Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim อัศวิน แห่ง รุ่งอรุณ ตอน อุบัติการณ์ แห่ง เนฟีลิม
เขียนโดย The_Emperor
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.50 น.
แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 09.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) สิ่งที่ไม่คาดฝัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความKnight of the dawn: The Awakening of Nephilim
บทที่ 3 : สิ่งที่ไม่คาดฝัน
“ข้าว่าเจ้าคงไม่ได้มาเชิญเด็กคนนั้นเข้าศึกษาอย่างเดียวหรอกใช่ไหมเดวิด”
ได้ยินดังนั้นอาจารย์หนุ่มประจำสถาบันจึงคลี่ยิ้มบาง ๆ และเริ่มกล่าวถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนเองที่เข้ามาที่หมู่บ้านแห่งนี้
“ท่านองครักษ์ยังคงมีสายตาที่เฉียบคมเช่นเคยนะครับ” เดวิดตอบอึนฮาก่อนที่จะหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง มันเป็นหนังสือพิมพ์ของประเทศลินโด้ ประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่งของยูโรเปียน
“ของลินโด้นี้? มีข่าวอะไรที่เราต้องสนใจในนี้ใช่ไหม?” นาบีจับของที่เธอคุ้นเคย สมัยที่ยังอยู่ที่ยูโรเปียน เธอมักจะอ่านหนังสือพิมพ์พวกนี้เป็นประจำ
“หน้าสามครับท่านนักเวท” หญิงวัยกลางคนรีบเปิดหน้าที่สามตามที่ดอกเตอร์บอกมา อึนฮาและ นาบีก็พบกรอบข่าวหนึ่งในนั้น
“การสังหารหมู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของฮิซาญ ประเทศทางตะวันตกของทวีปเดเซอทร่า หมายความว่าอะไรกันเนี่ยเดวิด?” แม้จะไม่ได้ใช้ภาษาบริเตนในการอ่านมานาน แต่อึนฮาก็ยังคงอ่านหัวข้อข่าวนี้อย่างรวดเร็วเหมือนเดิม
“พวกท่านพอจะรู้เรื่องระบบการคัดเลือกชื่อของผนึกแห่งแสงในสถาบันใช่ไหมครับ?” เดวิดยังไม่ได้ตอบคำถามในทันทีและถามคำถามแก่ทั้งคู่แทน
“อืม...ข้าพอจะได้ยินมาเหมือนกันว่า ผนึกแห่งแสงจะทำการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมในการเข้าศึกษาที่สถาบันและเปล่งแสงออกมาเป็นชื่อของบุคคลนั้นใช่ไหม?” นายพรานวัยกลางคนกล่าวออกมาพร้อมกับลูบเคราของตนเองไปด้วย
“ใช่ครับ นอกเหนือจากชื่อแล้ว ผนึกแห่งแสงจะบอกสถานที่ที่บุคคลนั้นอยู่ด้วยครับ” อึนฮาและนาบีต่างก็ฟังการทำงานของผนึกแห่งแสงจากเดวิดอย่างตั้งใจ
“เมื่อได้รายชื่อกับที่อยู่มาแล้ว จะมีหน่วยงานเฉพาะภายในสถาบันมาจดรายชื่อและที่อยู่ของพวกเขาครับ”
“หมายความว่าจะมีแต่เฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้องภายในรู้ข้อมูลตรงนี้เท่านั้นใช่ไหมตามที่ข้าเข้าใจ” นาบีสรุปจากข้อมูลที่ได้รับมา เดวิดพยักหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบ
“แล้วมันเกี่ยวข้องกับข่าวนี้ย...” ยังไม่ทันที่จะกล่าวจบ อึนฮาก็ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจทันที
“อย่าบอกนะว่า หมู่บ้านเล็ก ๆ ในฮิญาซที่ว่าก็คือ...”
“ใช่ครับท่านองครักษ์ มันคือที่อยู่ของเด็กที่ถูกผนึกแห่งแสงเลือกในปีนี้ครับ”
“ตายแล้ว...ใครกันที่ทำเรื่องพวกนี้...” นาบีถึงกับเอามือปิดปากของตนเอง
“ที่สำคัญไปกว่านะครับ เด็กที่ถูกผนึกแห่งแสงเลือกคนนี้ คือทายาทของตระกูลอควารีอัสครับ” คำตอบต่อมาของเดวิดยิ่งทำให้ทั้งคู่รู้สึกตื่นตระหนกมากกว่าเดิมยิ่งขึ้นไปอีก
ทายาทตระกูลอควารีอัส...เด็กคนนั้นมีพลังพิเศษที่ซ่อนอยู่ตัวเช่นเดียวกันกับกุงซู เพียงแต่กุงซูคือทายาทของตระกูลซาจิทารัส ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของตระกูล พวกเขาอาจจะกำลังถูกตามล่าอีกครั้งหนึ่งโดยผู้ที่ไม่ประสงค์ดี
“แล้วทายาทตระกูลอควารีอัสคนนั้น...”
“ยังไม่พบตัวครับท่านนักเวท คาดว่าองครักษ์ของเขาพาหลบหนีไปก่อนที่การสังหารหมู่จะเกิดขึ้น”
“แล้วตอนนี้ท่านกิลเบิร์ตส่งคนไปตามหารึยัง?”
“ท่านผอ.ส่งกำลังเสริมออกตามหาทายาทอควารีอัสแล้วครับ คงต้องทำงานแข่งกับเวลาหน่อย”
ผู้ที่เปรียบเสมือนเป็นผู้ปกครองของกุงซูทั้งคู่มีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ฮิญาซเป็นประเทศในทวีปเดเซอทร่าที่มีภูมิเป็นทะเลทราย และไม่ต้อนรับชาวต่างชาติขนาดนั้นยังถูกพบตัวได้ แล้วหมู่บ้านเล็ก ๆ ในโชซอนนี้เล่า จะเป็นยังไง
“เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เจ้าว่ามีเฉพาะบุคคลภายในที่รู้เรื่องพวกนี้ แล้วพวกที่ตามล่าทายาทอควารีอัสรู้ได้ยังไง?” คำถามนี้ทำให้เดวิดรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด แต่เขาก็จำเป็นที่จะต้องบอกข้อมูลทั้งหมดให้ผู้ปกครองทางพฤตินัยของกุงซูให้รับทราบ
“พวกเรายังไม่รู้ถึงสาเหตุครับ ถ้าเป็นไปได้ ผมก็ไม่อยากให้เป็นเพราะพวกเรามีหนอนบ่อนไส้”
“บ้าเอ๊ย!” อึนฮาถึงกับทุบเก้าอี้อย่างไม่พอใจ ขนาดองค์กรอัศวินแห่งรุ่งอรุณยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีหนอนบ่อนไส้ แล้วนี่พวกเขาจะไว้ใจใครได้อีก...
“ตอนนี้ท่านผอ.กำลังสืบหาสาเหตุอย่างเงียบ ๆ อยู่ครับว่าเกิดจากอะไร และผมก็เชื่อว่าท่านผอ.ต้องพบสาเหตุแน่นอน” คำตอบของเดวิดทำให้ทั้งคู่เบาใจลงไปบ้าง ถึงจะไม่มากนักแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ถ้าผู้นำสูงสุดของสถาบัน ลงมือสืบหาด้วยตนเอง เชื่อว่าไม่นานเกินรอก็น่าจะพบสาเหตุที่ข้อมูลภายในรั่วไหล
“ดังนั้นผมจึงมาที่นี่เพื่อเสนอแนวทางครับ”
“แนวทางเหรอเดวิด อะไรละ” นาบีที่รับฟังอย่างใจเย็นเอยถามอาจารย์หนุ่ม เธอรู้ว่าตอนนี้คู่หูของเธออารมณ์ร้อนเกินกว่าที่จะออกความเห็นใดๆ แล้ว
“ในระหว่างที่เรายังไม่รู้ว่าที่ซ่อนตัวของทายาทอควารีอัสถูกเปิดเผยได้ยังไง ผมว่าเวลานี้เราควรออกจากโชซอนให้เร็วที่สุดครับ”
“เขายังไม่พร้อมเดวิด” อึนฮาตอบอย่างหนักแน่แก่เดวิด
“ผมเข้าใจนะครับท่านองครักษ์ แต่ตอนนี้เวลาเราเหลือไม่มากแล้ว อีกทั้งตอนนี้พวกมันอาจจะยังไม่รู้ก็ได้นะครับ ว่าพวกท่านยังอยู่ในโชซอน ถ้าเราใช้เวลานี้ย้ายที่อยู่พวกมันน่าจะยัง...” เดวิดยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมองครักษ์ตรงหน้าอย่างใจเย็น
“เขาเพิ่งจะฝึกพลังของสายเลือดเขาได้เมื่อวานนี้เป็นครั้งแรก เจ้าได้ยินไหมว่าครั้งแรกเดวิด อีกอย่างก่อนที่สถาบันจะสอบคัดเลือกนักศึกษา เขายังมีเวลาฝึกอีกสามมิใช่หรือ เหตุใดเจ้าจึงต้องเร่งรัดให้เขาเดินทางก่อนกำหนดขนาดนี้ ถ้าเกิดพวกมันรู้ว่าพวกเรากำลังจะเดินทางไปที่อื่นแล้วเจอตัวเข้า กุงซูไม่ต้องตกอยู่ในอันตรายหรอกหรือ?” องครักษ์วัยกลางคนกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล
ขณะพ่อแท้ ๆ ของกุงซูที่มีพลังเยอะกว่ากุงซูในตอนนี้แบบเทียบไม่ติด ยังพ่ายแพ้กับศัตรูที่ไม่รู้ที่มา แล้วกุงซูที่เพิ่งฝึกตอนนี้เล่า จะเอาตัวรอดได้ยังไง
“เลออส บางทีเราอาจจะเหลือเวลาไม่มากอย่างที่เดวิดบอกพวกเราก็ได้นะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยนามจริงๆ ของชายวัยกลางคนตรงหน้า ซึ่งนั้นก็ทำเอาเขาสะดุ้งไปเลย
“เมเทีย! เจ้าไม่ห่วงเขาเหรอ?” เลออสเองก็ถึงกับเดือดดาลจนกล่าวนามที่แท้จริงกับหญิงวัยกลางคนตรงหน้า
“ฟังข้าก่อนเลออส ข้ารู้ว่าเจ้าห่วงกุงซู ข้าเองก็ห่วงเขาเหมือนกัน แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันกับตอนที่พวกเราหนีเข้ามานะ” เมเทียเลือกที่จะอธิบายเหตุผลแก่เลออสฟัง เธอกุมมือคู่หูของตนเองให้ใจเย็นลง
“ท่านนักเวทพูดถูกครับ ตอนนี้การเมืองของโชซอนถูกบีบบังคับให้ต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา ตอนนี้โชซอนไม่ได้ปิดประเทศอีกต่อไปแล้วนะครับ”
จริงดังที่ทั้งคู่กล่าวมา แม้เลออสและพวกเขาจะเก็บตัวในหมู่บ้านเล็กๆ ของโชซอน ในเวลานั้นโชซอนไม่ต้อนรับชาวต่างชาติ
แต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว ชาวตะวันตกหรือประเทศมหาอำนาจในยูโรเปียนต่างก็เดินทางทั่วโลก ไม่ใช่แค่การค้าขายอย่างเดียว รัฐบาลพวกนั้นกำลังใช้กำลัง บีบบังคับ แสวงหาผลประโยชน์จากผู้ที่อ่อนแอกว่าตนเอง อาจจะใช้เกมการเมืองเพื่อผูกขาดการค้าหรือหากำไรเข้าประเทศตนเอง
ตอนนี้ทั่วทั้งเอเดนไม่มีที่ไหนที่สามารถปิดกั้นตนเองได้จากโลกภายนอกอีกต่อไปแล้ว เพราะถ้าหากไม่เปิดประเทศเพื่อรับวิทยาการใหม่ๆ เข้าประเทศตนเอง ประเทศนั้นๆ หรืออาณาจักรนั้นๆ ก็คงจะถึงคราวล่มสลายไปในที่สุด
ขณะที่เกิดเหตุยังเป็นประเทศฮิญาซที่ไม่ต้อนรับชาวต่างชาติ โชซอนที่ถูกบังคับให้รับชาวต่างชาติก็คงจะไม่ใช่ยากสำหรับพวกมันที่กำลังตามล่าพวกเขาอยู่
“เห้อ งั้นพวกเราควรจะทำยังไงดีละเมเทีย” เลออสที่ใจเย็นลงแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาไม่อยากให้เด็กหนุ่มที่เปรียบเสมือนหลานในไส้ของตนเองไปเสี่ยงต่อการถูกปลิดชีพ แต่จะให้อยู่ที่เดิมแบบนี้ตลอดไปก็คงไม่ได้เช่นเดียวกัน
“งั้นให้เขาไปอยู่ในการดูแลของท่านคิงสตันไหมครับ?” เดวิดเสนอความเห็นของตนอีกครั้ง
“อืม...ถ้าเป็นท่านคิงสตันที่เป็นผู้มีอิทธิพลต่อการเมืองของลินโด้พอสมควร และผู้คนรู้จักกันกว้างขวางไม่เหมือนนายท่าน บางทีอาจจะช่วยจุดนี้ได้” เมเทียวิเคราะห์ตามสถานการณ์
“ท่านคิงสตันยังอยู่ในลินโด้ด้วยเช่นกันกับท่านผอ.ครับ บางทีการไปที่ลินโด้เรายังมีท่านคิงสตันและท่านผอ.คอยเป็นหูเป็นตาให้เด็กคนนี้ได้ครับ”
เลออสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วพวกเขาก็ต้องไปจากที่นี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่นึกเลยว่าจะต้องไปแบบปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้ หากพิจารณาเหตุผลทั้งหมด การเดินทางไปลินโด้ยังไงก็ดีกว่ายังอยู่ในโชซอนเป็นเห็น ๆ สถานการณ์ทุกอย่างดูจะบีบบังคับให้เด็กหนุ่มเติบโตไวขึ้นจริงๆ
“เมเทีย เจ้าเห็นว่ายังไง?”
“ข้าเห็นว่าเราทำตามแผนนี้ก็ดีเหมือนกันเลออส ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ลำพังเราสองคนคงจะต้านพวกมันเอาไว้ไม่ได้แน่ๆ”
เธอกุมมือองครักษ์ตรงหน้าอีกครั้ง เธอยืนยันความคิดของเธอกับเลออส เมเทียประเมินสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว หากพวกเขายังคงชักช้าไม่ตัดสินใจอยู่แบบนี้ คงไม่ทันการณ์แน่นอน
อีกอย่างถ้ากุงซูได้ไปอยู่ในความดูแลของผู้ที่มีอิทธิพลทั้งสองคนอย่างท่านตาของกุงซูคิงสตัน และผู้อำนวยการสถาบันและยังเป็นผู้นำสูงสุดของตระกูลแอรีส น่าจะปลอดภัยกว่ายังอยู่ที่นี้จริง ๆ
“เห้อ ข้าเข้าใจแล้ว แต่ข้าฝึกกุงซูให้พร้อมกว่าอีกสักหน่อยละกัน ขอเวลาให้เขาอีกสามวัน เจ้าว่ายังไงเดวิด” เลออสถามความเห็นอาจารย์หนุ่มประจำสถาบัน
“ได้ครับท่านองครักษ์ ผมจะรีบติดต่อกับท่านคิงสตันและท่านผอ.โดยตรงให้เร็วที่สุดครับ” นอกเหนือจากเดวิดยังบอกพวกเขาด้วยว่า เขาจะรีบติดต่อมาดามอาโซมิให้เป็นธุระเรื่องเอกสารยืนยันตัวให้เร็วที่สุดด้วยเช่นกัน
“ขอบใจเจ้ามากนะเดวิด ที่คอยช่วยเหลือพวกเราขนาดนี้”
“ไม่หรอกครับท่านองครักษ์ นายท่านซาจิทารัสเองก็เคยช่วยข้าเอาไว้ อะไรที่ข้าช่วยได้ ข้าเต็มใจ” เดวิดนึกหวนไปถึงตอนที่เขายังคงเป็นเด็ก ถ้าเขาไม่ได้พ่อของเด็กคนนี้ช่วยเหลือจากพวกอันธพาลพวกนั้น เขาคงไม่ได้มายืนจนถึงจุดนี้แน่ๆ
ตอนนี้ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลซาจิทารัสกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาก็พร้อมที่เสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อช่วยเหลือเด็กคนนี้
“แล้วยังมีทายาทตระกูลอื่น ๆ ที่เข้าศึกษาพร้อมกันกับกุงซูหรือไม่เดวิด?” เท่าที่เมเทียจำได้ ตอนที่ไปงานเลี้ยงรวมตระกูลของตระกูลสุริยะวิถีครั้งล่าสุด มีนายหญิงประมาณสองสามจากตระกูลที่ตั้งครรถ์ไล่เลี่ยกันกับกับนายหญิงแห่งตระกูลซาจิทารัส
“ใช่แล้วครับท่านนักเวท แต่ข้อมูลตรงนี้ผมก็คงตอบไม่ได้ เพราะมีอาจารย์คนอื่น ๆ รับผิดชอบเรื่องที่อยู่ของพวกเขาอยู่ครับ” ถึงแม้ว่าเดวิดจะไม่ได้ตอบเธอ แต่เธอก็พอจะจำได้ ว่ามีนายหญิงแห่งตระกูลอะไรบ้างที่ตั้งครรถ์ในเวลาไล่เลี่ยกันกับนายหญิงของพวกเธอ
ตระกูลลีโอ ตระกูลลิบรา ตระกูลสกอปิโอ ตระกูลอควารีอัส และตระกูลซาจิทารัส ที่นายน้อยประจำตระกูลกำลังเรียนวิชาภูมิศาสตร์ในห้องเรียนที่ห่างออกไปจากห้องโถงของโบสถ์
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่ถูกตามล่า แต่เป็นทั้งหมดของตระกูลสุริยะวิถีเลยตังหากที่ถูกตามล่า
พวกเขามีอยู่ทั้งหมดสิบสองตระกูลด้วยกัน ทั้งห้าตระกูลที่เพิ่งกล่าวไปคือหนึ่งในตระกูลสุริยะวิถีเช่นเดียวกัน รวมไปถึงตระกูลแอรีสที่มีท่านผู้อำนวยการสถาบันโคดาเป็นผู้นำสูงสุดในตอนนี้ โชคดีของตระกูลแอรีสที่พวกเขาไหวตัวทันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์กวาดล้างนี้ขึ้น
และตัวของผู้อำนวยการสถาบันคนปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำสถาบันแห่งนี้อยู่แล้ว ทำให้พวกอัศวินแห่งรุ่งอรุณปกป้องตัวเขาและตระกูลแอรีสได้ทันเวลา ทว่าตระกูลอื่น ๆ กลับไม่ได้โชคดีเช่นนั้น...
มีตระกูลอควารีอัสที่ถูกพบตัวแล้ว และไม่แน่นอนว่าทายาทแห่งซาจิทารัสจะถูกพบตัวเมื่อไหร่ ส่วนอีกสามตระกูลที่เหลือ ไม่มีใครทราบถึงชะตากรรมของพวกเขาได้เลย ซึ่งก็ได้แต่ภาวนาว่าพวกเขาทั้งหมดปลอดภัย และรอดเงื้อมมือจากปีศาจร้ายที่พวกเขามองไม่เห็นตัว
“ท่านลุง ท่านป้า! เรากลับกันเถอะ ข้าหิวข้าวแล้ววว” กุงซูที่เพิ่งเรียนเสร็จวิ่งเข้ามากอดลุงและป้าของเขา พวกผู้ใหญ่ที่ประชุมกันหน้าดำคร่ำเครียดก่อนหน้านี้ ก็ต้องหยุดลงไปโดยปริยาย
“อืม เอาสิ พวกลุงคุยธุระกันเสร็จพอดี” เลออสอดไม่ได้ขยี้หัวหยอกล้อหลานชายคนนี้ แม้ว่าในใจเขาจะรู้สึกกังวลและเป็นห่วงคนตรงหน้านี้ขนาดไหนก็ตาม
“นั้นสินะ นี้ก็เย็นมากแล้วด้วย ว่าแต่เดวิดเจ้าพักที่ไหนกัน?” เมเทียเอยถามคนคุ้นเคย ทั้งเธอและเลออสต่างก็เห็นเดวิดผู้นี้มาตั้งแต่เขายังเป็นนักเรียน
“ผมพักที่นี้คืนหนึ่งแหละครับท่านนักเวท คุณพ่อโจนาธานเตรียมให้ผมแล้ว พรุ่งนี้ผมจะรีบกลับไปฮันยางเพื่อติดต่อเรื่องเอกสารนะครับ”
“อ่าว ดอกเตอร์จะกลับเหรอครับ?” กุงซูกล่าวออกมาอย่างผิดหวังเล็กน้อย เพราะเขากะจะถามเรื่องราวต่าง ๆ จากเดวิดสักหน่อย เพราะดูแล้วเขาเป็นนักผจญภัย น่าจะมีเรื่องราวที่เยอะกว่าบาทหลวงในโบสถ์แห่งนี้
“ฉันฟังมาจากคุณพ่อโจนาธานแล้วละ ว่าเธอเป็นคนที่สนใจเรื่องราวต่าง ๆ บนโลกใช่ไหม งั้นรับนี้ไปสิ” เดวิดยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้แก่เด็กหนุ่ม เมื่อได้รับหนังสือ เขาก็อ่านหน้าปกทันที
“บันทึกเส้นทางแห่งอาบูเคลัน...โห! ผมชอบเล่มนี้มาก ๆ ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ของโบสถ์จนมัน เหยินไปหมด นี้ดอกเตอร์ก็อ่านเล่มนี้ด้วยเหรอครับ?” คำถามของเด็กหนุ่มทำให้อาจารย์หนุ่มยิ้มออกมา
“อืม...ไม่ใช่แค่อ่านนะ เธอลองดูชื่อที่อยู่หน้าปกสิ” เมื่อดูหน้าปกตามคำแนะนำของเดวิด ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เบิกกว้างทันที
“ด...ดอกเตอร์เป็นคนเขียนเหรอครับ!!” ทำไมเขาถึงไม่เฉลียวใจตั้งแต่ตอนที่อาจารย์คนนี้แนะนำตัว มิน่าเล่าตอนที่เรียนภูมิศาสตร์อยู่ สาธุคุณจอนห์สตันถามเขาว่าเขาไปพบใครมา พบบอกชื่อไป สาธุคุณจอนห์สตันก็แค่ยิ้มๆ ออกมาแต่ไม่ได้บอกอะไรเขา
“ฮ่า ๆ ๆ ใช่แล้วละกุงซู ฉันเขียนมันระหว่างที่กำลังสำรวจใจกลางทวีปอาบูเคลัน”
“สุดยอดไปเลยครับด็อกเตอร์!” กุงซูกล่าวชื่นชมดอกเตอร์ผู้นี้ออกมาจากใจจริง เรื่องราวที่เดวิดเขียนมันทำให้เขาหลงใหลในการสำรวจ การผจญภัยในดินแดนต่าง ๆ และการค้นพบที่น่าอัศจรรย์อย่างน้ำตกขนาดใหญ่ใจกลางทวีป ที่เดวิดตั้งชื่อว่า น้ำตกวิตอเรีย ตามพระนามของสมเด็จพระราชินีนาถแห่ง เกรท บริเตน
“ถ้าเธอสงสัยอะไร เธอถามฉันได้นะ แต่คงต้องหลังจากที่ฉันกลับจากฮันยางก่อนนะ”
“ได้เลยครับดอกเตอร์ ผมมีเรื่องที่อยากจะคุยกับดอกเตอร์เต็มไปหมด”
“ฮ่า ๆ ๆ เจอคนที่ถูกใจก็ลืมลุงกับป้าไปเลยนะกุงซู ปะ เรากลับกันก่อน เดี๋ยวดอกเตอร์เขาจะต้องรีบทำธุระของเขาต่อ” เลออสตบไหล่ของเด็กหนุ่ม เวลาที่กุงซูเจออะไรก็ตามที่เขาสนใจเขามักจะเป็นแบบนี้ตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่เขาชื่นชมและยกย่องเป็นไอดอลของเขาอย่างดร.เดวิด ลีฟวิ่งสโตนผู้นี้
“พวกเราขอบคุณเจ้าอีกทีนะเดวิด พรุ่งนี้เราไม่ได้มาส่งเจ้าเดินทางไปฮันยาง เดินทางปลอดภัยนะ” เมเทียอวยพรแก่เดวิด ทำให้เดวิดโค้งคำนับ
“ไม่เป็นไรครับท่านนักเวท แล้วผมจะรีบกลับมานะครับ” พวกเขากล่าวลากับพวกกุงซู ก่อนที่พวกกงซูจะเดินทางกลับไปที่บ้านของตน เดวิดยังแอบหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินยินเด็กหนุ่มโวยวายกับผู้ปกครองทั้งสองคนว่า ทำไมทั้งคู่ไม่เคยบอกกับเขามาก่อนเลยว่ารู้จักกับคนที่สุดยอดขนาดนี้
เดวิดมองภาพตรงหน้าแล้วถอนหายใจออกมา พวกเขาอยู่กันอย่างอบอุ่นเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน เขายังนึกไม่ออกเลยว่า อนาคตข้างของเด็กหนุ่มและทั้งองครักษ์พิทักษ์นายน้อยทั้งสองจะเป็นอย่างไร แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็พร้อมที่จะปกป้องผู้ที่เคยมีพระคุณต่อเขาอย่างพ่อของเด็กคนนั้น เท่าที่กำลังของเขาจะทำได้
“ใครน่ะ!” เดวิดรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาต้องหันไปมองดูพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น แต่ผนึกอัศวินประจำตัวของเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลย ซึ่งโดยปกติแล้วถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล มันจะส่องแสงเตือนเจ้าของทันที
เว้นเสียแต่ว่า...มันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้สวมใส่ มันก็จะไม่ทำงาน
“มีอะไรรึเปล่าดอกเตอร์?” คุณพ่อโจนาธานที่เพิ่งทำความสะอาดภายในโบสถ์เสร็จเดินออกมาสูดอากาศด้านนอก ก็เห็นดร.เดวิดกำลังยิ่งจ้องอะไรบางอย่างที่พุ่มไม้นั้น
“ไม่มีอะไรครับคุณพ่อ ผมคงจะเหนื่อยจากการเดินทาง”
“อย่างนั้นเหรอ เราเข้าในโบสถ์กันเถอะดอกเตอร์ ตอนนี้อาหารเย็นน่าจะเสร็จแล้ว ท่านจะได้รีบทานมื้อเย็นและรีบพักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางกลับฮันยางอีกไม่ใช่หรือ?”
“ครับ ขอบคุณมาก ๆ นะครับคุณพ่อโจนาธาน”
“ไม่เป็นไร ๆ คนกันเองทั้งนั้น” คุณโจนาธานโบกไปมา บ่งบอกให้คนตรงหน้าไม่ต้องเกรงใจ
“ได้ครับ เชิญคุณพ่อโจนาธานก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมก็ตามเข้าไปครับ” บาทหลวงเฒ่าพยักหน้ารับรู้ก่อนที่จะเดินเข้าไปโบสถ์ก่อนเดวิด ในขณะที่เดวิดยังคงยืนจ้องที่พุ่มไม้นั้น จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขานึกในใจว่าเขาคงอ่อนล้าจากการเดินทาง แต่สัญชาตญาณของเขากลับไม่ชอบเลยที่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ ตั้งแต่ที่คุยกันที่หน้าโบสถ์เมื่อกี้แล้ว
เข้าศึกษาที่สถาบันน่ะเหรอ?
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเป็นเช่นนั้น!
เด็กหนุ่มนึกถึงเรื่องราวที่เหล่ามิชชั่นนารีเคยบอกเขา ว่าการที่สถาบันแห่งนี้จะเชิญให้บุคคลใดให้เข้าศึกษานั้นแทบจะเป็นจำนวนหนึ่งในร้อยด้วยซ้ำ เพราะส่วนใหญ่แล้ว ทุกๆ คนจะสมัครเข้าศึกษาที่สถาบันโดยตรงมากกว่า แม้ว่าทุกคนจะต้องร่วมทดสอบคุณสมบัติก่อนที่จะได้รับสิทธิ์เข้าศึกษา แต่การถูกเชิญเข้าศึกษาย่อมแสดงว่าคนคนนั้นมีคุณสมบัติที่ทางสถาบันต้องการให้เข้าศึกษาจริง ๆ
เขานอนพลิกตัวไปมาพลางคิดไปต่างๆ นานาว่าเขามีคุณสมบัติอะไรที่ทางสถาบันต้องการ แต่คิดให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ เพราะคนที่รู้มีแต่คนของสถาบันเท่านั้น
กุงซูหยิบหนังสือที่เพิ่งได้รับมาจากดร.เดวิด เขาอ่านหน้าปกหนังสืออีกครั้ง ก่อนที่จะยิ้มออกมาและหลับตาลง คงต้องรอให้อาจารย์ผู้นั้นกลับมาจากฮันยางก่อนแหละถึงจะได้คุยกัน เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาตื่นเต้น วันนี้มีแต่เรื่องที่เขาไม่คาดคิดมากมาย ทั้งเรื่องที่ถูกเชิญเข้าศึกษาที่โคดา และคนที่ส่งจดหมายเชิญยังเป็นคนเดียวกันกับคนที่เขียนหนังสือผจญภัยอันน่าตื่นตาตื่นใจที่เขาชอบอ่านมันเป็นประจำด้วย
เด็กหนุ่มวางหนังสือเล่มนั้นตรงหัวนอนของตนเองและพลางคิดว่าวันพรุ่งนี้เขาจะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับตัวเขาอีกหรือไม่และสุดท้ายเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทรา โดยก่อนนอนเขายังคงย้ำเตือนว่าจะถามอะไรกับดร.เดวิด
ทุกอย่างเหมือนถูกตัดฉากไป ตอนนี้รอบตัวของเด็กหนุ่มไม่ใช่ห้องนอนที่เขาคุ้นเคยอีกต่อไปแล้ว ภาพรอบตัวเขากลายเป็นสีดำเหมือนเมื่อวานที่เขาฝัน และเสียงปริศนาที่เคยได้ยิน
ช่วยด้วย...
เอาอีกแล้ว เสียงปริศนาที่คอยส่งเสียงขอความช่วยเหลือมาอีกแล้ว
“ช่วยข้าด้วย! ฮือ...”
“!!!” กุงซูมั่นใจว่าเขาไม่ได้เป็นคนพูด เขาตกใจเสียงนั้นจนลืมตาขึ้นมา ภาพตรงหน้านั้นทำให้เขายิ่งตกใจมากกว่าเดิมอีก เมื่อสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันคือทะเลทราย!
ทะเลทรายสู่ลูกหูลูกตา และไม่มีวี่แววของต้นไม้เลยสักต้น ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังตื่นตระหนกอยู่นั้น เสียงปริศนานั้นก็ดังขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง
“ช่วยด้วย ฮือ...”
สิ้นคำว่าช่วยด้วยตัวเขาก็ถูกพามายังสถานที่แห่งหนึ่ง มันคือซากเมืองโบราณที่อยู่กลางทะเลทราย ในซากเมืองนั้น มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดูแล้วเป็นรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา กำลังกอดศพและร้องห่มร้องไห้อยู่ตรงนั้น
“ท่านลุงบาซิม ท่านป้านัจมีย์ แล้วข้าจะอยู่ยังไง ฮือ...” เด็กหนุ่มคนนั้นกอดร่างที่ไร้ใจหายไปแล้ว กุงซูรู้สึกเวทนาภาพที่เกิดขึ้นตรงนี้เหลือเกิน เพราะมันทำให้เขารู้สึกถึงตัวเขา และท่านลุง ท่านป้าขึ้นมา เพราะเด็กหนุ่มคนนั้นน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา และร่างที่ไร้ลมหายใจทั้งสองร่างนั้นก็น่าจะเป็นวัยกลางคนเหมือนกับอึนฮา และนาบี พวกเขาช่างคล้ายคลึงกันเหลือเกิน
ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมามองกุงซู แล้วตะโกนออกมา
“ช่วยข้าด้วย!” ทั้งน้ำเสียงและน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นเลือดของเด็กหนุ่มคนนั้น ทำให้กุงซูร้องออกมาด้วยความตกใจ แล้วก้าวถอยห่างจากเจ้าขอร้องช่วยด้วยคนนั้น
“!!!” กุงซูตกใจและถอยร่นจนสะดุดกับอะไรบางอย่าง และสิ่งนั้นก็ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มช็อคกว่าเก่า เพราะสิ่งที่เด็กหนุ่มสะดุดไปนั้น มันคือศพของผู้คน!
“ฆ่ามันให้หมด!” สิ้นเสียงตะโกนสั่งการอันโหดเหี้ยมจากชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนนักรบทะเลทราย ลูกน้องของเขาก็ไล่ฆ่าผู้คนอย่างไร้ความปรานี เสียงกรีดร้องของผู้คนทำให้เขาต้องยกมือปิดหูเอาไว้ น้ำตาของเขาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ตัวของเด็กหนุ่มถูกพาออกมาจากการสังหารหมู่นั้น คราวนี้ท่ามกลางความมืดมิดกลับมีดวงตาสีแดงฉานราวกับเลือดปรากฏขึ้นมา มันจ้องมองมาทางเด็กหนุ่มราวกับจะฆ่าให้ตายซะเดี๋ยวนั้น และก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของเขาที่ทำให้เขาหวาดกลัวและขนลุกพองอย่างถึงที่สุด
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าเจอตัวเจ้าแล้ว...”
“ไม่!!!”
กุงซูสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายของเขา คราวนี้มันชัดเจนและน่ากลัวมากที่สุดเท่าที่เขาเคยฝันมาเลยก็ว่าได้ การร้องไห้ออกมามันทำให้เขาได้ระบายความกลัวในใจออกมาด้วย เสียงร้องไห้ของเขาก็ดังจนท่านลุงและท่านป้าของเขาต้องเข้ามาดู
“กุงซู! เจ้าเป็นอะไรไป” ทั้งเลออสและเมเทียรีบพุ่งเข้ามาในห้องของเด็กหนุ่ม ภาพตรงหน้าทำให้พวกเขารู้สึกช็อก เพราะหลานชายของพวกเขากำลังนั่งร้องไห้ฟูมฟาย ตั้งแต่ที่กุงซูยังเป็นเด็กจนกระทั่งตอนนี้ นี้เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้
หญิงนักเวทวัยกลางคนรีบโผเข้ากอดเด็กหนุ่ม กุงซูเมื่อได้กอดผู้เป็นป้า เขาก็ยิ่งกอดป้าของเขาแน่นกว่าเดิม และร้องไห้ออกมาหนักกว่าเก่า เมเทียกอดกุงซูเอาไว้แน่น ๆ เช่นเดียวกัน เลออสจึงหาผนึกแสงมาจุดไฟเพื่อให้เกิดแสงสว่าง แต่แล้วทั้งสามก็ยิ่งตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เพราะผนังห้องของกุงซู เต็มไปด้วยข้อความที่ถูกเขียนว่า เจอตัวแล้ว และมันยังคงถูกเขียนด้วยเลือดอีกด้วย...
“เมเทีย! เจ้าร่ายบาเรียคุ้มกันกุงซูที เดี๋ยวข้าจะรีบไปหยิบอาวุธ แล้วรีบออกจากที่นี่กัน” เลออสเป็นคนแรกที่ได้สติก่อน เขารีบสั่งให้เมเทียร่ายเวทมนตร์ป้องกันกุงซูทันที และเขาก็รีบไปหยิบดาบประจำตัวของเขาที่ไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานานมาทันที พวกเขารีบพากุงซูออกมาจากบ้านไปยังโบสถ์ อันเป็นสถานที่ที่ ใกล้ที่สุดในเวลานี้ เห็นทีแผนการที่พวกเขาวางเอาไว้ อาจจะต้องเร็วกำหนดการที่วางไว้เสียแล้ว!
to be continued………
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ