Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim อัศวิน แห่ง รุ่งอรุณ ตอน อุบัติการณ์ แห่ง เนฟีลิม
-
เขียนโดย The_Emperor
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.50 น.
13 ตอน
6 วิจารณ์
11.53K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 09.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) พานพบกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความKnight of the dawn: The Awakening of Nephilim
บทที่ 9 : พานพบกัน
“กระสุนสกัดจุดพลังเวทมนตร์น่ะ โทษที” คริสตัสกล่าวออกมาพร้อมกับปาดเหงื่อของตัวเอง กระสุนสกัดจุดพลังเวทมนตร์ทำให้พวกนักเวททั้งหลายต้องพบจุดจบมานักต่อนักแล้ว มันจะทำการสกัดกลั่นไม่ให้นักเวทรวบรวมพลังเพื่อร่ายมนตร์คาถาได้สำเร็จ
“เป้าหมายถูกกำจัดเรียบร้อยแล้ว” คริสตัสวิทยุบอกทุกคนในทีม ทำให้เอ็ดมันด์ร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ดีมากคริสตัส พวกเราไม่ต้องออมมือ เรซจัดของใหญ่ไปได้เลย!”
เรซทำท่าตะเบ๊ให้เอ็ดมันด์ ก่อนที่จะเปลี่ยนจากปืนลูกซองเป็นปืนอาร์พีจีที่เธออยากใช้มานานแล้ว
“คราวนี้ไม่มีใครคุ้มกะลาหัวแกแล้ว บ๊ายบายนะเจ้าหน้าขน!” เรซระดมยิงอาร์พีจีใส่เจ้าคิเมียร่ายักษ์นั่นไม่ยั้ง
อสุรกายยักษ์นั่นพยายามจะหนีการโจมตีอันหนักหน่วงนี้ แต่มันก็หนีไม่พ้น มันถูกลูกระเบิดอาร์พีจีระเบิดจนมันสลายหายไปกลายเป็นเพียงฝุ่นละอองสีดำดังเดิมที่นายของมันอัญเชิญมา
“ดูเหมือนผู้อัญเชิญของแกจะไปแล้วสินะ” การ์เน็ตชายหนุ่มผมสีแดงเพลิงร้องขึ้นมา เขาพุ่งเข้าหาเจ้าบาซิลิสก์ยักษ์แล้วใช้กระบองไฟฟ้าของตนเสียบเข้าที่หน้าผากของยักษ์ ทำเอางูยักษ์นั่นดิ้นพล่าน ๆ
“จารย์! จะทำอะไรก็ทำเลยครับ!” อดีตลูกศิษย์ตะโกนบอกอาจารย์หนุ่มที่เตรียมการของเขาจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว
“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดรับตัวลูกแกะที่หลงทางนี้ เข้าสู้อ้อมกอดของพระองค์ด้วย”
พอเสร็จบทสวดวิญญาณ เดวิดก็ทำการจุดไฟให้กับปืนใหญ่ของเขาที่ลงทุนเสียเวลาร่ายมนตร์ไปนานพอสมควร โชคดีที่การ์เน็ตเป็นคนมาช่วยเขาล่อความสนใจบาซิลิสก์จนเขาสร้างปืนใหญ่นี้สำเร็จ
ลูกกระสุนเท่ามูลช้างพุ่งตรงให้เข้าบาซลิสก์นั่นและระเบิดออกทันที ส่งผลให้หัวและลำตัวของงูยักษ์ขาดออกจากกันทันที ร่างของทันก็สลายหายไปกลายเป็นฝุ่นละอองสีดำและปลิ้วหายไปสายลม ทิ้งเอาไว้เพียงรอยการต่อสู้บางส่วนที่บ่งบอกว่าเคยมีมันอยู่ตรงนั้น
“โห จารย์ยังเท่เหมือนเดิมเลยอ่ะ” อดีตลูกศิษย์ของเดวิดชูนิ้วโป้งให้กับเขา นั่นจึงทำให้เขาถอนหายใจออกมา
“เธอเองก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลยนะการ์เน็ต”
“เก่งใช่ไหมล่ะ!” การ์เน็ตยิ้มแป้นให้เดวิด ดูเข้าสิปากจะฉีกถึงหูไปแล้วมั้งน่ะ
“เปล่า ประมาทคู่ต่อสู้เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน” ชายหนุ่มผมแดงเพลิงแทบจะสะดุดล้มเมื่ออดีตอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาพูดถึงข้อเสียที่โดนสมาชิกในทีมตำหนิประจำ
“โธ่ จารย์ก็! แบบนี้ผมเสียหายนา” ตัดพ้อเจ้าตัวก็พยายามเก๊กหล่อเหมือนเดิม
“เสียหายอะไร ก็มันเรื่องจริงทั้งนั้น” ความจริงการ์เน็ตก็เป็นหนึ่งในนักเรียนดีเด่นด้านการต่อสู้ระยะประชิดคนหนึ่งเลยแหละ แต่เพราะนิสัยที่ค่อนข้างใจร้อนของเขา ทำให้เขาประมาทคู่ต่อสู้ไปบ้าง
“โธ่ จารย์ เอ่อ ฮัลโล ๆ ว่าไงครับป๋า” การ์เน็ตกดหูงฟังของเขาเมื่อเอ็ดมันด์วิทยุหาเขา ชายหนุ่มมักจะโดนตาแก่หัวโล้นเฮนรี่บ่นเขาอยู่เป็นประจำ เรื่องที่เขาเรียกหัวหน้าทีมว่าป๋า แต่เขาไม่เห็นจะแคร์อะไรเลยในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้ว่าอะไรเขาเรื่องนี้
“อ๋อ จารย์เดวิดเหรอ เขาอยู่กับผมนี้แหละ มีไรฮะ” น้ำเสียงของการ์เน็ตจากตอนแรกที่สดใสร่าเริงก็เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่เคร่งเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาตอบรับเอ็ดมันด์สองสามคำก็หันมาหาเดวิดทันที
“จารย์ จารย์ยังเป็นแพทย์สนามอยู่ใช่ป่าว?”
ทันทีที่อดีตลูกศิษย์ผู้นี้ถามเขาแบบนั้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว
บนเรือเหาะส่วนตัวของบริษัทคิงสตันที่ส่งมารับหลานชายของผู้บริหารบริษัทคิงสตัน ตอนนี้อาเชอร์ได้แต่ห้องผ่านกระจกที่เป็นห้องสำหรับการรักษาพยาบาลเบื้องต้นบนเรือเหาะอยู่นานสองนานแล้ว
เลออสต้องรีบรักษาตัวด่วนที่สุด เพราะเขาเผลอสูดดมละอองมาร สสารอันตรายที่สามารถเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายร่างเป็นอสุรกายกลายพันธุ์ที่ไร้สติสัมปชัญญะได้ เขาเคยได้ยินพวกมิชชั่นนารีที่โบสถ์กล่าวถึงตอนที่พวกเขาเคยรักษาคนในหมู่บ้านที่เผลอสูดดมสสารพวกนี้เข้าไปจากบริเวณพื้นที่ที่พวกหมอผีใช้ทำพิธีกรรมมนต์ดำ แต่วันนี้เขาไม่นึเลยว่าคนที่โดนกลับเป็นคนที่ใกล้ตัวเขาเอง
ไฟสัญญาณหน้าห้องรักษายังไม่ดับลง นั่นเป็นการบ่งบอกว่าการรักษายังไม่เสร็จสิ้น ดร.เดวิดและแพทย์สนามของทีมบอดี้การ์ดที่ถูกส่งมาโดยท่านตาของอาเชอร์อย่างอควาฟรีน่า ลินน์ ซึ่งอยู่ในห้องรักษานั่นมาหลายชั่วโมงแล้ว
เด็กหนุ่มเป็นคนที่อาสาจะรอฟังผลการรักษาแทนท่านป้าของเขาเอง เพราะตอนนี้เมเทียเองก็ไม่สามารถที่จะนั่งรอนาน ๆ ได้เช่นกัน เพราะอาจารย์ประจำสถาบันกำชับว่าเธอต้องเข้าพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายเช่นกัน
อาเชอร์รู้สึกไม่ดีเลยที่การรักษายังไม่มีความคืบหน้าเลย ระหว่างที่เขากำลังนั่งรอฟังอาการของเลออสอยู่คนเดียว เอ็ดมันด์ออร์คหนุ่มร่างใหญ่ผู้เป็นหัวหน้าทีมในการช่วยเหลือเขาครั้งนี้ก็เดินมานั่งข้าง ๆ อาเชอร์
แต่ดูเหมือนเอ็ดมันด์จะลงน้ำหนักเยอะไปนิด เพราะเด็กหนุ่มรู้สึกได้เลยว่าที่นั่งของเขามันสะเทือนไปเล็กน้อยตอนที่ออร์คหนุ่มนั่งลงกับเก้าอี้
“โทษทีนะนายน้อย พอดีผมตัวใหญ่ไปหน่อยน่ะ” เอ็ดมันด์กล่าวกับอาเชอร์ด้วยรอยยิ้มนิด ๆ
“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับคุณเอ็ดมันด์ ผมเข้าใจ” เด็กหนุ่มกล่าวกับหัวหน้าทีมอย่างสุภาพ ก่อนที่จะหันไปมองกระจกหน้าห้องรักษาที่ปิดผ้าม่านอยู่
“นายน้อยไม่ต้องกังวลไปนะ เดวิดกับอควาฟรีน่าเป็นแพทย์สนามที่มีฝีมือทั้งคู่ สองคนนั่นน่ะเก่งมาตั้งแต่สมัยเรียนที่สถาบันแล้ว”
“เอ๊ะ? คุณเอ็ดมันด์ คุณอควาฟรีน่าเป็นเพื่อนกับดอกเตอร์เหรอครับ”
“อืม...เรียกว่านั่งเรียนข้างกันเลยดีกว่านายน้อย” คำบอกเล่าของเอ็ดมันด์ทำให้เด็กหนุ่มสนใจขึ้นมาบ้าง “ตอนนั้นมีผม เดวิด อควาฟรีน่า แล้วก็โซล่าร์นักธนูของเราอยู่ด้วยกันนายน้อย พวกเราอยู่ทีมเดียวกันกับเพื่อนอีกสองคน แต่ป่านนี้สองคนนั้นก็คงเป็นผู้บัญขาการกองทัพของทวินเทอร์และฮินเตอร์เลียแล้วล่ะมั้ง”
เด็กหนุ่มฟังเรื่องที่ออร์คหนุ่มตรงหน้าอย่างตั้งใจ
“พวกเราจะผ่านสนามรบมานับร้อยนับพัน แทบทุกครั้งที่บาดเจ็บทีมของพวกผมก็ได้สองคนนั้นช่วยมาตลอด หลายครั้งก็หนักจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่พวกเราก็รอดมาได้ทุกครั้ง ฉะนั้นครั้งนี้ก็เช่นกัน ท่านเลออสจะต้องปลอดภัยภายใต้การรักษาของพวกเขาแน่นอน”
ได้ยินคำรับประกันฝีมือจากผู้เป็นหัวหน้าทีม เด็กหนุ่มก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย
“จริงสิ แล้วพวกคุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเราติดอยู่ที่โคโลนิญ่า”
“อ๋อ เรื่องนั้นเดวิดเป็นคนแจ้งไปยังท่านคิงสตันนั่นแหละนายน้อย แล้วพวกเราก็ได้รับคำสั่งโดยตรงจากเขาเลย และเรื่องที่พวกเราพาตัวพวกนายน้อยมาจากที่ท่าเรือได้เลยก็เป็นท่านคิงสตันอีกเช่นกันที่เคลียร์เรื่องพวกนี้ให้ ไม่งั้นพวกเราคงโดนกัปตันเรือเหาะที่นายน้อยขึ้นมาด่าตามหลังไปนานแล้ว โทษฐานที่ทำผู้โดยสารของเขาหาย”
“อย่างนี้นี่เอง...”
บทสนทนาของทั้งคู่ก็ต้องจบลง เมื่อไฟหน้าห้องรักษาดับลง อาเชอร์เด้งตัวลุกจากเก้าอี้ทันทีที่แพทย์สนามทั้งสองเดินออกมาจากห้องรักษา
“ท่านลุงเป็นยังไงบ้างครับ?”
“ท่านองครักษ์พ้นขีดอันตรายแล้วล่ะอาเชอร์” เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขายังไม่พร้อมที่จะสูญเสียคนสำคัญไปตอนนี้จริง ๆ
“แต่ทางเราไม่ไว้วางใจง่าย ๆ หรอกกนะคะนายน้อย” คำพูดของอควาฟรีน่าทำเอาใจของเด็กหนุ่มกระตุกวูบไปครู่หนึ่ง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“พวกเรารักษาบาดแผลที่เกิดจากคิเมียร่าได้ และดึงละอองมารออกมาจากตัวคนไข้มาแล้ว แต่เพราะเขาสูดดมละอองมารพวกนั้นโดยตรง และสูดเข้าไปในปริมาณมาก พวกเราจึงไม่สามารถดึงละอองมารที่เข้าไปผสมกับเม็ดเลือดได้เลย เพราะอุปกรณ์เครื่องที่พวกเรามีอยู่ไม่สามารถแยกละอองมารกับเม็ดเลือดได้ในตอนนี้ ฉะนั้นพวกเราต้องจำเป็นที่จะต้องร่ายมนตร์ให้เขาอยู่ในภาวะจำศีลไปก่อน เพื่อเลือดในตัวเขาไหลเวียนช้าลง”
คำอธิบายของอควาฟรีน่าทำเอาอาเชอร์แทบจะล้มทั้งยืน ไม่คิดเลยว่าท่านลุงของเขาจะโดนเข้าไปหนักขนาดนั้น
โธ่ ท่านลุง...
“ถ้าพวกเราถึงที่ลินโด้ในพรุ่งนี้เช้า พวกเราคงจะต้องพาท่านองครักษ์ไปที่โรงพยาบาลใหญ่ทันที เพราะที่นั่นอุปกรณ์การแพทย์น่าจะครบครันกว่าตอนนี้” เดวิดอธิบายให้อาเชอร์และเอ็ดมันด์ฟัง “แต่ท่านองครักษ์จำเป็นจะต้องอยู่ในสภาวะจำศีลไปก่อน จนกว่าที่หมอจะเอาละอองมารออกจากเม็ดเลือดที่ปนเปื้อนได้ทั้งหมด”
เด็กหนุ่มมองชายวัยกลางที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ เขาหายใจเข้าออกสม่ำเสมอดูแล้วเหมือนคนที่นอนหลับไปเฉย ๆ แต่ใครจะรู้เล่า ว่าภายในร่างกายของเขากลับมาสสารอันตรายปะปนในเลือดของเขาเต็มไปหมด เดวิดเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของเด็กหนุ่ม ก็แตะไหล่ของเด็กหนุ่มเบา ๆ
“ท่านองครักษ์น่ะเป็นคนที่แข็งแกร่งและไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ อยู่แล้ว เธอเองก็รู้ใช่หรือไม่อาเชอร์”
จริงด้วยแฮะ...ท่านลุงของเขาเป็นคนที่เข้มแข็งมาก และเขาเองก็ไม่ใช่ที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ด้วย
“ผมก็หวังว่าคราวนี้ เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองแพ้ละอองมารนั่นครับดอกเตอร์” อาเชอร์ยิ้มตอบเดวิด ก่อนที่พวกเขาจะมองดูเลออสที่ดูเหมือนนอนหลับไปเฉย ๆ อีกครั้ง
สู้ ๆ นะ ท่านลุง พวกข้ารอท่านกลับมาอยู่...
แม้ว่าพวกอาเชอร์จะออกมาจากท่าเรือเมืองโคโลนิญ่ามานานแล้ว แต่พวกทหารประจำเมืองยังคงวุ่นวายกับเศษที่หลงเหลือจากการต่อสู้อยู่ พวกเขากำลังตรวจหาหลักฐานของผู้กระทำผิด แต่พวกเขากลับไม่เจอร่องรอยอะไรเลยที่สามารถบ่งชี้ถึงตัวผู้ก่อเหตุ นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกมืดแปดด้านมานานนับหลายชั่วโมง
ว่าแต่ใครมันกระหน่ำระเบิดอาร์พีจีเล่นวะ เอาซะพื้นที่โดยรอบเละไม่มีชิ้นดีเลย...
เพราะอย่างนี้ไงล่ะพวกเขาถึงหาหลักฐานอะไรไม่ได้เลย ให้ตายสิ!
“หัวหน้าครับ! พอศพผู้เสียชีวิตรายหนึ่งครับ”
อ่า ในที่สุดสวรรค์ก็เข้าข้างพวกเขาแล้ว เพราะนอกจากศพของทหารที่ถูกสัตว์ใหญ่บางชนิดสังหารไป พวกเขาก็ไม่เจอหลักฐานอื่นเพิ่มเติมเลย
“อยู่ที่ไหนกันล่ะ?”
“ห่างจากตรงไปสามกิโลเมตรครับ!” ได้ยินดังนั้นหัวหน้าทีมกองปราบก็รีบตามผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไปทันที ร่างของผู้เสียชีวิตรายนี้อยู่ห่างจากที่เกิดเหตุไปสามกิโลเมตรอย่างที่นายทหารผู้นี้รายงานมาจริง ๆ ซึ่งผู้หญิงชีวิตเป็นผู้หญิงที่มีรอยกระสุนสองจุดตรงหัวไหล่ข้างซ้ายและกลางหน้าผาก ดูจากสภาพศพแล้ว คาดว่าน่าจะโดนยิงด้วยไรเฟิลก่อนที่จะตกมาจากที่สูง
“อืมหืม...ดูไม่จืดเลยแฮะ” หัวหน้ากองปราบถึงกับเบ้หน้าทันทีที่เห็นร่างของผู้เสียชีวิต ซึ่งเรียกได้ว่าสภาพนั้นดูไม่จืดเลย
“นิโคลอฟ แจ้งกลับไปยังศูนย์บัญชาการด้วยว่าตอนนี้เราพบศพผู้เสียชีวิตเพิ่มมาอีกหนึ่งราย เอ๊ะ!” ในระหว่างที่เขากำลังสั่งการลงไป จู่ ๆ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังจับข้อเท้าเขาอยู่
“เหวอ!!!” หัวหน้าทีมกองปราบผู้นั้นหวีดร้องด้วยความตกใจอย่างสุดขีด เมื่อคนที่จับข้อเท้าของเขานั้น คือร่างของผู้เสียชีวิตคนนั้นเอง
“อ้ากกกก!” เชาตกตะลึงได้ไม่นาน จู่ ๆ เขาก็ร้องลั่นออกมาด้วยความเจ็บปวดและล้มลงไปกองกับพื้น และไม่นานตัวของเขาก็แห้งและเหี่ยวลง จนกระทั่งตัวของหัวหน้าทีมกองปราบนั้นไม่ต่างอะกับศพมัมมี่
“ปีศาจ! ปีศาจ!” เหล่าลูกน้องของหัวหน้าทีมกองปราบวิ่งเผ่นกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง แต่โชคร้ายที่บางคนถูกร่างของผู้เสียชีวิตนั่นเข้าประชิดตัว และถูกทำให้เป็นแบบเดียวกันกับร่างของหัวหน้าทีมกองปราบ
เสียงร้องโหยหวนขึ้นไม่ขาดสาย ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงไป หญิงสาวในชุดคลุมสีดำเดินผ่านซากมัมมี่ไป บางครั้งหล่อนก็เหยียบหรือไม่ก็เตะซากมัมมี่พวกนั้นไปอย่างไม่ไยดี
“แสบนักนะ ยัยมือปืนเวทมนตร์” น้ำเสียงแหบแห้งของเธอสบถออกมาอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะใช้พลังชีวิตที่เธอดูดมาดันกระสุนไรเฟิลออกมาทั้งสองจุด จนตอนนี้ร่างกายของเธอไม่มีบาดแผลใด ๆ หลงเหลือเอาไว้อีกเลย ทุกอย่างเงียบสงบเพราะเธอจัดการดูดพลังชีวิตของพวกมันมาจนหมดเกลี้ยงไปแล้ว ทว่าท่ามกลางความเงียบสงบนั้นเธอก็ได้ยินเสียงใครบางคนเผลอทำของบางอย่างตกลงกับพื้น
“ใคร!” เธอหันขวับไปยังต้นเสียง เธอก็พบนายทหารหน้าตาละอ่อนมองเธออย่างหวาดกลัว ดูแล้วน่าจะยังอายุไม่มากนัก
“โอ้ กลัวฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอจ๊ะพ่อหนุ่มน้อย...” เธอก้าวเดินไปหานายทหารหนุ่มผู้นั้นอย่างช้า ๆ
ทหารหนุ่มผู้นั้นถอยห่างจากเธอด้วยความหวาดกลัวจนขีดสุด เขาถอยหนีจากเธอไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลังของเขาก็ชนเข้าให้กับกำแพง
“อ...อย่าเข้ามานะ” นายทหารหนุ่มตัดสินใจชักดาบออกมาขู่หญิงสาวตรงหน้า แต่เธอกลับไม่มีทีท่าหวาดกลัวแต่อย่างใด ตรงกันข้ามในสายตาของเธอ นายทหารผู้นี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่แอบเอาดาบของบิดามาเล่น
“เธอคิดว่าของพรรค์นั้นจะทำอะไรฉันได้หรือไง” หญิงสาวผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เพียงแค่พริบตาเดียวเธอก็หายไปแล้ว
นายทหารผู้น่าสงสารพยายามมองซ้ายทีมองขวาที แต่เขาก็ไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว นั่นจึงทำให้สมองของเขาสั่งการให้ขาทั้งสองข้างวิ่แบบไม่คิดชีวิตทันที
“จะรีบหนีไปไหนเหรอจ๊ะ?” แต่แล้วจู่ ๆ นางก็ปรากฏตรงหน้าเขาอีกครั้ง ชั่วพริบตาเดียวเธอหายเข้าไปในร่างของนายทหารผู้นี้ แววตาของเขาเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่าในนั้น และเขาก็เดินออกจากที่เกิดเหตุหายวับไปกับกลุ่มหมอกควัน ทิ้งเอาไว้แต่ซากมัมมี่แห้งกรังที่นอนทับกันสะเปะสะปะไปทั่วบริเวณนั้น
แสงแดดยามเช้าสาดส่องมายังท่าเรือเมืองเอลริน ท่าเรือหลักของสาธารณรัฐลินโด้ หนึ่งในมหาอำนาจประจำภูมิภาคยูโรเปียนตะวันตกเฉียงใต้
ชาวบ้านในเมืองเอลรินต่างก็ออกจากบ้านช่องของตนเพื่อเริ่มทำงาน แม้ว่าจะยังเป็นเวลาเช้าอยู่แต่ตามท้องถนนในเมืองนั้นกลับพลุกพล่านไปด้วยประชาชนชาวเอลรินและคนต่างที่พื้นที่ที่มาทำงานในเมืองท่าแห่งนี้ เช่นเดียวกันกับท่าเรือเหาะของเมืองเอลรินที่ขณะนี้มีเรือเหาะจากหลากหลายสัญชาติมาลงเทียบท่า ไม่ต่างจากทุกวันที่ผ่านมา
เรือเหาะส่วนตัวของบริษัทคิงสตันค่อย ๆ ลงจอดเทียบกับท่าเรือจนกระทั่งเรือเหาะเทียบท่าลงบนผิวน้ำ ทันทีที่เรือเหาะมาเทียบท่า ผู้โดยสารด้านในก็รีบเข็นเตียงผู้ป่วยรายหนึ่งออกมา
“ทางโรงพยาบาลจะมารับเขาไปหรือยังครับ?” อาเชอร์ถามอาจารย์หนุ่มประจำสถาบัน
“ไม่น่าจะนานนักหรอก ก่อนที่จะเข้าเขตน่านน้ำลินโด้ฉันติดต่อกับโรงพยาบาลใหญ่เอาไว้แล้ว”
ยังไม่ทันจะขาดคำ เสียงไซเรนก็ดังขึ้นมาพร้อมกับรถพยาบาลที่เคลื่อนที่ด้วยระบบสนามพลังแม่เหล็กขับเข้ามาจอดบริเวณเรือเหาะของพวกเขา พวกเจ้าหน้าที่ในรถพยาบาลออกมาเข็นเตียงของเลออสขึ้นรถไป
“พวกคุณไปพบนายท่านคิงสตันที่คฤหาสน์เถอะค่ะ เดี๋ยวทางนี้ฉันดูแลเองค่ะ” อควาฟรีน่าพูดกับอาเชอร์และเมเทียที่ทำท่าจะขึ้นรถพยาบาลตามไปด้วย ตอนแรกอาเชอร์ลังเลใจ แต่สุดท้ายเมเทียก็เป็นคนบอกเด็กหนุ่มว่าตอนนี้เลออสถึงมือหมอแล้ว พวกเขาไปที่โรงพยาบาลตอนนี้ ก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากรอเวลาเท่านั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องไปนานเท่าไหร่ด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้เด็กหนุ่มจึงได้แต่ปล่อยให้อควาฟรีน่าและรถพยาบาลนำเลออสไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลในเมืองหลวง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองท่าแห่งนี้
“ท่านลุงของเจ้าไม่เป็นอะไรแน่ ๆ อาเชอร์ ข้ามั่นใจ” เธอเชื่อมั่นในตัวคู่หูของเธอมาตลอด แม้ว่าครั้งนี้อาจจะต้องใช้ความเชื่อมั่นและความหวังมากกว่าทุกครั้งก็ตาม เด็กหนุ่มได้แต่มองดูรถพยาบาลขับออกจากท่าเรือเรือเหาะไปจนลับตา และภาวนาให้ท่านลุงจะดีขึ้นในเวลาไม่ช้า
รถลีมูซีนที่เคลื่อนที่ด้วยระบบสนามพลังแม่เหล็กถูกส่งมารับนายน้อยคนสำคัญของประธานบริษัทถึงท่าเรือแห่งนี้ พวกทีมบอดี้การ์ดตกลงกันเอาไว้ว่า การ์เน็ตและเฮนรี่จะเป็นคนนั่งในรถกับพวกอาเชอร์ ซึ่งเฮนรี่จะนั่งตรงเบาะหน้าข้างคนขับ ส่วนการ์เน็ตจะนั่งด้านหลังคนขับ ส่วนพวกอาเชอร์ก็นั่งตรงเบาะวีไอพี และคนอื่น ๆ ในทีมก็จะนั่งรถตามหลังไป ยกเว้นเอ็ดมันด์ที่จะนั่งรถนำทางไป
“ดอกเตอร์จะกลับสถาบันเลยเหรอครับ?”
“ใช่แล้วล่ะอาเชอร์ ตอนนี้ภารกิจนำตัวเธอมาที่ลินโด้สำเร็จแล้ว ฉันต้องกลับไปที่สถาบันเพื่อรายผล และก็ต้องเตรียมการสอบคัดเลือกนักศึกษาใหม่ด้วย” อาจารย์หนุ่มสวมหมวกปีกกว้างของตนก่อนจะยิ้มให้อาเชอร์กับเมเทีย ตอนนี้ภารกิจของเขาลุล่วงไปแล้ว
“ดูแลพวกเขาด้วยนะเอ็ดมันด์ ฉันต้องรีบไปแล้ว”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่าเพื่อนยาก ลินโด้เป็นศูนย์กลางของอัศวินแห่งรุ่งอรุณอยู่แล้ว ไม่มีใครทำอันตรายพวกเขาได้แน่นอน” ทั้งคู่จับชนหมัดกันเหมือนกับตอนที่พวกเขายังเป็นนักศึกษากันอยู่ เดวิดโบกมือลาทีมบอดี้การ์ด และไม่ลืมที่จะบอกลาเมเทียและอาเชอร์ด้วย
“ผมไปแล้วนะครับ่ทานนักเวท”
“อืม ขอบใจเจ้ามากนะเดวิด” เธอขอบใจคุณเดวิดจากใจจริง ๆ นับตั้งแต่ที่พวกเขายังอยู่ในโชซอนจนมาถึงตอนนี้ ถ้าไม่ได้เดวิดช่วยเอาไว้ เธอเองก็ไม่คิดว่าทั้งเธอและเลออสจะพานายน้อยกลับมายังลินโด้ได้อย่างไร
“แล้วเจอกันที่สถาบันนะอาเชอร์”
“ได้เลยครับดอกเตอร์ ผมจะต้องเป็นนักศึกษาใหม่ของสถาบันอัศวินแห่งรุ่งอรุณให้ได้แน่ ๆ ครับ” เดวิดชอบในความมุ่งมั่นและตั้งใจของอาเชอร์มาก ๆ คุณสมบัติข้อนี้ เป็นคุณสมบัติที่ทางสถาบันต้องการมาก ๆ เดวิดหวังเอาไว้ว่าอาเชอร์จะผ่านบททดสอบทั้งหมดของสถาบัน และเขาเองก็มั่นใจมาก ๆ ด้วยว่า อาเชอร์จะต้องผ่านบททดสอบทั้งหมดแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้น ผมลาทุกคนตรงนี้นะครับ” เดวิดก้าวขึ้นเรือเหาะอีกลำหนึ่ง เรือเหาะลำนั้นขึ้นสู่ท้องฟ้า และทะยานออกจากท่าเรือ เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางที่อาเชอร์อยากไปมากที่สุด
สถาบันอัศวินแห่งรุ่งอรุณ
“พวกเราไปกันเถอะ” เมเทียเอ่ยกับอาเชอร์ที่มองเรือเหาะลำนั้นทะยานออกไป เขาได้แต่คิดในใจว่า เขาจะต้องได้ขึ้นเรือเหาะลำนั้นไปที่สถาบันแน่นอน
หลังจากที่เมเทียและอาเชอร์ได้ขึ้นรถคันหรูและเดินทางออกจากท่าเรือ เด็กหนุ่มก็ค้นพบว่า ทุกอย่างในเมืองใหญ่ของลินโด้เต็มไปด้วยอาคารและสิ่งที่ดูล้ำสมัยเยอะแยะเต็มไปหมด ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า แม้จะมีอาคารแบบโคโลเนียลอยู่บ้าง แต่ก็น้อยเต็มที และน่าประหลาดที่ตึกโคโลเนียลพวกนี้ไม่ได้ดูขัดตากับพวกตึกสูงระฟ้าที่ดูล้ำสมัยเลยสักนิด
ทุกคนที่นี้สัญจรไปมาโดยใช้รถยนต์ที่เคลื่อนที่ด้วยพลังสนามแม่เหล็กกันแทบทั้งนั้น ไม่ได้จะเป็นรถขนส่งสาธารณะขนาดใหญ่ ไปจนถึงขนาดที่ใกล้เคียงกับจักรยานที่เขารู้จัก แต่มันใหญ่กว่าจักรยานไปมากพอสมควร การ์เน็ตที่นั่งในรถกับเมเทียและอาเชอร์บอกพวกเขาว่ามันคือ แม็กเน็ตไบท์ แม้จะขนาดเล็กกว่ารถยนต์ แต่บางรุ่นที่ผลิตออกมาเร็วเกือบ ๆ จะเท่ากับรถยนต์เลยก็มี แถมที่สถาบันยังสั่งผลิตแม็กเน็ตไบท์สำหรับอัศวินแห่งรุ่งอรุณโดยเฉพาะเวลาที่ต้องออกปฏิบัติภารกิจอีกด้วย
อาเชอร์พูดคุยกับการ์เน็ตหลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องที่เขายังเป็นนักศึกษาอยู่ ทั้งเรื่องที่ดร.เดวิดเป็นคนที่เฮี้ยบขนาดไหน ซึ่งก็ทำให้เด็กหนุ่มหัวเราะออกเมื่อการ์เน็ตทำท่ายังรู้สึกขนลุกอยู่เลยเมื่อนึกถึงตอนที่ก่อนเขาจะจบการศึกษา เพราะดร.เดวิดเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของกลุ่มพวกการ์เน็ต
คุยกันไปคุยกันมาก็ทำให้อาเชอร์สังเกตการ์เน็ตได้อย่างหนึ่งซึ่งนั่นก็คือ เขาเป็นคนที่ค่อนข้างไฮเปอร์ อยู่นิ่งไม่ได้ จนเพื่อน ๆ ในทีมบอดี้การ์ดต้องคอยเตือนเขาอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะลุง (ซึ่งยังไม่สามสิบแต่การ์เน็ตพอใจจะเรียกลุง) หัวโล้นนามเฮนรี่ ที่ตอนนี้หัวของแอบหันมาแขวะการ์เน็ตบางเป็นครั้งคราวจากเบาะนั่งข้างคนขับ แต่ถามว่าการ์เน็ตแคร์ไหม? แหงล่ะว่าไม่
คฤหาสน์ตระกูลคิงสตันอยู่นอกตัวเมือง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาต้องนั่งรถคันหรูออกมาจากเมืองแซนดาเรียซึ่งเมืองหลวงของลินโด้ เนื่องด้วยท่านคิงสตันผู้นี้ ไม่ชอบบรรยากาศที่วุ่นวายของเมืองหลวง ซึ่งสังเกตได้จากชาวบ้านที่อาศัยนอกเมือง บางส่วนยังคงใช้ม้าหรือรถม้าในการสัญจรไปมากันอยู่ และที่สำคัญต้นไม้ยังมีเยอะมากกว่าในตัวเมือง
ด้วยเหตุนี้อาเธอร์ คิงสตันจึงออกไปซื้อที่ดินที่อยู่นอกตัวเมือง เพื่อสร้างเป็นที่พักอาศัยให้เขาและภรรยาของเขาที่กำลังตั้งครรถ์ลูกสาวคนแรกอยู่ และปัจจุบันก็ยังใช้ชีวิตหลังเกษียณที่บ้านหลังนั้นกับภรรยาของเขาและลูกสาวคนสุดท้องนามว่าอเล็กซานดร้ากับลูกชายของเธออายุหกขวบนามว่า อเล็กซ์
อาเชอร์ได้ฟังเรื่องราวคร่าวเกี่ยวกับแม่ของเขาจากเมเทีย เอลิน่าเป็นลูกสาวคนกลางของอาเธอร์และอาร์เนียคิงสตัน ซึ่งเอลิน่ามีพี่สาวและน้องสาว คือ เอเดรียน่า และอเล็กซานดร้า ซึ่งคุณป้าของอาเชอร์หรือ เอเดรียน่า แต่งงานมีครอบครัวไปนานแล้ว
ส่วนอเล็กซานดร้า การ์เน็ตเล่าให้พวกเขาฟังว่า เธอเพิ่งจะแต่งงานไปไม่ถึงสิบปี และโชคร้ายที่สามีของเธอเกิดเสียชีวิตกระทันหัน เธอจึงถูกอาเธอร์และอาร์เนียขอร้องให้กลับมาอยู่กับพวกเขาที่คฤหาสน์ตระกูลคิงสตันต่อ เนื่องด้วยเป็นห่วงสภาพจิตใจของลูกสาวคนสุดท้อง นั่นทำให้เมเทียรู้สึกใจหายแวบ ๆ เมื่อรู้ว่านายหญิงอเล็กซานดร้าผู้ร่าเริงมีชะตากรรมเป็นยังหลังจากที่เธอไม่ได้ติดต่อมานาน
“อ่า ถึงซะที” หนุ่มผมแดงบิดขี้เกียจไปมา หลังจากที่พูดคุยกับเมเทียและอาเชอร์มาสักพัก พวกเขาก็มาถึงที่หมายจนได้
แค่ประตูทางเข้าคฤหาสน์อาเชอร์ก็พอจะเดาได้แล้วว่าท่านตาของเขานั้นเป็นคนรวยขนาดไหน ประตูรั้วที่ทำจากวัสดุโลหะสีดำราคาแพงมหาศาลถูกดัดเป็นลวดลายต่าง ๆ เช่นเหล่าเทวทูต และสัตว์นานาชนิดอย่างปราณีตตามสไตล์ศิลปะบาโรก ซึ่งดูเก่าแก่กว่าศิลปะแบบโคโลเนียลในตัวเมืองที่เขาเห็น
รถยนต์คันหรูวิ่งผ่านสวนขนาดใหญ่ที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากหลายสี และต้นไม้ที่พวกคนงานกำลังตัดแต่งกิ่งของมันอยู่ ถ้าให้อาเชอร์เดา ต้นไม้พวกนั้นน่าจะตัดตามรูปร่างของสัตว์วิเศษต่าง ๆ ทั้งฟีนิกซ์ที่อยู่ทางซ้ายมือ หรือฝูงม้ามีปีกอย่างเพกาซัสทางขวามือ เด็กหนุ่มรู้สึกทึ่งในฝีมือของคนงานเหล่านี้จริง ๆ ที่ตัดออกมาได้ละเอียดละออขนาดนี้
และแล้วรถยนต์ก็มาหยุดอยู่ที่โถ่งประตูของคฤหาสน์ เหล่าคนรับใช้รับต่างก็ยืนรออยู่ตรงนั้นแล้วทั้งสองข้างทาง ทันทีที่เฮนรี่เปิดประตูออกมาจาก เด็กหนุ่มก็ต้องสะดุ้งไปเล็กน้อยเมื่อเหล่าคนรับใช้ที่มาต้อนรับเขาโค้งคำนับให้เขาทุกคนและกล่าวต้อนรับเขาด้วยน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำ
“ยินดีต้อนรับนายน้อยอาเชอร์กลับมาถึงคฤหาสน์ขอรับ / เจ้าค่ะ”
เมเทียและทีมบอดี้การ์ดต่างก็รู้สึกขำขันกับท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ ของเด็กหนุ่ม ก็เขาโตมาแบบชาวบ้านธรรมดามาตลอด จึงไม่คุ้นชินเมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้
“เดี๋ยวเจ้าก็จะชินไปเองนั่นแหละ” เมเทียแอบกระทุ้งศอกเบา ๆ ใส่อาเชอร์ แล้วรีบดันตัวอาเชอร์ให้เดินไป
“เชิญทางนี้ได้เลยเจ้าค่ะ นายท่านและนายหญิงรอพบท่านอยู่” หญิงรับใช้ที่ดูแล้วค่อนข้างมีอายุและสวมชุดที่แตกต่างจากสาวใช้ผู้อื่นผายมือเชิญอาเชอร์ให้เดินตามไป
“เอ๊ะ คุณเทเซียร์ใช่ไหมคะ?” เมเทียเอ่ยทักทายสาวผู้นั้น ถ้าเธอจำม่ผิด สาวใช้อาวุโสผู้นี้ น่าจะเป็นคนรับใช้คนสนิทของนายหญิงอาร์เนีย นายหญิงของคฤหาสน์คิงสตันแห่งนี้
“เมเทีย...นั่นเจ้าเองรึเนี่ย โชคดีจริง ๆ ที่พบเจ้าอีกครั้ง เห้อ นี้มันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว เจ้ายังจำคนแก่ ๆ อย่างข้าได้อีกเหรอเนี่ย”
“ยินดีที่เราพบกันอีกครั้งนะคะ คุณเทเซียร์เองก็ยังไม่แก่ขนาดไหนซะหน่อย”
“ไม่ต้องชมกันหรอกแม่คุณ เอาเถอะเดี๋ยวเราค่อยคุยกันดีกว่า ตอนนี้นายท่านและนายหญิงรอพบนายน้อยอยู่” เทเซียร์ยิ้มมายังอาเชอร์ ทำให้อาเชอร์ยิ้มตอบเธอ และโค้งคำนับให้เธอด้วย
อ่า...มันทำให้เธอนึกถึงนายใหญ่แห่งตระกูลซาจิทารัสเมื่อตอนที่มาเยือนคฤหาสน์ใหม่ ๆ เสียจริงเชียว ช่างนอบน้อมเหมือนกันอะไรขนาดนี้นะ
“นายท่าน นายหญิงเจ้าคะ นายน้อยมาถึงแล้วค่ะ” เทเซียร์เคาะประตูไม้บานใหญ่ แล้วเอ่ยบอกกล่าวคนด้านใน
“อืม...ให้เขาเข้ามาเถอะ” น้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่ทรงพลังของชายชราในห้องทำเอาอาเชอร์รู้สึกเกร็ง ๆ ขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เพราะตอนที่ยังนั่งอยู่บนรถ การ์เน็ตบอกว่าท่านตาของเขานั้นเป็นคนที่เจ้าระเบียบ และค่อนข้างเฮี้ยบพอสมควร
อาเชอร์กลืนน้ำลายตัวเองก่อนที่จะผลักประตูไม้บานใหญ่เข้าไป ตามด้วยเมเทียที่ตามหลังของอาเชอร์เข้าไปติด ๆ
ภาพที่อาเชอร์เห็น คือภาพของชายวัยชราในชุดสูทผู้หนึ่งกำลังเดินไปมาอย่างกระวนกระวาย จนภรรยาของเขาต้องบอกให้เขาใจเย็น ๆ และพอเด็กหนุ่มเดินเข้าไป พวกเขาทั้งคู่ก็หยุดมองเด็กหนุ่มจนเขาเกร็งไปหมดทั้งตัว ไม่รู้ควรจะทำเช่นไรต่อ
“อ...เอ่อ ผมมาแล้วครับ...ท่านตา ท่านยาย” เด็กหนุ่มตัดสินใจรวบรวมความกล้าเปล่งเสียงออกไป ทำเอาท่านยายของเขาลุกจากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของท่านตาลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาเขา
“อาเชอร์ อาเชอร์ใช่ไหม?” น้ำเสียงของอารเนีย คิงสตันสั่นเครือ มันมีหลากหลายความรู้สึกทั้ง ดีใจ ตื้นตัน และอื่น ๆ จนเขาบออกไม่ถูกพุ่งตรงมาหาเขา อาเชอร์เงยหน้ามองดวงหน้าของอาร์เนีย นัยน์ตาของนางนั้นแดง เหมือนพร้อมจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
“ค...ครับ ท่านยาย” เพียงเท่านั้นแหละ อาเชอร์ก็ถูกท่านยายของเขาดึงตัวเข้าไปกอด และท่านยายของเขาก็ปล่อยโฮออกมา
“ยาย...ยายนึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าหลานอีกแล้ว” เสียงร้องสะอึกสะอื้นของอาร์เนียทำเอาอาเชอร์เกือบจะร้องไห้ไปด้วย แม้เขาจะเพิ่งเจอคนตรงหน้าครั้งแรก แต่เขากลับรู้สึกผูกพันด้วยอย่างประหลาด นั่นอาจเป็นเพราะไม่ได้เจอหน้าหรือติดต่อกันกันมานาน แต่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่มี มันก็ไม่มีทางตัดกันขาดแน่นอน
“สีผมของเจ้าทำให้ยายนึกถึงแม่ของเจ้าเหลือเกิน ไหน ขอยายมองหน้าเจ้าชัด ๆ หน่อยซิ” เธอจับตัวอาเชอร์หมุนไปรอบ ๆ เพื่อพิจารณาณรูปร่างหน้าตาของเขา
“อืม...สูงใหญ่ ตาสีน้ำเงิน เหมือนพ่อของหลานไม่มีผิด แต่ผมสีดำนี้เป็นของตระกูลคิงสตันชัด ๆ เอ๊ะ นี้หลานเจาะหูด้วยเหรอ?”
“เอ่อ...คือ ทางร้านเขาเสนอมาน่ะครับ ผมก็เลยลองดู แฮะ ๆ” อาเชอร์เกาหัวนิด ๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เจาะหู ทำเอาเขาร้องลั่นร้านเลยทีเดียว
“ยายไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย มันดูเข้ากับหลานดีเลยแหละ”
“ฮะแฮ่ม!” เสียงกระแอมจากชายชราด้านหลังเรียกสติของอาร์เนียกลับมา ชายชราผู้เป็นผู้นำสูงสุดของตระกูลคิงสัตนยืนเก๊กหนาเข้มอยู่ตรงนั้น เธอจึงบอกหลานชายของเธอให้เดินเข้าไปหาท่านตาของเขา
“ไปหาท่านตาสิอาเชอร์ เขาออกตามหาหลานมานานมากเลยนะ” อาร์เนียกระซิบบอกอาเชอร์ และดันตัวเขาให้เดินไปหาอาเธอร์
เด็กหนุ่มรู้สึกเกร็งไปหมด เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านตาของเขา สีหน้าที่เรียบเฉยของอาเธอร์ทำให้เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ชายชราผู้นี้คิดอะไรอยู่ อาเชอร์เดินเข้าไปใกล้ท่านตาของเขาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาหยุดอยู่ตรงหน้าของอาร์เธอร์ คิงสตัน
“ท่านตาครับ...ผม...” ยังไม่ทันที่จะกล่าวอะไรจบประโยค อาเชอร์ก็ถูกท่านตาของเขาดึงไปโอบกอดเช่นกัน ทั้งอาร์เนียและเมเทียที่ยืนอยู่ตรงนั้นต่างก็รู้สึกประหลาดใจทันที เพราะอาเธอร์เป็นคนที่ไม่เคยแสดงความรู้สึกออกมาตรง ๆ แบบนี้ แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ยังดีใจที่ชายผู้เป็นดังรูปปั้นผู้นี้สวมกอดหลานชายผู้นี้
“เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา เจ้าหลานชาย” อาเชอร์รู้ว่าท่านตาของตากำลังกลั้นน้ำตาสุดฤทธิ์ เขาจึงปล่อยให้ท่านตาของเขากอดเขาอยู่อย่างนั้น แม้ว่าจะท่านตาของเขาจะกอดเขาแน่กว่าท่านยายก็เถอะ
“ผมกลับมาแล้วครับ ท่านตา”
To be continued.....................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ