Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim อัศวิน แห่ง รุ่งอรุณ ตอน อุบัติการณ์ แห่ง เนฟีลิม
-
เขียนโดย The_Emperor
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.50 น.
13 ตอน
6 วิจารณ์
11.56K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 09.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ธนูแห่งแสง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความKnight of the dawn: The Awakening of Nephilim
บทที่ 1 : ธนูแห่งแสง
หยุดนะ อย่าทำพวกเขา...
อย่ามายุ่งไอ้ลูกครึ่ง มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า...
พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์จะทำอย่างนั้นนะ...
ข้าบอกว่าอย่ายุ่งไง!...
โอ้ย!....
เจ้านี้มันแส่หาเรื่องจริงๆ เฮ้ย! พวกเราไม่ต้องไปสนใจไอ้ลูกครึ่งนี้เลย จัดการพวกคนชั้นต่ำนี้ต่อไปเถอะ
อย่านะ...พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์...ไม่...ไม่...ไม่!!!
ตูม!!!
“ไม่!!!” กุงซูสะดุ้งตื่นจากฝัน เด็กหนุ่มหอบหายใจถี่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เช่นเดียวกันกับร่างกายส่วนอื่นๆของเขาที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อราวกับเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาใหม่ๆ เขาลูบใบหน้า ของตนเองเบาๆ พร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ฝันไปหรอกเหรอ?” เด็กหนุ่มรำพึงรำพันกับตัวเอง ก่อนที่จะหยิบนาฬิกาพกไขลานตรงหัวหัวนอนของเขามาเปิดดูเวลา
ตีห้าครึ่ง...
ฟ้ายังไม่สว่างเลยด้วยซ้ำ กุงซูจึงถอนหายใจออกมา และล้มตัวลงบนที่นอน เพื่อที่จะพยายามข่มตานอน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร เขาก็ไม่อาจจะนอนหลับได้เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงแอบย่องออกจากห้องของตนเองอย่างเงียบเชียบ โดยที่ไม่ให้ลุงและป้าบุญธรรมของเขารู้ตัว
กุงซูเดินออกมาจากบ้านของตน และเดินไปยังบริเวณชายป่าที่อยู่ใกล้ๆกันกับบ้านของเขา เด็กหนุ่มเลือกที่จะนั่งพิงหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ตรงริมธาร เขากวักน้ำในลำธารมาล้างหน้าล้างตาตนเอง ความเย็นของน้ำในลำธารทำให้เขารู้สึกตื่นขึ้นมาบ้าง แต่ไม่อาจทำให้จิตใจที่ร้อนรุ่มของเขานั้นสงบลงได้เลยแม้แต่น้อย
ดวงตาสีน้ำเงินสว่างของเขากำลังจ้องมองหมู่มวลดาราที่กำลังเปล่งประกายแข่งกัน สีสันของดวงดาวบนฟากฟ้าในตอนนี้ช่างตัดกัน เฉกเช่นนัยตาสีสว่างและเรือนผมสีดำที่มัดเป็นจุกของเขา ทุกครั้งที่กุงซูรู้สึกว้าวุ่นใจหรือไม่สบายใจ เขามักจะชอบมองท้องฟ้าในยามค่ำคืน ภาพของท้องนภาสีดำที่ทำดวงดาวทั้งหลายเฉิดฉาย เป็นภาพที่ทำให้จิตใจอันร้อนรุ่มของกุงซูสงบลงได้ทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
เด็กหนุ่มมองภาพตรงหน้าและปล่อยให้ความคิดของตนเองล่องลอยไปไกลแสนไกลและนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเนิ่นนานจนเขาแทบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ เมื่อหกปีที่แล้วตอนกุงซูยังเป็นเด็กอายุสิบสามปี เขาพยายามจะช่วยครอบครัวของคนฆ่าสัตว์ในหมู่บ้านจากกลุ่มอันธพาลในคราบของลูกผู้ดี พวกลูกขุนนางท้องถิ่นในหมู่บ้าน
ในสังคมของอาณาจักรโชซอนแห่งทวีปเอซาเนียเขตตะวันออกไกล คนฆ่าสัตว์ถือว่าเป็นชนชั้นชอนมินหรือว่าชนชั้นต่ำที่พวกมีอำนาจในสังคมบัญญัติขึ้นมา
ชนชั้นชอนมินมักจะถูกพวกยังบัน หรือชนชั้นสูงข่มเหงรังแกอยู่ตลอด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทุกคนจะเห็นพวกเขาที่เรียกตนเองว่า ยังบัน กำลังรังแกคนที่พวกเขาเรียกว่าชอนมินอยู่เป็นประจำ ทว่าไม่รู้มีอะไรดลใจให้กุงซูยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือครอบครัวที่น่าสงสารนี้ ทั้งๆที่เขาเป็นคนที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของใครอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
เด็กหนุ่มในวัยสิบสามปีพยายามจะห้ามพวกลูกขุนนางที่มีอายุห่างจากเขาเกือบสิบปีไม่ให้ทำร้ายครอบครัวนั้น และแน่นอนว่าแรงของเด็กวัยสิบสามนั้นไม่สามารถสู้อีกฝ่ายได้เลย แต่กุงซูก็ยังคงไม่ยอมแพ้จนกระทั้งพลาดท่าถูกตีเข้าที่บริเวณคิ้วของเขา
และบาดแผลนั้นก็ยังคงเป็นแผลเป็นมาจนถึงปัจจุบัน...
พวกลูกขุนนางท้องถิ่นพยายามจะทำร้ายครอบครัวของคนฆ่าสัตว์ต่อไป กุงซูตะโกนออกไปสุดเสียงเพื่อบอกให้พวกลูกขุนนางหยุดการกระทำอันเลวทรามของพวกเขา ทันใดนั้นก็เกิดอะไรบางอย่างขึ้น กุงซูจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากภาพที่อยู่รอบตัวกลายเป็นสีขาว กับเสียงระเบิดที่ดังขึ้นตูม!
หลังจากนั้นเขาหมดสติไป
เขาฟื้นขึ้นมาอีกทีในบ้านของตนเอง เด็กหนุ่มจึงทราบข่าวว่า พวกลูกขุนนางที่เขาพยายามจะไปห้ามนั้นกระเด็นกระดอนออกไปกันคนละทิศคนละทาง เหมือนกับมีอะไรบางอย่างผลักพวกเขาออกไป และได้รับบาดเจ็บกันไปตามๆกัน ดูเหมือนเหตุการณ์ทั้งหมดจะคลี่คลาย แต่สิ่งที่กุงซูได้รับกลับมานั้นไม่เป็นดังที่เขาคาดเอาไว้
ชาวบ้านทุกคนหวาดกลัวเขากันหมด ไม่เว้นแม้กระทั้งครอบครัวของคนฆ่าสัตว์ที่เขาพยายามจะช่วยเหลือ จากที่ไม่มีใครคบหาสมาคมกับเขาอยู่แล้ว ตอนนี้กลายเป็นว่าทุกคนยิ่งมีคามหวาดกลัวในตัว ของเขาเพิ่มขึ้นไปอีก
เด็กหนุ่มในตอนนี้ยังคงมองท้องฟ้า จากที่ท้องในตอนแรกเต็มไปด้วยดวงดาวต่างๆ ตอนนี้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์เริ่มมาแทนที่แสงดาวเสียแล้ว บ่งบอกว่าเขาควรกลับไปที่บ้านเวลานี้เลย
กุงซูทำได้แค่ถอนหายใจออกมา ยังไงซะเรื่องมันก็ผ่านไปนาน แถมตอนนี้ครอบครัวของพวกเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นอีกแล้ว เพราะตอนนี้พวกเขาย้ายบ้านมาอยู่ใกล้ๆป่านั้นเอง ตัวเขาในตอนนี้พร้อมที่จะลุยกับวันใหม่ที่จะถึงนี้มากกว่าที่จะมานั่งจมกับสิ่งที่ผ่านมา
“กุงซู หลานตื่นหรือยัง?” เสียงของหญิงวัยกลางคนเรียกขานหลานชายของเธอ แต่ไม่ว่าจะเรียกชื่อไปกี่รอบก็ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมาเลย
“ไปไหนของเขานะ?”
“ข้ามาแล้วขอรับท่านป้า” เด็กหนุ่มโผกอดผู้เป็นป้าจากด้านหลัง ทำให้เขาถูกป้าบุญธรรมเอาทัพพีตักข้าวตีเข้าเต็มๆที่กลางหัว
“โอ้ย! ข้าเจ็บนะ”
“ดี สมน้ำหน้า ใครบอกให้เล่นแบบนี้กัน? เจ้าทำให้ข้าตกใจเองนะ” เด็กหนุ่มถึงกับบ่นอุบอิบออกมาเล็กน้อยหลังจากที่โดนผู้อาวุโสกว่าตำหนิ
“รีบแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อยซะกุงซู เจ้าคงไม่อยากไปฝึกกับลุงอึนฮาสายหรอกนะ”
“ขอร้าบ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
กุงซูขานรับหญิงวัยกลางคน ก่อนที่จะล้างหน้าล้างตาอีกรอบ และเปลี่ยนเสื้อให้ดูทะมัดทะแมงขึ้น เพื่อให้พร้อมต่อการฝึกสำหรับวันนี้
“ทานข้าวเช้าก่อนสิลูก เดี๋ยวไปเป็นลมเป็นแล้งเสียก่อน” เธอพูดขัดหลานชายขึ้นมาเมื่อเห็นกุงซูทำท่าจะออกจากไปที่ป่าเลย ดังนั้นกุงซูรับถ้วยข้าวต้มมาจากนาบีป้าของเขา และรีบตักข้ามต้มเข้าปาก เพราะใกล้จะสายเต็มทน แต่ด้วยความเร่งรีบและไม่ระวัง ข้าวต้มจึงลวกปากเด็กหนุ่มไปตามระเบียบ
“กุงซู! เจ้าไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้” นาบีรีบหยิบน้ำเต้าผ่าครึ่งใส่น้ำดื่มให้กุงซู เด็กหนุ่มขอบคุณ เธอก่อนที่จะรับน้ำเต้านั้นมาดื่มน้ำ ทำให้อาการของต้มลวกปากบรรเทาลงไปบ้าง
“ท่านป้า...ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านหน่อย”
น้ำเสียงของเขาเผยแววไม่แน่ใจออกมา นาบีที่กำลังง่วนกับการเตรียมข้าวกล่องสำหรับมื้อกลางวันจึงสบตากับผู้เป็นหลาน
“เจ้ามีอะไรไม่สบายใจงั้นรึ?”
“คือ...เอ่อ...ช่วงสองสามวันมานี้ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย” นาบีห่อกล่องข้าวกล่อง แล้วนำมาให้กับกุงซู เธอลูบหัวเขาเพื่อเป็นการปลอบประโลม
“หลานบอกป้าได้ทุกเรื่องเลยนะ ว่าแต่เจ้าไม่สบายใจเรื่องอะไร”
“คือ เมื่อคืนข้าฝันถึงเหตุการณ์นั้นอีกแล้ว” หญิงวัยกลางคนเมื่อฟังแล้ว เธอก็นิ่งไปครู่หนึ่ง และถามกุงซูต่อ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ละ?”
“เพิ่งฝันน่ะขอรับ แต่ข้าไม่เข้าใจ ข้าเกือบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ ทำไมถึงฝันเหตุการณ์บ้าๆนั้นอีก”
นาบียิ้มให้กุงซู และลูบหัวหัวหลานชายเพื่อเป็นการปลอบประโลม เหตุการณ์เช่นนี้ใช่ว่าเด็กอายุ สิบสามปีจะผ่านมันไปได้ทุกคน แต่กับเด็กหนุ่มคนนี้ เขาสามารถผ่านเรื่องราวแย่ๆนั้นมาได้ แม้ว่ามันจะทำให้เขามีบาดแผลอยู่ในใจลึก ๆ ก็ตาม
แม้เจ้าตัวจะไม่เคยเอ่ยออกมาตรงๆ แต่มีหรือที่คนเลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้อย่างนาบีจะมองไม่ออก เธอไม่เคยเส้าซี้ถามอะไรกับหลานชายคนนี้ แต่เธอก็ยังเป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆกุงซูในเวลาที่ยากลำบากเสมอ หรืออย่างน้อยก็ทำให้กุงซูได้อุ่นใจว่ายังมีคนคอยรับฟังเขา
“ป้าว่าเจ้าอาจจะเหนื่อยกับการฝึก ในช่วงเวลาที่คนเราอ่อนแอ มันอาจจะไปสะกิดสิ่งที่ทำเราเจ็บปวดที่สุดและพยายามลืมมันไปก็ได้”
“คงจะจริงดังที่ท่านว่า...ข้าน่าจะเครียดไปจริงๆ” น้ำเสียงของกุงซูเบาลง บางทีสิ่งที่ป้านาบีพูดกับเขาอาจจะเป็นเรื่องจริง เพราะช่วงนี้เขาเองก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการฝึกของลุงบุญธรรมของเขาเหลือเกิน
“ไม่มีอะไรหรอก เจ้าสบายใจหรือยัง?”
“ขอรับ เอ๊ะ!! ข้าจะสายแล้ว” กุงซูเปิดดูนาฬิกาพกไขลานของเขา ตอนนี้เกือบหกโมงครึ่งแล้ว ถ้าไม่รีบไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ กว่าจะเสร็จสิ้นการฝึก อาจจะล่วงเวลาไปถึงตอนอาทิตย์ตกดินอีกก็เป็นได้
กุงซูรีบจ้วงข้าวต้มเข้าปากอีกสองสามคำแล้วหยิบสัมภาระของเขามาสะพานหลัง และสิ่งที่ลืมไม่ได้เด็ดขาด นั้นคือธนูคู่ใจของเขาและกระบอกใส่ลูกธนู เขารีบเอากระบอกใส่ลูกธนูมาสะพานที่เอว และเอาคันธนูใส่ปลอกหนังที่สะพานเอาไว้ข้างเอวเช่นกัน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วกุงซูก็รีบสวมรองเท้าเตรียมออกเดินทางไปยังสถานที่ที่ลุงอึนฮานัดเอาไว้
“ข้าไปก่อนนะขอรับท่านป้า ตอนกันตอนเย็นขอรับ”
“เดินทางดีๆล่ะ แล้วก็อย่าเพิ่งแอบของในข้าวกล่องนะกุงซู!” กุงซูหัวเราะออกมาที่หญิงวัยกลางคนรู้ทันเขา เด็กหนุ่มกระชับสัมภาระที่หลังของเขาและรีบวิ่งออกจากบ้าน
นาบียืนส่งกุงซูที่หน้าบ้าน เธอโบกมือให้กับหลานของเธอก่อนที่หลังเขากุงซูจะลับตาไป
เมื่อเห็นว่าหลานของเธอไปแล้ว เธอจึงแสดงสีหน้ากังวลออกมาอย่างชัดเจน หญิงวัยกลางคน ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วรำพึงรำพันกับตัวเอง
“คงใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ” สายตาของหญิงกลางคนเหม่อมองท้องฟ้าที่กำลังสว่างขึ้น
“นายท่านเจ้าคะ พวกข้าน้อยทำหน้าที่จนถึงที่สุดแล้ว ขอให้นายท่านปกป้องนายน้อยด้วยนะเจ้าคะ”
น้ำตาของเธอรื้นขึ้นนึกถึงอดีตที่ผ่านมาของเธอ เธอรีบเช็ดน้ำตาออกแล้วก้มลงเก็บของ ๆ เธอ โดยที่เธอไม่ทันสังเกตุว่ามีใครคนหนึ่งมองเธออยู่ตั้งแต่กุงซูรีบวิ่งออกจากบ้านไป
“เอ๊ะ! เปลี่ยนที่เหรอ” เด็กหนุ่มอุทานขึ้นมาเมื่อเขามาถึงที่นัดหมายแล้ว แต่ลุงอึนฮาไม่ได้อยู่ตรงนั้น คราวนี้อึนฮาคงจะเปลี่ยนที่ฝึกวิชาอีกแล้ว
“เห้อ ท่านลุงนะท่านลุง นี้ข้าจะต้องหาใหม่อีกแล้วเหรอเนี่ย” เด็กหนุ่มบ่นอุบอิบเล็กน้อย ก่อนที่จะมองหาไปยังปริศนาที่อึนฮาอาจจะทิ้งเอาไว้ให้ในบริเวณ
ตลอดการฝึกที่ผ่านมากุงซูมักจะเจอการทดสอบแบบนี้อยู่เสมอ แม้อึนฮาจะให้เหตุผลว่าถ้าฝึกอยู่ที่เดิม อาจจะถูกพบเจอเขาซักวันหนึ่ง ซึ่งการฝึกของพวกเขาเป็นความลับ และจะต้องไม่มีผู้ใดล่วงรู้ อีกทั้งการฝึกของเขานั้นอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้หากมีผู้ใดหลงเข้ามา เพราะการฝึกนี้ไม่ได้แค่ฝึกยิงธนูธรรมดาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขายังต้องฝึกการใช้ลูกธนูแบบพิเศษต่างๆให้เกิดความชำนาญ เช่น ลูกธนูหัวระเบิด ลูกธนูเหล็กทั้งลูก การยิงแบบทง-อา (การยิงลูกธนูที่สั้นกว่าคันธนูโดยใช้รางไผ่รองลูกธนู การยิงแบบนี้จะช่วยให้เพิ่มระยะการยิงที่ไกลและเร็วกว่าการยิงลูกธนูแบบปกติ)
เด็กหนุ่มเข้าใจถึงเหตุผลพวกนี้ดี อย่างคราวที่แล้วอึนฮาให้เด็กหนุ่มใช้ลูกธนูหัวระเบิดยิงใส่ขวดแก้วที่บรรจุด้วยยางไม้ชนิดหนึ่งที่เมื่อโดนประจุไฟแล้วจะทำให้เกิดการระเบิดที่แรงพอ ๆ กับลูกระเบิดขนาดย่อม ทำเอาเป้าธนูเป้านั้นแหลกจนไม่เหลือซาก
แม้จะเข้าใจเหตุผลแต่มันก็อดหงุดหงิดใจขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เมื่อหนึ่งอาทิตย์เวียนมาบรรจบ พวกเขาก็จะเปลี่ยนที่ฝึกซ้อมใหม่ โดยอึนฮาจะเป็นคนทิ้งร่องร่อยหรือเบาะแสเอาไว้ที่กุงซูแกะรอยตามไป ครั้งนี้ก็เช่นกัน เด็กหนุ่มมองดูรอบตัวอย่างถี่ถ้วน คอยสังเกตสิ่งที่ผิดแผกไปจากเดิม ไม่นานนักเขาก็เห็นร่องรอยนั้น
“กิ่งไม้เหรอ?” กุงซูพึมพำออกมาเมื่อเมื่อกิ่งหนึ่งหักลงมา แต่หากไม่สังเกตดี ๆ ก็จะไม่รู้ว่านี้คือสัญลักษณ์ที่เอาไว้ใช้บอกทิศทางในการเอาตัวรอดในป่าเบื้องต้น ซึ่งคนที่ไม่รู้สัญลักษณ์พวกนี้ ก็จะมองว่ามันเป็นกิ่งไม้ที่หักตามธรรมชาติ
“เจอซะที ข้าคงต้องไปแล้ว” เด็กหนุ่มกระชับสัมภาระตนเองให้แน่ขึ้น และเดินทางไปยังสถานที่ฝึกซ้อมใหม่ตามที่สัญลักษณ์แบบนั้นบอกทาง
กุงซูยิ่งเดินทางเข้ามาในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ นอกเหนือจากนี้เขายังรู้สึกว่ารอบนี้ลุงบุญธรรมของเขาจะเข้ามาลึกมากกว่าทุกที เพราะคราวนี้เขาทั้งปืนเขา ดำน้ำตามลำธารลึก คอยหลบพวกสัตว์กินเนื้อที่ดุร้าย แม้กระทั่งใช้ธนูยิงเชือกข้ามระหว่างเขาเพื่อโหนตัวข้ามเขาก็มี
สัญลักษณ์ที่ใช้บอกทางก็ต้องสังเกตให้ถี่ถ้วนกว่าทุกครั้ง เพราะนอกเหนือจากกิ่งไม้หักแล้ว ยังมีทั้งก้อนหินที่วางเรียงกัน และยังมีต้นหญ้าที่ยาวพอจะผูกปลายเพื่อบอกทิศทางได้เช่นกัน เรียกได้ว่าการเดินทางครั้งนี้เขางัดทักษะการเอาตัวรอดในป่าที่เขาฝึกมาตลอด ออกมาใช้แทบทั้งหมดของที่ฝึกมาเลยทีเดียว สักพักเขาก็มาถึงตามสถานที่นัดหมายจนได้
ลุงบุญธรรมของเขา หรือลุงอึนฮา นั่งสูบยาสูบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เขาใช้หลบแดด รูปร่างของเขานั้นแข็งแกร่งและกำยำเหมาะสมกับอาชีพนายพราน มีหนวดเคราแต่ก็ไม่ได้รกรุงรังอะไรนัก ผิวพรรณค่อนข้างคล้ำเนื่องจากทำงานหนักและตากแดดอยู่ตลอด ซึ่งสัตว์ป่าและของป่าทั้งหลายก็ได้ในระหว่างที่เขารอกุงซูหาที่ฝึกนี้แหละ และเขามักจะนำของป่าไปขายในเมืองช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำให้กุงซูได้หยุดพักในช่วงเวลานั้นไปด้วย
ในมือข้างซ้ายของชายวัยกลางคนถือนาฬิกาพกเช่นเดียวกันกับของกุงซู สายตาของเขากำลังจดจ้องไปที่นาฬิกาพกก่อนจะเอ่ยคุยกับเด็กหนุ่ม
“ช้าไปสามนาที สถิติตกจากเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนะ”
“โธ่ ท่านลุง คราวนี้ท่านให้ข้าไปปืนเขา ลงห้วย โรยตัวจากที่สูง และยังให้ข้าหลบพวกสัตว์ดุร้ายอีก ช้าไปสามนาทีแค่นี้ก็หรูแล้ว”
“หึหึ แค่สามนาทีในสนามรบก็สามารถพลิกเกมได้แล้วกุงซู”
“พูดอย่างกับท่านลุงเคยผ่านสนามรบงั้นแหละ” กุงซูเอ่ยออกมาเบา ๆ ตั้งแต่จำความได้ลุงบุญธรรมของเขาก็ยึดอาชีพนายพรานค้าของป่ามาโดยตลอด
“บ๊ะ!!! เจ้าพูดเช่นนี้ได้ยังไง เจ้ารู้ไหม ว่าตอนข้ายังหนุ่ม ๆ ข้าเคยผ่านมาแล้ว...” อึนฮาร้องขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักพร้อมตีเข่าตนเอง ก่อนที่จะเริ่มสาธยายชีวิตในช่วงวัยหนุ่มอันโชกโชนของเขาให้เด็กรุ่นหลังมันฟัง
“เอ่อ...ข้าว่าข้ารีบไปฝึกดีกว่า แหะ ๆ” กุงซูรีบวางสัมภาระของตนเองและอ้างว่าจะรีบไปฝึกก่อนที่เขาจะต้องมานั่งฟังชีวประวัติเมื่อครั้งยังเยาว์วัยของอึนฮาเป็นรอบที่ล้าน
“เอ้า อะไรกัน ตอนเจ้ายังเด็กเจ้ายังฟังได้เลย” อึนฮาบ่นอุบอิบเมื่อหลานชายตัวดีของเขามีอาการหนีเขาทุกครั้งที่เขากำลังจะเล่าเรื่องของตัวเอง
แล้วข้าจะรู้ได้ไงว่าเรื่องที่ท่านลุงพูดมาไม่ได้โม้อยู่...
ประโยคนี้กุงซูคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา ถึงไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรออกมา แต่เด็กหนุ่มเป็นคนที่เก็บสีหน้าไม่อยู่เลย มีหรือที่ลุงของเขานั้นจะมองไม่ออก
“ไป! เริ่มได้แล้ว เราเสียเวลาไปเยอะแล้ว” ไม่พูดเปล่า ชายวัยกลางคนยังเอาลูกโอ๊คปาไปยังกลางหัวของกุงซูอย่างแม่นยำราวกับจับวาง ถึงไม่แรงมากแต่เด็กหนุ่มก็แอบคิดในใจว่าวันนี้สมองเขาน่าจะได้รับความกระทบกระเทือนบ้างแหละ ทั้งทัพพีทั้งลูกโอ๊ค ไม่รู้ว่าสมองของเขาจะเสื่อมลงวันไหนเหมือนกัน
การฝึกในช่วงเช้าของกุงซูนั้นไม่มีอะไรมาก เด้กหนุ่มจะต้องอบอุ่นร่างกายก่อนเป็นอันดับแรก ลำดับต่อมาเขาจะต้องเน้นไปที่การฝึกกำลังแขน ทั้งวิดพื้น แบกถังน้ำทั้งสองข้างขึ้นเนินเขาเป็นต้น จากนั้นเขาจะต้องฝึกยิงลูกธนูแบบปกติอย่างน้อยสองร้อยห้าสิบลูกขึ้นไป โดยพยายามฝึกให้ยิงให้ไวที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
หลังจากที่เสร็จการฝึกแบบปกติทั้งหมด กุงซูจะเริ่มฝึกการยิงแบบพิเศษ เช่นการใช้ลูกธนูหัวระเบิดจุดชนวน หรือการยิงแบบทง-อา จากนั้นเขาก็จะพักเที่ยงหนึ่งชั่งโมง พอพักเที่ยงเสร็จเขาจะเริ่มทำการฝึกยิงตามเป้าหมายที่อึนฮากำหนด ทั้งเป้านิ่งและเป้าบิน หรือแม้กระทั่งเป้าธนูที่แอบตามจุดบอดภายในระยะที่กำหนด หลายปีที่ผ่านมา การฝึกของเขาเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ทว่าคราวนี้คำสั่งของอึนฮาทำให้เขาต้องแปลกใจ
“ปลดสายธนูออกซะกุงซู”
“หา เมื่อกี้ท่านลุงว่าอะไรนะ” สีหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความฉงน ถ้าเขาปลดสายธนูออก แล้วเขาจะฝึกยิงธนูได้อย่างไร
“ปลดสายธนูออกซะ” อึนฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยอีกครั้ง กุงซูจึงได้แต่ทำตามอย่างงงๆ เขาเอาขาขัดคันธนูเอาไว้ ก่อนที่จะโน้มคันธนูเพื่อปลดสายออกมา
“วันนี้การฝึกของเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้สายธนูปกติ แต่เจ้าจะต้องสร้างสายธนูออกมาเอง”
คำพูดของอึนฮายิ่งทำให้เด็กหนุ่มสงสัยมากขึ้น เขาจึงเรียกเด็กหนุ่มมานั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพร้อมกับถือคันธนูมาด้วย
“เจ้ายังจำวิธีฝึกสมาธิของป้านาบีได้อยู่ใช่ไหม” เด็กหนุ่มพยักหน้าเป็นคำตอบให้อึนฮา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่เขาระเบิดพลังอะไรบางอย่างออกโดยไม่ตั้งใจใส่พวกลูกนาง นาบีก็ให้เขามาฝึกนั่งสมาธิ ป้าบุญธรรมบอกแค่ว่านี้จะเป็นการฝึกควบคุมพลังบางอย่างในตัวเขา ตอนนั้นเขาถามนาบีว่าในตัวเขามีพลังอะไรกันแน่ นาบีก็บอกหลานชายคนนี้แค่ว่า มันคือการฝึกสมาธิ เพื่อการควบคุมพลังงานที่ไหลเวียนในตัวของเขา
“เอาละ เดี๋ยวเราจะเริ่มจากตรงนั้น”
ชายวัยกลางคนนั่งลงตรงหน้ากุงซู กุงซูสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเริ่มหลับตาลง เขาเริ่มทำสมาธิ หายใจเข้าหายใจออกอย่างเป็นจังหวะไม่ช้าและไม่เร็วเกินไป ไม่นานนักเขาก็สัมผัสถึงแหล่งพลังงานในตัวของเขาได้ แสงสีน้ำเงินสว่างวูบขึ้นมาในหัวของเขา
“เจ้าเห็นแหล่งพลังงานของเจ้าแล้วใช่ไหม”
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบอึนฮา พลังงานของเขาอยู่เหนือสะดือของเขาขึ้นไปประมาณสองคืบ ตอนนี้มันกำลังส่องแสงสว่างออกมาอย่างชัดเจน
“ทีนี้เจ้ารวบรวมสมาธิ นำพลังงานของเจ้าไปที่มือทั้งสองของเจ้า”
กุงซูเริ่มเพ่งสมาธิไปยังมือทั้งสองของเขา พลังงานของเขาก็เริ่มไหลจากจุดกำเนิดไปยังมือทั้งสองของเขา ตอนนี้มือทั้งสองของเขาร้อนมากๆจนเหมือนมือของเขากำลังไหม้อยู่ยังไงอย่างงั้น
“ดีมาก ดีมาก ทีนี้เจ้าเริ่มจินตนาการถึงสายธนูของเจ้า”
เด็กหนุ่มทำตามที่ลุงของเขาบอก สายธนูผุดขึ้นในจินตนาการของเขาอย่างชัดเจน แต่ในระหว่างที่ทำสมาธิอยู่นั้น เขากลับรู้สึกปวดหัว ราวกับมีขวานมาจามกลางหัวเขายังไงอย่างนั้น
“ท่านลุง ทำไมข้าปวดหัวแบบนี้ละ” เหงื่อของเขาเริ่มซึ่มออกมามากขึ้นเรื่อยๆ แต่อึนฮาก็บอกให้เขาทำสมาธิต่อไป
“ตั้งสมาธิต่อไปกุงซู นึกถึงสายธนูในหัวเจ้า”
กุงซูทำตามคำอึนฮาต่อไป จนกระทั่งเกิดแสงสว่างวาบเข้ามาในตาของเขาก่อนที่มือของเขาจะสัมผัสอะไรบางอย่างที่เป็นเส้นๆ
“ดีมากกุงซู ทีนี้ลืมตาได้” อึนฮากล่าวชมกุงซูด้วยน้ำเสียงที่พึงพอใจเป็นอย่างมาก เมื่อกุงซูลืมตาเขาก็พบสายธนู!
ทว่าสายธนูเส้นนั้นแปลกตากว่าที่เขาเคยเห็น มันเรืองแสงสีน้ำเงิน และดูๆไปแล้ว เขาเห็นเหมือนพลังงานบางอย่างที่กำลังไหลเวียนอยู่ในนั้น
หรือว่า เขาสายธนูที่เขากำลังจับอยู่นี้เป็นสายธนูจากพลังพิเศษของเขาเมื่อสักครู่นี้
“หึหึ...เจ้าจะจ้องมันอีกนานไหม ขึ้นสายธนูสิ”
เสียงของอึนฮาเรียกสติของกุงซูให้กลับมา เด็กหนุ่มจับสายธนูนั้นราวกับมันพร้อมจะหายไปได้ทุกเวลา เขาเอาขาขัดคันธนูและโน้มคันธนูอีกครั้งเพื่อที่จะขึ้นสายธนู
“เอาละ ไหนดูผลงานซิ”
อึนฮาลุกขึ้นยืนแล้วปัดเศษหญ้าที่ติดตามกางเกงก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปดูธนูของกุงซู อันที่จริงมันก็คือธนูเขาสัตว์ที่กุงซูใช้ฝึกประจำนี้แหละ แต่คราวนี้มันดูมีพลังต่างจากธนูธรรมดาทั่วไป เนื่องจากสายธนูที่เรืองแสงของมัน
กุงซูมองธนูในมืออย่างใคร่รู้ ถึงเขาจะไม่เคยออกไปโลกภายนอกมาก่อน แต่เขาก็มั่นใจว่าไม่มีใครเคยสร้างสายธนูด้วยวิธีแบบนี้แน่ๆ
“เจ้าจะชมผลงานเจ้าอีกนานไหม เรายังไม่ได้ฝึกเลยนะ” น้ำเสียงปนขำของอึนฮาดัง ชายวัยกลางคนรู้สึกว่าหลานคนนี้เหมือนกำลังของเล่นใหม่ของตนเองเมื่อครั้งยังเด็กๆ
กุงซูเมื่อได้ยินน้ำเสียงปนขำของอึนฮาจึงเกาหัวแก้เขิน ก่อนที่เขาจะไปหยิบกระบอกลูกธนู
“ทีนี้เจ้าลองใช้ลูกธนูปกติยิงดู”
เด็กหนุ่มหยิบลูกธนูออกมาหนึ่งดอก แล้วใช้นิ้วโป้งที่ใส่แหวนธนูง้างสายธนู มันคือการง้างธนูธรรมดาแบบที่เขาเคยทำมาตลอด แต่ครั้งนี้เขากลับใช้แรงง้างสายธนูเยอะขึ้นกว่าปกติ เมื่อสายตาของเขาเล็งเป้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ปล่อยนิ้วโป้งที่ง้างสายอยู่ ลูกธนูที่ถูกถูกปล่อยออกไปก็แหวกฝ่าอากาศไปยังเป้าธนูอย่างรวดเร็ว
ฉึก!!!
ลูกธนูที่ควรจะปักแค่หัวธนูที่เป็นส่วนที่คมที่สุด มันกลับทะลุเป้าธนูจนเกือบสุดลูกธนู
กุงซูที่เป็นผู้ยิงธนูดอกนั้นถึงกับยืนอึ้งในผลงานที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มหันหน้าไปหาลุงของเขา สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยคำถาม
“หึหึ ไม่เลวนะสำหรับเจ้าที่หัดใช้พลังนี้เป็นครั้งแรก”
“ท่านลุง เมื่อกี้ท่านให้ข้าทำอะไรเนี่ย”
“มันคือพลังของตัวเจ้าเองกุงซู สายธนูเวทมนตร์ที่เจ้าสร้างขึ้นจะช่วยเพิ่มความแรงในการโจมตีของธนูเจ้าเป็นเท่าตัว อย่างที่เจ้าเห็นตรงหน้านี้แหละ”
“ส...สุดยอด” เด็กหนุ่มรำพึงรำพันกับตนเอง เขามีพลังแบบนี้ในตัว! ตอนนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมพวกลูกขุนนางจอมอันธพาลพวกนั้นถึงได้กระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทางเช่นนั้น
“อย่าเพิ่งตื่นเต้นไปเจ้าหนู นี้แค่เพิ่งเริ่มต้น”
“มียิ่งกว่านี้อีกหรือขอรับ”
“คราวนี้เจ้าต้องลองยิงแบบลูกธนูเวทมนตร์”
“ท่านลุงว่าอะไรนะ”
“เจ้าจำยังวิธีสร้างสายธนูเมื่อกี้ได้ใช่ไหม?”
“เอ่อ...ข้าคิดว่าได้”
“ดีมาก ทำวิธีเดียวกันกับตอนที่สร้างสายธนู แต่ครั้งนี้เจ้าต้องง้างสายธนูก่อนนะ” กุงซูพยักหน้า เขาสูดหายใจก่อนที่จะใช้นิ้วโป้งที่ข้างขวาที่สวมแหวนยิงธนูน้าวสายธนู
ถึงแม้ว่าเขาจะยิงธนูเป็นร้อยรอบพันรอบแล้ว การน้าวสายธนูไม่ใช่เรื่องยากสำหรับแต่คราวนี้กลับไม่ใช้ เขารู้สึกยากลำบากในการน้าวสายธนูนี้เป็นอย่างมาก ราวกับมันต้องใช้แรงอีกเท่าตัวในการน้าวสายธนูเวทมนตร์นี้
“สมาธิกุงซู สมาธิ” ผู้ฝึกซ้อมของกุงซูพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกธนูกำลังก่อตัวขึ้นมา
“อ่อ อย่าลืมสร้างลูกธนูนะกุงซู” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นระหว่างกุงซูเริ่มมีรู้สึกว่าเหงื่อของเขาไหลเต็มตัว นี้มันไม่ต่างกันกับตอนที่เขาเริ่มหัดยิงธนูครั้งแรกเลย
“ท...ท่านลุงพูดง่ายจังเลย” กุงซูเริ่มจินตนาการถึงลูกธนูโดยใช้วิธีเดียวกันกับตอนสร้างสายธนู ทันใดนั้นลูกธนูก็ค่อยๆเริ่มปรากฎขึ้นจากจุดที่เขากำลังน้าวสายธนูอยู่
“สมาธิกุงซู สมาธิ” ผู้ฝึกซ้อมของกุงซูพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกธนูกำลังก่อตัวขึ้นมา
“ข...ข้าไม่ไหวแล้ว” กุงซูคลายมือจากสายธนู เด็กหนุ่มหอบหายใจถี่ ตอนเขาใช้ลูกธนูธรรมดายิงกับสายธนูเวทยังรู้สึกใช้แรงมากขึ้นกว่าปกติ แต่นี้มันคนละเรื่องเลย เขารู้สึกเหมือนตัวเองไปวิ่งรอบสนามมาแล้วหลายรอบ ทั้งๆที่เขาไม่ได้ใช้กำลังอะไรเยอะเลย
“ใจเย็น ค่อยๆรวบรวมสมาธิใหม่”
“ท่านลุง ทำไมมันทำให้ข้าเหนื่อยขนาดนี้ละ ข้าแค่ง้างธนูเอง”
“นั้นเป็นเพราะว่าเวลาเจ้าจินตนาการถึงลูกธนู เมื่อถึงที่เวลาสร้างมัน พลังงานในตัวเจ้าจะออกมาจากจุดกำเนิดพลังของเจ้าเพื่อสร้างลูกธนู พอถึงจุดๆหนึ่งที่พลังมีไม่เพียงพอ มันจะดึงพลังกายของเจ้ามาใช้เพื่อสร้างลูกธนู นั้นจึงเป็นเหตุผลที่เจ้าจำเป็นต้องฝึกสมาธิเพื่อเพิ่มพลังงานนี้ในตัวเจ้า”
เด็กหนุ่มรับกระบอกน้ำจากอึนฮามาดื่มเพื่อดับกระหายของตนเอง ลุงของเขายังคงอธิบายต่อไป
“ครั้งแรกที่ทำมันก็เป็นแบบนี้แหละ เอ้า! ลองดูอีกรอบ” ชายวัยกลางคนตบไหล่ให้กำลังเด็กหนุ่มตรงหน้า
กุงซูพยักหน้าให้ลุงของเขาและวางกระบอกน้ำข้างๆเขา เขาหยิบคันธนูตัวเองอีกครั้งก่อนที่จะเพ่งสมาธิไปยังจุดกำเนิดพลังของตัวเองอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นแสงสีน้ำเงินสว่างไสวกว่าครั้งก่อนที่เขาสร้างสายธนู เขาเริ่มง้างอีกครั้งและจินตนาการถึงลูกธนูของตนเอง จนคราวนี้ลูกธนูเวทมนตร์ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ดีมาก อย่าหลุดสมาธินะกุงซู” อึนฮามองดูกุงซูน้าวสายธนูอย่างใกล้ชิด
“เพิ่มพลังให้มันอีก แบบนั้น ดีมาก” ผู้ฝึกสอนให้กุงซูเพิ่มพลังให้แก่ลูกธนูของเขา ลูกธนูดอกนั้นยิ่งส่องแสงมากขึ้น มากขึ้น และมากยิ่งขึ้น กุงซูน้าวสายธนูอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งมันกลายเป็นลูกธนูที่เรืองแสงสีน้ำเงินอย่างสมบรูณ์
“ดีมาก! ยิงเลย!”
ฉึก!
ตูม!!
เมื่อลูกธนูปักลงบนเป้าหมาย เป้าหมายนั้นก็ระเบิดจนไม่มีชิ้นดี ทว่าสิ่งที่ระเบิดนั้นไม่ใช่เป้าธนูแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่ระเบิดไปแทนนั้นคือต้นไม้ที่อยู่ข้างๆเป้าธนู ทั้งคนยิงและคนสอนแทบหลบแรงระเบิดไม่ทัน กุงซูมองไปยังซากต้นไม้นั้นอย่างอึ้งๆ ในขนาดที่อึนฮาหัวเราะชอบใจเสียยกใหญ่
“อืมครั้งแรกถือว่าทำได้ดี แม้ว่ามันจะไม่ใช่เป้าธนูก็เถอะ ฮ่าๆๆๆ”
“ท่านลุง...นี้มัน...หมายความว่าอะไร ทำไมข้าถึงทำอะไรแบบนี้ได้” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มขาดๆหายๆ เขารู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ตนเองเพิ่งทำไปเมื่อซักครู่
“ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังละกันกุงซู”
to be continued...............
writter's talk : สวัสดีผู้อ่านทุกท่านนะครับ กระผม The_Emperor นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่ผมสามารถเขียนมันออกมาได้เป็นเรื่องราวมากที่สุดในบรรดาพล็อตนิยายของผมทั้งหมด ถ้าผู้ชอบหรือไม่ชอบอย่างไรสามารถติชมได้นะครับผม
ฝากติดตามการผจญภัยของเด็กหนุ่มผู้นี้นะครับ
ปล.นิยายเรื่องผมเผยแพร่ในเว็บของ เด็กดี และ fictionlog นะครับ สามารถติดตามนิยายเรื่องนี้ได้ทุกนะครับ และผมจะอัพเดตนิยายเรื่องนี้ทุกวันพุธประมาณ 09.00 น. นะครับ เนื่องจากผมอาจจะยังติดขัดเรื่องงานประจำอยู่บ้าง แต่รับรองว่าไม่หายแน่นอนครับ ^_^
love you all
The_Emperor
บทที่ 1 : ธนูแห่งแสง
หยุดนะ อย่าทำพวกเขา...
อย่ามายุ่งไอ้ลูกครึ่ง มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า...
พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์จะทำอย่างนั้นนะ...
ข้าบอกว่าอย่ายุ่งไง!...
โอ้ย!....
เจ้านี้มันแส่หาเรื่องจริงๆ เฮ้ย! พวกเราไม่ต้องไปสนใจไอ้ลูกครึ่งนี้เลย จัดการพวกคนชั้นต่ำนี้ต่อไปเถอะ
อย่านะ...พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์...ไม่...ไม่...ไม่!!!
ตูม!!!
“ไม่!!!” กุงซูสะดุ้งตื่นจากฝัน เด็กหนุ่มหอบหายใจถี่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เช่นเดียวกันกับร่างกายส่วนอื่นๆของเขาที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อราวกับเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาใหม่ๆ เขาลูบใบหน้า ของตนเองเบาๆ พร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ฝันไปหรอกเหรอ?” เด็กหนุ่มรำพึงรำพันกับตัวเอง ก่อนที่จะหยิบนาฬิกาพกไขลานตรงหัวหัวนอนของเขามาเปิดดูเวลา
ตีห้าครึ่ง...
ฟ้ายังไม่สว่างเลยด้วยซ้ำ กุงซูจึงถอนหายใจออกมา และล้มตัวลงบนที่นอน เพื่อที่จะพยายามข่มตานอน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร เขาก็ไม่อาจจะนอนหลับได้เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงแอบย่องออกจากห้องของตนเองอย่างเงียบเชียบ โดยที่ไม่ให้ลุงและป้าบุญธรรมของเขารู้ตัว
กุงซูเดินออกมาจากบ้านของตน และเดินไปยังบริเวณชายป่าที่อยู่ใกล้ๆกันกับบ้านของเขา เด็กหนุ่มเลือกที่จะนั่งพิงหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ตรงริมธาร เขากวักน้ำในลำธารมาล้างหน้าล้างตาตนเอง ความเย็นของน้ำในลำธารทำให้เขารู้สึกตื่นขึ้นมาบ้าง แต่ไม่อาจทำให้จิตใจที่ร้อนรุ่มของเขานั้นสงบลงได้เลยแม้แต่น้อย
ดวงตาสีน้ำเงินสว่างของเขากำลังจ้องมองหมู่มวลดาราที่กำลังเปล่งประกายแข่งกัน สีสันของดวงดาวบนฟากฟ้าในตอนนี้ช่างตัดกัน เฉกเช่นนัยตาสีสว่างและเรือนผมสีดำที่มัดเป็นจุกของเขา ทุกครั้งที่กุงซูรู้สึกว้าวุ่นใจหรือไม่สบายใจ เขามักจะชอบมองท้องฟ้าในยามค่ำคืน ภาพของท้องนภาสีดำที่ทำดวงดาวทั้งหลายเฉิดฉาย เป็นภาพที่ทำให้จิตใจอันร้อนรุ่มของกุงซูสงบลงได้ทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
เด็กหนุ่มมองภาพตรงหน้าและปล่อยให้ความคิดของตนเองล่องลอยไปไกลแสนไกลและนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเนิ่นนานจนเขาแทบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ เมื่อหกปีที่แล้วตอนกุงซูยังเป็นเด็กอายุสิบสามปี เขาพยายามจะช่วยครอบครัวของคนฆ่าสัตว์ในหมู่บ้านจากกลุ่มอันธพาลในคราบของลูกผู้ดี พวกลูกขุนนางท้องถิ่นในหมู่บ้าน
ในสังคมของอาณาจักรโชซอนแห่งทวีปเอซาเนียเขตตะวันออกไกล คนฆ่าสัตว์ถือว่าเป็นชนชั้นชอนมินหรือว่าชนชั้นต่ำที่พวกมีอำนาจในสังคมบัญญัติขึ้นมา
ชนชั้นชอนมินมักจะถูกพวกยังบัน หรือชนชั้นสูงข่มเหงรังแกอยู่ตลอด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทุกคนจะเห็นพวกเขาที่เรียกตนเองว่า ยังบัน กำลังรังแกคนที่พวกเขาเรียกว่าชอนมินอยู่เป็นประจำ ทว่าไม่รู้มีอะไรดลใจให้กุงซูยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือครอบครัวที่น่าสงสารนี้ ทั้งๆที่เขาเป็นคนที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของใครอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
เด็กหนุ่มในวัยสิบสามปีพยายามจะห้ามพวกลูกขุนนางที่มีอายุห่างจากเขาเกือบสิบปีไม่ให้ทำร้ายครอบครัวนั้น และแน่นอนว่าแรงของเด็กวัยสิบสามนั้นไม่สามารถสู้อีกฝ่ายได้เลย แต่กุงซูก็ยังคงไม่ยอมแพ้จนกระทั้งพลาดท่าถูกตีเข้าที่บริเวณคิ้วของเขา
และบาดแผลนั้นก็ยังคงเป็นแผลเป็นมาจนถึงปัจจุบัน...
พวกลูกขุนนางท้องถิ่นพยายามจะทำร้ายครอบครัวของคนฆ่าสัตว์ต่อไป กุงซูตะโกนออกไปสุดเสียงเพื่อบอกให้พวกลูกขุนนางหยุดการกระทำอันเลวทรามของพวกเขา ทันใดนั้นก็เกิดอะไรบางอย่างขึ้น กุงซูจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากภาพที่อยู่รอบตัวกลายเป็นสีขาว กับเสียงระเบิดที่ดังขึ้นตูม!
หลังจากนั้นเขาหมดสติไป
เขาฟื้นขึ้นมาอีกทีในบ้านของตนเอง เด็กหนุ่มจึงทราบข่าวว่า พวกลูกขุนนางที่เขาพยายามจะไปห้ามนั้นกระเด็นกระดอนออกไปกันคนละทิศคนละทาง เหมือนกับมีอะไรบางอย่างผลักพวกเขาออกไป และได้รับบาดเจ็บกันไปตามๆกัน ดูเหมือนเหตุการณ์ทั้งหมดจะคลี่คลาย แต่สิ่งที่กุงซูได้รับกลับมานั้นไม่เป็นดังที่เขาคาดเอาไว้
ชาวบ้านทุกคนหวาดกลัวเขากันหมด ไม่เว้นแม้กระทั้งครอบครัวของคนฆ่าสัตว์ที่เขาพยายามจะช่วยเหลือ จากที่ไม่มีใครคบหาสมาคมกับเขาอยู่แล้ว ตอนนี้กลายเป็นว่าทุกคนยิ่งมีคามหวาดกลัวในตัว ของเขาเพิ่มขึ้นไปอีก
เด็กหนุ่มในตอนนี้ยังคงมองท้องฟ้า จากที่ท้องในตอนแรกเต็มไปด้วยดวงดาวต่างๆ ตอนนี้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์เริ่มมาแทนที่แสงดาวเสียแล้ว บ่งบอกว่าเขาควรกลับไปที่บ้านเวลานี้เลย
กุงซูทำได้แค่ถอนหายใจออกมา ยังไงซะเรื่องมันก็ผ่านไปนาน แถมตอนนี้ครอบครัวของพวกเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นอีกแล้ว เพราะตอนนี้พวกเขาย้ายบ้านมาอยู่ใกล้ๆป่านั้นเอง ตัวเขาในตอนนี้พร้อมที่จะลุยกับวันใหม่ที่จะถึงนี้มากกว่าที่จะมานั่งจมกับสิ่งที่ผ่านมา
“กุงซู หลานตื่นหรือยัง?” เสียงของหญิงวัยกลางคนเรียกขานหลานชายของเธอ แต่ไม่ว่าจะเรียกชื่อไปกี่รอบก็ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมาเลย
“ไปไหนของเขานะ?”
“ข้ามาแล้วขอรับท่านป้า” เด็กหนุ่มโผกอดผู้เป็นป้าจากด้านหลัง ทำให้เขาถูกป้าบุญธรรมเอาทัพพีตักข้าวตีเข้าเต็มๆที่กลางหัว
“โอ้ย! ข้าเจ็บนะ”
“ดี สมน้ำหน้า ใครบอกให้เล่นแบบนี้กัน? เจ้าทำให้ข้าตกใจเองนะ” เด็กหนุ่มถึงกับบ่นอุบอิบออกมาเล็กน้อยหลังจากที่โดนผู้อาวุโสกว่าตำหนิ
“รีบแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อยซะกุงซู เจ้าคงไม่อยากไปฝึกกับลุงอึนฮาสายหรอกนะ”
“ขอร้าบ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
กุงซูขานรับหญิงวัยกลางคน ก่อนที่จะล้างหน้าล้างตาอีกรอบ และเปลี่ยนเสื้อให้ดูทะมัดทะแมงขึ้น เพื่อให้พร้อมต่อการฝึกสำหรับวันนี้
“ทานข้าวเช้าก่อนสิลูก เดี๋ยวไปเป็นลมเป็นแล้งเสียก่อน” เธอพูดขัดหลานชายขึ้นมาเมื่อเห็นกุงซูทำท่าจะออกจากไปที่ป่าเลย ดังนั้นกุงซูรับถ้วยข้าวต้มมาจากนาบีป้าของเขา และรีบตักข้ามต้มเข้าปาก เพราะใกล้จะสายเต็มทน แต่ด้วยความเร่งรีบและไม่ระวัง ข้าวต้มจึงลวกปากเด็กหนุ่มไปตามระเบียบ
“กุงซู! เจ้าไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้” นาบีรีบหยิบน้ำเต้าผ่าครึ่งใส่น้ำดื่มให้กุงซู เด็กหนุ่มขอบคุณ เธอก่อนที่จะรับน้ำเต้านั้นมาดื่มน้ำ ทำให้อาการของต้มลวกปากบรรเทาลงไปบ้าง
“ท่านป้า...ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านหน่อย”
น้ำเสียงของเขาเผยแววไม่แน่ใจออกมา นาบีที่กำลังง่วนกับการเตรียมข้าวกล่องสำหรับมื้อกลางวันจึงสบตากับผู้เป็นหลาน
“เจ้ามีอะไรไม่สบายใจงั้นรึ?”
“คือ...เอ่อ...ช่วงสองสามวันมานี้ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย” นาบีห่อกล่องข้าวกล่อง แล้วนำมาให้กับกุงซู เธอลูบหัวเขาเพื่อเป็นการปลอบประโลม
“หลานบอกป้าได้ทุกเรื่องเลยนะ ว่าแต่เจ้าไม่สบายใจเรื่องอะไร”
“คือ เมื่อคืนข้าฝันถึงเหตุการณ์นั้นอีกแล้ว” หญิงวัยกลางคนเมื่อฟังแล้ว เธอก็นิ่งไปครู่หนึ่ง และถามกุงซูต่อ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ละ?”
“เพิ่งฝันน่ะขอรับ แต่ข้าไม่เข้าใจ ข้าเกือบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ ทำไมถึงฝันเหตุการณ์บ้าๆนั้นอีก”
นาบียิ้มให้กุงซู และลูบหัวหัวหลานชายเพื่อเป็นการปลอบประโลม เหตุการณ์เช่นนี้ใช่ว่าเด็กอายุ สิบสามปีจะผ่านมันไปได้ทุกคน แต่กับเด็กหนุ่มคนนี้ เขาสามารถผ่านเรื่องราวแย่ๆนั้นมาได้ แม้ว่ามันจะทำให้เขามีบาดแผลอยู่ในใจลึก ๆ ก็ตาม
แม้เจ้าตัวจะไม่เคยเอ่ยออกมาตรงๆ แต่มีหรือที่คนเลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้อย่างนาบีจะมองไม่ออก เธอไม่เคยเส้าซี้ถามอะไรกับหลานชายคนนี้ แต่เธอก็ยังเป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆกุงซูในเวลาที่ยากลำบากเสมอ หรืออย่างน้อยก็ทำให้กุงซูได้อุ่นใจว่ายังมีคนคอยรับฟังเขา
“ป้าว่าเจ้าอาจจะเหนื่อยกับการฝึก ในช่วงเวลาที่คนเราอ่อนแอ มันอาจจะไปสะกิดสิ่งที่ทำเราเจ็บปวดที่สุดและพยายามลืมมันไปก็ได้”
“คงจะจริงดังที่ท่านว่า...ข้าน่าจะเครียดไปจริงๆ” น้ำเสียงของกุงซูเบาลง บางทีสิ่งที่ป้านาบีพูดกับเขาอาจจะเป็นเรื่องจริง เพราะช่วงนี้เขาเองก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการฝึกของลุงบุญธรรมของเขาเหลือเกิน
“ไม่มีอะไรหรอก เจ้าสบายใจหรือยัง?”
“ขอรับ เอ๊ะ!! ข้าจะสายแล้ว” กุงซูเปิดดูนาฬิกาพกไขลานของเขา ตอนนี้เกือบหกโมงครึ่งแล้ว ถ้าไม่รีบไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ กว่าจะเสร็จสิ้นการฝึก อาจจะล่วงเวลาไปถึงตอนอาทิตย์ตกดินอีกก็เป็นได้
กุงซูรีบจ้วงข้าวต้มเข้าปากอีกสองสามคำแล้วหยิบสัมภาระของเขามาสะพานหลัง และสิ่งที่ลืมไม่ได้เด็ดขาด นั้นคือธนูคู่ใจของเขาและกระบอกใส่ลูกธนู เขารีบเอากระบอกใส่ลูกธนูมาสะพานที่เอว และเอาคันธนูใส่ปลอกหนังที่สะพานเอาไว้ข้างเอวเช่นกัน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วกุงซูก็รีบสวมรองเท้าเตรียมออกเดินทางไปยังสถานที่ที่ลุงอึนฮานัดเอาไว้
“ข้าไปก่อนนะขอรับท่านป้า ตอนกันตอนเย็นขอรับ”
“เดินทางดีๆล่ะ แล้วก็อย่าเพิ่งแอบของในข้าวกล่องนะกุงซู!” กุงซูหัวเราะออกมาที่หญิงวัยกลางคนรู้ทันเขา เด็กหนุ่มกระชับสัมภาระที่หลังของเขาและรีบวิ่งออกจากบ้าน
นาบียืนส่งกุงซูที่หน้าบ้าน เธอโบกมือให้กับหลานของเธอก่อนที่หลังเขากุงซูจะลับตาไป
เมื่อเห็นว่าหลานของเธอไปแล้ว เธอจึงแสดงสีหน้ากังวลออกมาอย่างชัดเจน หญิงวัยกลางคน ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วรำพึงรำพันกับตัวเอง
“คงใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ” สายตาของหญิงกลางคนเหม่อมองท้องฟ้าที่กำลังสว่างขึ้น
“นายท่านเจ้าคะ พวกข้าน้อยทำหน้าที่จนถึงที่สุดแล้ว ขอให้นายท่านปกป้องนายน้อยด้วยนะเจ้าคะ”
น้ำตาของเธอรื้นขึ้นนึกถึงอดีตที่ผ่านมาของเธอ เธอรีบเช็ดน้ำตาออกแล้วก้มลงเก็บของ ๆ เธอ โดยที่เธอไม่ทันสังเกตุว่ามีใครคนหนึ่งมองเธออยู่ตั้งแต่กุงซูรีบวิ่งออกจากบ้านไป
“เอ๊ะ! เปลี่ยนที่เหรอ” เด็กหนุ่มอุทานขึ้นมาเมื่อเขามาถึงที่นัดหมายแล้ว แต่ลุงอึนฮาไม่ได้อยู่ตรงนั้น คราวนี้อึนฮาคงจะเปลี่ยนที่ฝึกวิชาอีกแล้ว
“เห้อ ท่านลุงนะท่านลุง นี้ข้าจะต้องหาใหม่อีกแล้วเหรอเนี่ย” เด็กหนุ่มบ่นอุบอิบเล็กน้อย ก่อนที่จะมองหาไปยังปริศนาที่อึนฮาอาจจะทิ้งเอาไว้ให้ในบริเวณ
ตลอดการฝึกที่ผ่านมากุงซูมักจะเจอการทดสอบแบบนี้อยู่เสมอ แม้อึนฮาจะให้เหตุผลว่าถ้าฝึกอยู่ที่เดิม อาจจะถูกพบเจอเขาซักวันหนึ่ง ซึ่งการฝึกของพวกเขาเป็นความลับ และจะต้องไม่มีผู้ใดล่วงรู้ อีกทั้งการฝึกของเขานั้นอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้หากมีผู้ใดหลงเข้ามา เพราะการฝึกนี้ไม่ได้แค่ฝึกยิงธนูธรรมดาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขายังต้องฝึกการใช้ลูกธนูแบบพิเศษต่างๆให้เกิดความชำนาญ เช่น ลูกธนูหัวระเบิด ลูกธนูเหล็กทั้งลูก การยิงแบบทง-อา (การยิงลูกธนูที่สั้นกว่าคันธนูโดยใช้รางไผ่รองลูกธนู การยิงแบบนี้จะช่วยให้เพิ่มระยะการยิงที่ไกลและเร็วกว่าการยิงลูกธนูแบบปกติ)
เด็กหนุ่มเข้าใจถึงเหตุผลพวกนี้ดี อย่างคราวที่แล้วอึนฮาให้เด็กหนุ่มใช้ลูกธนูหัวระเบิดยิงใส่ขวดแก้วที่บรรจุด้วยยางไม้ชนิดหนึ่งที่เมื่อโดนประจุไฟแล้วจะทำให้เกิดการระเบิดที่แรงพอ ๆ กับลูกระเบิดขนาดย่อม ทำเอาเป้าธนูเป้านั้นแหลกจนไม่เหลือซาก
แม้จะเข้าใจเหตุผลแต่มันก็อดหงุดหงิดใจขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เมื่อหนึ่งอาทิตย์เวียนมาบรรจบ พวกเขาก็จะเปลี่ยนที่ฝึกซ้อมใหม่ โดยอึนฮาจะเป็นคนทิ้งร่องร่อยหรือเบาะแสเอาไว้ที่กุงซูแกะรอยตามไป ครั้งนี้ก็เช่นกัน เด็กหนุ่มมองดูรอบตัวอย่างถี่ถ้วน คอยสังเกตสิ่งที่ผิดแผกไปจากเดิม ไม่นานนักเขาก็เห็นร่องรอยนั้น
“กิ่งไม้เหรอ?” กุงซูพึมพำออกมาเมื่อเมื่อกิ่งหนึ่งหักลงมา แต่หากไม่สังเกตดี ๆ ก็จะไม่รู้ว่านี้คือสัญลักษณ์ที่เอาไว้ใช้บอกทิศทางในการเอาตัวรอดในป่าเบื้องต้น ซึ่งคนที่ไม่รู้สัญลักษณ์พวกนี้ ก็จะมองว่ามันเป็นกิ่งไม้ที่หักตามธรรมชาติ
“เจอซะที ข้าคงต้องไปแล้ว” เด็กหนุ่มกระชับสัมภาระตนเองให้แน่ขึ้น และเดินทางไปยังสถานที่ฝึกซ้อมใหม่ตามที่สัญลักษณ์แบบนั้นบอกทาง
กุงซูยิ่งเดินทางเข้ามาในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ นอกเหนือจากนี้เขายังรู้สึกว่ารอบนี้ลุงบุญธรรมของเขาจะเข้ามาลึกมากกว่าทุกที เพราะคราวนี้เขาทั้งปืนเขา ดำน้ำตามลำธารลึก คอยหลบพวกสัตว์กินเนื้อที่ดุร้าย แม้กระทั่งใช้ธนูยิงเชือกข้ามระหว่างเขาเพื่อโหนตัวข้ามเขาก็มี
สัญลักษณ์ที่ใช้บอกทางก็ต้องสังเกตให้ถี่ถ้วนกว่าทุกครั้ง เพราะนอกเหนือจากกิ่งไม้หักแล้ว ยังมีทั้งก้อนหินที่วางเรียงกัน และยังมีต้นหญ้าที่ยาวพอจะผูกปลายเพื่อบอกทิศทางได้เช่นกัน เรียกได้ว่าการเดินทางครั้งนี้เขางัดทักษะการเอาตัวรอดในป่าที่เขาฝึกมาตลอด ออกมาใช้แทบทั้งหมดของที่ฝึกมาเลยทีเดียว สักพักเขาก็มาถึงตามสถานที่นัดหมายจนได้
ลุงบุญธรรมของเขา หรือลุงอึนฮา นั่งสูบยาสูบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เขาใช้หลบแดด รูปร่างของเขานั้นแข็งแกร่งและกำยำเหมาะสมกับอาชีพนายพราน มีหนวดเคราแต่ก็ไม่ได้รกรุงรังอะไรนัก ผิวพรรณค่อนข้างคล้ำเนื่องจากทำงานหนักและตากแดดอยู่ตลอด ซึ่งสัตว์ป่าและของป่าทั้งหลายก็ได้ในระหว่างที่เขารอกุงซูหาที่ฝึกนี้แหละ และเขามักจะนำของป่าไปขายในเมืองช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำให้กุงซูได้หยุดพักในช่วงเวลานั้นไปด้วย
ในมือข้างซ้ายของชายวัยกลางคนถือนาฬิกาพกเช่นเดียวกันกับของกุงซู สายตาของเขากำลังจดจ้องไปที่นาฬิกาพกก่อนจะเอ่ยคุยกับเด็กหนุ่ม
“ช้าไปสามนาที สถิติตกจากเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนะ”
“โธ่ ท่านลุง คราวนี้ท่านให้ข้าไปปืนเขา ลงห้วย โรยตัวจากที่สูง และยังให้ข้าหลบพวกสัตว์ดุร้ายอีก ช้าไปสามนาทีแค่นี้ก็หรูแล้ว”
“หึหึ แค่สามนาทีในสนามรบก็สามารถพลิกเกมได้แล้วกุงซู”
“พูดอย่างกับท่านลุงเคยผ่านสนามรบงั้นแหละ” กุงซูเอ่ยออกมาเบา ๆ ตั้งแต่จำความได้ลุงบุญธรรมของเขาก็ยึดอาชีพนายพรานค้าของป่ามาโดยตลอด
“บ๊ะ!!! เจ้าพูดเช่นนี้ได้ยังไง เจ้ารู้ไหม ว่าตอนข้ายังหนุ่ม ๆ ข้าเคยผ่านมาแล้ว...” อึนฮาร้องขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักพร้อมตีเข่าตนเอง ก่อนที่จะเริ่มสาธยายชีวิตในช่วงวัยหนุ่มอันโชกโชนของเขาให้เด็กรุ่นหลังมันฟัง
“เอ่อ...ข้าว่าข้ารีบไปฝึกดีกว่า แหะ ๆ” กุงซูรีบวางสัมภาระของตนเองและอ้างว่าจะรีบไปฝึกก่อนที่เขาจะต้องมานั่งฟังชีวประวัติเมื่อครั้งยังเยาว์วัยของอึนฮาเป็นรอบที่ล้าน
“เอ้า อะไรกัน ตอนเจ้ายังเด็กเจ้ายังฟังได้เลย” อึนฮาบ่นอุบอิบเมื่อหลานชายตัวดีของเขามีอาการหนีเขาทุกครั้งที่เขากำลังจะเล่าเรื่องของตัวเอง
แล้วข้าจะรู้ได้ไงว่าเรื่องที่ท่านลุงพูดมาไม่ได้โม้อยู่...
ประโยคนี้กุงซูคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา ถึงไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรออกมา แต่เด็กหนุ่มเป็นคนที่เก็บสีหน้าไม่อยู่เลย มีหรือที่ลุงของเขานั้นจะมองไม่ออก
“ไป! เริ่มได้แล้ว เราเสียเวลาไปเยอะแล้ว” ไม่พูดเปล่า ชายวัยกลางคนยังเอาลูกโอ๊คปาไปยังกลางหัวของกุงซูอย่างแม่นยำราวกับจับวาง ถึงไม่แรงมากแต่เด็กหนุ่มก็แอบคิดในใจว่าวันนี้สมองเขาน่าจะได้รับความกระทบกระเทือนบ้างแหละ ทั้งทัพพีทั้งลูกโอ๊ค ไม่รู้ว่าสมองของเขาจะเสื่อมลงวันไหนเหมือนกัน
การฝึกในช่วงเช้าของกุงซูนั้นไม่มีอะไรมาก เด้กหนุ่มจะต้องอบอุ่นร่างกายก่อนเป็นอันดับแรก ลำดับต่อมาเขาจะต้องเน้นไปที่การฝึกกำลังแขน ทั้งวิดพื้น แบกถังน้ำทั้งสองข้างขึ้นเนินเขาเป็นต้น จากนั้นเขาจะต้องฝึกยิงลูกธนูแบบปกติอย่างน้อยสองร้อยห้าสิบลูกขึ้นไป โดยพยายามฝึกให้ยิงให้ไวที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
หลังจากที่เสร็จการฝึกแบบปกติทั้งหมด กุงซูจะเริ่มฝึกการยิงแบบพิเศษ เช่นการใช้ลูกธนูหัวระเบิดจุดชนวน หรือการยิงแบบทง-อา จากนั้นเขาก็จะพักเที่ยงหนึ่งชั่งโมง พอพักเที่ยงเสร็จเขาจะเริ่มทำการฝึกยิงตามเป้าหมายที่อึนฮากำหนด ทั้งเป้านิ่งและเป้าบิน หรือแม้กระทั่งเป้าธนูที่แอบตามจุดบอดภายในระยะที่กำหนด หลายปีที่ผ่านมา การฝึกของเขาเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ทว่าคราวนี้คำสั่งของอึนฮาทำให้เขาต้องแปลกใจ
“ปลดสายธนูออกซะกุงซู”
“หา เมื่อกี้ท่านลุงว่าอะไรนะ” สีหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความฉงน ถ้าเขาปลดสายธนูออก แล้วเขาจะฝึกยิงธนูได้อย่างไร
“ปลดสายธนูออกซะ” อึนฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยอีกครั้ง กุงซูจึงได้แต่ทำตามอย่างงงๆ เขาเอาขาขัดคันธนูเอาไว้ ก่อนที่จะโน้มคันธนูเพื่อปลดสายออกมา
“วันนี้การฝึกของเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้สายธนูปกติ แต่เจ้าจะต้องสร้างสายธนูออกมาเอง”
คำพูดของอึนฮายิ่งทำให้เด็กหนุ่มสงสัยมากขึ้น เขาจึงเรียกเด็กหนุ่มมานั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพร้อมกับถือคันธนูมาด้วย
“เจ้ายังจำวิธีฝึกสมาธิของป้านาบีได้อยู่ใช่ไหม” เด็กหนุ่มพยักหน้าเป็นคำตอบให้อึนฮา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่เขาระเบิดพลังอะไรบางอย่างออกโดยไม่ตั้งใจใส่พวกลูกนาง นาบีก็ให้เขามาฝึกนั่งสมาธิ ป้าบุญธรรมบอกแค่ว่านี้จะเป็นการฝึกควบคุมพลังบางอย่างในตัวเขา ตอนนั้นเขาถามนาบีว่าในตัวเขามีพลังอะไรกันแน่ นาบีก็บอกหลานชายคนนี้แค่ว่า มันคือการฝึกสมาธิ เพื่อการควบคุมพลังงานที่ไหลเวียนในตัวของเขา
“เอาละ เดี๋ยวเราจะเริ่มจากตรงนั้น”
ชายวัยกลางคนนั่งลงตรงหน้ากุงซู กุงซูสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วเริ่มหลับตาลง เขาเริ่มทำสมาธิ หายใจเข้าหายใจออกอย่างเป็นจังหวะไม่ช้าและไม่เร็วเกินไป ไม่นานนักเขาก็สัมผัสถึงแหล่งพลังงานในตัวของเขาได้ แสงสีน้ำเงินสว่างวูบขึ้นมาในหัวของเขา
“เจ้าเห็นแหล่งพลังงานของเจ้าแล้วใช่ไหม”
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบอึนฮา พลังงานของเขาอยู่เหนือสะดือของเขาขึ้นไปประมาณสองคืบ ตอนนี้มันกำลังส่องแสงสว่างออกมาอย่างชัดเจน
“ทีนี้เจ้ารวบรวมสมาธิ นำพลังงานของเจ้าไปที่มือทั้งสองของเจ้า”
กุงซูเริ่มเพ่งสมาธิไปยังมือทั้งสองของเขา พลังงานของเขาก็เริ่มไหลจากจุดกำเนิดไปยังมือทั้งสองของเขา ตอนนี้มือทั้งสองของเขาร้อนมากๆจนเหมือนมือของเขากำลังไหม้อยู่ยังไงอย่างงั้น
“ดีมาก ดีมาก ทีนี้เจ้าเริ่มจินตนาการถึงสายธนูของเจ้า”
เด็กหนุ่มทำตามที่ลุงของเขาบอก สายธนูผุดขึ้นในจินตนาการของเขาอย่างชัดเจน แต่ในระหว่างที่ทำสมาธิอยู่นั้น เขากลับรู้สึกปวดหัว ราวกับมีขวานมาจามกลางหัวเขายังไงอย่างนั้น
“ท่านลุง ทำไมข้าปวดหัวแบบนี้ละ” เหงื่อของเขาเริ่มซึ่มออกมามากขึ้นเรื่อยๆ แต่อึนฮาก็บอกให้เขาทำสมาธิต่อไป
“ตั้งสมาธิต่อไปกุงซู นึกถึงสายธนูในหัวเจ้า”
กุงซูทำตามคำอึนฮาต่อไป จนกระทั่งเกิดแสงสว่างวาบเข้ามาในตาของเขาก่อนที่มือของเขาจะสัมผัสอะไรบางอย่างที่เป็นเส้นๆ
“ดีมากกุงซู ทีนี้ลืมตาได้” อึนฮากล่าวชมกุงซูด้วยน้ำเสียงที่พึงพอใจเป็นอย่างมาก เมื่อกุงซูลืมตาเขาก็พบสายธนู!
ทว่าสายธนูเส้นนั้นแปลกตากว่าที่เขาเคยเห็น มันเรืองแสงสีน้ำเงิน และดูๆไปแล้ว เขาเห็นเหมือนพลังงานบางอย่างที่กำลังไหลเวียนอยู่ในนั้น
หรือว่า เขาสายธนูที่เขากำลังจับอยู่นี้เป็นสายธนูจากพลังพิเศษของเขาเมื่อสักครู่นี้
“หึหึ...เจ้าจะจ้องมันอีกนานไหม ขึ้นสายธนูสิ”
เสียงของอึนฮาเรียกสติของกุงซูให้กลับมา เด็กหนุ่มจับสายธนูนั้นราวกับมันพร้อมจะหายไปได้ทุกเวลา เขาเอาขาขัดคันธนูและโน้มคันธนูอีกครั้งเพื่อที่จะขึ้นสายธนู
“เอาละ ไหนดูผลงานซิ”
อึนฮาลุกขึ้นยืนแล้วปัดเศษหญ้าที่ติดตามกางเกงก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปดูธนูของกุงซู อันที่จริงมันก็คือธนูเขาสัตว์ที่กุงซูใช้ฝึกประจำนี้แหละ แต่คราวนี้มันดูมีพลังต่างจากธนูธรรมดาทั่วไป เนื่องจากสายธนูที่เรืองแสงของมัน
กุงซูมองธนูในมืออย่างใคร่รู้ ถึงเขาจะไม่เคยออกไปโลกภายนอกมาก่อน แต่เขาก็มั่นใจว่าไม่มีใครเคยสร้างสายธนูด้วยวิธีแบบนี้แน่ๆ
“เจ้าจะชมผลงานเจ้าอีกนานไหม เรายังไม่ได้ฝึกเลยนะ” น้ำเสียงปนขำของอึนฮาดัง ชายวัยกลางคนรู้สึกว่าหลานคนนี้เหมือนกำลังของเล่นใหม่ของตนเองเมื่อครั้งยังเด็กๆ
กุงซูเมื่อได้ยินน้ำเสียงปนขำของอึนฮาจึงเกาหัวแก้เขิน ก่อนที่เขาจะไปหยิบกระบอกลูกธนู
“ทีนี้เจ้าลองใช้ลูกธนูปกติยิงดู”
เด็กหนุ่มหยิบลูกธนูออกมาหนึ่งดอก แล้วใช้นิ้วโป้งที่ใส่แหวนธนูง้างสายธนู มันคือการง้างธนูธรรมดาแบบที่เขาเคยทำมาตลอด แต่ครั้งนี้เขากลับใช้แรงง้างสายธนูเยอะขึ้นกว่าปกติ เมื่อสายตาของเขาเล็งเป้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ปล่อยนิ้วโป้งที่ง้างสายอยู่ ลูกธนูที่ถูกถูกปล่อยออกไปก็แหวกฝ่าอากาศไปยังเป้าธนูอย่างรวดเร็ว
ฉึก!!!
ลูกธนูที่ควรจะปักแค่หัวธนูที่เป็นส่วนที่คมที่สุด มันกลับทะลุเป้าธนูจนเกือบสุดลูกธนู
กุงซูที่เป็นผู้ยิงธนูดอกนั้นถึงกับยืนอึ้งในผลงานที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มหันหน้าไปหาลุงของเขา สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยคำถาม
“หึหึ ไม่เลวนะสำหรับเจ้าที่หัดใช้พลังนี้เป็นครั้งแรก”
“ท่านลุง เมื่อกี้ท่านให้ข้าทำอะไรเนี่ย”
“มันคือพลังของตัวเจ้าเองกุงซู สายธนูเวทมนตร์ที่เจ้าสร้างขึ้นจะช่วยเพิ่มความแรงในการโจมตีของธนูเจ้าเป็นเท่าตัว อย่างที่เจ้าเห็นตรงหน้านี้แหละ”
“ส...สุดยอด” เด็กหนุ่มรำพึงรำพันกับตนเอง เขามีพลังแบบนี้ในตัว! ตอนนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมพวกลูกขุนนางจอมอันธพาลพวกนั้นถึงได้กระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทางเช่นนั้น
“อย่าเพิ่งตื่นเต้นไปเจ้าหนู นี้แค่เพิ่งเริ่มต้น”
“มียิ่งกว่านี้อีกหรือขอรับ”
“คราวนี้เจ้าต้องลองยิงแบบลูกธนูเวทมนตร์”
“ท่านลุงว่าอะไรนะ”
“เจ้าจำยังวิธีสร้างสายธนูเมื่อกี้ได้ใช่ไหม?”
“เอ่อ...ข้าคิดว่าได้”
“ดีมาก ทำวิธีเดียวกันกับตอนที่สร้างสายธนู แต่ครั้งนี้เจ้าต้องง้างสายธนูก่อนนะ” กุงซูพยักหน้า เขาสูดหายใจก่อนที่จะใช้นิ้วโป้งที่ข้างขวาที่สวมแหวนยิงธนูน้าวสายธนู
ถึงแม้ว่าเขาจะยิงธนูเป็นร้อยรอบพันรอบแล้ว การน้าวสายธนูไม่ใช่เรื่องยากสำหรับแต่คราวนี้กลับไม่ใช้ เขารู้สึกยากลำบากในการน้าวสายธนูนี้เป็นอย่างมาก ราวกับมันต้องใช้แรงอีกเท่าตัวในการน้าวสายธนูเวทมนตร์นี้
“สมาธิกุงซู สมาธิ” ผู้ฝึกซ้อมของกุงซูพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกธนูกำลังก่อตัวขึ้นมา
“อ่อ อย่าลืมสร้างลูกธนูนะกุงซู” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นระหว่างกุงซูเริ่มมีรู้สึกว่าเหงื่อของเขาไหลเต็มตัว นี้มันไม่ต่างกันกับตอนที่เขาเริ่มหัดยิงธนูครั้งแรกเลย
“ท...ท่านลุงพูดง่ายจังเลย” กุงซูเริ่มจินตนาการถึงลูกธนูโดยใช้วิธีเดียวกันกับตอนสร้างสายธนู ทันใดนั้นลูกธนูก็ค่อยๆเริ่มปรากฎขึ้นจากจุดที่เขากำลังน้าวสายธนูอยู่
“สมาธิกุงซู สมาธิ” ผู้ฝึกซ้อมของกุงซูพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกธนูกำลังก่อตัวขึ้นมา
“ข...ข้าไม่ไหวแล้ว” กุงซูคลายมือจากสายธนู เด็กหนุ่มหอบหายใจถี่ ตอนเขาใช้ลูกธนูธรรมดายิงกับสายธนูเวทยังรู้สึกใช้แรงมากขึ้นกว่าปกติ แต่นี้มันคนละเรื่องเลย เขารู้สึกเหมือนตัวเองไปวิ่งรอบสนามมาแล้วหลายรอบ ทั้งๆที่เขาไม่ได้ใช้กำลังอะไรเยอะเลย
“ใจเย็น ค่อยๆรวบรวมสมาธิใหม่”
“ท่านลุง ทำไมมันทำให้ข้าเหนื่อยขนาดนี้ละ ข้าแค่ง้างธนูเอง”
“นั้นเป็นเพราะว่าเวลาเจ้าจินตนาการถึงลูกธนู เมื่อถึงที่เวลาสร้างมัน พลังงานในตัวเจ้าจะออกมาจากจุดกำเนิดพลังของเจ้าเพื่อสร้างลูกธนู พอถึงจุดๆหนึ่งที่พลังมีไม่เพียงพอ มันจะดึงพลังกายของเจ้ามาใช้เพื่อสร้างลูกธนู นั้นจึงเป็นเหตุผลที่เจ้าจำเป็นต้องฝึกสมาธิเพื่อเพิ่มพลังงานนี้ในตัวเจ้า”
เด็กหนุ่มรับกระบอกน้ำจากอึนฮามาดื่มเพื่อดับกระหายของตนเอง ลุงของเขายังคงอธิบายต่อไป
“ครั้งแรกที่ทำมันก็เป็นแบบนี้แหละ เอ้า! ลองดูอีกรอบ” ชายวัยกลางคนตบไหล่ให้กำลังเด็กหนุ่มตรงหน้า
กุงซูพยักหน้าให้ลุงของเขาและวางกระบอกน้ำข้างๆเขา เขาหยิบคันธนูตัวเองอีกครั้งก่อนที่จะเพ่งสมาธิไปยังจุดกำเนิดพลังของตัวเองอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นแสงสีน้ำเงินสว่างไสวกว่าครั้งก่อนที่เขาสร้างสายธนู เขาเริ่มง้างอีกครั้งและจินตนาการถึงลูกธนูของตนเอง จนคราวนี้ลูกธนูเวทมนตร์ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ดีมาก อย่าหลุดสมาธินะกุงซู” อึนฮามองดูกุงซูน้าวสายธนูอย่างใกล้ชิด
“เพิ่มพลังให้มันอีก แบบนั้น ดีมาก” ผู้ฝึกสอนให้กุงซูเพิ่มพลังให้แก่ลูกธนูของเขา ลูกธนูดอกนั้นยิ่งส่องแสงมากขึ้น มากขึ้น และมากยิ่งขึ้น กุงซูน้าวสายธนูอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งมันกลายเป็นลูกธนูที่เรืองแสงสีน้ำเงินอย่างสมบรูณ์
“ดีมาก! ยิงเลย!”
ฉึก!
ตูม!!
เมื่อลูกธนูปักลงบนเป้าหมาย เป้าหมายนั้นก็ระเบิดจนไม่มีชิ้นดี ทว่าสิ่งที่ระเบิดนั้นไม่ใช่เป้าธนูแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่ระเบิดไปแทนนั้นคือต้นไม้ที่อยู่ข้างๆเป้าธนู ทั้งคนยิงและคนสอนแทบหลบแรงระเบิดไม่ทัน กุงซูมองไปยังซากต้นไม้นั้นอย่างอึ้งๆ ในขนาดที่อึนฮาหัวเราะชอบใจเสียยกใหญ่
“อืมครั้งแรกถือว่าทำได้ดี แม้ว่ามันจะไม่ใช่เป้าธนูก็เถอะ ฮ่าๆๆๆ”
“ท่านลุง...นี้มัน...หมายความว่าอะไร ทำไมข้าถึงทำอะไรแบบนี้ได้” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มขาดๆหายๆ เขารู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ตนเองเพิ่งทำไปเมื่อซักครู่
“ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังละกันกุงซู”
to be continued...............
writter's talk : สวัสดีผู้อ่านทุกท่านนะครับ กระผม The_Emperor นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่ผมสามารถเขียนมันออกมาได้เป็นเรื่องราวมากที่สุดในบรรดาพล็อตนิยายของผมทั้งหมด ถ้าผู้ชอบหรือไม่ชอบอย่างไรสามารถติชมได้นะครับผม
ฝากติดตามการผจญภัยของเด็กหนุ่มผู้นี้นะครับ
ปล.นิยายเรื่องผมเผยแพร่ในเว็บของ เด็กดี และ fictionlog นะครับ สามารถติดตามนิยายเรื่องนี้ได้ทุกนะครับ และผมจะอัพเดตนิยายเรื่องนี้ทุกวันพุธประมาณ 09.00 น. นะครับ เนื่องจากผมอาจจะยังติดขัดเรื่องงานประจำอยู่บ้าง แต่รับรองว่าไม่หายแน่นอนครับ ^_^
love you all
The_Emperor
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ