เรื่องราวในโลกสัตว์เทพ
-
เขียนโดย NobYK
วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 05.56 น.
8 ตอน
0 วิจารณ์
7,160 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563 06.06 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ตอนที่ 2.5 รักครั้งแรก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ*เปลี่ยนชื่อมังกรจาก บาโบ เป็น ชิบารุ ถ้ามีตรงไหนตกหล่นสามารถคอมเมนต์ไว้ได้นะคะ*
โรงเรียนอาจจะไม่แย่อย่างที่คิดก็ได้ ผมคิดแบบนั้นในขณะที่เดินเข้าไปในคฤหาสน์แล้วผมก็เจอพี่ซาจิที่กลับมาก่อนแล้ว
“ทำไมวันนี้พี่ซาจิกลับมาเร็วจัง”
“วันนี้งานที่สภานักเรียนมีไม่มากน่ะ เลยได้กลับมาเร็ว”
“งั้นหรอ”
“แล้วเป็นไงบ้างล่ะโรงเรียน”
“ไม่แย่เท่าไหร่ คนที่นั่งข้างผมไม่พูดประจบผมด้วยล่ะ แถมยังได้เธอช่วยอะไรหลายอย่างเลย”
ผมพูดแบบนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างเบิกบานพี่ซาจิเห็นก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเดินเข้ามาลูบหัวผมเบาๆ
“หรอ ดีแล้วล่ะพยายามเข้านะ”
“อื้อ! ผมไปอาบน้ำก่อนนะ”
“อืม…หืม เธอ ผู้หญิงงั้นหรอ”
พี่ซาจิพูดอะไรบางอย่างต่อท้ายแต่มันเบาเกินจนผมได้แต่เอียงคอด้วยความสงสัย ซึ่งพี่เขาบอกว่าไม่มีอะไรพลางส่ายหน้าเบาๆ และยิ้มให้
วันต่อมาผมก็ไปถึงคนสุดท้ายของห้องเหมือนเดิม แต่วันนี้เธอคนนั้นนอนฟุบอยู่กับโต๊ะ ถึงจะเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเธอก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่น ผมเลยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“นี่เธอ นอนแบบนั้นรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า”
หลังจากพูดแบบนั้นเธอก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาโดยที่มีสีหน้าเบื่อหน่ายเหมือนเดิม แล้วมองรอบๆ ห้องเล็กน้อยและพูดกับผม
“เปล่าฉันแค่ง่วงเฉย ๆ”
“นอนดึกหรอ อย่าฝืนตัวเองนะ”
“อา”
เธอตอบสั้นๆ ง่ายๆ เป็นกันเองเหมือนเดิมแล้วก็นั่งเหม่อมองนอกหน้าต่างไป โดยไม่ได้สังเกตเห็นผมที่มองไปที่ใบหน้าของเธอตลอดเวลาเลย
“ทำไมพอมองแบบนี้แล้ว เธอดูสวยจัง...”
ผมเผลอพูดแบบนั้นกับชิบารุในใจ กว่าจะรู้ตัวผมก็จ้องมองไปที่เธอด้วยรอยยิ้มแล้ว ก่อนจะค่อยๆ คุยกับชิบารุต่อ
“ไม่เสแสร้ง ไม่ประจบ แถมยังพูดแบบเป็นกันเองกับผมอีก รู้สึกอยากจะอยู่กับเธอตลอดเวลาเลย ความรู้สึกที่มีกับเพื่อนมันเป็นแบบนี้เองงั้นหรอ”
“ไม่อะ ไม่มีใครเขามีความรู้สึกแบบนั้นกับเพื่อนกันหรอกนะ”
“เอ๊ะ มะ- ไม่ใช่เพื่อนงั้นหรอ แล้วมันคืออะไรอะ”
“ไอ้หนูฟังให้ดีนะ เอ็งชอบเธอ”
“...”
พอได้ยินแบบนั้นจู่ๆ ใบหน้าของผมก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ก่อนที่จะหันหน้าหนีไปอีกทางหนึ่งเพื่อที่ว่าถ้าเธอหันมาจะไม่เห็นใบหน้าของผม
“ฮ่า พอรู้ตัวแล้วหน้าแดงใหญ่เลยนะ ไอ้หนู”
“อะเอะ จะ- จริงหรอ นี้ผมชอบเธอหรอ”
“ก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกนะ ขอเธอคบไปเลย!!”
“ไม่ไหวหรอก เราพึ่งเจอกันไม่กี่วันเองนะ แถมยังไม่ค่อยสนิทกับเธอมากเลยด้วย”
“งั้นก็คุยกับเธอให้มากกว่านี้ดิวะ เริ่มจากมาให้เช้ากว่านี้ถามเธอซะว่ามาถึงกี่โมง แล้ววันนี้ก็ไปบอกให้คนใช้เตรียมข้าวกล่องให้ด้วย”
“ขะ- เข้าใจแล้ว”
ผมตอบรับชิบารุแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันไปเรียกเธออีกครั้ง โดยที่พยายามเก็บความรู้สึกแบบเมื่อกี้เอาไว้
“เธอมาเช้าจังมาถึงกี่โมงหรอ”
“มาถึงตั้งแต่ 6 โมงแล้วล่ะ”
“อืม งั้นหรอ”
พอพูดจบไม่นานนักอาจารย์ก็เข้ามาในห้องแล้วเริ่มสอนทันที แต่ผมก็ยังคงเหม่อแล้วคุยกับชิบารุในใจ
“6 โมงครึ่งหรอ เช้ามากเลยนะ”
“นั่นเวลาตื่นเอ็งเลยนี่นะ ต้องมาให้ไล่เลี่ยเธอนะเว้ยจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น”
“อืม ผมจะพยายาม ถ้าผมไม่ตื่นช่วยปลุกผมด้วยนะ”
“เฮ้ สนใจเรื่องที่เรียนหน่อยสิ”
“เอะ อา อืม”
ผมลนลานเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ เธอก็ทักมาเตือนผมโดยที่ไม่หันมามองด้วยซ้ำ พลางจดเนื้อหาเรียนไปด้วย เพราะเธอจดสิ่งที่เรียนทุกอย่างหรือเปล่านะ ถึงได้เก่งขนาดนี้
แล้วเมื่อผ่านไปตอนเที่ยงผมก็ยังไม่ลุกออกไปทันที แล้วรอดูของที่เธอเอามาเผื่อจะได้เป็นแนวทางว่าจะเอาอะไรมาดี เธอก็เห็นผมมองอยู่แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วเปิดข้าวกล่องมาตามปกติ
เป็นของที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ผมยิ้มออกมาร่าเริงแล้วค่อยลุกออกจากห้องไป ถ้านั่งกินข้าวด้วยกันแล้วทำให้สนิทด้วยมากขึ้นก็ดีสิ
เมื่อกลับไปถึงบ้านผมก็เก็บของรอเวลาทานข้าวเย็น ในตอนที่หาอะไรทำไปเรื่อยก็เจอกับพี่ไคมะเข้า พี่ไคมะเลยยิ้มกว้างและเดินมาหาผม
“โอ้ เจอเรื่องดีๆ มางั้นหรอ ยิ้มซะหน้าบานเชียว”
“ผม...ทำหน้าแบบนั้นหรอ”
“ใช่ๆ นายยิ้มซะหน้าเคลิ้มเชียวล่ะ ไหนบอกพี่ชายคนนี้สิว่าเจอเรื่องอะไรดีๆ มา หรือว่า~”
พี่ไคมะพูดแล้วหรี่ตาลงจนผมเหงื่อตกเล็กน้อยแล้วเขาก็เข้ามากอดคอผมและถามใกล้หูกว่าเดิมในเชิงแหย่เล่น
“หรือว่า นายมีสาวที่ชอบแล้วงั้นหรอ~”
ผมเงียบแต่ว่ามีความรู้สึกแบบเดียวกันกับตอนที่ชิบารุบอกว่าผมชอบเธอ พอพี่ไคมะเห็นแบบนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าแปลกใจทันที
“จริงหรอเนี่ย ไปโรงเรียนแค่สองวันก็มีคนที่ชอบแล้วหรอสุดยอดเลยแฮะนายเนี่ย”
“ยะ- ยังไม่มั่นใจหรอกว่าชอบหรือเปล่า...”
ผมตอบบอกไปพร้อมกับกลอกตาไปมาด้วยความลนลาน
“เห๋~ จะจริงหรอ ยังไม่มั่นใจแต่ก็หน้าแดงใหญ่เลยนะ”
“งื้อ~ ผมกับเธอยังรู้จักกันไม่นานเลยนะ”
“ฮ่าๆ งั้นหรอ เอาเถอะเรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลาล่ะนะถึงจะเข้าใจ แต่ก็นะ ยิ่งรู้ตัวเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี จำคำนี้ไว้ล่ะ”
“อะ- อืม”
หลังจากนั้นพี่ไคมะก็โบกมือให้แล้วเดินจากไป หลังจากกินข้าวเสร็จทุกคนก็คุยเรื่องต่างๆ กันไปเรื่อยเปื่อย ผมก็รอจังหวะที่จะขอข้าวกล่องไปเรียน
ในตอนที่ผมทำท่ากระอักกระอ่วนเพราะหาจังหวะไม่ได้ พี่ซาจิที่สังเกตเห็นก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและหันมาพูดกับผม
“มารุดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างนะ มีอะไรหรือเปล่า”
เมื่อทำแบบนั้นท่านพ่อก็หยุดพูดแล้วหันมาจ้องเขม็งมาที่ผมทันที ผมสะดุ้งเฮือกใหญ่แต่พี่ซาจิก็คอยให้กำลังใจผ่านรอยยิ้มและสายตา ผมจึงค่อยๆ พูดออกมา
“ผม...อยากเอาข้าวกล่องไปที่โรงเรียนครับ”
“ทำไมล่ะ”
ท่านพ่อยังคงมองตาขวางใส่ผมไม่เลิกแล้วถามกลับมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง ผมจึงหันหน้าหนีพร้อมกับตอบไปด้วย
“ผะ- ผม...แค่อยากกินในห้องเงียบๆ ไม่ค่อยมีคนครับ”
ผมโกหกออกไปด้วยเหตุผลที่พึ่งนึกออก ดวงตาสั่นไปหมดหอบหายใจแรงและเหงื่อตก ได้แต่หวังว่าท่านพ่อจะไม่โกรธผม ไม่นานนักท่านพ่อที่จ้องอยู่ก็ถอนหายใจและพูดต่อ
“ช่างเถอะ จะให้พ่อครัวเตรียมไว้ให้แต่เช้า อยากได้แบบไหนก็เลือกเอาแล้วกัน”
“ขะ- ขอบคุณครับ!”
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จผมก็รีบเข้านอนทันทีโดยที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เช้ากว่าเดิม พอตื่นขึ้นมาก็รีบอาบน้ำแต่งตัวและไปเอาข้าวกล่องที่เตรียมไว้ทันที
ในตอนที่กำลังออกจากคฤหาสน์ก็เจอกับท่านพ่อพอดี จริงสิท่านพ่อยังโกรธอยู่หรือเปล่านะ ในตอนนั้นท่านพ่อก็ทำสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
“ไหนว่าไม่อยากไปเรียนไง ทีนี้ล่ะไปเร็วจังเลย”
“ปะ- เปล่าครับ...”
เพราะรอบก่อนโดนขึ้นเสียงใส่ผมเลยตอบท่านพ่อแบบเสียงสั่นเล็กน้อยและหลบหน้า ท่านพ่อจึงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“ช่างเถอะ ถ้ามีแรงจูงใจให้ไปก็ดีแล้วล่ะ”
พอพูดจบท่านพ่อก็เดินจากไปโดยไม่ว่าอะไรต่อ ผมจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วก็ขึ้นรถไปโรงเรียน
พอเธอเห็นผมมาเร็วกว่าปกติก็มีสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะไม่พูดอะไรแล้วอยู่เงียบๆ ต่อไป พอถึงตอนเที่ยงหลังคนอื่นออกไปกันหมดแล้วผมก็นำข้าวกล่องขึ้นมา
เธอตกใจมากจนดูน่าตลกเลยล่ะ แต่ผมไม่ได้พูดอะไรก่อนจะถามเธอต่อ
“ผมขอนั่งกินข้าวด้วยได้ไหม”
“...ทำตามใจเถอะ”
เธอกลับมามีสีหน้าราบเรียบเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว ผมจึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจและพยายามหาหัวข้อมาชวนเธอคุย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผ่านไป 2 อาทิตย์วันก่อนขึ้นสัปดาห์ใหม่ท่านพ่อก็ทักผมอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง
“มารุเริ่มคิดเรื่องการเรียนต่อสู้แล้วรึยัง”
“ยังครับ ผม-”
“ไม่เกี่ยวว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ยังไงแกก็เป็นเจ้าชายของประเทศนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกแกจะต้องปกป้องประเทศของเราไว้”
“...ครับ”
“เก็บไปคิดด้วยล่ะ พรุ่งนี้ก็จะเริ่มเรียนเวทมนตร์แล้ว ไม่หาคู่หูที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันล่ะ เหมือนซาจิกับไคมะไง”
ท่านพ่อพูดพลางเหลือบไปมองพวกพี่ที่นั่งอยู่ในห้องที่ส่งยิ้มมาให้ผมด้วยความร่าเริง พวกพี่น่ะเป็นคู่หูที่ปิดจุดอ่อนของกันและกันจนหมด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ฝ่าฟันมันไปได้
“แกเองก็คงมีเพื่อนแล้วไม่ใช่หรอ ถึงได้ดูสนุกไปกับโรงเรียนขนาดนี้”
“อะ เอะ...”
“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอที่เข้ากับโรงเรียนใหม่ได้”
จู่ๆ ท่านพ่อก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแห้งๆ แทน สีหน้าก็ผ่อนลงน้ำเสียงก็นุ่มขึ้นจนผมปรับตัวตามไม่ทัน แล้วพี่ไคมะก็หัวเราะคิกคัก พี่ซาจิก็ยิ้มและพูดต่อ
“ที่จริงตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาท่านพ่อเขาเป็นห่วงว่ามารุจะเข้ากับที่โรงเรียนไม่ได้น่ะ พอเห็นน้องกระตือรือร้นไปโรงเรียนแบบนี้เลยโล่งใจ”
พอพี่ซาจิพูดแบบนั้นท่านพ่อก็ใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางไปกับโต๊ะและก็ทำหน้ามุ่ย นี่ท่านพ่อเป็นห่วงผมงั้นหรอ ในตอนนั้นเองพี่ไคมะที่หยุดหัวเราะก็ทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างออกแล้วพูดกับผม
“จริงสิสาวที่นายชอบไง อาจจะเข้ากับนายได้ก็ได้นะ พลังน่ะ”
ผมสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันทีเพราะพอพี่ไคมะพูดแบบนั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบไปหมด สายตาจากท่านพ่อเปลี่ยนไปอีกแล้ว
“อย่าบอกนะว่าที่อยากไปอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะผู้หญิงงั้นเรอะ”
“คะ- ครับ...”
พอโดนกดดันแบบนั้นผมจึงตอบไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ด้วยน้ำเสียงสั่นๆ พี่ไคมะเองก็โดนพี่ซาจิใช้มือสับที่หัวไป แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ท่านพ่อถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“พอล่ะ อย่าให้เรื่องเรียนเสียก็แล้วกัน อย่างน้อยมันก็ทำให้แกไปเรียนได้ทุกวันล่ะนะ”
ท่านพ่อลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปโดยที่ยังมีสีหน้าเหนื่อยๆ พร้อมทั้งกุมขมับไปด้วย ผมกับพวกพี่เลยแยกกันกลับห้องของตัวเอง ถ้าพลังของผมกับเธอเข้ากันได้งั้นหรอ...
“เรียนต่อสู้อาจจะไม่แย่แบบที่คิดก็ได้”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันต่อมาในคาบแรกที่เป็นเรียนฝึกต่อสู้นั้นผมก็ได้แต่นั่งตกตะลึงอยู่เงียบๆ เพราะตัวของเธอนั้นมีค่าพลังอยู่ที่ 0 หรือก็คือวิญญาณสัตว์เทพไม่ยอมทำสัญญาให้ใช้เวทมนตร์นั่นเอง
“น่าตกใจนะเนี่ย ไม่คิดว่าแม่หนูนั่นจะได้ทำสัญญาเวทมนตร์”
“ผมก็ตกใจเหมือนกัน”
“แล้วคิดยังไงกับเธอล่ะ”
“...ไม่รู้สิ แปลกเฉยๆ ล่ะมั้ง ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้มากกว่านั้น”
“แบบนั้นแหละ อย่าไปคิดมากเรื่องเล็กน้อยเลย!”
“อื้ม!”
ผมพูดแบบนั้นกับชิบารุแล้วเดินกลับห้องทันทีหลังเปลี่ยนชุดเสร็จ เธอดูซึมเล็กน้อยนะหลังจากตรวจพลังเสร็จจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ
หลังจากจ้องมองเธอมาตลอด 2 สัปดาห์ก็เริ่มจับทางสีหน้าเธอได้แล้วล่ะว่ารู้มีความรู้สึกประมาณไหน พอกลับไปถึงห้องเธอกลับทำสีหน้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่ว่า...เธอดูงดงามยิ่งกว่าเดิม เธอในตอนนี้กำลังยิ้มอยู่ จนผมพลอยยิ้มตามพร้อมกับหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะชวนให้รู้สึกสบายใจ
“มีเรื่องอะไรดีๆ งั้นหรอ ยิ้มใหญ่เลย”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
แต่พอผมทักเธอไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว เธอก็กลับมามีสีหน้าแบบปกติทันที ไม่สิ ดูหงุดหงิดนิดหน่อยด้วย...ผมก็อยากให้เธอมองผมแบบเมื่อกี้ด้วยจัง
“แล้วนายคิดยังไงกับฉันล่ะ”
“อะ เอ๋!”
ผมลนลานแล้วใบหน้าก็ร้อนผ่าวอีกครั้ง ผะ- ผมควรตอบเธอยังไงดี ในตอนที่ร้อนรนผมก็รู้สึกได้ว่าชิบารุกำลังเชียร์ให้สารภาพรักไป ในตอนนั้นเองเธอคนนั้นก็ทำสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ก็เรื่องพลังของฉันไง”
เอะ เรื่องนั้นหรอกหรอ ละ- โล่งอกนึกว่าเธอจะรู้แล้วซะอีก แถมนี่ยังเป็นครั้งแรกด้วยที่เธอชวนผมคุยก่อน ผมสงบสติลงก่อนจะค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดในหัวออกมา
“ก็--”
“เอาล่ะทุกคนนั่งที่”
แล้วครูสอนคาบต่อไปก็เข้ามาในห้อง เธอก็เมินผมและไปสนใจหน้ากระดานทันทีโดยไม่รอคำตอบจากผมเลย ได้โอกาสเหมาะๆ ค่อยบอกเธอแล้วกัน
โรงเรียนอาจจะไม่แย่อย่างที่คิดก็ได้ ผมคิดแบบนั้นในขณะที่เดินเข้าไปในคฤหาสน์แล้วผมก็เจอพี่ซาจิที่กลับมาก่อนแล้ว
“ทำไมวันนี้พี่ซาจิกลับมาเร็วจัง”
“วันนี้งานที่สภานักเรียนมีไม่มากน่ะ เลยได้กลับมาเร็ว”
“งั้นหรอ”
“แล้วเป็นไงบ้างล่ะโรงเรียน”
“ไม่แย่เท่าไหร่ คนที่นั่งข้างผมไม่พูดประจบผมด้วยล่ะ แถมยังได้เธอช่วยอะไรหลายอย่างเลย”
ผมพูดแบบนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างเบิกบานพี่ซาจิเห็นก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเดินเข้ามาลูบหัวผมเบาๆ
“หรอ ดีแล้วล่ะพยายามเข้านะ”
“อื้อ! ผมไปอาบน้ำก่อนนะ”
“อืม…หืม เธอ ผู้หญิงงั้นหรอ”
พี่ซาจิพูดอะไรบางอย่างต่อท้ายแต่มันเบาเกินจนผมได้แต่เอียงคอด้วยความสงสัย ซึ่งพี่เขาบอกว่าไม่มีอะไรพลางส่ายหน้าเบาๆ และยิ้มให้
วันต่อมาผมก็ไปถึงคนสุดท้ายของห้องเหมือนเดิม แต่วันนี้เธอคนนั้นนอนฟุบอยู่กับโต๊ะ ถึงจะเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเธอก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่น ผมเลยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“นี่เธอ นอนแบบนั้นรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า”
หลังจากพูดแบบนั้นเธอก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาโดยที่มีสีหน้าเบื่อหน่ายเหมือนเดิม แล้วมองรอบๆ ห้องเล็กน้อยและพูดกับผม
“เปล่าฉันแค่ง่วงเฉย ๆ”
“นอนดึกหรอ อย่าฝืนตัวเองนะ”
“อา”
เธอตอบสั้นๆ ง่ายๆ เป็นกันเองเหมือนเดิมแล้วก็นั่งเหม่อมองนอกหน้าต่างไป โดยไม่ได้สังเกตเห็นผมที่มองไปที่ใบหน้าของเธอตลอดเวลาเลย
“ทำไมพอมองแบบนี้แล้ว เธอดูสวยจัง...”
ผมเผลอพูดแบบนั้นกับชิบารุในใจ กว่าจะรู้ตัวผมก็จ้องมองไปที่เธอด้วยรอยยิ้มแล้ว ก่อนจะค่อยๆ คุยกับชิบารุต่อ
“ไม่เสแสร้ง ไม่ประจบ แถมยังพูดแบบเป็นกันเองกับผมอีก รู้สึกอยากจะอยู่กับเธอตลอดเวลาเลย ความรู้สึกที่มีกับเพื่อนมันเป็นแบบนี้เองงั้นหรอ”
“ไม่อะ ไม่มีใครเขามีความรู้สึกแบบนั้นกับเพื่อนกันหรอกนะ”
“เอ๊ะ มะ- ไม่ใช่เพื่อนงั้นหรอ แล้วมันคืออะไรอะ”
“ไอ้หนูฟังให้ดีนะ เอ็งชอบเธอ”
“...”
พอได้ยินแบบนั้นจู่ๆ ใบหน้าของผมก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ก่อนที่จะหันหน้าหนีไปอีกทางหนึ่งเพื่อที่ว่าถ้าเธอหันมาจะไม่เห็นใบหน้าของผม
“ฮ่า พอรู้ตัวแล้วหน้าแดงใหญ่เลยนะ ไอ้หนู”
“อะเอะ จะ- จริงหรอ นี้ผมชอบเธอหรอ”
“ก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกนะ ขอเธอคบไปเลย!!”
“ไม่ไหวหรอก เราพึ่งเจอกันไม่กี่วันเองนะ แถมยังไม่ค่อยสนิทกับเธอมากเลยด้วย”
“งั้นก็คุยกับเธอให้มากกว่านี้ดิวะ เริ่มจากมาให้เช้ากว่านี้ถามเธอซะว่ามาถึงกี่โมง แล้ววันนี้ก็ไปบอกให้คนใช้เตรียมข้าวกล่องให้ด้วย”
“ขะ- เข้าใจแล้ว”
ผมตอบรับชิบารุแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันไปเรียกเธออีกครั้ง โดยที่พยายามเก็บความรู้สึกแบบเมื่อกี้เอาไว้
“เธอมาเช้าจังมาถึงกี่โมงหรอ”
“มาถึงตั้งแต่ 6 โมงแล้วล่ะ”
“อืม งั้นหรอ”
พอพูดจบไม่นานนักอาจารย์ก็เข้ามาในห้องแล้วเริ่มสอนทันที แต่ผมก็ยังคงเหม่อแล้วคุยกับชิบารุในใจ
“6 โมงครึ่งหรอ เช้ามากเลยนะ”
“นั่นเวลาตื่นเอ็งเลยนี่นะ ต้องมาให้ไล่เลี่ยเธอนะเว้ยจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น”
“อืม ผมจะพยายาม ถ้าผมไม่ตื่นช่วยปลุกผมด้วยนะ”
“เฮ้ สนใจเรื่องที่เรียนหน่อยสิ”
“เอะ อา อืม”
ผมลนลานเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ เธอก็ทักมาเตือนผมโดยที่ไม่หันมามองด้วยซ้ำ พลางจดเนื้อหาเรียนไปด้วย เพราะเธอจดสิ่งที่เรียนทุกอย่างหรือเปล่านะ ถึงได้เก่งขนาดนี้
แล้วเมื่อผ่านไปตอนเที่ยงผมก็ยังไม่ลุกออกไปทันที แล้วรอดูของที่เธอเอามาเผื่อจะได้เป็นแนวทางว่าจะเอาอะไรมาดี เธอก็เห็นผมมองอยู่แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วเปิดข้าวกล่องมาตามปกติ
เป็นของที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ผมยิ้มออกมาร่าเริงแล้วค่อยลุกออกจากห้องไป ถ้านั่งกินข้าวด้วยกันแล้วทำให้สนิทด้วยมากขึ้นก็ดีสิ
เมื่อกลับไปถึงบ้านผมก็เก็บของรอเวลาทานข้าวเย็น ในตอนที่หาอะไรทำไปเรื่อยก็เจอกับพี่ไคมะเข้า พี่ไคมะเลยยิ้มกว้างและเดินมาหาผม
“โอ้ เจอเรื่องดีๆ มางั้นหรอ ยิ้มซะหน้าบานเชียว”
“ผม...ทำหน้าแบบนั้นหรอ”
“ใช่ๆ นายยิ้มซะหน้าเคลิ้มเชียวล่ะ ไหนบอกพี่ชายคนนี้สิว่าเจอเรื่องอะไรดีๆ มา หรือว่า~”
พี่ไคมะพูดแล้วหรี่ตาลงจนผมเหงื่อตกเล็กน้อยแล้วเขาก็เข้ามากอดคอผมและถามใกล้หูกว่าเดิมในเชิงแหย่เล่น
“หรือว่า นายมีสาวที่ชอบแล้วงั้นหรอ~”
ผมเงียบแต่ว่ามีความรู้สึกแบบเดียวกันกับตอนที่ชิบารุบอกว่าผมชอบเธอ พอพี่ไคมะเห็นแบบนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าแปลกใจทันที
“จริงหรอเนี่ย ไปโรงเรียนแค่สองวันก็มีคนที่ชอบแล้วหรอสุดยอดเลยแฮะนายเนี่ย”
“ยะ- ยังไม่มั่นใจหรอกว่าชอบหรือเปล่า...”
ผมตอบบอกไปพร้อมกับกลอกตาไปมาด้วยความลนลาน
“เห๋~ จะจริงหรอ ยังไม่มั่นใจแต่ก็หน้าแดงใหญ่เลยนะ”
“งื้อ~ ผมกับเธอยังรู้จักกันไม่นานเลยนะ”
“ฮ่าๆ งั้นหรอ เอาเถอะเรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลาล่ะนะถึงจะเข้าใจ แต่ก็นะ ยิ่งรู้ตัวเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี จำคำนี้ไว้ล่ะ”
“อะ- อืม”
หลังจากนั้นพี่ไคมะก็โบกมือให้แล้วเดินจากไป หลังจากกินข้าวเสร็จทุกคนก็คุยเรื่องต่างๆ กันไปเรื่อยเปื่อย ผมก็รอจังหวะที่จะขอข้าวกล่องไปเรียน
ในตอนที่ผมทำท่ากระอักกระอ่วนเพราะหาจังหวะไม่ได้ พี่ซาจิที่สังเกตเห็นก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและหันมาพูดกับผม
“มารุดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างนะ มีอะไรหรือเปล่า”
เมื่อทำแบบนั้นท่านพ่อก็หยุดพูดแล้วหันมาจ้องเขม็งมาที่ผมทันที ผมสะดุ้งเฮือกใหญ่แต่พี่ซาจิก็คอยให้กำลังใจผ่านรอยยิ้มและสายตา ผมจึงค่อยๆ พูดออกมา
“ผม...อยากเอาข้าวกล่องไปที่โรงเรียนครับ”
“ทำไมล่ะ”
ท่านพ่อยังคงมองตาขวางใส่ผมไม่เลิกแล้วถามกลับมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง ผมจึงหันหน้าหนีพร้อมกับตอบไปด้วย
“ผะ- ผม...แค่อยากกินในห้องเงียบๆ ไม่ค่อยมีคนครับ”
ผมโกหกออกไปด้วยเหตุผลที่พึ่งนึกออก ดวงตาสั่นไปหมดหอบหายใจแรงและเหงื่อตก ได้แต่หวังว่าท่านพ่อจะไม่โกรธผม ไม่นานนักท่านพ่อที่จ้องอยู่ก็ถอนหายใจและพูดต่อ
“ช่างเถอะ จะให้พ่อครัวเตรียมไว้ให้แต่เช้า อยากได้แบบไหนก็เลือกเอาแล้วกัน”
“ขะ- ขอบคุณครับ!”
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จผมก็รีบเข้านอนทันทีโดยที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เช้ากว่าเดิม พอตื่นขึ้นมาก็รีบอาบน้ำแต่งตัวและไปเอาข้าวกล่องที่เตรียมไว้ทันที
ในตอนที่กำลังออกจากคฤหาสน์ก็เจอกับท่านพ่อพอดี จริงสิท่านพ่อยังโกรธอยู่หรือเปล่านะ ในตอนนั้นท่านพ่อก็ทำสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
“ไหนว่าไม่อยากไปเรียนไง ทีนี้ล่ะไปเร็วจังเลย”
“ปะ- เปล่าครับ...”
เพราะรอบก่อนโดนขึ้นเสียงใส่ผมเลยตอบท่านพ่อแบบเสียงสั่นเล็กน้อยและหลบหน้า ท่านพ่อจึงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“ช่างเถอะ ถ้ามีแรงจูงใจให้ไปก็ดีแล้วล่ะ”
พอพูดจบท่านพ่อก็เดินจากไปโดยไม่ว่าอะไรต่อ ผมจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วก็ขึ้นรถไปโรงเรียน
พอเธอเห็นผมมาเร็วกว่าปกติก็มีสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะไม่พูดอะไรแล้วอยู่เงียบๆ ต่อไป พอถึงตอนเที่ยงหลังคนอื่นออกไปกันหมดแล้วผมก็นำข้าวกล่องขึ้นมา
เธอตกใจมากจนดูน่าตลกเลยล่ะ แต่ผมไม่ได้พูดอะไรก่อนจะถามเธอต่อ
“ผมขอนั่งกินข้าวด้วยได้ไหม”
“...ทำตามใจเถอะ”
เธอกลับมามีสีหน้าราบเรียบเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว ผมจึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจและพยายามหาหัวข้อมาชวนเธอคุย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผ่านไป 2 อาทิตย์วันก่อนขึ้นสัปดาห์ใหม่ท่านพ่อก็ทักผมอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง
“มารุเริ่มคิดเรื่องการเรียนต่อสู้แล้วรึยัง”
“ยังครับ ผม-”
“ไม่เกี่ยวว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ยังไงแกก็เป็นเจ้าชายของประเทศนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกแกจะต้องปกป้องประเทศของเราไว้”
“...ครับ”
“เก็บไปคิดด้วยล่ะ พรุ่งนี้ก็จะเริ่มเรียนเวทมนตร์แล้ว ไม่หาคู่หูที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันล่ะ เหมือนซาจิกับไคมะไง”
ท่านพ่อพูดพลางเหลือบไปมองพวกพี่ที่นั่งอยู่ในห้องที่ส่งยิ้มมาให้ผมด้วยความร่าเริง พวกพี่น่ะเป็นคู่หูที่ปิดจุดอ่อนของกันและกันจนหมด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ฝ่าฟันมันไปได้
“แกเองก็คงมีเพื่อนแล้วไม่ใช่หรอ ถึงได้ดูสนุกไปกับโรงเรียนขนาดนี้”
“อะ เอะ...”
“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอที่เข้ากับโรงเรียนใหม่ได้”
จู่ๆ ท่านพ่อก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแห้งๆ แทน สีหน้าก็ผ่อนลงน้ำเสียงก็นุ่มขึ้นจนผมปรับตัวตามไม่ทัน แล้วพี่ไคมะก็หัวเราะคิกคัก พี่ซาจิก็ยิ้มและพูดต่อ
“ที่จริงตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาท่านพ่อเขาเป็นห่วงว่ามารุจะเข้ากับที่โรงเรียนไม่ได้น่ะ พอเห็นน้องกระตือรือร้นไปโรงเรียนแบบนี้เลยโล่งใจ”
พอพี่ซาจิพูดแบบนั้นท่านพ่อก็ใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางไปกับโต๊ะและก็ทำหน้ามุ่ย นี่ท่านพ่อเป็นห่วงผมงั้นหรอ ในตอนนั้นเองพี่ไคมะที่หยุดหัวเราะก็ทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างออกแล้วพูดกับผม
“จริงสิสาวที่นายชอบไง อาจจะเข้ากับนายได้ก็ได้นะ พลังน่ะ”
ผมสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันทีเพราะพอพี่ไคมะพูดแบบนั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบไปหมด สายตาจากท่านพ่อเปลี่ยนไปอีกแล้ว
“อย่าบอกนะว่าที่อยากไปอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะผู้หญิงงั้นเรอะ”
“คะ- ครับ...”
พอโดนกดดันแบบนั้นผมจึงตอบไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ด้วยน้ำเสียงสั่นๆ พี่ไคมะเองก็โดนพี่ซาจิใช้มือสับที่หัวไป แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ท่านพ่อถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“พอล่ะ อย่าให้เรื่องเรียนเสียก็แล้วกัน อย่างน้อยมันก็ทำให้แกไปเรียนได้ทุกวันล่ะนะ”
ท่านพ่อลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปโดยที่ยังมีสีหน้าเหนื่อยๆ พร้อมทั้งกุมขมับไปด้วย ผมกับพวกพี่เลยแยกกันกลับห้องของตัวเอง ถ้าพลังของผมกับเธอเข้ากันได้งั้นหรอ...
“เรียนต่อสู้อาจจะไม่แย่แบบที่คิดก็ได้”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันต่อมาในคาบแรกที่เป็นเรียนฝึกต่อสู้นั้นผมก็ได้แต่นั่งตกตะลึงอยู่เงียบๆ เพราะตัวของเธอนั้นมีค่าพลังอยู่ที่ 0 หรือก็คือวิญญาณสัตว์เทพไม่ยอมทำสัญญาให้ใช้เวทมนตร์นั่นเอง
“น่าตกใจนะเนี่ย ไม่คิดว่าแม่หนูนั่นจะได้ทำสัญญาเวทมนตร์”
“ผมก็ตกใจเหมือนกัน”
“แล้วคิดยังไงกับเธอล่ะ”
“...ไม่รู้สิ แปลกเฉยๆ ล่ะมั้ง ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้มากกว่านั้น”
“แบบนั้นแหละ อย่าไปคิดมากเรื่องเล็กน้อยเลย!”
“อื้ม!”
ผมพูดแบบนั้นกับชิบารุแล้วเดินกลับห้องทันทีหลังเปลี่ยนชุดเสร็จ เธอดูซึมเล็กน้อยนะหลังจากตรวจพลังเสร็จจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ
หลังจากจ้องมองเธอมาตลอด 2 สัปดาห์ก็เริ่มจับทางสีหน้าเธอได้แล้วล่ะว่ารู้มีความรู้สึกประมาณไหน พอกลับไปถึงห้องเธอกลับทำสีหน้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่ว่า...เธอดูงดงามยิ่งกว่าเดิม เธอในตอนนี้กำลังยิ้มอยู่ จนผมพลอยยิ้มตามพร้อมกับหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะชวนให้รู้สึกสบายใจ
“มีเรื่องอะไรดีๆ งั้นหรอ ยิ้มใหญ่เลย”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
แต่พอผมทักเธอไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว เธอก็กลับมามีสีหน้าแบบปกติทันที ไม่สิ ดูหงุดหงิดนิดหน่อยด้วย...ผมก็อยากให้เธอมองผมแบบเมื่อกี้ด้วยจัง
“แล้วนายคิดยังไงกับฉันล่ะ”
“อะ เอ๋!”
ผมลนลานแล้วใบหน้าก็ร้อนผ่าวอีกครั้ง ผะ- ผมควรตอบเธอยังไงดี ในตอนที่ร้อนรนผมก็รู้สึกได้ว่าชิบารุกำลังเชียร์ให้สารภาพรักไป ในตอนนั้นเองเธอคนนั้นก็ทำสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ก็เรื่องพลังของฉันไง”
เอะ เรื่องนั้นหรอกหรอ ละ- โล่งอกนึกว่าเธอจะรู้แล้วซะอีก แถมนี่ยังเป็นครั้งแรกด้วยที่เธอชวนผมคุยก่อน ผมสงบสติลงก่อนจะค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดในหัวออกมา
“ก็--”
“เอาล่ะทุกคนนั่งที่”
แล้วครูสอนคาบต่อไปก็เข้ามาในห้อง เธอก็เมินผมและไปสนใจหน้ากระดานทันทีโดยไม่รอคำตอบจากผมเลย ได้โอกาสเหมาะๆ ค่อยบอกเธอแล้วกัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ