Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim อัศวิน แห่ง รุ่งอรุณ ตอน อุบัติการณ์ แห่ง เนฟีลิม

-

เขียนโดย The_Emperor

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.50 น.

  13 ตอน
  6 วิจารณ์
  11.50K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 09.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) แผนที่ไม่ได้วางเอาไว้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim

บทที่ 4 : ผิดไปจากแผนเดิม

 

“อีกนิดเดียวเราจะเข้าเขตเมืองฮันยางแล้วครับ เดี๋ยวเราคงต้องให้ม้าพักกินน้ำตรงนี้ก่อน” เดวิดเอ่ยกับคณะเดินทางอันได้แก่ เลออสที่ตอนนี้กำลังทำหน้าที่เป็นสารถีบนรถม้าอยู่ ส่วนเมเทียดูแลคุ้มกันนายน้อยในรถม้า

 

“ข้าเห็นด้วย งั้นเราพักกันตรงนี้ก่อนละกัน” เลออสตะโกนบอกเมเทียและกุงซูที่นั่งอยู่ด้านในรถม้า หญิงวัยกลางคนขานรับทราบออกมา และทั้งหมดก็ให้ม้าของพวกเขาหยุดพักครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าเขตเมืองฮันยาง

 

หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเมื่อคืนทั้งท่านลุงและท่านป้าของเขาพาตัวเขาออกมาจากที่บ้านทันที เมื่อคืนพวกเขาตัดสินใจพาเด็กหนุ่มไปยังโบสถ์ และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ดร.เดวิดและคุณพ่อโจนาธานฟัง ดร.เดวิดเดิมทีเคยวางแผนเอาไว้จะเดินทางไปเมืองฮันยาง เพื่อจัดการเรื่องเอกสารยืนยันตัวตนของทั้งสามคนก่อน และค่อยกลับมาที่หมู่บ้านแห่งนี้อีกครั้ง

 

กลับกลายเป็นว่าตอนนี้กุงซูไม่สามารถรออีกต่อไปได้แล้ว

 

ทั้งหมดจึงตัดสินใจว่าจะออกเดินทางไปเมืองฮันยางทั้งหมดเลยตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้กุงซูรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่นัก ทั้งเรื่องชวนตื่นตระหนกเมื่อคืนและเรื่องที่ออกเดินทางทันทีโดยไม่มีเวลาเตรียมตัวอะไร นั้นจึงทำให้เขากึ่งหลับกึ่งตื่นตลอดการเดินทาง

 

“พลังแห่งดวงดาราแลจักรวาลอันไกลโพ้น จงมอบพลังให้แก่ข้า คุ้มครองแก่พวกเราด้วย เกราะแห่งดารา สเตล่า อาร์มิส!” ทันทีที่หยุดรถม้า เมเทียก็ร่ายมนตร์บาเรียป้องกันการโจมตี และจากนั้นเมเทียก็ร่ายมนตร์อีกสองสามบท เช่น คาถาป้องกันการดักฟัง คาถาปกปิดตัวตน เป็นต้น

 

เด็กหนุ่มมองคทานักเวทอย่างอึ้ง ๆ เขาเพิ่งจะเคยเห็นคทานักเวทของจริงก็วันนี้แหละ คทาเวทมนตร์ของหญิงวัยกลางคนเป็นไม้สีดำ ส่วนหัวคทาเป็นอัญมณีสีม่วงอมน้ำเงินที่ดูลึกลับและทรงพลัง

 

ใครจะไปนึกล่ะว่าจริง ๆ แล้วนอกจากนาบีจะเป็นนักทำนายฝันแล้ว เธอจะยังเป็นนักเวทอีกตังหาก!

 

ฝ่ายเลออสและเดวิดก็กำลังพูดกันถึงแผนการว่าจะเอายังไงต่อไป และเด็กหนุ่มเองก็ได้ยินบทสนทนาบางส่วน แม้จะได้ยินไม่ชัดนัก แต่ก็พอจะจับใจความได้บ้างว่าพวกเขากำลังพูดถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

 

ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะใช่เด็กหนุ่มคนเดียวกับที่เขาเห็นในความฝันหรือไม่

 

ถ้าใช่ขึ้นมา มันก็อดที่จะทำให้เขารู้สึกสงสารเด็กหนุ่มคนนั้นขึ้นมาไม่ได้ ในเวลานี้เขายังมีคนที่คอยปกป้อง คุ้มกันภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทว่าเด็กหนุ่มคนนั้น อยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางทะเลทรายอันอ้างว้าง จะหาคนช่วยเหลือได้ก็ไม่มี

 

“กุงซู เจ้าคิดอะไรอยู่รึเปล่า” เด็กหนุ่มเมื่อได้ยินเสียงของป้าบุญธรรมก็สะดุ้งเล็กน้อย เพราะเขามัวแต่คิดเรื่องของเด็กหนุ่มที่เลออสและเดวิดบอกว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเขา

 

“เอ่อ...ท่านป้า คือข้าไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทนะ แต่ว่า...” กุงซูสองจิตใจ ใจหนึ่งก็อยากจะถามแต่ใจหนึ่งกลัวว่าจะโดนตำหนิ เมื่อเห็นดังนั้นเมเทียจึงกล่าวกับเขา

 

“เจ้าถามมาเถอะกุงซู” ฝ่ายเด็กหนุ่มเมื่อได้รับอนุญาต ก็ถามเรื่องที่เขาสงสัยออกมา

 

“คือ ข้าได้ยินเรื่องที่ท่านลุงกับดอกเตอร์คุยกันว่ามีเด็กที่อายุพอ ๆ กับข้ากำลังเจอปัญหาแบบเดียวกันกับที่พวกเราเจอหรือขอรับ?” นักเวทหญิงเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมา

 

“เจ้าคงจะรู้แล้วสินะ”

 

“นี้มันเรื่องอะไรกันน่ะขอรับท่านป้า ข้าไม่เข้าใจเลย ทำไมถึงมีคนอื่นที่กำลังโดนแบบเดียวกันพวกเราตอนนี้ แล้วพวกเรากำลังหนีอะไรกันอยู่”

 

กุงซูถามออกมาเป็นชุด เขารู้สึกอึดอัดที่ตอนนี้พวกเขากำลังหนีอะไรบางอย่างที่จะตามทำร้ายเขาโดยที่ตัวเขานั้นไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย เมเทียเดินไปพิงรถม้าข้าง ๆ กุงซู เธอแหงนหน้ามองท้องฟ้าครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจเล่าอะไรบางอย่างให้เด็กหนุ่มคนนี้ฟัง

 

“ท่านลุงเล่าเรื่องพ่อ แม่ของเจ้าให้ฟังแล้วใช่ไหม?”

 

“เอ่อ...ขอรับ” กุงซูขานรับนางก่อนที่จะเรื่องราวที่ทั้งคู่ไม่เคยบอกเขามาก่อน

 

“ตระกูลของพ่อเจ้า เป็นตระกูลที่ไม่ธรรมดากุงซู” แหงละ พลังธนูเวทมนตร์ที่ท่านลุงของเขาเคยบอกว่าเป็นพลังจากสายเลือดของเขา นั้นก็พอจะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ

 

“รวมไปถึงตระกูลของเด็กของคนนั้นด้วย นั้นเพราะพวกเจ้าคือทายาทของตระกูลสุริยะวิถี”

 

“ตระกูลสุริยะวิถี?”

 

“ใช่แล้วกุงซู ตระกูลสุริยะวิถีมีอยู่ทั้งหมดสิบสองตระกูล แคปิคอน อควารีอัส ไพรีส แอรีส ทอรัส เจมิไน แคนเซอร์ ลีโอ เวอร์โก้ ลิบรา สกอปิโอ และซาจิทารัส ตระกูลของเจ้า และเด็กหนุ่มที่เจ้าได้ยินมาเขาเป็นทายาทตระกูลอควารีอัส” กุงซูยังคงฟังเรื่องราวของเมเทียต่อไปโดยที่ไม่ได้ขัดอะไร “ทั้งหมดนี้มีหน้าที่รักษาสันติสุขของโลกใบนี้ และนอกเหนือจากนั้นกลุ่มตระกูลสุริยะวิถียังคอยปกป้องโลกจากอสูรที่หลุดมาจากรอยแยกระหว่างมิติ”

 

“รอยแยกระหว่างมิติ ข้าเคยได้ยินพวกบาทหลวงคุยกัน นั้นไม่ใช่ตำนานที่เขียนในคัมภีร์หรอกหรือขอรับ?” เขาเคยได้ยินและได้อ่านคัมภีร์ของพวกสอนศาสนาในโบสถ์ ว่าด้วยเรื่องของรอยแยกระหว่างมิติ มันเกิดหลังจากเสร็จสิ้นสงครามแห่งสวรรค์ลง ส่งผลให้พลังของโลกนั้นอ่อนลง

 

และจากเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดรอยแยกระหว่างมิติขึ้นมา ซึ่งเมื่อเกิดรอยแยกระหว่างมิติ จะทำให้อสุรกายที่อยู่อีกฝั่งจะข้ามมายังโลกใบนี้และกัดกินทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้

 

เมเทียส่ายหน้าและเล่าเรื่องราวแก่กุงซูต่อ

 

“มันเป็นเรื่องจริงกุงซู ทันทีที่พวกอสุรกายหลุดออกมารอยแยกนั้น พวกมันก็จะกัดกินทุกสิ่งทุกอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งต้นไม้ ใบหญ้า” คำอธิบายนั้นทำให้กุงซูหน้าซีดไปเล็กน้อย ท่าทางอสุรกายพวกนั้นน่าจะเป็นพวกที่หิวกระหายเป็นอย่างมาก

 

“พวกมันมาแค่กัดกินทุกสิ่งแค่นั้นหรือขอรับ?”

 

“ไม่มีใครรู้จุดประสงค์พวกมันหรอก แต่พวกบรรพบุรุษของพวกเจ้าทำการต้านพวกมันมาหลายชั่วอายุคน จนกระทั่งมีทายาทตระกูลซาจิทารัสคนหนึ่ง นั้นก็คือพ่อของเจ้าทำการปิดผนึกปากทางแยกที่ใหญ่ที่สุดในโลกลงได้”

 

นี้ท่านพ่อของเขาเก่งขนาดนี้เชียวหรือ...

 

กุงซูที่รับฟังเมเทียอยู่นั้นรู้สึกทึ่งไปกับพลังของพ่อเขา และรู้สึกภูมิใจในตัวท่านพ่อของเขา แม้ว่าจะไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนก็ตาม

 

“พ่อของเจ้า ปิดผนึกปากทางแยกได้ นั้นนับว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของตระกูลสุริยะวิถีเลยทีเดียว พ่อของเจ้าเปรียบเสมือนผู้กล้าในตำนานเลยแหละ ทุกคนให้ความเครารพและยำเกรงมาก” ฟังจากที่เล่ามา เด็กหนุ่มก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ใคร ๆ ต่างก็ยกย่องพ่อของเขาแบบนั้น

 

“แต่ว่าเรื่องนี้ กลับทำให้กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งไม่พอใจขึ้นมา”

 

“กลุ่มคน?”

 

“ใช่ กลุ่มลัทธิบูชาเชตัน พวกเขาเชื่อว่าเชตันคือพระเจ้าที่โผล่ออกมาจากรอยแยกนั้น และจะทำชำระล้างโลกให้สูญสิ้น และโลกใหม่ที่สมบรูณ์จะถือกำเนิดขึ้นหลังทำลายล้างเสร็จสิ้น”

 

“เชตัน? จอมมารในคัมภีร์เนี่ยนะขอรับ” กุงซูรู้สึกแปลกใจที่มีคนนับถือจอมมารในคัมภีร์ที่ว่ากันว่ามันคือจอมมารที่จ้องจะทำลายจักรวาลให้สิ้นซาก และจะสร้างให้จักรวาลใหม่มีแต่ความมืดมน

 

“งั้นหมายความว่า กลุ่มคนพวกนี้กำลังตามล่าพวกเราอยู่หรือขอรับ แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดพวกเขาต้องตามล่าพวกเราทั้งหมดด้วย?”

 

“ไม่มีใครรู้แน่ชัดหรอกกุงซู ว่าพวกเขาทำเรื่องพวกนี้จริง ๆ หรือไม่ มันอาจจะเป็นไปได้สูงที่จะเป็นพวกเขา เพราะพวกเขาเชื่อกันว่าเชตันออกมาจากรอยแยกระหว่างมิติและทำการล้างโลกเพื่อสร้างโลกใหม่ที่สมบูรณ์กว่าที่เป็นในตอนนี้ บางทีนี้อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญ แต่กลุ่มพวกนี้ก็ถูกทางการในหลาย ๆ ประเทศปราบปรามจนราบคาบไปหมดแล้ว...”

 

ทั้งเมเทียและกุงซูต่างก็ไม่ได้อะไรต่อ ในใจของทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่า ถึงจะถูกปราบปรามไปแล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าพวกเขาหมดสิ้นไปจริง ๆ

 

ถึงจะเป็นการกล่าวหาว่าไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นฝีมือของกลุ่มนี้ แต่มมันก็มีความเป็นไปได้สูงเพียงอย่างเดียวว่าเป็นพวกเขา

 

“พวกเราเดินทางต่อกันเถอะ เดี๋ยวเราจะเข้าเมืองฮันยางกันมืดค่ำไปเสียก่อน” เลออสเริ่มไม่ไว้ใจเวลาที่พวกเขาต้องอยู่ในที่โล่ง และง่ายต่อการลอบโจมตีเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอยู่ในช่วงเวลากลางคืน ทัศนวิสัยก็จะยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่

 

“พวกเราเองก็เตรียมตัวแล้วเหมือนกัน กุงซูเรากลับไปนั่งในรถม้าเช่นเดิมเถอะ” ทั้งเมเทียและกุงซูต่างก็เดินเข้ารถม้าดังเดิม ยังไงซะวันนี้พวกเขาก็ต้องรีบเข้าเมืองฮันยางให้ได้ก่อนค่ำนี้

 

ทันทีที่พวกเขาออกจากป่า คณะเดินทางเล็ก ๆ ก็มุ่งลงสู่ถนนหลักทันที เมื่อมาถึงถนนหลัก สิ่งแรก ที่กุงซูสังเกตเห็นคือถนนหนทางนั้น ดีกว่าทางในหมู่บ้านมากโข ผู้คนก็เริ่มจอแจกันมากขึ้น พวกเขาเองก็กำลังจะมุ่งหน้าไปเมืองฮันยาง เมืองหลวงของอาณาจักรโชซอนนั่นแหละ เขายื่นหน้าออกมาจากรถม้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น และทันใดนั้นก็มีบางสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกทั้งตื่นตาตื่นใจ

 

“เหวอ!” เด็กหนุ่มรู้สึกมาก ๆ เมื่อมังกรบินผ่านพวกเขาไป ใช่ มังกร! มังกรตัวเรียวยาวเกล็ดสีเขียว แผงคอของพวกมันพลิ้วไปตามลม บนหลังของมังกรมีใครบางตัวนั่งอยู่บนนั้น เขาเห็นเพียงแต่ว่าชายที่นั่งบนหลังมังกรใส่ชุดสีแดง

 

“อืม วันนี้องค์รัชทายาทออกไปด้านนอกมาหรือ”

 

“พระองค์น่าจะออกไปล่าสัตว์มาน่ะครับ ที่ต้องรีบเข้าเมืองคงเป็นเพราะวันนี้มีงานต้อนรับราชทูตจาก ราซิยา ราชทูตจากต้าชิง และราชทูตจากนิฮงครับ” เดวิดตอบเลออส ตอนนี้เขาถือลูกแก้วโฮโลแกรมรับข่าวสารประจำวัน ตอนนี้มันกลับทำงานแล้วเนื่องจากตอนที่อยู่ในหมู่บ้านสัญญาณเข้าไปไม่ถึง

 

แต่เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้ทั้งคู่ว่ายังไงนะ องค์รัชทายาทงั้นเหรอ? ให้ตายสิ! เมื่อกี้เขาได้เห็น องค์รัชทายาทแห่งโชซอนขี่มังกรบินโฉบหัวไปเนี่ยนะ!

 

“วันนี้พวกเราคงไม่ได้เข้าไปในเส้นทางหลักน่ะครับ เพราะว่าพวกคุณยังไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน คงผ่านด่านตรวจเข้าไปไม่ได้แน่ ๆ” เดวิดชี้ไปยังทางเข้าประตูเมือง ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกำลังปฏิบัติหน้าที่กันอย่างขะมักเขม้น แถวของผู้ที่รอการตรวจเอกสารจึงยาวเหยียด

 

“อืม ถ้าอย่างนั้นเราคงเข้าเมืองไปตรง ๆ ไม่ได้สินะ” เมเทียวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของสถานการณ์ ถ้ามันเป็นเช่นนี้การเข้าเมืองฮันยางก็คงจะไม่ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้

 

“เรื่องนั้นผมได้ติดต่อคนคนหนึ่งที่จะพาพวกเราเข้าเมืองไปแล้วเรียบร้อยครับ เดี๋ยวใกล้กำแพงเมืองเราจะลัดเลาะไปด้านข้างของกำแพงเมืองครับ”

 

แผนการคร่าว ๆ คือ เมื่อพวกเขาเข้าใกล้กำแพงเมือง พวกเขาจะค่อย ๆ แอบบลัดเลาะไปตามกำแพงเมือง แล้วไปเจอคนที่ดร.เดวิดติดต่อเอาไว้ ซึ่งจุดนัดพบนั้นค่อนข้างไกลจากประตูและเป็นจุดอับของเมือง

 

เมื่อเข้าใกล้ประตูเมือง พวกเขาก็ฝากม้าเอาไว้ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งแถวนั้น เดวิดได้ทำการส่งสารไปยังกลุ่มมิชชั่นนารีที่มาทำธุระในฮันยางและจะเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านวันนี้ผ่านลูกแก้วสื่อสารของเขาว่า คุณพ่อโจนาธานให้เขาเอาม้าและรถม้ามาเตรียมให้พวกเขาเดินทางกลับหมู่บ้าน เมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ดำเนินตามแผนการทันที

 

“ทางนี้ครับ” เดวิดเปิดโฮโลแกรมแสดงผังเมืองจากลูกแก้วที่เขาเพิ่งใช้ส่งสารถึงมิชชั่นนารี จุดสีแดงบนแผนที่คือตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ และจุดสีน้ำเงินคือจุดสำหรับนัดพบคนที่จะพาเข้าเมืองโดยไม่ต้องผ่านด่านตรวจ

 

“คนที่เจ้านัดไว้เป็นพวกรับจ้างลักลอบเข้าเมืองหรือเปล่าเดวิด” ชายวัยกลางคนถามเจ้าของแผนที่

 

“ครับ ในตอนนี้ที่พวกท่านยังไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน เราก็คงจำเป็นต้องใช้วิธีไปก่อนครับ” เลออสพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เขาเองก็ไม่ได้ติดอะไรในวิธีการเข้าเมือง เพราะพวกเขาเองก็พากุงซูเข้าโชซอนมาอย่างผิดกฎหมายตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ

 

“พวกเราไปกันเถอะครับ” เดวิดทำการนำทางพวกเขาไปยังจุดหมายปลายทาง โดยที่มีเดวิดและ เมเทียเดินนำกุงซู และมีเลออสเดินปิดท้าย แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอยู่ในเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่านแต่พวกเขาจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด

 

“ถึงแล้วละครับ” เดวิดปิดแผนที่โฮโลแกรมลงเมื่อมาถึงจุดนัดพบกับคนที่จะพาพวกเขาเข้าเมือง คนหนึ่งเป็นชายรูปร่างค่อนข้างผอมและตัวสูง ดูคล่องแคล่วว่องไว ผ้าปิดปากสีดำของเขาทำให้พวกเขามองใบหน้าเขาได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก

 

แม้ว่าบุคลิกภายนอกของเขาจะดูเงียบขรึม แต่ดวงตาสีน้ำตาลตามแบบชาวตะวันออกของเขานั้นกลับดูเหมือนซ่อนเป็นเด็กอยู่ในนั้น กุงซูรู้สึกว่าตัวตนของชายคนนี้มีความเด็กซ่อนภายในสูงมาก ส่วนอีกคนนั้นมองดูก็รู้แล้วว่าเขาเป็นอมนุษย์ที่ตัวสูงกว่าทุกคนและมีเขาบนหัว ผิวกายสีแดงที่หยาบกร้านนั้นบ่งบอกว่าอมนุษย์ตนนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ เช่นเดียวกันกับกระบองที่อมนุษย์ผู้นี้ถืออยู่

 

“โทแกบีเหรอเนี่ย!” เด็กหนุ่มเผลอร้องอุทานออกมา โทแกบีเป็นยักษ์ที่ผิวกายสีแดง พวกเขาเป็นยักษ์ที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในป่าของโชซอน และมีน้อยคนหนักที่จะได้พบเห็นโทแกบี นั้นจึงทำให้กุงซูร้องอุทานออกมาเมื่อเห็นโทแกบีตัวเป็น ๆ แบบนี้

 

“ใช่ ข้าเป็นโทแกบี แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรยังเรอะ?” โทแกบีตนนั้นเอ่ยถามเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างขุ่นมัว กุงซูรีบส่ายหน้าให้ทันที เขายังไม่อยากโดนกระบองที่อยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามฟาดหัว ซึ่งรับประกันได้เลยว่า ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแน่นอน...

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าอย่าอารมณ์เสียไปหน่อยเลยน่าเขาเดียว เขาแค่ไม่เคยเห็นโทแกบีน่ะ” ชายอีกคนที่น่าจะเป็นทีมเดียวกันกับโทแกบีตนนั้นเอยด้วยความร่าเริง

 

“เจ้าก็เหมือนกัน ถ้าเจ้าเรียกข้าด้วยชื่อนี้อีก ข้าจะทำให้หัวของเจ้าเละเหมือนกับแตงโม!” โทแกบีหันมาเกรี้ยวกราดใส่ชายคนนั้น แต่เขาก็แค่ยักไหล่อย่างไม่ยี่ระ

 

“เอาเถอะ แล้วแต่เจ้าเลยเขาเดียว แต่ว่าพวกเจ้าคือคนที่จะเข้าเมืองใช่ไหม?”

 

“ใช่แล้วครับ พวกเราต้องการจะเข้าเมือง แต่พวกเขายังไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน” เดวิดเป็นผู้เจรจากับชายตรงหน้า กุงซูหมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินชายคนนั้นพูดคุยกับเดวิดเป็นภาษาบริเทนได้แบบไม่ติดขัด

 

“ทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้นละเจ้าหนู เห็นแบบนี้ข้าก็พูดภาษาต่างชาติได้นะ” กุงซูสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อชายคนนั้นหันมาพูดกับเขาด้วยภาษาโชซอน

 

“แต่ช่างเถอะ นั้นไม่ใช่ประเด็น คุณพากันมาหลายคน ข้าคงต้องคิดแพงหน่อยนะ” ชายคนนั้นกลับมาคุยกับเดวิดเป็นภาษาบริเทนต่อ

 

“ไม่เป็นไรครับ คิดแพงหน่อยก็ได้ แต่ให้พวกเราทุกคนเข้าเมืองได้ก็พอ” เดวิดยื่นบัตรบางอย่างให้ชายคนนั้นดู และชายคนนั้นกับโทแกบีต่างก็แสดงความตื่นเต้นออกมาทันที

 

“ขอเพียงแค่พวกคุณพาพวกเราเข้าเมืองได้ เงินจำนวนนี้ก็จะเป็นของพวกคุณครับ” ชายคนนั้นถึงกับผิวปากออกมาหลังจากที่เดวิดพูดจบ เห็นทีงานนี้คงจะได้เกินคุ้มเสียแล้ว

 

“ด้วยความยินดีขอรับ เชิญทุกท่านได้เลย” ชายคนนั้นโค้งคำนับเล็กน้อย ก่อนที่จะนำพวกเขาไปยังที่แห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืนเท่าไหร่นัก

 

“ทางระบายน้ำงั้นหรือ?” เมเทียดูค่อนข้างตกใจเล็กน้อยเมื่อทางที่จะใช้เข้าเมือง

 

“ขอรับแม่นาง ถ้าเป็นด้านล่างนี้ รับรองได้ว่าไม่มีใครหรืออุปกรณ์การตรวจคนเข้าเมืองแอบซ่อนอยู่แน่นอน หวังว่าแม่นางคงจะไม่ลำบากใจใช่ไหม?”

 

“ไม่หรอก ข้าแค่นึกไม่ถึงว่าจะใช้ทางระบายเข้าเมืองก็แค่นั้น” เมเทียกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ไม่มีท่าทีตอบสนองต่อน้ำเสียงที่ดูเหมือนเกี้ยวพาราสีของฝ่ายตรงข้าม นั้นทำให้เลออสและกุงซูแอบมองหน้ากันและแอบหัวเราะเบา ๆ นี้แหละคือนิสัยส่วนตัวของนางละ

 

“อ่า...ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันเถอะ จะได้ไม่เสียเวลา” ชายรับจ้างลักลอบเข้าเมืองมีสีหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย เมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่มีท่าทีตอบสนองอะไรเลย

 

ทั้งชายรับจ้างลักลอบและโทแกบีก็นำพวกเขาไปยังทางระบายน้ำของเมือง

 

“ระวังด้วยล่ะทางสำนักราชวังจ้างวิศวกรชาวตะวันตกมาวางระบบชลประทานใต้เมืองให้ ถ้าเดินตามพวกข้าไม่ทัน ไม่รับประกันว่าจะมีคนพบศพนะ” คำพูดของโทแกบีตนนี้ไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย ทางระบายน้ำของเมืองฮันยางค่อนข้างซับซ้อน ไม่ต่างอะไรจากเขาวงกต ถ้าไม่รู้เส้นทางที่แน่ชัด ก็อย่าหวังเลยว่าจะมีใครมาพบ

 

กุงซูยังแอบสะดุ้งทุกครั้งเขาพบโครงกระดูกในทางระบายน้ำแห่งนี้ โครงกระดูกพวกนั้นเป็นพวกที่พยายามจะลักลอบเข้าเมืองโดยไม่ผ่านด่านตรวจ สุดท้ายแล้วชะตากรรมของพวกเขาก็นอนหมดลมอย่างสิ้นหวังใต้ทางระบายน้ำ

 

“ดูเหมือนจะเป็นฝีมือพวกคนแคระด้วยใช่ไหมเนี่ย” เลออสวิเคราะห์จากรูปแบบโครงสร้างของสถานที่แห่งนี้ เพราะถ้าเป็นวิศวกรมนุษย์คงจะไม่สามารถสร้างอะไรที่มีความซับซ้อนในใต้ดินได้ดีขนาดนี้

 

“คงจะเป็นแบบนั้นครับท่านองครักษ์ พวกเขาเชี่ยวชาญเรื่องทำเหมืองใต้ดินและเก่งเรื่องการช่าง อุโมงค์ใต้ดินที่ใหญ่และซับซ้อนแบบนี้คงไม่พ้นฝีมือพวกเขาแน่ ๆ”

 

“แล้วมันก็ได้ผลใช่ไหมล่ะ ถ้าทำทางที่มีความสลับซับซ้อนแบบนี้ พวกตรวจการณ์กับอุปกรณ์ที่เอาไว้ตรวจคนก็ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย พวกข้าจึงเลือกเส้นทางนี้ยังไงละ” คราวนี้ชายที่รับจ้างพวกเขาออกความเห็นบ้าง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันได้ผลดีเกินคาด

 

“แล้วพวกท่านรู้เส้นทางในนี้ได้ยังไงล่ะ?” คราวนี้เด็กหนุ่มเป็นคนถามบ้าง แต่ชายคนนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากเสียงหัวเราะ

 

“ฮ่า ๆ ถ้าพวกข้าบอกเจ้าไป พวกข้าก็คงไม่ต้องทำธุรกิจเข้าเมืองแบบนี้หรอกใช่ไหมล่ะเจ้าหนู” คำอธิบายนั้นทำให้กุงซูไม่ถามอะไรต่ออีก ชัดเจนว่าที่ไม่บอกผู้อื่น มันเป็นเพราะผลประโยชน์ของตัวเขาล้วนๆ

 

“!!!” กุงซูรู้สึกเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้น้ำเสียนั้น เขามั่นใจว่าเขาตาไม่ฝาดว่าเห็นฟองอากาศมันผุดขึ้นจากในนั้น

 

“เอ่อ ข้าว่าข้าเห็นอะไรแปลก ๆ ในน้ำเน่านั้น”

 

“ที่นี่ไม่มีอะไรหรอก รีบเดินต่อเถอะ” ชายคนนั้นกล่าวออกอย่างไม่ได้สนใจอะไรมากนัก พวกเขารับจ้างคนเข้าเมืองฮันยางมาหลายรอบแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

“แต่ว่า...”

 

“เดินต่อไปเถอะน่าเจ้าหนู! อย่าทำพวกเราเสียเวลาไปมากกว่านี้เลย” เสียงกึ่งคำรามโดยโทแกบีตนนั้นทำให้กุงซูจำใจต้องเดินต่อไป ทั้ง ๆ ที่ในใจเขารู้สึกว่ามันต้องมีอะไรอยู่นั้นแน่ ๆ เขาจึงหยิบคันธนูออกมาจากซองใส่ธนู

 

“เฮ้ เจ้าระแวงไปหรือเปล่าเจ้าหนู” ชายคนนั้นเอ่ยทักกุงซูขึ้นมาเมื่อกุงซูมีท่าทีสอดส่องไปมา

 

“ท่านว่าไม่มีอะไรนั้นก็แล้วแต่ท่านเถอะ ข้าแค่ระวังตัวเอาไว้ก่อนแค่นั้น” กุงซูเองก็ตอบกลับชายคนนั้นเป็นการยืนยันว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง

 

ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร แต่เลออสกับเมเทียที่เงียบมาตลอดทางกลับระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นผู้พิทักษ์บอกพวกเขาว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดปกติในน้ำเน่าเสียนั้นจริง ๆ แต่ตราบใดที่พวกเขาไม่ไปยุ่งกับมัน มันก็ไม่น่าจะทำอะไรพวกเขา อีกทั้งคนที่ลูกจ้างของพวกเขาก็เดินเข้าออกทางระบายน้ำนี้ประจำ นั้นแสดงว่าถ้าต่างคนต่างอยู่น่าจะไม่เป็นอะไร

 

แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเจ้าสิ่งนั้นมันกำลังว่ายตามพวกเขามาอย่างเงียบ ๆ

 

“เจ้าแน่ใจนะว่าทางนี้” โทแกบีเอ่ยถามกับคู่หูของเขา ตอนนี้พวกเขาอยู่ตรงหน้าทางแยก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหยุดการเดินทางเพื่อตัดสินใจก่อน และต้องตัดสินใจให้รอบคอบ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็อาจจะเป็นคนที่เพิ่มจำนวนโครงกระดูกในทางระบายน้ำนี้

 

“อย่าเร่งข้าน่า เขาเดียว คราวนี้นายจ้าง จ้างพวกเราไปใกล้ ๆ โรงแรมของมาดามอาโซมินะ พวกเราไม่เคยไปทางนั้นเสียหน่อยต้องค่อย ๆ นึกเส้นทางแป๊บสิ”

 

“ข้าละเกลียดชื่อนี้จริง ๆ ให้ตายสิ!”

 

ทั้งคู่เริ่มต่อล้อต่อเถียงกันเรื่องเส้นทางที่จะไปยังจุดหมายปลายทาง แต่ในขนาดที่พวกเขากำลังถกเถียงกันอยู่นั้น กุงซูก็สังเกตเห็นอะไรอีกครั้งในน้ำเน่าเสียนั้น

 

“ท่านลุง ท่านป้า...” เขาชี้ไปยังจุดที่น้ำกระเพื่อม ซึ่งคราวนี้มันผิดสังเกตอย่างชัดเจน

 

“เฮ้! ตกลงไปทางไหนกันแน่” ชายวัยกลางคนตะโกนถามคู่หูที่กำลังทะเลาะกันโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่นิดเดียว

 

“อย่ามาเร่งข้าได้ไหมตาแก่! ข้าก็พยายามนึกอยู่นี้ไง”

 

“เฮ้ย! เจ้าบ้านี้ มาเรียกข้าว่าตาแก่ได้ยังไง ข้ายังไม่ถึงสี่สิบนะโว้ย” เลออสถึงกับเลือดขึ้นหน้าทันทีที่ได้ยินคำต้องห้าม

 

“เลออส มันใกล้จะโผล่มาแล้ว” เมเทียรีบห้ามปรามเลออสที่กำลังจะเริ่มสงครามน้ำลายกับชายคนนั้น ให้มาสนใจเหตุการณ์ตรงหน้า เลออสได้แต่ฮึดฮัดหันมาชักดาบออกจากฝัก

 

“ถ้ายังนึกไม่ออกมาช่วยกันตรงนี้ก่อนเว้ย ไหนว่ามันไม่มีอะไรไงเล่า!?”

 

“อะไรนะ...” ชายคนนั้นทำท่าจะเถียงเลออสกลับ แต่เขาก็ชะงักไปเมื่อเห็นแรงกระเพื่อมในน้ำ

 

“เขาเดียว เตรียมอาวุธวะ งานเข้าแล้ว”

 

“เลิกเรียกข้าแบบนั้นสักทีเถอะ!” แม้จะไม่พอใจนักแต่ก็ถือกระบองเหล็กของตนเองเตรียมรบเต็มที่

 

เด็กหนุ่มถอยร่นมาอยู่แนวหลังในมือเตรียมง้างธนูเต็มที่ ส่วนเมเทียและเดวิดต่างก็เตรียมพร้อมอาวุธตัวเอง และสิ่งที่ตามพวกเขามาเงียบ ๆ ตั้งนานก็ปรากฏตัวขึ้นเป็นจำนวนมหาศาล

 

“เหวอ! ซากศพเหรอ” กุงซูร้องลั่นเมื่อสิ่งที่ลุกขึ้นมาจากน้ำเน่าเสียพวกนั้นคือซากศพของคนที่หลงทางและจบชีวิตลงที่ทางระบายน้ำแห่งนี้ พวกมันผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด และมุ่งตรงสู่พวกเขาทันที

 

“พวกผีดิบ! แม้ว่ามันจะเคยเป็นคนมาก่อน แต่ตอนนี้พวกมันไม่ใช่คนแล้ว ร่างที่ปราศจากวิญญาณแล้วจะถูกสิงสู่โดยวิญญาณทาสอันชั่วร้าย และทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายเท่านั้นครับ” เดวิดอธิบายพร้อมกับเหนี่ยวไก กระสุนปืนลูกนั้นวิ่งแหวกอากาศไปเข้าที่กลางหน้าผากของผีดิบตนหนึ่ง และทำให้มันล้มลงไป

 

“เล็งหรือทำลายส่วนหัวของมันนะครับ ตรามารที่ควบคุมพวกมันน่าจะอยู่ตรงบริเวณนั้น” ตรามารคือตราประทับของผู้ใช้มนต์ดำในการคืนชีพซากศพพวกนี้ ถ้าทำลายมันได้ ซากศพพวกนี้ก็จะถูกปลดพันธนาการจากผู้ใช้มนต์ดำ

 

“เฮ้! ไม่อยากจะเร่งนักหรอกนะ แต่นึกทางกันออกหรือยัง” เลออสตะโกนอย่างหัวเสีย เขาใช้ดาบประจำตัวของเขาฟันเข้าหัวของผีดิบตนหนึ่งหลุดจากบ่า

 

“ซ้าย! ทางซ้าย” ชายคนนั้นตะโกนบอก พวกเขาจึงรีบวิ่งไปทางซ้ายทันที ด้วยจำนวนที่มากมายขนาดนี้ พวกเขารับมือไม่ไหวแน่ ๆ

 

“เมเทีย! เจ้ามีมนต์เพลิงที่จะเผาพวกนี้ไหม?” ชายวัยกลางคนตะโกนถามนักเวทเพียงหนึ่งเดียวคณะเดินทาง

 

“มี ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งในการร่ายมนตร์ แต่พวกมันเคลื่อนไหวเร็วมากแบบนี้ ข้าร่ายมนตร์ไม่ไหวแน่ ๆ” วิธีที่จะทำให้ศพพวกนี้ไม่สามารถถูกใช้งานแบบนี้ที่ดีคือ การเผาร่างที่วิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่ แต่การร่ายมนตร์ไฟนั้นไม่สายที่เธอถนัด จำเป็นต้องใช้เวลาในการร่ายมนตร์พอสมควร

 

ทว่าปัญหาคือ ผีดิบพวกนี้ไม่ได้เคลื่อนอืดอาดอย่างที่ตำราบันทึกไว้ กลับกันตอนนี้พวกมันกำลังวิ่งตามพวกเขามาติด ๆ ทำให้พวกเขาไม่เวลาที่จะมาเล็งจุดที่คาดว่าน่าจะเป็นตำแหน่งของตรามารอย่างหน้าผากได้ ขืนมัวแต่เล็ง คงโดนซากศพพวกนี้รุมแทะจนเหลือแต่กระดูกแน่นอน

 

พวกเขาวิ่งไปเรื่อย ๆ โดยไม่หยุดพัก และสุดท้ายพวกก็พบกับลูกกรงขนาดใหญ่ที่ขวางทางพวกเขาอยู่

 

“บ้าเอ้ย!” ชายคนนำทางเตะลูกกรงนั่นอย่างแรง พวกเขาจะมาตายที่นี้ไม่ได้นะ!

 

“พังลูกกรงนี้เร็วเข้า ไม่งั้นพวกเราตายกันอยู่ที่นี่แน่!” โทแกบียักษ์ใช้กระบองเหล็กของตนฟาดลูกกรงที่ขวางทางอยู่ และมันก็แข็งแรงและทนทานกว่าที่เขาคิดอยู่มากโข

 

“พลังแห่งดวงดาราแลจักรวาลอันไกลโพ้น จงมอบพลังให้แก่ข้า คุ้มครองแก่พวกเราด้วย เกราะแห่งดารา สเตล่า อาร์มิส!” นักเวทเพียงหนึ่งเดียวตัดสินใจร่ายมนตร์บาเรียครอบปากทางเอาไว้ เพียงเสี้ยววินาทีพวกซากศพวิ่งได้ก็กระแทกเข้าบาเรียอย่างจัง แต่พวกมันไม่มีความเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว พวกมันจึงเอาตัวกระแทกเขตบาเรียอย่างต่อเนื่อง

 

แบบนี้พวกเราจะตายกันหมด...

 

กุงซูที่มองดูพวกท่านลุงกำลังช่วยกันพังลูกกรงอยู่อย่างขะมักเขม้น แต่ลูกกรงนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะพังแต่แม้แต่น้อย ส่วนท่านป้าของเขาถึงจะมีมนต์ที่ทลายลูกกรงนั้นได้ แต่อนุภาพของมันจะทำให้พวกเขาตายก่อนที่จะโดนพวกผีดิบรุมโต๊ะกิน

 

บาเรียเริ่มร้าวขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุด มันก็แตกออกจนได้แต่ไม่ทั้งหมด มือของพวกผีดิบรอดผ่านเขตบาเรียมาราวกับพวกนักโทษที่ยื่นมือออกมาจากลูกกรงห้องขัง เมเทียพยายามจะคงสภาพของบาเรียให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่คิดว่าคงทำได้อีกไม่นาน เพราะตอนนี้เธอเริ่มมีเหงื่อผุดใบใบหน้าของเธอ

 

การคงสภาพบาเรียในขณะที่พวกผีดิบพยายามจะพังออกมาเช่นนี้มันไม่ต่างกับการที่เธอต้องแบกคนจำนวนมากบนบ่าของเธอ และจำนวนของพวกมันก็ไม่ได้น้อย ๆ เลย

 

ดร.เดวิดที่เห็นดังนั้น เขาก็หันหลังกลับมาช่วยเมเทีย เขาเล็งปืนไปยังพวกผีดิบที่พยายามตะกรุยตะกายออกมาจากบาเรีย และเริ่มสวดบทส่งวิญญาณทันที

 

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดทางนำทางลูกแกะที่หลงทางทั้งหลายเหล่านี้ เข้าสู่อ้อมกอดของพระองค์ด้วยเถิด” พอเขาสวดบทส่งวิญญาณเสร็จ ดร.เดวิดก็ทำการเหนี่ยวไกทันที เขาไล่เก็บผีดิบที่โผล่หน้าออกมาจากเขตบาเรียเป็นรายตัว

 

ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น โธ่เอ๊ย คิดสิกุงซู คิดสิ!

 

เด็กหนุ่มพยายามหาทางออกของปัญหาเรื่องจนหัวแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ท่านป้าของเขาร่ายมนตร์ไม่ทันแน่ ๆ เพราะตอนนี้บาเรียที่ครอบปากทางอยู่เริ่มร้าวเหมือนกับแก้วน้ำที่กำลังจะแตกเป็นเสี่ยงในไม่ช้านี้ และเขาก็มั่นใจว่าอุปกรณ์ชำระล้างดวงวิญญาณของอาจารย์ประจำสถาบันก็มีไม่เพียงพอต่อจำนวนของพวกมันด้วยเช่นกัน ดังนั้นวิธีที่จำกัดแบบถาวรคือต้องทำลายร่างสิงสู่ทั้งหมดภายในเวลาเดียวกันเท่านั้น

 

โอ๊ย หัวจะระเบิดอยู่แล้ว...แต่เอ๊ะ ระเบิดเหรอ...

 

อ่า ใช่แล้ว! ระเบิด

 

ถ้าอ้างอิงจากตำราที่เขาเคยเรียนจากพวกมิชชั่นนารี ถ้าทำลายร่างที่วิญญาณร้ายสิงสู่ทิ้งไป พวกมันก็จะไม่สามารถทำอันตรายพวกเขาได้แล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็รีบเปิดกระเป๋าดูสัมภาระของตนเอง

 

ยางไม้ระเบิดที่บรรจุในขวดแก้ว โชคดีที่เขายังคงเหลือพวกมันในกระเป๋าอยู่ ทีนี้เหลือตัวที่ทำให้เกิดประกายไฟ ลูกธนูหัวระเบิดมีเพียงลูกเดียวเท่านั้น เขาจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด ถ้าพลาดก็เท่ากับพวกเขาต้องจบชีวิตลงที่นี่

 

เด็กหนุ่มฉีกผ้าที่ชายเสื้อของตน และจัดการนำขวดที่บรรจุยางไม้ระเบิดทั้งหมดที่เขามีมาผูกกับเศษผ้านั้น จากนั้นเขาก็ผูกเศษนั้นไว้ที่หัวลูกธนู

 

เด็กหนุ่มวิ่งมาด้านหน้าของทุกคน และทำการง้างธนูรอจังหวะที่รูของบาเรียอันใดอันหนึ่งว่างลง และทันใดนั้นจังหวะที่เขารออยู่ก็มาถึง เขาปล่อยลูกธนูหัวระเบิดออกไปมา ลูกธนูที่บรรจุยางไม้อันตรายพุ่งผ่านออกจากรูรั่วของบาเรียอย่างรวดเร็ว

 

ทันทีที่ยางไม้ในขวดแก้วระเบิดพร้อมกับลูกธนูหัวระเบิด มันก็เป็นไปตามผลลัพธ์ที่เด็กหนุ่มคาดหวังเอาไว้ พวกผีดิบระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาลืมนึกไปก็คือ แรงระเบิดจากการระเบิดนั่นกระแทกตัวเขาจนเขาปลิวไปด้านหลังอย่างแรง และแรงระเบิดนั่นก็ส่งผลต่อเพดานทางระบายน้ำถล่มลงจนปิดปากทางที่อยู่พวกเขาอยู่

"เหวอ!"

กุงซูจำได้แค่ว่าเขาเห็นแค่เสียงสีขาววาบเข้ามาในม่านตาของตา และเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องกัมปนาทจนเขานึกว่าแก้วหูของเขาแตกไปแล้ว จนนี้เขาได้ยินแต่เสียงวิ้ง ๆ อยู่ในหู ตาก็เขาก็เบลอไปหมด ก่อนที่ภาพสุดท้ายที่เขาจำได้ก็คือท่านลุงและท่านป้าของเขาวิ่งมาหาเขา และแล้วเขาก็หมดสติไป

 

 

อีกฟากหนึ่งเพดานถล่ม หญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านพวกซากศพนั้นโดยที่พวกมันไม่ทำอันตรายแก่เธอเลยแม้แต่น้อย พวกมันหลบทางให้เธอเดิน จนกระทั่งเธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าจุดเพดานถล่ม

 

“หึหึ ไม่ธรรมดาเลย” เธอหัวเราะออก ราวกับว่าเธอพึงพอใจอะไรบางอย่าง

 

อันที่จริงด้วยฝีมือของเธอ จะเข้าไปโจมตีพวกมันเลยก็ย่อมได้ ทว่านายท่านของเธอนั้นกลับเตือนเธอมาด้วยว่า อย่าประมาณทายาทของตระกูลสุริยะวิถีเป็นอันขาด แม้ว่าพลังของพวกมันจะยังตื่นไม่เต็มเท่าไหร่นัก

 

ดังนั้นเธอเลือกที่จะไม่ปะทะคู่ต่อสู้ตรง ๆ เธอจึงใช้มนต์ดำคืนชีพให้กับพวกซากศพในทางระบายแห่งนี้ แล้วปล่อยให้พวกมันรุมแทะเนื้อของคณะเดินทางแทน แต่สิ่งที่นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ คือ ทายาทแห่งตระกูลซาจิทารัสเลือกที่จะใช้ยางไม้ที่สามารถทำระเบิดได้ยิงอัดกลางวงผีดิบจนพวกผีดิบที่โดนแรงระเบิดเละไม่มีชิ้นดี

 

ไม่รู้ว่านายน้อยแห่งตระกูลซาจิทารัสผู้นั้นจะคิดเผื่อให้เพดานถล่มปิดปากทางด้วยหรือไม่ ก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ใช้ได้เลยทีเดียว

 

นับว่าไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ

 

เสียดายที่ตอนนี้เธอมีพลังเวทไม่เพียงพอที่จะเล่นงานพวกมันต่อ ไม่งั้นพวกมันคงได้กลายเป็นศพเฝ้าทางระบายน้ำนี้ไปแล้ว

 

“คราวนี้คงข้าปล่อยไปก่อน แต่คราวหน้ารับรองว่าไม่พลาดแน่นอน นายน้อยแห่งตระกูลสุริยะวิถี” ร่างของเธอสลายกลายเป็นฝุ่นสีดำ และปลิวหายไป ส่วนพวกซากศพที่ตอนแรกลุกขึ้นมาวิ่งไล่พวกกุงซูอย่างเอาเป็นเอาตาย ตอนนี้พวกมันกลับล้มลงไปกองกับพื้น เหมือนตุ๊กตาชักใยที่โดนตัดเชือก และกลายเป็นฝุ่นละอองสีดำ ปลิวหายไปเฉกเช่นเจ้าของมนต์ดำนี้

 

 

to be continued………

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา