Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim อัศวิน แห่ง รุ่งอรุณ ตอน อุบัติการณ์ แห่ง เนฟีลิม
เขียนโดย The_Emperor
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.50 น.
แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 09.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ผู้ที่ถูกเลือก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความKnight of the dawn: The Awakening of Nephilim
บทที่ 2 : ผู้ที่ถูกเลือก
อึนฮากวักมือเรียกกุงซูให้มานั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เด็กหนุ่มวางธนูลงข้างๆ ตัว และจดจ้องไปยังอึนฮาเหมือนพยายามหาคำตอบ ตอนนี้เขามั่นใจว่า ไม่มีนักธนูคนไหนทำสายธนูและลูกธนูจากเวทมนตร์ได้แน่ๆ!
“สิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ มันมาจากสายเลือดเจ้าเองนั้นแหละ”
“สายเลือดของข้า?” คำตอบของอึนฮาทำให้กุงซูยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีก อึนฮาจึงอธิบายเขาเพิ่มเติม
“ใช่แล้ว สายเลือดของเจ้าไม่ธรรมดาเลยกุงซู เพราะว่าสายเลือดของเจ้าสามารถบังคับให้พลังงานที่เรามองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าให้เปลี่ยนรูปแบบ หรือแสดงผลตามที่ต้องการได้ ซึ่งในที่นี้มันคือพลังธนูวิเศษแบบที่เจ้าทำไปเมื่อครู่”
“นี้...ข้าทำอะไรแบบนั้นได้เหรอท่านลุง”
“ใช่แล้วละ” ว้าวไม่ยักรู้มาก่อนเลยแฮะ เด็กหนุ่มรู้สึกทึ่งในตัวเองเบา ๆ เมื่อรู้ว่าเขาทำอะไรแบบนี้ก็ได้ด้วย
ชายวัยกลางคนตรงหน้าหันกลับไปสูบยาสูบต่อ และอธิบายเพิ่มเติมแก่เด็กหนุ่ม
“แต่ตอนที่เจ้าอายุสิบสาม ตอนนั้นเจ้ายังไม่สามารถควบคุมสมาธิได้ พลังของเจ้าที่ส่งออกไปจึงเป็นการผลักพวกอันธพาลนั้นออกจากตัวเจ้า อย่างที่เจ้าต้องการ” คำตอบของอึนฮาทำเอากุงซูถึงบางอ้อ
มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ตอนนั้นเขาแค่คิดอะไรบางอย่างที่อยากให้พวกบ้านั้นออกจากครอบครัวคนฆ่าสัตว์แค่นั้นเอง
“ท่านลุง ท่านบอกว่าเป็นเพราะสายเลือดของข้าจึงทำแบบนี้ได้ แล้วท่านพ่อ ท่านแม่ของข้าล่ะ พวกเขาทำได้หรือเปล่า?”
“หึหึ ไม่ใช่แค่นั้นนะ สายเลือดของเจ้ามีพลังพิเศษแบบที่เจ้าทำไปเมื่อครู่อีกด้วยนะ”
“เอ๊ะ? งั้นท่านพ่อของข้าก็ทำแบบที่ข้าทำได้ด้วยน่ะสิท่านลุง”
“บ๊ะ! พ่อของเจ้านับว่าเป็นมือหนึ่งของตระกูลเชียวนา นับว่าเป็นรุ่นใหม่ที่ทุกคนในตระกูลหวังเอาไว้มากด้วย”
กุงซูรู้สึกทึ่งในตัวพ่อของเขามาก เมื่อกี้ขนาดเขาทดลองใช้พลังประจำสายเลือดครั้งแรกเขายังรู้สึกเหนื่อยมากมายขนาดนี้ ท่านลุงของเขาบอกว่าพ่อเขาคือมือหนึ่ง นั้นแสดงว่าพลังของพ่อเขาจะมากมายขนาดไหนกัน
“ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้าทำแบบนี้ได้”
“อืม...มันมาจากนี้” ชายวัยกลางคนหยิบหนังสือเก่า ๆ เล่มหนึ่งออกมา หน้าปกของมันไม่มีเขียนกำกับเอาไว้เลย แต่พอเปิดอ่านด้านใน กุงซูก็พบว่ามันถูกเขียนด้วยตัวอักษรภาษาบริเตน และลายมือก็ค่อนข้างหวัดพอสมควร
“ตำราเล่มพ่อของเจ้าเป็นคนเขียน และรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับธนูแห่งแสงเอาไว้ เขาฝากให้ข้ามอบต่อให้เจ้าในเวลาที่เหมาะสม”
เด็กหนุ่มถึงกับอุทานออกมา นี้พ่อของเขาได้รวบรวมเคล็บลับทั้งหมดของวิชาธนูแห่งแสงลงในหนังสือเล่มนี้ทั้งหมดแล้ว ว่าแล้วผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ล่ะ ไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว?
“แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ไหนกันล่ะ?” คำถามของกุงซูเล่นเอาอึนฮาถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กุงซูในวัยเด็กมักจะถามถึงพ่อกับแม่ของเขามาโดยตลอด
สิ่งที่อึนฮาและนาบีทำก็คือเงียบ ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่อย่างเดียว จนเด็กน้อยผู้เต็มไปด้วยคำถามก็เลิกถามไปเอง จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ที่คำถามถูกถามออกมาจากปากของเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“นั้นสินะ...จนถึงตอนนี้พวกข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อกับแม่ของเจ้าหายไปไหน...”
“ท่านลุงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่” คำตอบของอึนฮาทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกมึนงงและสับสนขึ้นมา
“วันนั้นข้าและนาบีพาเจ้าไปเที่ยวในตลาดใหญ่ประจำเมืองด้วยกัน แต่แล้วสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จู่ ๆ บ้านของเจ้ามีแต่ควันไฟลอยขึ้น ทั้งข้าและนาบีรีบพาเจ้ากลับไปที่นั้นเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว”
อึนฮาเงยหน้ามองท้องฟ้านึกถึงอดีตที่ผ่านมา กุงซูยังคงตั้งใจฟังเรื่องราวของชายวัยกลางคนตรงหน้าเล่า
“ตอนนั้นบ้านของเจ้าหายไปกับกองเพลิง ไม่เหลืออะไรเอาไว้เลยนอกจากตำราที่พ่อของเจ้าเขียนมันขึ้นมา กับของสิ่งนี้”
อึนฮาล้วงกระเป๋าของตนเอง เขาหยิบของสิ่งหนึ่งเอาให้กุงซู มันเหมือนกระดาษใบหนึ่ง แต่เมื่อคลี่ออกมาแล้ว มันทำให้เด็กหนุ่มนั้นรู้สึกตื้นตันอย่างประหลาด มันคือรูปถ่ายของชายหญิงคู่หนึ่ง ทั้งชายคนนั้นและหญิงคนนั้นดูละม้ายคล้ายกับเขา พูดให้ถูกก็คือเขาตังหากที่หน้าตาละม้ายคล้ายกับพวกเขา
“ท่านลุง พวกเขา...”
“คนที่เจ้าอยากพบมากที่สุดไงล่ะ” กุงซูรู้สึกดีใจที่ได้เห็นหน้าค่าตาของท่านพ่อและท่านแม่ของเขาเสียที ในรูปนั้นมีชายหญิงอยู่คู่หนึ่งโดยผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ข้างผู้หญิงอีกคนที่กำลังนั่งบนเก้าอี้ ในอ้อมกอดของเธอมีทารกคนหนึ่งที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่ นั้นไม่ต้องเดาเลยว่าเด็กคนนั้นคือใคร
เด็กหนุ่มมองรูปถ่ายนั้นอย่างโหยหาบุคคลสองคนที่อยู่ในภาพนั้น พ่อของเขาคือผู้ชายที่ยืนอยู่ ท่าทางดูองอาจสมกับเป็นชายชาตรี แต่แปลกที่เรือนผมของเขาเป็นสีเงิน ซึ่งเป็นสีผมที่ไม่ใช่สีผมธรรมชาติของมนุษย์ และดวงตาของเขาเป็นสีน้ำเงินสว่างเฉกเช่นเดียวกันกับกุงซู
ส่วนผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ พ่อของเขาจะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากแม่ของเขาเอง เธอมีเรือนผมยาวสลวยสีดำขลับ ผิวพรรณที่ดูขาวเป็นยองใย
แม้เด็กหนุ่มจะไม่เคยคุยกับแม่ของเขามาก่อน เขาก็สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าแม่ของเขานั้นเป็นคนที่อบอุ่นมาก ๆ ที่สุดคนหนึ่งจากสายตาของนาง
“ท่านลุง ท่านพ่อกับท่านแม่ดูดีจังเลย”
“แน่นอน นอกจากดูดีแล้วพวกเขายังมีฝีมือที่ไม่ธรรมดาเลยล่ะ ดูจากเครื่องแบบที่พวกเขาสวมใส่ดูสิ เท่ไม่หยอกใช่ไหมล่ะ”
“หา? สถาบันที่ทุกคนแห่กันไปเรียนในตอนนี้น่ะรึท่านลุง?”
“ใช่แล้วละ พ่อแม่เจ้าจบที่นั้นมา พวกเขาอยู่ทีมเดียวกันและสร้างชื่อเสียงเอาไว้อย่างมากเลยนะ”
“โห สุดยอดไปเลย!” แม้ไม่ได้มองหน้าตรง ๆ อึนฮาก็รู้ว่ากุงซูตื่นเต้นสุด ๆ เมื่อรู้ว่าท่านพ่อท่านแม่ของเขาเป็นอัศวินแห่งรุ่งอรุณ
ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เขาใฝ่ฝันจะเกี่ยวข้องกับท่านพ่อท่านแม่ของเขาด้วย
“หลังจากที่ข้าเก็บรูปใบนี้ได้ ข้าและนาบีจึงพาเจ้าที่ยังไม่รู้ประสีประสาหนีออกมาจากที่นั้น” ชายวัยกลางคนเว้นวรรคครู่หนึ่งก่อนที่จะอัดควันยาสูบนั้นเข้าปอดอีกครั้ง “ตอนนั้นพวกข้าแอบขึ้นเรือเหาะจากบ้านเกิดของเจ้า โชคดีที่ปลายทางของเรือเหาะลำนั้นส่งสินค้ามาที่ท่าเรือเมืองอินชอนพอดี ตอนที่เจ้ายังเล็กโชซอนยังเป็นประเทศที่ยังไม่เปิดชาวต่างชาติมากมายดังเช่นตอนนี้”
“พวกท่านเลยตัดสินใจที่จะอยู่ที่โชซอนใช่ไหม?”
“ใช่แล้วล่ะ พวกข้าทำการเปลี่ยนโฉม เปลี่ยนชื่อของตนเองให้ไม่แปลกแยกกับชาวพื้นเมือง รวมไปถึงเจ้าด้วยกุงซู แต่เพราะพลังในสายเลือดของเจ้านั้นมากมายเกินไป ทำให้พลังของนาบีมีไม่มากพอที่กลบสีตาของเจ้ารวมไปถึงผิวพรรณที่แท้จริงบางส่วนของเจ้าได้ นั้นจึงทำให้เจ้ามีสภาพเหมือนลูกครึ่งมาจนถึงตอนนี้”
เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ มิน่าเล่าเขาจึงดูต่างจากผู้คนในหมู่บ้านและถูกพวกชาวบ้าวเรียกว่า เจ้าลูกครึ่ง มาโดยตลอดก่อนที่จะถูกเรียกว่าเด็กปีศาจ
“ว่าแต่ท่านลุง แล้วใครเป็นคนทำเรื่องพวกนี้กับพวกเรา?”
“นั่นแหละคือปัญหา พวกข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนทำเรื่องแบบนี้ แต่ที่แน่ๆ พวกมันไม่ธรรมดา แน่นอนข้ามั่นใจ” ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาไม่รู้ว่าพวกเขากำลังหนีใครอยู่ ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร และพลังของกุงซูในตอนนี้ จะเพียงพอต่อการสู้รบตบมือกับพวกมันได้หรือไม่
ที่สำคัญนายท่านกับนายหญิงของเขาอยู่แห่งหนใดกันแน่ ไม่มีใครทราบได้เลยนอกจากตัวของนายท่านนายหญิงเอง
“ท่านลุง ข้าตัดสินใจแล้ว”
“หืม? อะไรงั้นหรือ”
“ข้าจะไปสมัครสอบที่สถาบันอัศวินแห่งรุ่งอรุณ และข้าจะเป็นอัศวินแห่งรุ่งอรุณให้ได้” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แม้แต่ชายวัยกลางคนตรงหน้าก็ยังสัมผัสถึงได้ “ถ้าข้าเป็นอัศวินแห่งรุ่งอรุณได้ ข้าจะสามารถใช้พลังและความสามารถที่ข้ามีเพื่อรักษาสันติสุข ปกป้องทุกคนเหมือนที่พวกเขาทำ ที่สำคัญถ้าพวกเราไปอยู่ที่ยูโรเปียน พวกเราน่าจะสืบเรื่องของท่านพ่อท่านแม่ได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะพวกเขาก็เป็นอัศวินแห่งรุ่งอรุณ น่าจะมีข้อมูลของพวกเขาบันทึกเก็บเอาไว้แน่”
อึนฮาที่นั่งข้าง ๆ กุงซูมองเด็กหนุ่มที่มีท่าทางแน่วแน่ นั้นจึงทำให้ชายวัยกลางคนยิ้มออกมา
“ดีมากกุงซูที่เจ้ามุ่งมั่นเช่นนี้ แต่ก่อนที่จะไปสมัครสอบเข้าเรียนที่สถาบัน ตอนนี้เจ้าต้องฝึกวิชาธนูแห่งแสงอีกเยอะเลยแหละ ไป ลุก! เอาให้ครบสิบลูก”
แม้จะเพิ่งพูดไปว่าเขาจะเป็นอัศวินแห่งรุ่งอรุณให้ได้ แต่ให้ยิงธนูแบบเมื่อกี้เขานึกไม่ออกเลยว่าวันนี้จะอ่วมแค่ไหน! ทำไมแค่เริ่มต้นก็ยากขนาดนี้เนี่ย ฮือ...
กุงซูถือว่าการฝึกยิงธนูด้วยเวทมนตร์ครั้งนี้หนักที่สุดที่เขาเคยฝึกมาเลย ตอนนี้เขาระบมไปหมดทั้งแขนราวกับฝึกยิงธนูเป็นร้อยรอบ ทั้งๆ ที่วันนี้เขายิงธนูในวิชาธนูแห่งแสงได้ไม่ถึงสิบลูกเลยด้วยซ้ำ เขาคิดไม่ออกเลยว่าการฝึกในครั้งหน้าจะเป็นเช่นไร
ทั้งกุงซูและอึนฮาออกจากป่าก่อนที่พลบค่ำพอดี เมื่อเดินทางถึงบ้าน นาบีก็เตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็นเสร็จสิ้นพอดี เด็กหนุ่มทำท่าจะกระโจนเข้าหามื้อเย็นทันที อันเนื่องมาจากความเหนื่อยล้าจากการฝึกมาทั้งวัน แต่ไม่วายโดนป้าบุญธรรมของเขาขัดขึ้นมาว่าให้ไปชำระร่างกายให้เรียบร้อยเสียก่อน
มื้อเย็นในวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันอื่น ๆ เท่าไหร่นักอันประกอบไปด้วย ข้าว ซุนดูบู ชีเก (ซุปเต้าหู้) และกิมจิกับเครื่องเคียงง่ายๆ สองสามอย่าง ทุกๆ วันพวกเขาจะมาทานมื้อเย็นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นอยู่เป็นประจำ และบางครั้งอึนฮาก็มักจะเริ่มเล่าถึงประวัติอันโชกโชนของตนเองและยิ่งถูกใส่สีตีไข่มากขึ้นเมื่ออึนฮาได้ลิ้มรสของสุรา
ตอนที่กุงซูยังเด็กเขานั่งฟังเรื่องราวที่อึนฮาเล่ามาตาแป๋ว แต่เมื่อโตขึ้นเขาก็เริ่มแหย่ลุงบุญธรรมของเขาให้หงุดหงิดใจเล่น ๆ เด็กหนุ่มรู้แหละว่าที่อึนฮามานั้นมีเค้าความจริงอยู่บ้าง อันจะสังเกตได้จากการฝึกยิงธนูที่ผ่านมาของเขา ทักษะที่ถูกถ่ายทอดให้นั้น มันมากเกินกว่าที่นายพรานวัยกลางคนคนหนึ่งจะสอนได้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงจะอยากแหย่เล่นอยู่ดี และอึนฮาก็มักจะหงุดหงิดใจทุกครั้งที่ถูกขัด โดยมีนาบียิ้มหัวเราะอยู่ข้าง ๆ
“พรุ่งนี้หลานจะไปเรียนกับพวกมิชชั่นนารีไหม?” นาบีเอ่ยถามหลานชายของเธอในขณะที่กำลังเก็บถ้วยชามล้าง
“ไปขอรับ ข้าชอบเรื่องราวของพวกเขา” กุงซูตอบกลับไปไม่ลังเล เขาชอบเวลาที่พวกมิชชั่นนารีเล่าว่าพวกเขาไปเยือนดินแดนมาแล้วบ้าง ทั้งดินแดนทะเลทรายที่ห่างไกลจากเอซาเนีย ทั้งดินแดนอาบูเคลัน ดินแดนแห่งปริศนาที่ยังไม่มีใครเข้าไปสำรวจมากนัก
เรื่องราวเหล่านี้มันทำให้เขาจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ว่าโลกภายนอกจะเป็นเช่นไรบ้าง ตอนเขาสิบขวบเขาเคยแอบเอาธนูที่อึนฮาใช้ล่าสัตว์มาเล่น ตอนถูกจับได้เขานึกว่าจะถูกทำโทษเสียแล้ว แต่อึนฮาไม่พูดอะไร หนำซ้ำยังจับกุงซูมาฝึกยิงธนูอย่างจริงจังอีกด้วย จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขายิงธนูมาจนถึงทุกวันนี้
“เช่นนั้นก็ดีแล้วกุงซู ป้าว่าน่าจะรีบนอนนะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งแล้ว”
“ขอรับ งั้นข้าไปละ”
เด็กหนุ่มช่วยหญิงวัยกลางคนยกถ้วยชามทั้งหมดให้ไว้ที่กะละมังสำหรับล้างถ้วยแล้วจึงแยกไปที่ห้องนอนของตัวเอง กุงซูจัดการปูเสื่อและล้มตัวลงนอน วันนี้เขาเหนื่อยมาทั้งแล้วจริงๆ พรุ่งนี้เขาจะได้ซ้อมเพียงครึ่งวัน เพราะตอนบ่ายเขาจะกลับมาเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ กับมิชชั่นนารีที่มาตั้งโบสถ์ห่างจากหมู่บ้านไม่ไกล
ทุกครั้งที่พวกเขากลับมากุงซูมักจะได้รับรู้เรื่องราวใหม่ ๆ อยู่ตลอดและนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะนอนไม่หลับ แต่เขาก็ยังคงหลับตาลงในใจของเด็กหนุ่มตอนนี้แทบอยากจะให้ถึงเวลาเช้าเร็ว ๆ ใจจะขาด และแล้วความเหน็ดเหนื่อยตลอดการฝึกมาทั้งวันทำให้เขาเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว
ช่วยด้วย...
ท่ามกลางความมืดที่อยู่รอบตัวเด็กหนุ่ม กลับมีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในห้วงความคิดของกุงซู เอ๊ะ นี้เขายังไม่หลับอีกหรือไง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปฝึกสายอีกหรอก...
ช่วยด้วย...
เสียงนั้นยังคงดังในห้วงความคิดของเด็กหนุ่มไม่เลิก และยังไม่มีทีท่าว่าจะจางหายไป
ช่วยด้วย...
ช่วยข้าด้วย...
ช่วยด้วย!!!
“!!!” เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมา รอบแรกเป็นเพราะว่าเขาฝันถึงเหตุการณ์ที่เขาอยากจะลืมมันไปมากที่สุด แต่ทว่ารอบนี้มันกลับประหลาดกว่าคราวนั้น
เสียงนั้น...เป็นเสียงของใครกัน?
กุงซูนึกคิดอยู่นานสองนานว่าเสียงที่เขาได้ในความฝันนั้นเป็นเสียงของใครกันแน่ เขาแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินเสียงแบบนั้นมาก่อนในชีวิต แต่ทำไมเขาถึงรู้ถึงว่ามีอะไรบางอย่างที่เชื่อมตัวเขากับเสียงนั้นอยู่ ถึงจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเสียที ว่าเสียงที่ร้องขอความช่วยเหลือเขาในความฝันนั้นเป็นใครกันแน่
“โอ๊ย!”
“เจ้ามัวเหม่ออะไรอยู่กุงซู รีบยิงให้ครบสิบห้าลูก เร็ว ๆ เข้าสิ” อึนฮาเรียกสติของเด็กหนุ่มกลับด้วยการปาลูกโอ๊คที่ตกอยู่แถวนั้นเข้าที่กลางหัวของกุงซูอีกแล้ว กุงซูทำหน้าตาเลอหลา เขางงงันไปครู่หนึ่งก่อนที่จะรู้ตัวว่าตอนนี้เขากำลังฝึกใช้ลูกธนูแห่งแสงที่เพิ่งเรียนมาหมาดๆ เด็กหนุ่มรีบเรียกสติกลับคืนมา แล้วง้างสายธนูสีน้ำเงินเรืองแสง และยิงลูกธนูไปที่เป้าธนู
วันนี้ลูกธนูโดนเป้ามาบ้าง แต่ก็ยังไม่เข้ากลางเป้า แถมวันนี้เมื่อลูกธนูปักลงบนเป้าธนู มันก็อันตรธานหายไปเฉยๆ ไม่ระเบิดอย่างเมื่อวานแล้ว เพราะว่าวันนี้เขาฝึกให้ใช้สมาธิควบคุมพลังของตนเองไม่ให้ล้นจนเกินไป แม้จะยังไม่ดีเท่าที่ควร แต่ผลงานที่ออกมานั้นก็ถือว่าอยู่ในระดับพอใช้
เมื่อวานนี้เป็นบทเรียนให้กับเด็กหนุ่มว่าหากใช้พลังของตนเองเยอะเกินไปจะส่งผลที่ไม่ดีต่อร่างกายของเขาโดยตรง เมื่อวานเขายังควบคุมพลังตนเองไม่ได้ ทำให้ใช้พลังของตนเองแทบทั้งหมดไปอยู่ที่ลูกธนู ยิ่งพลังในลูกธนูมากเท่าไหร่พลังทำลายก็ยิ่งมากตามไปด้วย
นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดลูกธนูที่ตกไปด้านหลังเป้าธนูจึงระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ขนาดไหน และไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกลูกขุนนางที่โดนพลังของเขากระแทกอัดหน้าไปจะเจ็บขนาดไหน
วันนี้เขาสามารถยิงลูกธนูแห่งแสงได้มากขึ้น อันเนื่องมาจากการฝึกจิตตนเองให้นิ่งขึ้นและแบ่งถ่ายทอดพลังในลูกธนูที่สร้างขึ้นมาไม่มากจนเกินไป แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังคงรู้สึกเหนื่อยอยู่ดี สงสัยหลังจากนี้เขาคงจะต้องฝึกจิตตนเองให้มากกว่านี้แล้วแหละถ้าจะใช้พลังของสายเลือดที่เป็นดังมรดกตกทอดกันมานี้
“ครบแล้ว พักได้”
พอสิ้นเสียงของชายวัยกลางคน กุงซูก็แทบจะทิ้งตัวเองให้นอนแผ่บนผืนหญ้าทันที การยิงธนูเวทมนตร์นั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ แบบนี้เขายอมฝึกยิงลูกธนูเหล็กทั้งอันร้อยรอบยังจะง่ายกว่าอันนี้เสียอีก
“เอ้า ดื่มเจ้านี้ซะ มันจะช่วยฟื้นฟูพลังในตัวเจ้าเร็วขึ้น” อึนฮาโยนขวดแก้วเล็ก ๆ ที่บรรจุของเหลว สีน้ำเงินภายในนั้น กุงซูมองของเหลวสีน้ำเงินนั้นอย่างไม่พิสมัยเท่าไหร่นัก เขาก็ไม่แน่ใจด้วยว่า มันจะดื่มได้จริงๆ หรือ
“ท่านลุง แน่ใจไหมว่าสิ่งนี้มันดื่มได้จริง ๆ?”
“ถ้าไม่ดื่มก็เอามาให้ข้า”
“ดื่มแล้ว ดื่มแล้วจ้า” ตอนนี้กุงซูรู้สึกว่าตนเองไปวิ่งรอบเมืองมาก็ไม่ปาน เขาจึงเปิดจุกขวดแก้วนั้นออกแล้วดื่มลงคอ แล้วเขาก็ค้นว่ารสชาติของสิ่งนี้มันเป็นอย่างไร
“อะไร เจ้ามองหน้าข้าแบบนี้หมายความว่าอะไร ฮ่า ๆ ๆ ” ชายวัยกลางอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ที่เห็นเด็กหนุ่มตรงหน้ามองเขาด้วยความรู้สึกที่ว่า นี้ท่านลุงแกล้งอะไรข้าหรือเปล่า...
“น้ำยาฟื้นฟูพลังงานรสชาติมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เจ้าคาดหวังว่ามันจะรสชาติยังไง? น้ำองุ่นอย่างนั้นรึ” ชายวัยกลางคนพูดกับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงเจือไปด้วยความขำ
“ข้าว่าท่านลุงต้องอำข้าแน่ ๆ” กุงซูกล่าวโทษลุงบุญธรรมตนเองก่อนที่จะดื่มน้ำเพื่อไล่รสชาติแปลก ๆ ของน้ำยานี้ออกไป
“เอาน่า ขำ ๆ ข้าเห็นเจ้าหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นานสองนาน เลยอยากให้เจ้าผ่อนคลายลงบ้างแค่นั้นเอง”
เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแห้งๆ และแหงนหน้ามองท้องฟ้าไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น ชายวัยกลางคนที่ผ่านประสบการณ์มาพอสมควรมีหรือที่จะมองไม่ออกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างกวนใจแน่นอน แต่เขาก็ไม่เซ้าซี้ถามอะไรกับเด็กหนุ่มคนนี้ต่อ เพราะถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ในความรู้สึกของกุงซู เขาจะเป็นคนพูดออกมาเอง
“วันนี้เลิกซ้อมเท่านี้ละกัน”
“เลิกแล้วเหรอขอรับท่านลุง?”
“เออสิ วันนี้เขาเองก็ต้องไปโบสถ์เหมือนกับเจ้านั่นแหละ”
“ท่านลุงมีธุระอะไรที่นั่นน่ะ?” ชายวัยกลางคนตรงหน้าไม่ได้บอกอะไรกุงซูมากนักนอกจากบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญ
“กุงซู เจ้ามาแล้วหรือ?” ชายชราผู้สวมชุดของบาทหลวงประจำโบสถ์กล่าวทักทายเด็กหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา
“ขอรับ คุณพ่อโจนาธาน พวกท่านเพิ่งกลับมาจากฮันยางใช่ไหมขอรับ?” เด็กหนุ่มพูดคุยกับบาทหลวงเฒ่าด้วยภาษาบริเตน กุงซูเรียนภาษาต่างประเทศกับบาทหลวงมิชชั่นนารีที่โบสถ์แห่งนี้ ทั้งลุงและป้าของเขาไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด หนำซ้ำยังบอกเขาว่า ในอนาคตเขาต้องได้ใช้แน่นอน
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่อึนฮาและนาบีบอกมาเท่าไหร่ แต่ตัวเขาก็ยินดีที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ อยู่แล้ว นั้นทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากบาทหลวงผู้นี้และบาทหลวงท่านอื่น ๆ ที่ตอนนี้บางคนถูกส่งไปประจำการที่อื่นแล้ว
“อืมใช่แล้ว ใช่แล้ว แล้วลุงของเจ้าล่ะ?”
“ท่านลุงแวะกลับที่บ้านครู่หนึ่งขอรับ เขาบอกว่าเดี๋ยวตามมาทีหลังขอรับ”
“อย่างงั้นรึ ไม่เป็นไร ๆ อันที่จริงวันนี้เจ้าต้องไปพบคนคนหนึ่ง ลุงของเจ้าแค่จะไปพร้อมกันเท่านั้นเอง”
“พบคนคนหนึ่ง ใครหรือขอรับ?” คิ้วเรียวดำของเด็กหนุ่มขมวดเข้าหากัน ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่มีเคยมีใครมาตามหาเขาเลย แต่วันนี้กลับมีคน ๆ มาตามหาเขาซะงั้น
“เขาอยู่แถว ๆ นี้แหละ อ่านั้นไง ดอกเตอร์! ทางนี้ ๆ” บาทหลวงเฒ่าตะโกนเรียกใครคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก และแล้วเด็กหนุ่มก็พบกับชายคนหนึ่ง
ดูจากการแต่งตัวแล้วชายคนนั้นดูเหมือนเป็นนักผจญภัย เพราะเครื่องแต่งกายของเขานั้นดูเซอร์ ๆ เช่นเดียวกันกับผมสีน้ำเข้มของเขา ยิ่งเห็นเขาสวมปีกกว้างที่ดูผ่านการใช้งานมาอย่างหนักก็งั้นทำให้เด็กหนุ่มยิ่งมั่นใจในข้อสันนิษฐาน
เมื่อสังเกตถึงผิวพรรณของเขาสามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นชาวทวีปยูโรเปียน ทวีปที่อยู่ทางตะวันตกจากเอซาเนียแห่งนี้แน่นอน แต่ดูคล้ำแดดมากกว่าคุณพ่อโจนาธานที่ดูแล้วไม่น่าจะได้ทำอะไรที่โลดโผนเท่าไหร่นัก ชายคนนั้นกระชับสายสะพายปืนไรเฟิลคาบศิลา นี้คงจะเป็นอาวุธประจำตัวของเขาสินะ...
สายตาสีน้ำเงินสว่างสบตากันกับดวงตาสีน้ำตาลเข้ม และเด็กหนุ่มก็ได้เห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของชายคนนั้น
“พบกันเสียทีนะ” น้ำเสียงอันสุขุมขัดกับบุคลิกของชายคนนั้นเอ่ยด้วยความดีใจ ส่วนบาทหลวงโจนาธานก็เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นเช่นเดียวกัน
“ใช่คนที่คุณกำลังตามหาอยู่หรือเปล่าดอกเตอร์?”
“ผมคิดว่าใช่นะครับ”
“เอ่อ...ผมเป็นคนที่คุณอยากจะเจอหรือขอรับ” กุงซูที่ยืนฟังบทสนทนาของทั้งสองอยู่แทรกถามชายคนนั้นขึ้นมา
“กุงซู คน ๆ นี่คือ ดร.เดวิด ลิฟวิ่งสโตน คนที่ตามหาเธอมานานมาก” คำตอบของคุณพ่อโจนาธานทำให้เด็กหนุ่มกลับมาขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ตามหาผมเหรอ? ทำไม?” กุงซูหันไปหาชายที่มีนามว่าเดวิด
“ใช่แล้วละ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และขอบคุณจริงๆ ที่เป็นเธอ ทำให้ฉันทำธุระสองอย่างให้เสร็จไปเลย”
“เอ๊ะ ดอกเตอร์ เขาคือ...”
“ใช่แล้วครับคุณพ่อโจนาธาน” ยังไม่ทันที่จะถามจบคำถาม เดวิดก็ยืนยันในคำตอบของเขา และเดวิดเดินเข้ามาหา กุงซูแล้วหยิบซองบางอย่างออกมาจากเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำตาลอ่อนของเขา
“กุงซู ฉันคืออาจารย์จากสถาบันอัศวินแห่งรุ่งอรุณ หรือ โคดา มามอบจดหมายฉบับหนึ่งให้ถึงมือเธอ”
หา! นั้นมันสถาบันที่เขาเพิ่งคุยกับอึนฮาไปเมื่อวานนี้นา แล้วทำไมวันนี้ถึงมีคนจากสถาบันแห่งนั้นมาหาเขาหว่า?
“เอ่อ...ว่าแต่ทางสถาบันส่งจดหมายอะไรมาหาผมหรือขอรับ?”
“เธอลองเปิดอ่านดูสิ”
“อ่า คุณพ่อโจนาธาน ท่านอยู่ที่นี้เอง ขออภัยจริง ๆ ข้าเพิ่งกลับไปรับนาบีมาท...” ในระหว่างที่กุงซูกำลังเปิดจดหมายอ่านอยู่นั้น อึนฮาที่กลับไปรับนาบีมาที่โบสถ์ด้วยกันก็ชะงัก เมื่อพวกเขาเห็นอีกบุคคลหนึ่งยืนอยู่กับหลานชายของพวกเขาและบาทหลวงเฒ่า
“นั้น...นายจริงๆ ด้วย” อึนฮาเอ่ยออกมาแปลกใจ
“งั้นผมคงตามตัวไม่ผิดจริง ๆ ใช่ไหมครับท่านองครักษ์” ชายวัยกลางคนถึงกับสะดุ้งเมื่อเดวิดเรียกฐานะที่แท้จริงของเขาออกมา
“เดวิด นั้นเจ้าหาพวกเราเจอได้ยังไง” นาบีกล่าวถามชายตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
“ผมตามหาพวกคุณมานานมาก หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ โชคดีที่ปีนี้ผนึกแห่งแสงเป็นคนบอกพวกเราครับท่านนักเวท” คำตอบของเดวิดทำให้ทั้งสองมีอาการตื่นเต้นออกมาอย่างชัดเจน
“ผนึกแห่งแสง...อย่าบอกนะว่า...” ยังไม่ทันที่อึนฮาจะพูดจบประโยค เสียงของเด็กหนุ่มที่กำลังอ่านใจความซองจดหมายที่ถูกส่งมาเดวิดก็ร้องขึ้นมา
“ท่านลุง ท่านป้าขอรับ!”
“มีอะไรเหรอกุงซู” นาบีกล่าวถามหลานชายและเดินเข้าไปหาเขา กุงซูจึงยื่นจดหมายให้นาบีดู
“ส..สถาบันโคดา เชิญข้าให้เข้าศึกษาที่นั่นขอรับ!” กุงซูเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้น
เท่านั้นแหละผู้ใหญ่ทั้งสามคนอันได้แก่ อึนฮา นาบีและคุณพ่อโจนาธานถึงร้องอุทานออกมา โดยที่มีเดวิดยืนยิ้มอยู่คนเดียวตรงนั้น เด็กหนุ่มมีความฝันหนึ่งที่เขาเพิ่งคุยกับลุงบุญธรรมของเขาไป นั้นคือถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะไปศึกษาต่อที่สถาบันโคดา
แม้ว่าจะใช้ทุนเยอะแค่ไหนเขาก็จะไปที่นั่น เขาถึงได้ตั้งใจฝึกวิชาจากอึนฮา และศาสตร์ต่าง ๆ จากเหล่ามิชชั่นนารี แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่ามีอาจารย์จากสถาบันโคดามาส่งจดหมายเชิญเข้ารับการศึกษาที่นั่นซะอย่างนั้น! หรือมันจะเป็นโชคชะตาของเขาที่จะได้ไปเรียนที่นั่นจริง ๆ
“การสอบเข้าตามกำหนดการณ์จะเริ่มในปลายเดือนที่แปดของทุกปีครับ” คำอธิบายของเดวิด ทำให้ทั้งอึนฮา นาบีและกุงซูที่กำลังฟังอยู่นั้นพยักหน้าตาม เวลานี้พวกเขากำลังใช้ห้องโถงภายในโบสถ์คุยกัน ซึ่งอำนวยความสะดวกโดยคุณพ่อโจนาธานผู้ดูแลโบสถ์แห่งนี้
“งั้นก็แปลว่า กุงซูจะมีเวลาเตรียมตัวอีกประมาณสามเดือนสินะ” ชายวัยกลางคนวิเคราะห์สถานการณ์ ถ้ามีเวลาภายในสามเดือน เขาอาจจะเร่งกุงซูให้รีบฝึกวิชาธนูเวทมนตร์ (ซึ่งอึนฮาเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้เอง) ให้เสร็จสิ้นได้ แม้จะกระชั้นชิดไปนิดหน่อย แต่ทันเวลาแน่นอนในความคิดของเขา
“ตอนนี้ผมส่งข่าวไปหาท่านคิงสตันเรียบร้อยแล้วนะครับว่าผมพบพวกท่านแล้ว”
“เอ๊ะ ท่านคิงสตันยังสบายดีอยู่ใช่ไหม?” นาบีกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ ตอนที่เธอพบท่านคิงสตันผู้นี้ เขาก็มีอายุมากพอสมควรแล้ว
“ยังสายดีอยู่ครับท่านนักเวท แม้ว่าท่านคิงสตันจะเจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังแข็งแรงกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันไปมากโขเลยครับ”
“ท่านคิงสตันผู้นี้...เป็นใครเหรอครับ?” เด็กหนุ่มเพียงคนเดียวในวงสนทนานี้กล่าวถามอาจารย์จากสถาบันโคดาอย่างใคร่รู้
“อ่าว ก็ท่านตาของเจ้าไงกุงซู” เดวิดไม่ได้เป็นคนตอบ แต่อึนฮาเป็นคนตอบแทน เพียงเท่านั้นกุงซูก็ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ท่านตา! นี้ข้ามีท่านตาด้วยหรือท่านลุง?”
“บ๊ะ! ไม่ใช่แค่ท่านตาหรอก ยังมีท่านยาย ท่านป้าและก็ท่านน้าอีก”
“ท่านไม่เห็นจะเล่าให้ข้าฟังเลย”
“อ่าว เมื่อวานข้าเล่าเรื่องพ่อกับแม่ของเจ้าไปแล้วหนิ”
“แต่เรื่องนี้ท่านไม่ได้เล่านะ!”
“อ๋อเหรอ...สงสัยข้าคงลืมบอกมั้ง” ชายวัยกลางคนหยักไหล่แบบไม่สนใจเท่าไหร่นัก กุงซูทีที่รู้ว่า เขายังคงมีเครือญาติของเขาหลงเหลืออยู่บ้าง ก็ความรู้สึกตื่นเต้นและอยากพบเจอพวกเขาตอนนี้ด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวเจ้าก็จะได้พบพวกเขาเองแหละกุงซู ว่าแต่เดวิด การจะออกจากที่นี้พวกเราจำเป็นที่จะต้องมีเอกสารยืนยันตัวตน เจ้าพอจะจัดการเรื่องนี้ได้ไหม?” หญิงวัยกลางคนลูบหลังของหลานชาย ก่อนที่จะถามถึงเรื่องสำคัญ การจะเดินทางออกนอกประเทศคราวนี้ คงจะแอบลักลอบออกไปเหมือนตอนลักลอบเข้ามาไม่ได้แล้ว อีกอย่างถ้าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องสอบเข้าที่สถาบัน จำเป็นเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีหลักฐานในการยืนยันตัวตน
“เรื่องนั้นผมจะลองติดต่อมาดามอาโซมิที่ฮันยางดูนะครับ เธอเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว” เดวิดกล่าวถึงบุคคลที่สามที่จะจัดการเรื่องพวกนี้ให้ง่ายขึ้น หล่อนเป็นผู้จัดการโรงแรมสุดหรูใจกลางเมืองฮันยาง ที่เบื้องหลังเธอก็แอบทำธุรกิจใต้ดินในการปลอมแปลงเอกสารสำหรับคนที่จะออกไปต่างประเทศ
ถึงแม้จะรู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก แต่เวลานี้ก็จำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้ ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะพวกเขาเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมายตั้งแต่แรก
“มาดามอาโซมิ...เธอเป็นชาวนิฮงเหรอครับ?” กุงซูถามข้อมูลเบื้องเกี่ยวกับสตรีผู้นี้ที่เดวิดกล่าวถึง
“อืม...พ่อของเธอเป็นชาวนิฮง แต่แม่ของเธอเป็นชาวโชซอนนี้แหละ พ่อของเธอรับเธอไปอยู่นิฮงตั้งแต่เด็กและเธอก็แต่งงานกับสามีชาวนิฮงเช่นกัน ตอนนี้เธอเป็นหม้ายและกลับมาเปิดกิจการโรงแรมที่ฮันยางน่ะ” กุงซูพยักหน้ากับข้อมูลใหม่ที่ได้รับมา นั้นบางอาจจะเป็นประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้ามาดามอาโซมิ ก็เป็นได้ เผื่อว่าเขาจะได้ระวังคำพูดของตัวเองเวลาอยู่ต่อหน้าหล่อน
“แล้วดอกเตอร์เจอเธอได้ยังไงอ่ะครับ?”
“ฉันกับมาดามอาโซมิเคยทำงานร่วมกันน่ะ เลยพอจะคุ้นเคยกันอยู่บ้าง”
“กุงซู ข้าว่าเจ้าน่าจะถึงเวลาไปเรียนภูมิศาสตร์กับสาธุคุณจอนห์สตันแล้วนะ” ชายวัยกลางคนกระแอ่มบอกเตือนหลานชายขึ้นมาว่าวันนี้เขาต้องทำอะไรต่อ
“เอ๊ะ! จริงด้วย งั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ ท่านลุง ท่านป้า” เด็กหนุ่มรีบกล่าวลาลุงและป้าของเขา โดยที่ก่อนแยกตัวก็ไม่ลืมที่จะกล่าวกับดร.เดวิดด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มนั้นแยกตัวไปแล้ว ทั้งสามจึงอยู่คุยเรื่องสำคัญต่อ
“ข้าว่าเจ้าคงไม่ได้มาเชิญเด็กคนนั้นเข้าศึกษาอย่างเดียวหรอกใช่ไหมเดวิด”
ได้ยินดังนั้นอาจารย์หนุ่มประจำสถาบันจึงคลี่ยิ้มบาง ๆ และเริ่มกล่าวถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนเองที่เข้ามาที่หมู่บ้านแห่งนี้
“ท่านองครักษ์ยังคงมีสายตาที่เฉียบคมเช่นเคยนะครับ”
to be continued………
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ