Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim อัศวิน แห่ง รุ่งอรุณ ตอน อุบัติการณ์ แห่ง เนฟีลิม

-

เขียนโดย The_Emperor

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.50 น.

  13 ตอน
  6 วิจารณ์
  11.74K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 09.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) ความช่วยเหลือที่มาถึง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim

บทที่ 8 : ความช่วยเหลือที่มาถึง

 

 

เจ้าสัตว์ประหลาดหัวสิงโตนั้นคำรามออกมา ทำเอาผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างตื่นตระหนกและวิ่งหนีเอาตัวรอด และสายตาของมันก็หันขวับมาทางพวกเขา อสุรกายยักษ์นั้นจ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

 

“พวกเราวิ่ง!” เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเป็นอย่างยิ่งที่จะปะทะกับอสุรกายระดับสูงด้วยจำนวนคนเพียงแค่นี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกมากนัก

 

ทันทีที่เจ้าอสุรกายยักษ์เห็นว่าเป้าหมายของมันกำลังวิ่งหนี มันจึงไม่สนใจพวกทหารประจำเมืองที่ดาหน้าเข้าหามัน มันกระโจนฝ่าวงล้อมของพวกทหารมาไล่ล่าพวกอาเชอร์ทันที

 

“หลบ!” เลออสผลักอาเชอร์ออกไปอีกทาง ทำให้กรงเล็บของคิเมียร่าเฉียดเด็กหนุ่มไปเพียงแค่ปลายผมเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะพลาดเป้าไป แต่เจ้าอสุรกายนั้นก็หันกลับมาตั้งท่าเตรียมตัวจะกระโจนเข้าหาพวกเขาอีกครั้ง ทว่าองครักษ์วัยกลางคนรู้ดีว่า เป้าหมายจริง ๆ ของมันคือคนที่มันกำลังพยายามโจมตีไปเมื่อสักครู่

 

“เจ้านี้ไม่ใช่คิเมียร่าตัวจริง! หน้าผากของมันมีตรามาร” เมเทียชี้ให้ทุกมองไปยังหน้าผากของมัน เป็นดังที่เธอว่าไว้ หน้าผากของคิเมียร่าตันนี้ มีตรามารปรากฏให้เห็นจริง ๆ

 

“ถ้าอย่างนั้นผู้อัญเชิญจะต้องอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนี้แน่นอนครับ” อาจารย์หนุ่มออกความเห็น เขามั่นใจว่าจะต้องมีใครสักคนคอยติดตามพวกเขามาตลอดการเดินทางแน่นอน ทั้งตอนที่พวกเขาผจญกับกองทัพคนตายที่ทางระบายน้ำในเมืองฮันยาง จนกระทั่งตอนนี้เขาก็มั่นใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มาจากคนเดียวกันแน่ ๆ

 

ยังไม่ทันที่จะวิเคราะห์อะไรต่อ คิเมียร่าตัวนั้นก็เริ่มขยับตัวโจมตีพวกเขาต่อ โดยเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวของกลุ่ม ที่พยายามหลบการโจมตีของคิเมียร่าอย่างสุดชีวิต มิหนำซ้ำแขนข้างซ้ายของเขายังเกิดอาการเจ็บแปล๊บขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทั้งที่ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน คาดว่าอาจจะเป็นผลข้างเคียงที่เขาใช้พลังของตนเองเยอะจนเกินไป

 

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เพราะสิ่งสำคัญที่สุด คืออาการนี้มันส่งผลให้เขาใช้ธนูไม่ได้ และธนูเป็นเพียงอาวุธชิ้นเดียวที่เขาฝึกใช้ ดังนั้นการใช้ธนูโจมตีไม่ได้ นั่นก็เท่ากับว่าเขาไม่สามารถโจมตีอะไรได้เลย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาคิดมากเรื่องนั่น เพราะตอนนี้เขาต้องเอาชีวิตรอดให้ได้จากอสุรกายยักษ์นี่

 

“คิเมียร่านั่น มันเอาไล่แต่อาเชอร์!” นี่ไม่ผิดจากสิ่งที่เลออสคาดการเอาไว้ เป้าหมายของมันมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือการสังหารนายน้อยคนสุดท้ายของตระกูลซาจิทารัสผู้นี้

 

ไม่ว่าเมเทียจะร่ายมนตร์โจมตีไปเท่าไหร่ หรือเดวิดจะสาดกระสุนไปหามันอย่างไม่ยั้ง มันก็สนใจเพียงแต่อาเชอร์เพียงผู้เดียวเท่านั้น

 

“แบบนี้เขาตายแน่ ๆ!” เมเทียตะโกนบอกเลออสในขณะที่เธอเองก็ร่ายมนตร์ใส่เจ้าอสุรกายนั่นไปด้วย เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขายังต้องคอยหลบส่วนหางที่เป็นงูอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครอยากโดนมันกัด เพราะพิษของมันร้ายแรงพอที่จะทำให้สัตว์ขนาดใหญ่ล้มได้ทันที

 

“มาไล่ข้าทำไมเนี่ย!” เด็กหนุ่มสถบออกมาเป็นภาษาโชซอนด้วยความเคยชิน เขาพยายามหลบทุกการโจมตีที่ถาโถมเข้ามา ว่าส่วนที่เป็นหัวสิงโตร้ายแล้ว ส่วนที่เป็นหัวแพะที่อยู่กลางลำตัวนั้นยิ่งสร้างความปั่นป่วนเข้าไปใหญ่อีก เพราะหัวแพะตัวนี้มันคอยร่ายมนตร์น้ำแข็งที่พื้นเพื่อที่จะทำให้เขาเสียการทรงตัวและลื่นล้ม

 

“ท่านนักเวทครับ ผมว่าพวกเราควรเล็งไปที่ส่วนหัวแพะก่อนนะครับ น่าจะตัดกำลังคิเมียร่าไปได้เยอะพอสมควร” ตั้งแต่หัวแพะลงไปจนถึงขาหลังของมันเป็นแพะทั้งหมด ดังนั้นถ้ากำจัดหัวแพะไปได้ก่อนจะทำให้ส่วนที่เป็นหัวสิงโตและขาหน้าของมันเคลื่อนไหวได้ลำบากมากยิ่งขึ้น เมื่อเห็นดังนี้ เมเทียจึงพยักหน้าให้กับเดวิดอย่างเห็นด้วย

 

“งั้นพวกเราลงมือกันเถอะ เลออส พวกเราต้องฝากเจ้าไปดึงความสนใจของมันจากอาเชอร์ให้ได้”

 

“โอเค!” ชายวัยกลางคนตอบตกลงคู่หูของเขาก่อนที่จะทำการจุดไฟใส่ดาบของตน “อดทนแป๊บเดียวนะอาเชอร์! เดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ”

 

“ไวกว่านี้อีกนิดน่าจะดีกว่านี้นะท่านลุง เหวอ!” แค่หันไปคุยของท่านลุงเพียงแวบเดียว หัวของเขาก็เกือบจะเข้าไปอยู่ในปากของคิเมียร่าแล้ว โชคดีที่เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้วิ่งชนเข้ากันเครนขนส่งสินค้า ทำให้มันโดนลังบรรจุสินค้าถล่มใส่ อาเชอร์จึงใช้โอกาสนี้หลบมันออกมา

 

“อาเชอร์ เจ้ารีบออกจากตรงนี้ด่วน เดี๋ยวข้าจะรับมือเอง”

 

“แต่ท่านลุง ท่านลุงเพียงแค่คนเดียวจะไหวเหรอ?”

 

“แล้วตอนนี้เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่ล่ะ?” แม้จะเป็นความจริงที่เจ็บปวด แต่มันก็ถูกต้องถ้าเขายังดึงดันที่จะอยู่ตรงนี้ เขาจะเป็นตัวถ่วงไปเปล่า ๆ

 

“ข้าเคยสัญญากับพ่อแม่ของเจ้าเอาไว้แล้วว่าปกป้อง ดูแลเจ้าให้ดี อย่าให้ข้ากับเมเทียต้องผิดคำสาบานเลย” เลออสหันมามองอาเชอร์ด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “ไปเถอะ แล้วเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เองว่าข้าเคยผ่านสนามรบมาจริง ๆ หรือเปล่า” เลออสชูนิ้วโป้งให้แก่อาเชอร์ เด็กหนุ่มจึงได้แต่พยักหน้า

 

“ได้ ผมจะรอดูว่าท่านลุงขี้โม้หรือของจริงกันแน่” เด็กหนุ่มชูนิ้วโป้งตอบกลับเลออสเช่นกัน และเขาก็วิ่งไปหาเมเทียและเดวิดทันที

 

“เอาล่ะ เจ้าหน้าขน มาเจอกันสักตั้งหน่อยเป็นไร” ตอนนี้เจ้าอสุรกายยักษ์สะบัดให้ตัวเองหลุดจากอาการมึนงง ก่อนที่เลออสจะโชว์สเต็ปควงดาบไฟหนึ่งรอบ และเข้าโจมตีคิเมียร่าตนนั้นโดยไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ ทั้งนั้น

 

“จักรวาลจงฟังข้า ข้าขอให้ท่านช่วยเหลือพันธมิตรแห่งข้า โซเจอร์ ออฟ แกแลคซี่ (Soldier of Galaxies) ” สิ้นคำร่ายมนตร์ของนักเวทวัยกลางคนก็ปรากฏทหารโปร่งแสงใส่ชุดเกราะเต็มยศออกมาสี่นาย และเข้าช่วยเลออสในการโจมตีคิเมียร่าตนนั้น

 

มนตร์ทหารแห่งแกแลตซี่เธอจะใช้พร่ำเพรื่อไม่ได้ เนื่องจากมันกินพลังเวทมนตร์ในตัวเธอไปมากโข แต่ตอนนี้เธอจำเป็นที่จะต้องใช้มนตร์นี้แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเธอคงยากที่จะรอดจากที่นี้

 

ส่วนทางอาจารย์หนุ่มประจำสถาบัน เขาปีนขึ้นลังบรรจุสินค้าที่มีความสูงพอประมาณเพื่อซุ่มยิงเจ้าเมียร่าตัวนั้นเมื่อสบโอกาส กระสุนของเขาเองก็หรือไม่มากพอแล้วด้วย เพราะฉะนั้นเขาจะต้องรอโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาจะสิ้นเปลืองกระสุนปืนโดยใช่เหตุ

 

ทางฝั่งคิเมียร่าตอนนี้มันกำลังสาละวนกับเลออสและพวกทหารจำแลงของเมเทียอยู่ ดาบไฟที่เลออสใช้โจมตีมันอยู่นั้นเอาทำปวดแสบปวดร้อนไม่ใช่เล่น นั่นเพราะว่ามันแพ้ไฟ และนั่นก็ทำให้มันขยาดไฟมาก ๆ และพวกทหารจำแลงที่นักเวทหญิงคนนั้นเสกมาก็สร้างความรำคาญให้มันไม่น้อย พวกแมลงหวี่พวกนี้ไม่ยอมเปิดทางให้มันเข้าใกล้เป้าหมายของมันได้เสียที

 

ไม่ใช่แค่อสุรกายหน้าขนตัวนี้เท่านั้นก็กำลังจะหมดความอดทน ถัดจากบริเวณที่ต่อสู้ไม่ไกล หญิงสาวผู้อัญเชิญอสุรกายระดับสูงก็กำลังเฝ้ามองการต่อสู้นี้อยู่

 

เธอกัดฟันไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง สงสัยเธอคงจะประเมินฝีมือการต่อสู้ขององครักษ์พิทักษ์นายน้อยแห่งซาจิทารัสผิดไป ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะยื้อการต่อสู้ได้นานขนาดนี้ ชายนักรบคนนั้นแม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงวัยกลางคนแล้ว กำลังกายของเขากลับไม่ด้อยไปกว่าพวกทหารหนุ่ม ๆ เลยด้วยซ้ำ อีกทั้งยัยองครักษ์นักเวทผู้นั้นอีกคน หลายครั้งต่อหลายครั้งแล้วที่พวกคณะเดินทางนี้รอดมาได้เพราะเวทมนตร์ของนาง การที่นางกันกองทัพผีดิบได้ระยะเวลาหนึ่งนั่นก็นับว่าฝีมือของนางเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน

 

นายท่านแห่งตระกูลซาจิทารัสนี้ช่างเลือกคนมาคุ้มครองบุตรชายของตนได้ดีจริง ๆ ไม่เหมือนพวกองครักษ์ของนายน้อยแห่งตระกูลอควารีอัส ที่เธอมองว่าพวกนั้นยังอ่อนหัดกว่าองครักษ์สองคนนี้

 

และมันก็ทำให้เธอรู้สึกรำคาญใจมาก!

 

ก่อนอื่นเลยเธอต้องจัดการอัศวินแห่งรุ่งอรุณจอมจุ้นจ้านผู้เสียก่อน ยอมรับว่าการมาถึงของอัศวินแห่งรุ่งอรุณผู้นี้ ทำให้เธอทำงานได้ไม่ราบรื่นเลย

 

“เหวอ!” จู่ ๆ จุดที่เดวิดใช้ซ่อนตัวสำหรับการซุ่มยิงคิเมียร่าก็ถูกโจมตี ถ้าไม่ใช่ลังบรรจุสินค้าแตกกระจายออกก็น่าจะเป็นตัวของเขาเองนี้แหละที่แตกกระจาย

 

เดวิดอาศัยจังหวะพาตนเองมาแอบหลังลังบรรจุสินค้าลังใหม่ เขาเห็นเพียงเงาของสิ่งที่เพิ่งโจมตีเขาไปเท่านั้น มันเป็นเงาของงูที่มีขนาดสูงใหญ่กว่างูธรรมดาหลายเท่าตัวนัก มันขู่เดวิดฝ่อ ๆ ทำท่าจะโจมตีเขาอีกครั้ง

 

“พวกเราทางนี้!” พวกทหารประจำเมืองวิ่งมาจากอีกทางหนึ่ง พวกเขาวิ่งมาทางเดวิดหมายจะช่วยเขาจากอสุรกายยักษ์แต่พอกำลังจะวิ่งมาถึงตัวของเขา ทหารพวกนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้นเสียดื้อ ๆ

 

อาจารย์หนุ่มสังเกตไปยังพวกทหารครู่หนึ่งก็ค้นพบว่าพวกเขานอนนิ่งไม่ไหวติง นั่นแสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาน่าจะเสียชีวิตลงแล้ว

 

จากประสบการณ์การสอนนักศึกษาของเขาที่ผ่านมาทำให้เขารีบประมวลผลออกมาอย่างรวดเร็ว อสุรกายยักษ์ที่เป็นงูยักษ์และสามารถสังหารเหยื่อได้ทันทีโดยไม่ต้องวิ่งเข้าถึงตัว มีเพียงตัวเดียวเท่านั้น

 

บาซิลิสก์ เพียงแค่มันสบตากับเหยื่อของมัน เหยื่อของมันก็จะเสียชีวิตลงทันทีโดยมันไม่ต้องออกแรงอะไรทั้งนั้น

 

ถ้าเขาส่องไรเฟิลเล็งเจ้าคิเมียร่าตัวปัญหาอยู่ มีความเสี่ยงสูงเป็นอย่างมาก ที่จะเผลอสบตากับงูยักษ์บาซิลิสก์ ซึ่งนั่นมันไม่เป็นผลเลยแม้แต่นิดเดียว!

 

อาจารย์จึงได้แค่เพียงล่อความสนใจของเจ้างูยักษ์นี้ให้พ้นจากบริเวณนี้เท่านั้น เพราะถ้าบาซิลิสก์ยังอยู่ที่นี่ ทั้งเลออส เมเทีย และอาเชอร์อาจจะเผลอสบตาเจ้างูยักษ์ตัวนี้ก็เป็นได้

 

ปัง!

 

เสียงปืนไรเฟิลดังขึ้นพร้อมกับเจ้างูยักษ์ที่ฉกไปยังทิศทางที่เดวิดยิงไป นอกจากต้องยิงเพื่อล่อความสนใจแล้ว เขาจะต้องระวังตนเองไม่ให้มองหน้าเจ้างูยักษ์นั่นด้วย เดวิดทำอย่างเรื่อย ๆ จนกระทั่ง เขาล่อเจ้าบาซิลิสก์ออกจากบริเวณนี้สำเร็จ

 

“บ้าเอ๊ย เดวิด!” สายตาของชายวัยกลางคนเห็นหางงูยักษ์เลี้อยจากบริเวณนี้ไปอยู่ไว ๆ ดูเหมือนอาจารย์จากสถาบันอัศวินแห่งรุ่งอรุณจะเจอปัญหาใหญ่เข้าให้แล้ว

 

เมื่อกำจัดเป้าไปได้แล้วหนึ่ง หญิงสาวผู้นั้นก็หันมาสนใจตัวชายวัยกลางคนที่กำลังต่อสู้กับคิเมียร่าต่อเธอตัดสินใจหยิบขวดแก้วขวดหนึ่งขึ้นมาก่อนที่จะขว้างเข้าไปกลางวงต่อสู้ ขวดแก้วนั่นแตกออก และทำให้สารสีดำบางอย่างระเหยออกมา เลออสที่ไม่ทันระวังตัวเผลอสูดดมเข้าไปเต็มปอด

 

หญิงสาวผู้อัญเชิญสัตว์อสูรยิ้มอย่างพอใจ หากเธอสามารถใช้ละลองมารกับเดวิดได้เธอคงจะใช้ไปนานแล้ว แต่เดวิดมีผนึกอัศวินประจำตัวคอยปกป้องเขาจากฤทธิ์ของละอองมารอยู่ แต่เลออสเป็นเพียงคนธรรมดาไม่เหมือนเดวิด ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะละอองมารได้หรอก

 

“!!!” เลออสที่กำลังกวัดแกว่งดาบปะทะกับเจ้าคิเมียร่าอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายของตนเองนั้นอ่อนแรงลง สายตาของเขาก็เริ่มพร่ามัว มองศัตรูไม่ชัดเจนหลายครั้งเขาเกือบโดนคมเขี้ยวของคิเมียร่าโดยไม่รู้

 

“เลออส!” เมเทียร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเธอเห็นว่าคู่หูของเธอเกือบโดนคิเมียร่าขย้ำร่างอีกครั้ง ปกติแล้วเลออสไม่ใช่คนที่อ่อนแรงได้โดยง่ายเช่นนี้ ต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ เพียงแต่ว่าเธอยังไม่รู้ว่าสาเหตุมันมาจากอะไร

 

ฝ่ายชายวัยกลางคนที่เริ่มจะประคองสติไม่อยู่เริ่มแกว่งดาบสะเปะสะปะ นอกเหนือจากนี้เขาเริ่มเห็นภาพหลอนแทรกเข้ามาในหัวเขาเรื่อย ๆ

 

“นายท่าน?” นายท่านอารอนยืนยิ้มให้เขาอย่างดีใจแต่นี่ไม่มีทางจะเป็นนายท่านของเขาแน่นอน

 

“เลออส...”

 

ไม่นะ ไม่ใช่...

 

“เลออส...”

 

ไม่ใช่ แกไม่ใช่!

 

“เลออส! /ท่านลุง” กว่าที่เลออสจะรู้ตัวว่าใครเป็นคนเรียกเขา ชายวัยกลางคนก็ถูกอสุรกายยักษ์ฝังเขี้ยวบนร่างบนเขาเสียแล้ว

 

“ไม่นะ!” เมเทียแทบจะสิ้นสติทันทีที่คู่หูของอยู่ในปากของอสุรกายยักษ์ เธอควบคุมทหารโปร่งแสงคนหนึ่งของเธอให้รีบให้อาวุธโจมตีให้อสุรกายยักษ์ปล่อยร่างของเลออสลง

 

“ท...ท่านลุง!” อาเชอร์หวีดร้องออกมาทันทีที่เห็นท่านลุงของเขาโดนขย้ำต่อหน้าต่อตา

 

“อาเชอร์ ไม่ได้เด็ดขาด เจ้าจะออกจากบาเรียไม่ได้เด็ดขาด!” หญิงวัยกลางคนยื้อนายน้อยของเธอเอาไว้สุดชีวิต แต่เด็กหนุ่มก็อย่าดึงดันที่จะออกไปให้ได้ เธอจึงจำเป็นที่จะต้องร่ายมนตร์พันธนาการเขาให้อยู่กับที่

 

“ไม่นะ! แต่ท่านป้า ท่านลุง...ท่านลุง...” อาเชอร์ร้องไห้ฟูมฟายออกมาเมื่อเขาขยับไม่ได้ ถ้าไม่ออกไปช่วยเขาตอนนี้ ท่านลุงอาจจะต้องตายตรงนั้นแน่ ๆ

 

“ไม่ได้อาเชอร์! หน้าที่ของเขาและข้า คือต้องปกป้องชีวิตของเจ้า เขารู้ตั้งแต่ตอนที่รับหน้าที่นี้แล้ว” เมเทียเองก็ร้องไห้ออกมาเหมือนกัน ถึงแม้จะเสียใจมากแค่ไหน แต่ทั้งเธอและเลออสก็ต้องตามหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

 

“โฮกกกก!” พอเลออสสิ้นฤทธิ์ เจ้าคิเมียร่าก็เวี่ยงร่างของเลออสไปกระแทกกับกำแพงโกดังเก็บสินค้า แล้วคำรามออกมา มันเริ่มไล่เก็บทหารโปร่งแสงของเมเทียไปที่ละหนึ่งคนอย่างง่ายดาย เพราะเธอเสียการควบคุมทหารพวกนี้ให้กับการร่ายมนตร์บาเรียและโซ่พันธนาการอาเชอร์ ซึ่งจอมเวทไม่ควรที่จะร่ายมนตร์พร้อมกับสามคาถาในเวลาเดียวกัน เจ้าคิเมียร่าจึงอาศัยจังหวะนี้ในการเก็บเสี้ยนหนามทั้งหมด และเข้าโจมตีเกราะบาเรียของเมเทียทันที

 

การโจมตีของคิเมียร่ายักษ์ตนนี้ ทำให้เมเทียต้องสลายโซ่พันธนาการของอาเชอร์มาเพิ่งพลังให้บาเรียของเธอ การรับการโจมตีของฝูงผีดิบในทางระบายน้ำยังไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ และคราวนี้เธอยังต้องมารับการโจมตีอย่างหนักจากคิเมียร่าอีก ทำให้เธอกระอักออกมาเลือด

 

“ท่านป้า!” ไม่นะ เขาจะมาเสียผู้ที่เปรียบเสมือนพ่อและแม่ของเขาในวันนี้ไม่ได้นะ

 

“อาเชอร์ ถ้าข้าไม่สามารถรับการโจมตีของมันได้อีก บาเรียจะแตกสลายทันที เจ้าจำเป็นต้องอาศัยเวลานั้น หนีออกจากตรงนี้ และรีบไปหาเดวิด ระวังดวงตาของบาซิลิสก์ด้วยนะ” เมเทียอธิบายให้อาเชอร์ฟังอย่างใจเย็น มันเป็นไปได้สูงมากที่บาเรียใกล้จะแตกสลายแล้ว

 

“ไม่นะ...ข้าเสียพวกท่านไม่ได้ ข้าเสียพวกท่านไม่ได้!” ตอนนี้จิตใจของอาเชอร์มันเกินกว่าจะรับไหวแล้ว

 

“อาเชอร์ ฟังให้ดีนะ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาข้ายอมรับว่ามีความสุขมาก ๆ แต่พวกข้าท่องให้ไว้เสมอว่าวันนี้ยังไงมันก็ต้องมาถึง เจ้าจะต้องก้าวต่อไปให้ได้ แม้ว่าจะไม่มีพวกข้าก็ตาม...”

 

บาเรียของเมเทียใกล้แตกสลายเต็มทนแล้ว ถ้าเพียงแค่ตอนนี้เด็กหนุ่มสามารถยิงธนูช่วยพวกเขาได้ สถานการณ์มันอาจจะไม่เลวร้ายถึงขนาดนี้ก็ได้

 

“ท่านป้า...”

 

 

“ตอนนี้แหละอาเชอร์ วิ่ง!”

 

“ไม่นะท่านป้า!!!” อาเชอร์หวีดร้องออกมาสุดเสียง แต่วินาทีก่อนที่บาเรียจะแตกลง เจ้าอสุรกายยักษ์ตัวนั้นก็ถูกลูกระเบิดอาร์พีจียิงเข้าให้ที่หน้าของมันอย่างจัง ทำให้เจ้าคิเมียร่ากระเด็นออกไปอย่างทะลักทุเล

 

“!!!” ทั้งอาเชอร์และเมเทียต่างก็มองภาพหน้าอย่างอึ้ง ๆ ไม่ต่างจากผู้อัญเชิญสัตว์ประหลาดทั้งสองขึ้นมา

 

“นี่มันอะไรกัน!!” หญิงสาวผู้อัญเชิญตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย ไม่นานนักคำตอบของเธอก็กระจ่าง

 

“ไม่จริงน่า...”

 

พวกอัศวินแห่งรุ่งอรุณ พวกมันมาอยู่ที่นี้ได้ยังไงกัน!

 

“ได้เวลาสนุกแล้ว วู้!” เสียงหญิงสาวอัศวินแห่งรุ่งอรุณผู้เป็นเจ้าของลูกระเบิดอาร์พีจีเมื่อสักครู่ตะโกนร้องขึ้นมา ก่อนที่จะวิ่งไปยิงระเบิดอาร์พีจีอีกลูกใส่คิเมียร่าอีกรอบ

 

ตูม!!!

 

เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว เจ้าคิเมียร่านั่นร่นถอยออกไปตั้งหลักแทบไม่ทัน

 

“โห...โดนไปตั้งสองลูก ก็ยังแทบไม่มีบาดแผลอะไรเลยแฮะ สงสัยคนที่อัญเชิญแกมาคงจะพลังแข็งแกร่งไม่ใช่น้อยสินะ” แม้คำพูดของเธอจะดูเหมือนกังวลใจ แต่น้ำเสียงของเธอกลับไม่เป็นไปตามนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

 

“อ่า อยู่นี้นี่เอง! นายน้อยและท่านเมเทีย” เธอเลิกสนใจเจ้าอสุรกายยักษ์นั่นชั่วคราวและกลับมาพูดกับอาเชอร์และเมเทียที่อยู่ข้างหลัง

 

“เอ๋? เธอคือ...” เมเทียเอ่ยออกมาอย่างงงงัน เพราะเธอรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอัศวินแห่งรุ่งอรุณผู้นี้อย่างแปลก ๆ

 

“อ้าว ท่านเมเทียจำฉันไม่ได้ซะแล้ว ฮือๆ เสียใจนะเนี่ย” เธอทำเป็นสะอึกสะอื้นใส่เมเทีย “ไม่เจอกันตั้งนานนึกว่าท่านผู้ติดตามจะยังจำกันได้ซะอีก ตอนที่ท่านเมเทียติตามไปอยู่กับพวกนายท่านอารอนแล้ว ฉันยังไปฝึกงานที่บริษัทคิงสตันไงอ่ะ!” เพียงเท่านั้นแหละหญิงวัยกลางคนก็ต้องร้องอ๋อขึ้นมาทันที

 

“พวกเธอ...” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยอะไรออกมา เจ้าคิเมียร่าที่พยายามจะกระโจนเข้ามาทำร้ายพวกเขาก็ต้องโจมตีพลาดไป เพราะพวกเขาถูกวาร์ปออกมาจากอีกที่หนึ่งเสียก่อน ตอนนี้พวกเขาถูกวาร์ปขึ้นมาอยู่บนเรือเหาะที่กำลังลอยลำอยู่เหนือบริเวณนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้!

 

“โอ้โห เกือบไปแล้วเชียว กฤษณะขอบใจมาก ๆ เลิฟยูที่สุด!” เธอผู้นั้นเอามือกดหูฟังวิทยุสื่อสารที่หูของเธอแล้วกรอกเสียงร่าเริง แต่แล้วเธอก็โดนชายที่ชื่อว่ากฤษณะดุกลับมา

 

“ถ้าฉันวาร์ปไม่ทัน เธอก็กลายเป็นอาหารในท้องของเจ้าคิเมียร่าไปแล้ว และเธอก็จะยิ่งทำให้นายน้อยกับท่านเมเทียต้องอันตรายไปด้วยนะเรซ มีสมาธิตอนทำงานหน่อยสิ” เสียงเรียบ ๆ นั่นทำเอาเรซรู้สึกผิดขึ้นมา

 

“ขอโทษ...ก็มันตื่นเต้นนี่นา ที่เจอพวกนายน้อยแล้วก็เท่านั้นอ่า”

 

“ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันขอเตรียมตัววาร์ปอควาฟีน่ากับท่านเลออสขึ้นมาอีกหกสิบวินาที เคลียร์พื้นที่ด้วย”

 

“รับทราบจ้า!” ว่าแล้วสาวผิวแทนนามว่าเรซก็กระโดดลงจากกาบเรือ นั่นทำเอาอาเชอร์ถึงกับร้องตกใจออกมา แต่เด็กหนุ่มก็ต้องอึ้งไปเมื่อเรซทำการกระตุกเชือกด้านหลังของเธอ และร่มชูชีพก็โผล่ออกมาจากหลังของเธอ

 

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เธอชอบอะไรที่มันผาดโผนอยู่แล้ว” ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องควบคุม เขาเป็นคนผิวขาวนัยน์ตาคมเข้ม ตรงกลางหน้าผากของเขาแต้มจุดสีแดง คาดว่าเขาน่าจะเป็นชาวภารัตแน่นอน

 

“กฤษณะสินะ” เมเทียเอ่ยทักทายชายชาวภารัตผู้นั้น กฤษณะโค้งคำนับเธอและอาเชอร์ ก่อนที่จะเอ่ยกับพวกเธอ

 

“ใช่ครับท่านเมเทีย พวกเราได้รับหน้าที่ให้พานายน้อยไปพบท่านคิงสตัน อีกเดี๋ยวเราจะช่วยพาท่านเลออสขึ้นมาพร้อมกับแพทย์สนามของเรา แต่ก่อนหน้านั่นผมขอเตรียมระบบวาร์ปให้รีชารจ์ตัวเองก่อนนะครับ ตอนนี้พวกหัวหน้าน่าจะกำลังเคลียร์พื้นที่อยู่” พอกล่าวเสร็จ เขาก็เดินกลับเข้าไปยังห้องควบคุมเพื่อเตรียมระบบวาร์ป

 

“ท่านป้า พวกเขาเป็นใครกัน...” เด็กหนุ่มช่วยเมเทียประคองตัวและเอ่ยถามท่านป้าของเขา หญิงวัยกลางคนก็เช็ดเลือดที่มุมปากและยิ้มตอบอาเชอร์

 

“บอดี้การ์ดของท่านตาเจ้ายังไงล่ะ”

 

“บอดี้การ์ด?” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ แต่ท่านป้าของเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ อาเชอร์จึงก้มดูสถานการณ์ด้านล่างต่ออย่างใจจดใจจ่อ เพราะเลออสที่บาดเจ็บสาหัสยังอยู่ด้านล่างนั่น

 

 

อีกด้านหนึ่งที่เดวิดยังคงหลบซ่อนบาซิลิสก์และใช้ความคิดว่าจะทำยังไงกับเจ้างูยักษ์อยู่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นพร้อมเสียงของบาซิลิสก์ที่ร้องคำรามออกมา

 

เดวิดรีบหันไปดูบาซิลิสก์เขาก็ค้นพบว่า บาซิลิซก์ถูกยิงจาตาบอดทั้งสองแล้ว...

 

“คราวนี้นายเป็นหนี้บุญคุณฉันแล้วนะเดวิด แถมคราวนี้ฉันแสดงให้เห็นแล้วนะว่าฝีมือการซุ่มยิงของฉันมันเหนือกว่านายกว่าไหน”

 

สัญญาณเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งถูกส่งมายังหูฟังวิทยุสื่อสารของเขา นั่นจึงทำให้เขาเผยรอยยิ้มกว้างออกมา

 

ในที่สุดพวกนายก็มาถึงสินะ...

 

“ถ้ายังไม่ได้ดวลกันตรง ๆ ฉันก็ไม่ถือว่าฉันเหนือกว่าฉันหรอกนะคริสตัส” เดวิดกดหูฟังวิทยุสื่อสารแล้วกล่าวยั่วโมโหผู้ที่อยู่ปลายสาย และมันก็ทำให้หญิงสาวคนนั้นเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก

 

“ได้! คราวหน้าเราต้องได้ดวลฝีมือกันจริง ๆ แน่นอนเดวิด” คริสตัสส่งเสียงแง้ว ๆ กลับมา นั่นทำเอาเดวิดแทบอยากจะเอาหูฟังออก

 

“เสียงแมวเหมียวของเธอมันแสบแก้วหูมากนะ เผื่อเธอจะลืมไปนะคริสตัส”

 

“รู้แล้วล่ะน่า! อีตาบ้า” หญิงสาวครึ่งแมวส่งเสียงหวีดแหลมกลับมาอีกครั้ง หางของเธอกระดิกขึ้นลงถี่ ๆ บ่งบอกถึงความรำคาญใจ

 

“พอแล้ว ฉันไม่อยากเถียงกับนายแล้ว สนใจเจ้าบาซิลิสก์เถอะ ถึงตามันมองไม่เห็น แต่หูของมันยังฟังเสียงได้นะ”

คริสตัสร้องเตือนอาจารย์หนุ่ม จริงอยู่ที่บาซิลิสก์ไม่สามารถฆ่าเขาด้วยการสบตาได้แล้ว แต่พิษของมันก็ยังร้ายแรงอยู่

 

“ขอบใจมากคริสตัส ฉันวานเธอหาผู้อัญเชิญให้หน่อย ถ้าจัดการคนอัญเชิญได้ เจ้าพวกนี้จะจัดการง่ายขึ้น”

 

“สั่งเป็นอาหารตามสั่งเลยนะยะ! รอแป๊บนึงสิ ไม่รู้หรือไงว่าไรเฟิลรุ่นใหม่มันมีอุปกรณ์เสริมนู้นนี้นั่นที่ไม่ได้ขนง่าย ๆ เหมือนไรเฟิลโบราณ ๆ ของนายนะ” ปากแม้จะแขวะเขาอยู่ แต่คริสตัสก็ทำตามที่อาจารย์หนุ่มบอก แต่ถึงไม่บอกเธอก็กำลังเก็บอุปกรณ์เสริมของเธอไปตามหาผู้อัญเชิญอยู่แล้ว

 

“หึหึ พอดีฉันเป็นพวกอนุรักษ์นิยมน่ะนะ ขอบใจมากคริสตัส ตรงนี้ฉันลุยเอง”

 

“เออ! เดี๋ยวการ์เน็ตจะมาช่วยนายฝั่งนี้ อย่าตายก่อนล่ะ แค่นี้นะ” คริสตัสปิดหูฟังของเธอ ก่อนที่จะหอบอุปกรณ์เสริมของเธอทั้งหมดออกจากจุดที่เธอซุ่มยิง

 

“ถ้าฉันตายตรงนี้ ก็อย่าเรียกฉันว่าเป็นอาจารย์ของสถาบันเลยคริสตัส” เดวิดกล่าวออกมาลอย ๆ เขารู้ว่าคริสตัสปิดหูฟังสื่อสารไปแล้ว ถ้าตัดเรื่องข้อจำกัดเรื่องตาของบาซิลิสก์ล่ะก็ เขาก็พร้อมจะลุยกับเจ้างูยักษ์นี้แล้ว แต่ถ้ามีคนมาช่วยเขาหน่อยก็ดีเหมือนกัน

 

“โอ๊ะ! นั่นอาจารย์ใช่ไหมครับ ผมมาช่วยอาจารย์แล้ว!” ไม่ทันขาดคำชายหนุ่มผมแดงแรงฤทธิ์ก็วิ่งมาหาอาจารย์หนุ่ม ทว่าเจ้าบาซิลิสก์ที่กลับมาตั้งสติจากความเจ็บปวดได้สำเร็วเมื่อได้ยินเสียงของการ์เน็ตก็ฉกไปทางชายหนุ่มผมแดงอย่างแม่นยำ โชคดีที่การ์เน็ตนั้นไวกว่าจึงหลบไปได้อย่างฉิวเฉียด

 

“เหวอ! ใจเย็น ๆ สิเจ้างูน้อย”

 

เดวิดส่ายหัวให้เขาความประมาทของอดีตลูกศิษย์ของเขา ไม่ว่าจะตอนเรียนอยู่หรือทำงานแล้ว ชายหนุ่มผมแดงนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด เห็นทีคงจะต้องยึดใบประกอบวิชาชีพกับยศอัศวินแห่งรุ่งอรุณคืนเสียแล้ว!

 

 

“โห...งานช้างเหมือนกันนะเนี่ย” ออร์คหนุ่มร่างใหญ่ผิวปากขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเรซ หนึ่งในลูกทีมของเขากำลังใช้ปืนลูกซองยิงใส่เจ้าคิเมียร่ารัว ๆ

 

“เอ่อ...บอสคะ! จะกรุณากว่านี้มาก ถ้าบอสจะมาช่วยเหลือทางหน่อยค่ะ!” เรซส่งเสียงตะโกนผ่านหูฟังมาเมื่อเธอเห็นว่าบอสของเธอเอาแต่รับชมเธอเล่นวิ่งไล่จับกับเจ้ายักษ์ใหญ่นี่ ไม่มาช่วยเธอสักที นั่นทำเอาออร์คหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าทีมถึงกับเบ้ปากกับเสียงดังแปดหลอดของเธอ

 

“เออ รู้แล้วน่า ไม่เห็นต้องตะโกนกันเลย” เขาโยนซิการ์ลงพื้นก่อนจะใช้เท้าของตนขยี้มันจนดับ “เฮ้ถุงมือพลังไฟฟ้าของนายชาร์จเต็มหรือยังเฮนรี่” เขาตะโกนถามลูกน้องของเขาอีกคนที่อยู่อีกฟากของโกดังเก็บสินค้า

 

“เรียบร้อยครับหัวหน้า พร้อมลุยแล้ว!” ชายหัวโล้นใส่แว่นตาดำนามเฮนรี่ตะโกนตอบกลับมา อาวุธของเขาจำเป็นที่จะต้องใช้กระแสไฟฟ้า แถมก่อนมาปฏิบัติภารกิจก็ดันไม่ได้ชารจ์มาก่อนเสียด้วย มันน่าหักเบี้ยเลี้ยงจริง ๆ

 

“รีบไปได้แล้ว ฉันขี้เกียจฟังเรซบ่น” เขากล่าวอย่างหน่าย ๆ ก่อนที่จะหยิบค้อนยักษ์ด้านหลังเขามาเตรียมพร้อม “โซล่าร์ ลูกธนูกระแสของนายยังเหลืออยู่ใช่ไหม?”

 

“พร้อมยิงได้เสมอเอ็ดมันด์” คราวนี้เอลฟ์หนุ่มที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่เรซกำลังปะทะกับคิเมียร่าอยู่ตอบกลับผ่านหูฟังวิทยุสื่อสารมา

 

“ดีเลย งั้นช่วยยิงจำกัดพื้นที่การเคลื่อนไหวมันด้วยนะ เราต้องถ่วงเวลาจนการคริสตัสจะเจอตัวผู้อัญเชิญ”

 

“รับทราบ!” เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว เอลฟ์หนุ่มโซล่าร์ก็ทำการยิงสนับสนุนเรซทันที เขาใช้ลูกธนูแบบปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาสกัดเขตกับเคลื่อนไหวของเจ้าคิเมียร่า

 

“อควาฟรีน่า อาการของท่านเลออสเป็นไงบ้าง?” คราวนี้เอ็ดมันด์หันมาสั่งการแพทย์สนามประจำทีมของเขา และเขาก็ได้รับข้อมูลที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก

 

“อาการสาหัสมากเอ็ดมันด์ เราต้องรีบลงมือรักษาเขาด่วนเลย เพราะเขามีละอองมารปะปนในร่างกายสูงมาก ถ้าช้ากว่านี้อีกยี่สิบนาที เขาจะกลายร่างเป็นอสุรกายที่ไร้สติสัมปชัญญะ” น้ำเสียงของแพทย์สนามหญิงตึงเครียดอย่างมาก ตอนนี้เธอชะลออาการกลายร่างของเขาโดยใช้เวทมนตร์วารีบำบัดที่เธอถนัดอยู่

 

“โอเค งั้นเรารีบจัดการกับเลยดีกว่า พวกเราลุย!”

 

“รับทราบ!” สมาชิกทุกคนตอลรับกลับมาหาเอ็ดมันด์ผู้เป็นหัวหน้าทีม ก่อนที่เขาจะเปิดประตูโกดังแล้วเดินออกไปพร้อมกับเฮนรี่เตรียมประจัญบานของอสุรกายยักษ์นั่นทันที

 

 

ไม่จริง...มันต้องไม่ใช่แบบนี้!

 

หญิงสาวผู้อัญเชิญสังเกตเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าไกลออกไปขบฟันแน่ มือทั้งสองข้างเธอกำหมัดและสั่นเทิ้ม อารมณ์โกรธของเธอพุ่งขึ้นราวกับลาวาที่กำลังจะปะทุออกมาจากภูเขาไฟ

 

ตอนแรกเธอเกือบจะได้ตัวของนายน้อยแห่งตระกูลซาจิทารัสอยู่แล้ว แต่พวกอัศวินแห่งรุ่งอรุณก็ยกพวกกันมาขัดขวางแผนการของเธอ คงจะเป็นพวกเดียวกันกับอาจารย์ประจำสถาบันจอมจุ้นคนนั้นแน่ ๆ

 

นี่เธอประมาทอาจารย์หนุ่มนั่นเกินไปจริง ๆ

 

แถมละอองมารที่เธอใช้ไปกับองครักษ์นั่นก็ใช่ไม่ได้ผลกับอัศวินพวกนี้ด้วย เพราะพวกมันได้รับการปกป้องจากผนึกอัศวินประจำตัว

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดเสียจริง!

 

เห็นทีเธอคงจะปล่อยเอาไว้เฉย ๆ ไม่ได้เสียแล้ว เธอตัดสินใจที่จะร่ายมนตร์โจมตีขั้นรุนแรงเพื่อสังหารทุกคนที่นั่น แต่ต้องใช้เวลาในการร่ายมนตร์ด้วย

 

เธอเปิดขวดแก้วที่บรรจุละลองมารดื่มพวกมันเข้าไปและเริ่มบริกรรมคาถา จากนั้นท้องฟ้าที่เคยสดใสก็เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีดำ ดวงตาสีแดงก่ำมองพวกอัศวินจอมจุ้นอย่างราวโรจน์

 

“โอ๊ะโอ...กระตุกหนวดเสือซะแล้ว” ออร์คหนุ่มนามเอ็ดมันด์อุทานขึ้น “กฤษณะ จับสัญญาณพลังเวทมนตร์ได้ไหม ถ้ายังรีบด่วนรีบเลย ไม่งั้นเราจะตายกันหมด ย้ำเราจะตายกันหมด!” เอ็ดมันด์วิทยุหากฤษณะที่อยู่บนเรือเหาะเพียงคนเดียวของทีม แล้วใช้ค้อนยักษ์ของตัวฟาดหน้าของคิเมียร่าอย่างจัง

 

“ผมกำลังเร่งจับสัญญาณอยู่ครับหัวหน้า ตอนนี้คอมพ์ของผมมันรวนไปหมดเลย” โปรแกรมเมอร์หนุ่มชาวภารัตถึงกับปาดเหงื่อเมื่อตอนนี้คอมพิวเตอร์คู่ใจของเขาที่ทำหน้าที่ในการตรวจจับพลังเวทมนตร์เกิดปั่นป่วนขึ้นมาจากคลื่นพลังเวทมนตร์ที่จู่ ๆ ก็ก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้เขาเสียเวลาในการแก้ไขมัน ถ้าเป็นเช่นนั้น ทั้งหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานของเขาทั้งหมด อาจจะไม่ได้ขึ้นมาอยู่บนเรือเหาะนี้ได้

 

ทั้งเมเทียและอาเชอร์ที่อยู่บริเวณดาดฟ้าของเรือมองท้องฟ้าด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก

 

“ไม่ได้การแล้ว พวกเขาจะโดนสังหารทั้งหมด” ตอนนี้เมเทียเหลือพลังที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้เลย ร่างกายของเธอเองก็ไม่พร้อมสำหรับการตรวจจับคลื่นพลังเวทมนตร์ตอนนี้ด้วย

 

“ท่านป้า ท่านพอจะมีทางช่วยพวกเขาไหม ถ้าท่านป้าทำไม่ไหว ข้าจะเป็นคนทำเอง!”

 

เมเทียลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเห็นสายตาอันมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือพวกพ้องของเด็กหนุ่ม นั่นจึงทำให้เธอตัดสินใจที่จะเชื่อในตัวเด็กหนุ่ม

 

“ได้อาเชอร์ คราวนี้พวกเราคงต้องเพิ่งเจ้าแล้ว”

 

“ท่านป้าบอกข้ามาได้เลย”

 

“วิธีตรวจจับคลื่นพลังเวทมนตร์พวกนี้ เจ้าจะต้องอยู่ในสมาธิเหมือนกับตอนที่ทำลูกธนูแห่งแสง แต่คราวนี้มันจะแตกต่างกันเล็กน้อย เจ้าต้องหาจุดกำเนิดพลังเวทมนตร์บ้าคลั่งนี้ สีของพลังงานเวทมนตร์พวกนี้มันจะมีสีที่แตกต่างกัน ถ้าเจ้าหามันพบ เราก็จะเจอตัวคนร่ายมนตร์”

 

คำอธิบายยาวเหยียดของเมเทียทำเอาเขารู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยทำมาก่อน แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้!

 

“ข้าจะเป็นคนทำมันเอง!”

 

“ดีมาก งั้นเราต้องรีบไปบอกกฤษณะด้านใน” หญิงวัยกลางคนชี้ไปยังห้องควบคุมที่กฤษณะกำลังวุ่นวายอยู่กับการแก้ไขอาการปั่นป่วนของคอมพิวเตอร์อยู่ อาเชอร์จึงไม่รอช้ารีบประคองตัวเมเทียไปยังห้องควบคุมทันที

 

“กฤษณะ ข้ามีวิธี!” เมเทียอธิบายแผนการให้กฤษณะฟัง ชายหนุ่มชาวภารัตพยักหน้าเห็นด้วยกับแผนการนี้ เพราะเขาแก้ไขอาการผิดปกติของคอมพิวเตอร์เขาไม่ทันแน่นอน

 

“ถ้าเช่นนั้น นายน้อยสวมเจ้านี้เลยครับ” กฤษณะยื่นที่ครอบหัวให้กับอาเชอร์ มันเชื่อมโยงกับสายไฟที่ต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง

 

“อุปกรณ์ตัวนี้มันจะเชื่อมต่อกับพลังของนายน้อย ถ้านายน้อยหามันเจอ มันจะส่งข้อมูลมาเข้าคอมเครื่องนี้โดยตรง มันเป็นคอมรุ่นเก่า มันไม่ได้รับผลกระทบจากคลื่นพลังนี้อยู่แล้วครับ”

 

อาเชอร์รับที่ครอบหัวมาจากกฤษณะและสสวมลงบนหัวของตนทันที

 

“พร้อมนะอาเชอร์” เมเทียเอ่ยถามเด็กหนุ่ม ก่อนที่เขาจะพยักหน้า แม้ว่าในใจเขาจะตื่นเต้นไม่น้อย

 

“ผมเซ็ทอัพคอมเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ถ้านายน้อยพร้อมแล้ว ลงมือได้เลยครับ” กฤษณะเปิดหน้าจอคอมรุ่นเดอะ และเซ็ทอัพโปรแกรมเรียบร้อย เมื่อเป็นดังนั้นอาเชอร์จึงสูดหายใจเข้าเต็มปอด และจับตาลงเพื่อเริ่มต้นสมาธิของตนเอง

 

ท่ามกลางความมืดที่อาเชอร์ไม่เห็นอะไรเลยนั้นก็พลันปรากฏพลังงานสีน้ำเงินขึ้นมา นั่นคือพลังของตัวเขาเอง และหลังนั้นไม่นานเขาก็เห็นพลังงานสีอื่น ๆ ปะปนขึ้นมาเต็มไปหมด ทั้งของเมเทียที่เป็นสีม่วง และของเลออสที่เป็นสีเหลืองแต่ริบหรี่เต็มที่แล้ว

 

ในระหว่างที่เขาควานหาพลังงานที่เป็นจุดกำเนิดเวทมนตร์นี้ หัวของเขาก็ปวดจนราวเข้าว่าหัวของเขาจะระเบิดออกมาอย่างนั้น เนื่องจากอาการปวดหัวของอาเชอร์ ทำให้ข้อมูลที่ปรากฏในคอมของกฤษณะจึงมั่วซั่วไปหมด

 

“สู้ ๆ นะครับนายน้อย...” กฤษณะให้กำลังนายน้อยอยู่ห่าง ๆ เพราะเขาไม่สามารถช่วยอะไรได้ และตอนนี้ตอนหวังที่จะเพิ่งเขาคนเดียวเท่านั่นแล้ว

 

หญิงวัยกลางคนเอามือแตะบ่าของเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา

 

“อาเชอร์...” ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเธอส่งไปยังอาเชอร์ นั่นจึงทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายไปได้มากโข เขาจึงเร่งหาจุดกำเนิดของพลังงานนั่นต่อไป

 

อยู่ๆ ไหนนะ...

 

อาเชอร์ยังคงควานหาพลังงานนั่นต่อไป จนกระทั่งเขาสังเกตพลังงานที่ถูกปล่อยมาจากตัวคิเมียร่า

 

สีดำ! มันเป็นสีดำ

 

เมื่อหาพบแล้วเด็กหนุ่มก็เลิกสนใจพลังงานสีอื่น ๆ เขาไล่เรียงพลังงานสีดำนั่นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไปถึงจุดที่มีพลังงานสีดำรวมตัวกันเป็นจำนวณมาก

 

“เจอแล้ว เจอแล้ว!” อาเชอร์ตะโกนออกมา พร้อมกับข้อมูลที่ปรากฏบนจอคอมรุ่นเดอะของกฤษณะ

 

“หัวหน้า ต้นเหตุห่างจากจุดที่ทุกคนอยู่ทางสิบนาฬิกา ห่างจากทุกคนไปประมาณสามกิโลเมตรครับ!”

 

“คริสตัส!” เอ็ดมันด์วิทยุบอกมือปืนประจำกลุ่มที่กำลังเล็งไปทิศทางที่กฤษณะบอกมา

 

“เจอหนูตัวใหญ่แล้ว...” หูแมวของเธอตั้งตรงบ่งบอกว่าเธอกำลังตื่นตัวอย่างที่สุด เป้าหมายของเธอยืนอยู่บนเครนขนส่งสินค้าที่ห่างจากตรงนั้นไปประมาณสามกิโลเมตรดังที่กฤษณะบอก “เอานี่ไปกินละกัน ค่าตอบแทนสำหรับที่แกบังอาจมายุ่งกับนายน้อยของพวกเรา” กล่าวจบเธอก็ลั่นไกทันที

 

เสียงปืนของคริสตัสทำให้ผู้เชิญอัญเชิญนั้นเสียสมาธิ และเอี้ยวตัวหลบตามสัญชาตญาณ ทำให้กระสุนนั่นโดนหัวไหล่ซ้ายของเธอ

 

“อ้ากกก!” เธอหวีดร้องออกมาเมื่อความเจ็บปวดวิ่งแล่นเข้ามาสู่สมอง ไม่เคยมีเธอทำเธอต้องเลือดตกยางออกได้แบบนี้มาก่อน

 

“พวกแก พวกแกต้องชดใช้!” เธอพยายามจะรวบรวมพลังในการร่ายมนตร์ใหญ่อีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่สามารถรวบรวมพลังได้อีกแล้ว

 

“บ้าน่า...ทำไมกัน” ทุกครั้งที่เธอพยายามจะรวบรวมพลัง มันก็เหมือนมีอะไรบางอย่างบล็อกพลังของเธอเอาไว้ที่ไหล่ซ้ายของเธอ

 

“หรือว่า นี่มัน...” กว่าที่เธอจะได้รู้ล่วงรู้คำตอบ กระสุนอีกลูกหนึ่งเข้าตรงเข้าที่ศีรษะของเธอทันที ทำเอาร่างของผู้อัญเชิญนั้นร่วงลงจากเครนขนส่งสินค้าเสียแล้ว

 

“กระสุนสกัดจุดพลังเวทมนตร์น่ะ โทษที”

 

 

to be continued............................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา