...ฉันพูดแล้วรอให้เขาตอบกลับมา แต่ผ่านไปเขาก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำพูดสั้น ๆ ออกมา ฉันได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินด้วยร่างกายที่สั่นเทา
ฉันเดินออกมาจากโรงเรียนที่มืดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงไฟจากป้อมยาม เมื่อก่อนฉันเคยกลัวผีแท้ๆ แต่ในตอนนี้กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ทำไมกันนะ
ฉันตรงดิ่งไปที่บ้านด้วยสภาพบาดแผลเต็มตัว มีคนที่ผ่านไปมาหันมามองเล็กน้อยก่อนจะเมินอย่างไม่สนใจ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา
ไม่นานนักฉันก็มาถึงหน้าบ้านของตัวเอง ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูบ้าน มือของฉันก็หยุดชะงักลง ฉันสูดหายใจเข้าลึกพลางภาวนาให้พ่อหลับอยู่
วินาทีต่อมาฉันก็ค่อยๆ เปิดประตูบ้านเข้าไป ด้านในนั้นมืดสนิท มีกลิ่นเหล้าและกลิ่นเหม็นอับลอยเข้าจมูกของฉัน
ภายในบ้านนั้นมีกองขยะสุมเต็มไปหมด พร้อมทั้งขวดเหล้าเบียร์ที่หมดแล้วล้มระเนระนาด เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ก็เจอร่างของชายวัยกลางคนนอนอยู่บนโซฟากลางบ้าน
ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะค่อยๆ เดินให้เบาที่สุด ตรงขึ้นไปบนห้องตัวเองแล้วรีบเข้าห้องทันที
“อา โชคดีจริงๆ ที่พ่อหลับไปแล้ว”
เมื่อเข้าไปถึงในห้องก็ราวกับว่าร่างกายกำลังประท้วงว่าไม่ไหวแล้วกับฉัน ฉันทรุดลงตรงหน้าประตูทันที ก่อนจะใช้แขนลากตัวเองไปจนถึงตู้เก็บของในห้อง
ในนั้นมีกล่องปฐมพยาบาลอยู่ เพราะได้ใช้บ่อยล่ะนะ อา ใกล้หมดแล้วสิ หวังว่าเงินของเดือนนี้จะพอนะ
หลังจากทำแผลทั้งหมดเสร็จฉันก็หลับไปบนพื้นแข็งๆ นั้นทันที เพราะในห้องของฉันไม่มีทั้งหมอนหรือผ้าห่มให้ใช้ในยามหลับ
“นี่เธอ--”
“เฮ้ เธอน่ะพวกเรามีเรื่องอยากคุยด้วยช่วยไปด้วยกันหน่อสิ”
ว้า เจ้าชายน่าสงสารแฮะโดนขัดแบบไม่สนใจไยดีเลย ชายคนนั้นพูดพร้อมทั้งปั้นยิ้มออกมาจนดูแปลกชวนอ้วกเชียวล่ะ
“เจ้าชายจะพูดอะไรหรือเปล่าครับ”
“อะ ปะ- เปล่า...”
“งั้นหรือครับ ถ้างั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ หลังจากนี้พวกเราจะไปเที่ยวกันต่อ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรอนะครับ เนอะ”
“...อา”
ฉันตอบพวกนั้นไปแบบไม่เต็มใจนัก แต่ก็นะถ้าไม่ได้ตามเกมมันคงตามรังควานไม่เลิกแน่
“งั้นหรอ เพื่อนกันนี่เอง อืม เข้าใจแล้ว”
…นี่เชื่อด้วยงั้นหรอ เอาเถอะอย่าไปหวังอะไรจากเจ้าชายจะดีกว่า ฉันยังคงมองที่เขาครู่หนึ่งก่อนที่เจ้าชายจะเก็บของแล้วเดินออกไป ฉันจึงยิ้มมุมปากและพูดขึ้น
“ต้มเจ้าชายซะเปื่อยเลยนะ”
‘ปึง!!’
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเสียงของเขาที่ใช้มือทุบลงบนโต๊ะตรงหน้าฉันอย่างแรง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหน้าตาน่ากลัวทันที
“แกหุบปาก แล้วตามมาเงียบๆ ก็พอ”
“...”
จากนั้นฉันก็หยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้นเดินตามพวกนั้นไปเงียบๆ เห หลังโรงยิมหรอย้ายไปที่ไหนก็คุ้นเคยกับที่นี่ดีแฮะตัวฉัน
‘ปัง’
ชายคนนั้นที่เป็นหัวหน้าดันฉันเข้ากำแพงแล้วใช้กำปั้นทุบด้านหลังแนจนเกิดเสียงดัง โอ้ นี่ใช่ที่คนเขาเรียกกันว่าคาเบะด้งรึเปล่านะเพิ่งเคยโดนครั้งแรกนี่แหละ
“แกคงรู้ใช่ไหมว่าโดนเรียกมาเพราะอะไร”
“ถ้าขนาดนี้ไม่รู้ตัวก็คงโง่สุดๆ แล้วล่ะนะ”
เอ ฉันพึ่งสังเกตแฮะว่าพวกนี้มีกันมากขนาดนี้เลยหรอ อืม หญิง 2 ชาย 3 รวมก็ 7 คน
“โหดร้ายกันจังนะ ก็แค่ผู้หญิงที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้คนเดียวเอง…กลัวรึไง”
ฉันพูดพร้อมทั้งหัวเราะเล็กน้อย แล้วก็ได้แต่คิดลึกๆ ในใจว่าฉันจะไปยั่วโมโหพวกนั้นทำไมกันนะ ช่างเถอะ
“แต่ฉันก็ยังสงสัยอยู่นะ ทำไมพวกนายต้องหาเรื่องฉันกันด้วยล่ะ”
“เพราะแกขวางพวกเราอยู่ไงล่ะ”
“เห หรอ จำไม่เห็นเคยได้นะว่าพวกเราเคยยุ่งเกี่ยวกันมาก่อน”
ที่จริงก็รู้อยู่หรอกทั้งเรื่องที่พวกนั้นพยายามเข้าหาเจ้าชาย แต่เจ้าชายดันไม่ห่างจากฉันเลย ในตอนที่พวกนั้นจะแอบแกล้งเจ้าชาย ฉันก็รู้ตัวและกันไว้ให้ได้หมด จนพวกนั้นเลิกพยายามไป
“ขอทีเถอะ แค่นั่งกับเจ้าชายก็ปวดหัวพอแล้ว ต้องมาตามเช็ดเรื่องที่พวกนายจะทำอีก ฉันไม่อยากให้มีเรื่องวุ่นหรอกนะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชาย”
“คิดว่าพูดกับใครอยู่วะ ไม่รู้จักข้ารึไง”
“พอดีเป็นคนที่จำชื่อคนไม่เก่งน่ะ โดยเฉพาะคนที่ไม่สนใจน่ะนะ”
“กรอด ปากดีนักนะ!! รับนี่ไปแล้วจำไว้ซะว่าข้ามีชื่อว่า ไทยะ”
ไทยะงั้นหรอ ไม่คุ้นหูเลยแฮะ เขาง้างมือขวาขึ้นกำหมัดและต่อยมาที่ฉันตรงๆ ฉันเลยเอียงหัวหลบเล็กน้อยปล่อยให้กำปั้นของเขาเลยไปโดนกำแพงด้านหลังแทน
“อั๊ก เจ็บ…แก หลบทำไมวะ”
“แล้วฉันมีเหตุผลอะไรที่ต้องรับหมัดแกตรงๆ ด้วย โง่รึเปล่า”
ไทยะกุมมือขวาพร้อมทั้งหน้าบูดเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด ก็นะดูท่าจะใส่แรงเต็มเหนี่ยวเลยนี่นา ไม่นานนักเขาก็ลุกขึ้นและต่อยมาที่ฉันอีกรอบ
ดูจากฝีมือน่าจะไม่เคยฝึกต่อสู้มาก่อน มือสมัครเล่นนี่ของง่ายเลยนะ ฉันใช้มือดันหมัดของเขาขึ้นแล้วจับข้อมือออกแรงล็อกไปด้านหลังของไทยะแล้วกดลงพื้น
“อึก มองไรกันวะ รุมแม่งดิเฮ้ย”
ฉันตัวกระตุกกึกพลางปล่อยมือจากแขนของเขา จริงสิ ถึงจะมือสมัครเล่นแต่ก็มีกันเยอะนี่นะ ฉันหลบหมัดของชายคนหนึ่งได้แบบฉิวเฉียด อีกคนก็เข้าทางด้านหลัง อะ ถือแท่งเหล็กด้วยแฮะ อันตรายนะเนี่ย
ฉันเลยเบี่ยงตัวหลบจับแขนและออกแรงดันเขาใส่กำแพง จนใบหน้าของชายคนนั้นพุ่งเข้าชนกำแพงเข้าอย่างจัง ดูท่าคงเจ็บน่าดู ก็นะมีเลือดไหลออกจากหน้าผากและจมูกด้วย
“เสร็จไป 1”
ฉันพึมพำออกมาแล้วหยิบแท่งเหล็กของคนนั้นขึ้นมา...อ้าว ไม่ใช่เหล็กแฮะ ก็แค่พลาสติกที่ทำรูปร่างเป็นแท่งเหล็กแค่นั้นเอง ช่างเถอะ อย่างน้อยก็แข็งพอทำให้คนหมดสติได้ล่ะนะ ขอใช้หน่อยแล้วกัน
“หนอย แก!!”
คนที่ต่อยพลาดเมื่อกี้ทำสีหน้าโกรธที่เห็นเพื่อนหมดสติไปแล้วลุกขึ้นต่อยฉันอีกรอบ ฉันถอยหลังเล็กน้อยรอจังหวะแล้วฟาดพลาสติกในมือใส่กลางหัวเขาอย่างจัง จากนั้นก็ถีบเข้าที่ท้องจนเขาล้มไป
“เสร็จไป 2”
เหลือไทยะสินะ...
“ระวังขวา”
“!!”
จู่ๆ ก็มีเสียงที่เคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วดังขึ้นในหัว ฉันจึงตั้งพลาสติกในมือขึ้นมากันทางขวาไว้และก็มีบางอย่างมากระแทกจนฉันเสียหลักเล็กน้อย
“...เวทมนตร์เรอะ”
ฉันมองพลาสติกในมือที่มีควันลอยขึ้นพร้อมทั้งพลาสติกที่ค่อยๆ ละลายเพราะความร้อน ผู้หญิงอีกสองคนที่ยืนดูจนถึงเมื่อกี้ผลัดกันร่ายเวทยิงใส่ฉัน ถ้าโดนคงเจ็บหนักน่าดูแฮะ...
“เสร็จข้าล่ะ!”
“อึก”
เพราะมัวแต่มองไปที่เวทมนตร์จึงโดนไทยะต่อยเข้าที่หน้าอย่างจัง ทั้งแรงของผู้ชายที่ดูโตเกินวัยของเขา บวกกับเวทเสริมแกร่งทำให้ฉันกระเด็นไปชนกับกำแพง
“อั๊ก”
ฉันไอออกมาเล็กน้อยเพราะแรงกระแทก ในตอนที่จะลุกขึ้นพลางคิดวิธีโต้กลับอยู่นั้น จู่ๆ ร่างกายก็ปวดร้าวไปทั้งตัวทำให้ลุกไม่ขึ้นและล้มลงนอนค่ำกับพื้น อึก แผลเก่ามาออกฤทธิ์อะไรตอนนี้
“เหอะๆ สุดท้ายก็เก่งแต่ปากล่ะวะ”
“หึ...แล้วจะทำไมล่ะ...อย่างน้อยก็จัดการคนของแกได้แล้วกัน”
“ยังจะพูดมากได้อีกนะ”
“อึก”
ไทยะเดินเข้ามาใกล้ฉันแล้วใช้เท้าเตะหน้าของฉันจนกระเด็นไปทางผู้หญิงสองคนที่ปล่อยเวทมาใส่พอดี
ความเจ็บปวดกระจายไปทั่วทั้งร่างเริ่มหายใจติดขัดเล็กน้อยจนหอบ สติเริ่มเลือนราง ฉันมองเห็นคนที่ฉันทำให้หมดสติไปทั้งสองคนลุกขึ้นมา
คุยกับไทยะนิดหน่อยก่อนจะตรงมาและเตะเข้าที่ท้องของฉัน ฉันตัวงอและบิดไปมาด้วยความจุก ก่อนจะพยายามคว่ำตัวลงพื้นไม่ให้โดนตรงท้องอีก
พวกนั้นยิ่งได้ใจกว่าเดิมและเข้ามากระทืบฉัน 3 คน เพราะดวงตาเริ่มขุ่นมัวจึงมองไม่เห็นว่ากำลังทำสีหน้าแบบไหนกันอยู่ แต่ก็เดาได้ล่ะนะ ว่ากำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน แล้วสติของฉันก็ดับวูบลงไป...
------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------
“อุ๊ อึก...”
ฉันค่อยๆ ขยับตัวเล็กน้อยหลังจากได้สติ พวกนั้นพูดอะไรทิ้งท้ายนะ ‘อย่ามายุ่งกับเจ้าชายอีก’ มั้ง
เฮ้อ ก็แค่ช่วยคนที่ลำบากจะอะไรกันนักหนานะ จากนั้นฉันก็พลิกตัวนอนหงายขึ้นมองบนท้องฟ้า อา นี้มืดแล้วหรอ กี่โมงกันละเนี่ย
“เฮ้ เมื่อกี้นายเตือนฉันใช่ไหม”
มันอาจจะเหมือนกับฉันเสียสติแล้วพูดคนเดียว แต่คนที่ฉันพูดด้วยไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นวิญญาณสัตว์เทพในตัวฉันเอง
“ใช่”
เขาตอบฉันมาเพียงคำสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบจนเดาอารมณ์ไม่ได้ ก็นะ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว เขามักจะพูดคุยแค่ที่จำเป็นอยู่แล้ว
หลังจากตอนพิธีทำสัญญาตอนเด็กๆ ที่เขาปฏิเสธไป เขาก็แทบไม่พูดคุยอะไรกับฉันอีกเลย ก่อนหน้านั้นเวลาชวนคุยก็จะคุยด้วยแท้ๆ เพราะรู้สึกผิดหรือเปล่านะ
“ขอโทษ...”
“...เรื่องอะไรล่ะ”
“ถ้าเจ้าทำสัญญากับข้า เจ้าก็คงไม่ต้องโดนอะไรแบบนี้”
“พูดแบบนั้นแสดงว่านายจะทำสัญญากับฉันรึไง”
“ไม่”
“ฮะๆ เห็นไหมล่ะ”
ฉันหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะหยุดและชูมือขึ้นบนฟ้า และค่อยๆ พูดออกมาเพียงลำพัง โดยหวังเล็กน้อยว่าเขาจะคุยเป็นเพื่อนฉันอีกสักหน่อย
“ฉันรู้ว่านายเองก็มีเหตุผลของตัวเอง เพราะงั้นอย่ารู้สึกผิดไปเลยนะ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก ยังไงซะตอนนี้พวกเราก็ต้องอยู่ด้วยกัน ไปชั่วชีวิต”
“งั้นหรอ”
ตอบกลับมาสั้น ๆ เหมือนเคยเลยแฮะ เอาเถอะหวังมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ฉันลดมือลงและนอนแผ่ไปกับพื้นอีกรอบ
“ไม่กลับบ้านรึ”
“ขออีกหน่อยแล้วกัน”
“หรือว่าเจ้าไม่อยากกลับไป”
“...ก็นิดหน่อย แต่ยังไง ก็ต้องกลับไป ไม่ว่ายังไง”
ฉันพูดออกมาพลางกำมือแน่นและค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง อา พอมองดูดีๆ แล้วชุดเละไม่หมดเลย ทั้งเปื้อนดิน เลือด และรอยไหม้
“เฮ้อ นั่นสินะ รีบกลับไปทำแผลดีกว่า”
...ฉันพูดแล้วรอให้เขาตอบกลับมา แต่ผ่านไปเขาก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำพูดสั้น ๆ ออกมา ฉันได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินด้วยร่างกายที่สั่นเทา
ฉันเดินออกมาจากโรงเรียนที่มืดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงไฟจากป้อมยาม เมื่อก่อนฉันเคยกลัวผีแท้ๆ แต่ในตอนนี้กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ทำไมกันนะ
ฉันตรงดิ่งไปที่บ้านด้วยสภาพบาดแผลเต็มตัว มีคนที่ผ่านไปมาหันมามองเล็กน้อยก่อนจะเมินอย่างไม่สนใจ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา
ไม่นานนักฉันก็มาถึงหน้าบ้านของตัวเอง ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูบ้าน มือของฉันก็หยุดชะงักลง ฉันสูดหายใจเข้าลึกพลางภาวนาให้พ่อหลับอยู่
วินาทีต่อมาฉันก็ค่อยๆ เปิดประตูบ้านเข้าไป ด้านในนั้นมืดสนิท มีกลิ่นเหล้าและกลิ่นเหม็นอับลอยเข้าจมูกของฉัน
ภายในบ้านนั้นมีกองขยะสุมเต็มไปหมด พร้อมทั้งขวดเหล้าเบียร์ที่หมดแล้วล้มระเนระนาด เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ก็เจอร่างของชายวัยกลางคนนอนอยู่บนโซฟากลางบ้าน
ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะค่อยๆ เดินให้เบาที่สุด ตรงขึ้นไปบนห้องตัวเองแล้วรีบเข้าห้องทันที
“อา โชคดีจริงๆ ที่พ่อหลับไปแล้ว”
เมื่อเข้าไปถึงในห้องก็ราวกับว่าร่างกายกำลังประท้วงว่าไม่ไหวแล้วกับฉัน ฉันทรุดลงตรงหน้าประตูทันที ก่อนจะใช้แขนลากตัวเองไปจนถึงตู้เก็บของในห้อง
ในนั้นมีกล่องปฐมพยาบาลอยู่ เพราะได้ใช้บ่อยล่ะนะ อา ใกล้หมดแล้วสิ หวังว่าเงินของเดือนนี้จะพอนะ
หลังจากทำแผลทั้งหมดเสร็จฉันก็หลับไปบนพื้นแข็งๆ นั้นทันที เพราะในห้องของฉันไม่มีทั้งหมอนหรือผ้าห่มให้ใช้ในยามหลับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ