บ็อกฉ่อย The ฉิบหาย Story
เขียนโดย คุกกี้คามุอิ
วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 19.29 น.
แก้ไขเมื่อ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2563 00.43 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ออกมา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความค.ศ. ติดลบ 22
ณ แผ่นดินที่เป็นหมู่เกาะแห่งหนึ่งในพื้นที่มหาสมุทรหนึ่งของมุมใดมุมหนึ่ง เออมันคงแอบซ่อนอยู่ในโลกานี้ ชื่อแผ่นดินเหลย สีเหยเอ๊ยไม่ใช่ มันชื่อเหลยเฉยๆ ปัดโธ่
นามของข้าผู้นี้คือเหล็งหมี่ วันนี้ข้ามีอายุครบรอบ 18 ปี ตั้งแต่ที่ข้ากำเนิดบนแผ่นดินเหลย ข้าเนี่ยได้เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ ก็จึงไม่รู้จักตระกูลโคตรเหง้าของตัวเองว่าพวกนั้นมันเป็นผู้ใด มาจากไหน หน้าตามันจะอุบาทว์ขนาดไหน เอาเป็นว่าที่มาคือชายหญิงสามีภรรยาคู่หนึ่งที่เข้าสู่วัยชราประมาณ 70-75 ปีแก่หง่อมแล้ว พวกท่านเก็บข้ามาจากสวนไผ่แถวๆบ้าน สองผัวเมียเป็นประชาชนมีเชื้อสายเป็นคนจีน มีวัฒนธรรมแบบจีน เมื่อเห็นข้าตอนเป็นทารกตัวน้อยแหกปากน่ารำคาญร้องดังอุแว้ๆดังก้องมาจากข้างในต้นก็ผ่าไผ่มาเจอข้า ข้ามีผิวพรรณออกไปทางเอเซีย จึงไม่แปลกประหลาดที่ข้าจะได้รับการตั้งชื่อแซ่ออกมาเป็นภาษาจีน
บ้านของข้าอยู่บนเนินขนาดเล็ก ทางลงไปข้างล่างเป็นทางไปสู่ย่านที่เป็นตลาดและชุมชน ขณะนี้ข้า เหล็งหมี่ผู้นี้ยืนมองดูบริเวณรอบๆมาได้สักพักแล้วว่าข้าคิดจะทำอะไร และหันหน้ากลับไปยังบ้านของตัวเอง ดูบ้านตัวเองแล้วอดขำไม่ได้ เอ้ย มันต้องเศร้าสิ เพราะตาแก่และยายแก่ของข้าก็ดันมาเสียพร้อมกันเมื่อวานซืนเหมือนพร้อมใจกันไปเยี่ยมยมโลก ถ้าเป็นสวรรค์ก็ย่อมจะดีกว่านรก จะว่าไปไม่รู้หรอกคนที่เสียไปแล้วจะเจออะไร ยังไงก็ท่านทั้งสองไม่ได้ไปไหน ร่างก็อยู่ในหลุมฝังศพหลังบ้าน ข้างบ้านของข้านี่มีแปลงปลูกผักกาด ไม่รู้จะเอาอะไรเซ่นไหว้หลุมศพเลยฉวยดึงผักกาดลูกหนึ่งอาจจะเน่าแล้วด้วยสิมาวางที่หน้าหลุมตาแก่ยายแก่ จุดธูปคนละดอกจากตามหลักจริงๆเรื่องคนเป็นศพต้องใช้ธูปคนละห้าดอก ข้ามองไปยังนภาสีครามที่กว้างใหญ่ ไม่รู้ว่าท่านจะเห็นข้าหรือไม่ หรือตาบอดหรอเนี่ย บางครั้งข้าไปนั่งหน้าหลุมของพวกท่านข้าเกิดสัปหงกแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นรู้ตัวอีกครั้ง ได้จามฮัดเช้ย
กลับมาเข้าเรื่องนะ วันนี้ตัวข้าที่ยืนมองทิวทัศน์อยู่หน้าบ้านรู้สึกขี้เกียจที่จะขนผักลงไปยังตลาดในชุมชน ขอพักการทำงานสักวันหน่อย เข้าบ้านปรุงอาหารเพื่อกินและนอน
เวลาผ่านไปเร็วอย่างกับเรื่องโกหก วันพรุ่งนี้เช้ามาต้อนรับแล้ว ข้าลุกตื่นสาวเท้าไปล้างหน้า อาบน้ำ ถึงเวลาที่ข้าต้องออกมาเก็บผักบริเวณแปลงผูกด้านข้างบ้านแล้ว ข้าก็ต้องพบกับสภาพที่ข้าอารมณ์สตั๊นท์ค้างไปหลายวินาที
ผักกาดเอ๋ย ทำไมพวกผักกาดมันตายห่าอย่างนี้ เน่าเฟะ ไม่ต่างจากซากศพหรือเศษขยะที่ไร้ซึ่งความสำคัญ "จ๊ากกกก มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย !!?" เหล็งหมี่ตะโกนด้วยความตกใจกับสิ่งที่เห็นเหมือนมันจะจงใจเพื่อเขาโดยเฉพาะ เขาพยายามย้อนนึกคิดหลายๆตลบว่าการปลูกผักที่ผ่านมามีอะไรผิดพลาด เขารดน้ำไม่เพียงพอต่อการอยู่รอดหรือสภาพอากาศดูไม่เป็นใจ คิดไปต่างๆนาๆ สักครู่มีอะไรจะเกิดมันก็เกิดมา นั่นน่ะปรากฏร่างหนึ่งมาพร้อมกับแสงสว่างเหมือนทองคำ พบเจอกับเทพธิดาในชุดขาวมีปีกผมดำขลับยาวสวยสยาย แต่ไหงใบหน้าแมร่งเสือกมีหนวดเครายาวเหมือนพระเยซูคริสต์ เทวดาตนนั้นลอยอยู่เหนือแปลงผัก มันสังเกตไปข้างล่าง
เหล็งหมี่เอามือป้องหน้าพยายามมองภาพเบื้องหน้าให้ชัด "ท่าน ท่านเป็นใคร เป็นเทวดาเหรอ?" ถ้าใช่เทวดา เหล็งหมี่มีความต้องการขอร้องให้เทวดาตนนี้ช่วยคิดหนทางแก้ปัญหา "ท่าน สามารถช่วยให้ผักกาดกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ใช่มั้ย"
"เหมือนเดิมได้มั้ย" เทวดาได้คิดคำนึงถึงปัญหา "เมื่อตอนกลางคืนที่ผ่านมาฉันเอาลูกโบว์ริ่งมาปาใส่ฝูงผัก มันเลยตายห่าไปหมดไง" เทวดาหน้าหนวดเคราเฉลยเหตุการณ์เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเหมือนมันจะขอไม่รับผิดชอบประการใดๆ
"อ้าว ทั้งหมดนี่เป็นฝีมือท่านนี่เอง โบว์ริ่ง? เอ๊ะ โบว์ริ่งมันคืออะไรข้าไม่รู้จัก"
"ช่างมันเถอะเรื่องที่เจ้าสงสัย แต่มีอะไรจะบอก ข้านั้นเกิดมาก็เพื่อให้เจ้าออกเดินทางผจญภัย" เทวดาชี้ไปที่เจ้าเหล็งหมี่พระเอกของเราที่ยืนทื่อๆเหมือนประชาชนไม่เคยเห็นตัวอะไรประหลาดขนาดนี้ "เตรียมข้าวของออกเดินทาง เจ้าจะต้องฝึกใช้พลังลมปราณ เข้าสู่วิถีโลกแห่งเซียน"
ที่กิ่งไม้บนต้นไม้ปรากฏอีกร่างหนึ่ง มาพร้อมกับออร่ามืดดำ ในชุดคลุมยาวสีดำพร้อมเคียวขนาดย่อมข้างกาย สาวตนนี้มีผมแดงตัดสั้นแบบดารารุ่นใหญ่ชื่อทรงทวิกกี้(มีลักษณะดูเป็นหมวกกันน็อก) สาวตนนี้คือยมทูต เอออะไรวะทำไมยมทูตดูน่ารักกว่าเทวดาเยอะเลย ยมทูตกำลังเคลียร์กับเทวดา "นี่ไอ้หนวด จ่ายค่าผักเสียหายให้เหล็งหมี่ซะดีดี"
"โอ้ว ไม่น่าเชื่อ มีคนรู้ชื่อรู้แซ่ข้าพเจ้าด้วย ช่างมหัศจรรย์ปั่นกระเพาะลำไส้" เหล็งหมี่ลุกกระวนกระวายเอาหลังติดผนัง และก็รู้สึกเจ็บหลังนิดๆเพราะแรงกระแทก
สาวยมทูตกระโดดลงจากกิ่งไม้ลงมาเบื้องล่าง ลงที่พื้นอย่างร่างกายไม่สะทกสะท้านกับพื้น "ก่อนอื่น ข้าขอแนะนำตัว ข้าชื่อยมทูตและตาหนวดนี่ชื่อเทวดา" เออที่แนะนำมานี่ดูเหมือนไม่เห็นจะมีชื่อเลย " มันถึงเวลาในการเดินทางของเจ้า และข้าทั้งสองจะสิงสถิตย์อยู่ในกายของเจ้า" ยมทูตสาวอารัมภบทและเสยผมด้านข้าง เคียวข้างกายถูกจับไว้เหมือนมีน้ำหนักเบา
"ยามที่เจ้าเกิดสงสัยอะไรต่างๆ พวกเราจะปรากฏกายออกมาช่วยเจ้า เราเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็น เป็นภูตส่วนตัวของเจ้าเพียงผู้เดียว" เทวดาหน้าหนวดเคราเสริมทับจากที่สาวยมทูตกล่าว
"ท่านทั้งสอง ตามปกติชีวิตธรรมดาของข้าไม่เคยได้ออกไปต่อสู้กับใคร ถ้าข้าจะเป็นเซียน .... " เหล็งหมี่พูดไม่จบ ก้าวขามาข้างหน้า ตวัดแขนขวา พุ่งฝ่ามือ ควบคุมการหายใจ "จะเกิดอะไรขึ้นกับพลังนี้"
"กับพวกเราเจ้าใช้ไม่ได้ผล เจ้าดูข้างล่างนี่" เทวดาหน้าหนวดยังคงลอยอยู่กับที่ ชี้ให้เหล็งหมี่เห็นบรรดาผักกาดที่เน่าเฟะขยับเขยื้อนเล็กน้อย"พลังของเจ้ายังเบา ขั้นปัญญาอ่อนของเซียน"
"ถ้างั้น ข้าคงต้องฝึกอีกนาน" เหล็งหมี่บอก " ถ้าข้าได้ฝึก ข้าอยากให้ฝ่ามือของข้ามีแรงทลายหินสักครั้ง ตอนตายข้าจะได้บรรลุตายตาหลับ ส่วนคุณยายก็ฟื้นตื่นลุกไปกินหมาก" แน่ะ มีมุขภาษาไทยตบท้ายประโยค ฟังแล้วแป้กไม่ได้เรื่อง แต่ทว่าด้วยความขี้เกียจของหนุ่มเซียนวัย 18 ปีบริบูรณ์ผู้นี้มันก็ไม่ขยันที่จะขยับกายใช้งานเลย
พอนึกอะไรได้ก็รีบปรี่ตัวเข้าไปในบ้านพกถุงใส่สัมภาระเบ็ดเสร็จ
นิ้วมือเทวดาหน้าหนวดสะกิดหลังเหล็งหมี่ "นี่เหล็งมี่ เจ้าลองเอาผักกาดที่มันตายเน่าเฟะไปแล้วที่แปลงนี่ไปขายด้วยสิ"
"โวะ นี่ท่านจะเล่นตลกอะไรกับข้าหรือ" เหล็งหมี่ถามไว้ แล้วออกมาเก็บผักกาดตายใส่รถเข็นเหมือนจะอดตะหงิดลองดูไม่ได้ "เอ่อ .....นี่ข้าทำอะไรเนี่ย ผักเน่าๆมันจะมีคนซื้อได้ไง เอาไปทานก็ท้องเสียกันพอดี" เหล็งหมี่ส่ายหน้า แต่จะลองดู ก็ก้มเก็บผักกาดเน่า ลองกัดกินและคายทิ้งด้วย และปลีกตัวเดินออกจากบ้านบนเนินมาถึงบริเวณทางลง "ท่านเทวดาและยมทูต ข้าไม่รู้ว่าข้าจะไปไหนน่ะสิ" เอ จริงๆ ไม่ใช่ว่าต้องไปตลาดไม่ใช่หรือ
"งั้นกลับเข้าบ้านสิ"เทวดาหน้าหนวดเคราได้ตอบคำถามแล้ว
เหล็งหมี่กลับเข้าไปในบ้าน เขาสังเกตรอบๆโดยที่ไม่ได้สังเกตมานานเท่าไหร่แล้ว ในบ้านมีหีบใส่ของ มันดูเก่าคร่ำครึฝุ่นเกาะซึ่งเหล็งหมี่ไม่เคยลองสนใจเปิดมันดูภายใน และขณะนี้เขาก็ไม่คิดจะเปิดมัน แต่ มันก็คาใจมานานแล้ว ข้างในจะมีอะไรสำคัญมั้ยจึงลงมือเปิด ผ่าง ! แล้วมันก็ไม่มีอะไรข้างใน "ตาแก่กับยายแก่คู่ไร้ค่า ไม่ทิ้งอะไรเด็ดๆไว้ให้บ้างเลยแฮะ ถุงยางอนามัยก็น่าจะให้สักหน่อย" เอ่อ ถุงยางอนามัยมันคืออะไร เอามาจากไหนในยุคนี้ แต่แล้วเหล็งหมี่ก็ปิดหีบมันเข้าที่ "ไป ออกไปนั่งรถเข็นเถอะ"
เหล็งหมี่ถึงที่แล้วกระโดดขึ้นนั่งรถเข็น หมุนล้อด้านข้างไปลงเนิน แล่นเฟี้ยว ! มาสู่ท้องตลาดอย่างไว ถ้ามีเรื่องตลกก็คงแล่นมาชนกำแพงบ้านประชาชนเข้าแล้วทำเป็นสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นข้าน้อยงง ก็ตัวมันน่ะแหละทำให้รถเข็นชนกำแพง ไม่ต้องงง
และที่ตลาดนี้แออัดไปด้วยฝูงคน มีการซุบซิบนินนามายังหนุ่มเหล็งหมี่ผู้ซึ่งไม่สนใจปฏิกิริยาชาวบ้านรอบๆกาย
"ดูนั่นสิ คนทั่วไปเขานั่งรถม้าลาก เจ้านั่นนั่งเข็นล้อรถเข็นช่างน่าขันยิ่งนัก" บุรุษตามท้องตลาดแอบนินทากันขณะเดินผ่าน
และมีชายชราคนหนึ่งเกิดคันปากอยากเดินเข้ามาถามชายหนุ่มที่ยังคงนั่งหมุนล้อรถเข็น หน้าตาเหล็งหมี่ก็ไม่แสดงความอับอายหรือรับรู้เรื่องนินทาอะไร "นี่เจ้าขายอะไร" ชายชราได้ถาม แค่นั้นก็ทำให้เหล็งหมี่เลิกนั่งขับและลงมาเดิน เขาทิ้งรถเข็นไว้ระหว่างทาง แบกถุงสัมภาระ ทิ้งชายชราที่ถามแล้วไม่ได้คำตอบยืนงงเป็นไก่ตาแตกเพราะตาทั้งสองเห็นเหล็งหมี่เมินตนอย่างกับก้อนหินริมทาง พอเหล็งหมี่เดินอยู่ชั่วขณะแล้วเริ่มหยุดนิ่ง
ในใจกำลังคิดอยู่ว่า "ท่านเทวดา ข้าควรจะไปไหนดีล่ะ"
เทวดาและยมทูตได้ยินเสียงความคิดในหัวของมัน "ก่อนอื่นเจ้าต้องเช่าอาศัยโรงเตี๊ยมสักแห่ง"
ในใจก็เกิดคำถามอีกว่า "แล้วข้าต้องทำอะไรในโรงเตี๊ยมล่ะ"
"นอน"
"หืม อะไรวะ ข้ายังไม่มีอะไรจะทำเหรอเนี่ย ไปนอนก็ไปนอน ฝันดีฝันร้าย" เหล็งหมี่เดินหาโรงเตี๊ยมได้ที่หนึ่ง เข้าไปใช้บริการ
ระยะห่างออกไปจากบริเวณนั้น ปรากฏมีสำนักเกี่ยวกับชาวเซียน ในห้องที่กำลังเรียกนั่งประชุมบรรดาเหล่าเซียน ในห้องมีบรรดาศิษย์นั่งเรียงกันสองฝั่ง พบว่าข้างๆศิษย์คนหนึ่งดันเป็นนินจาซึ่งบุคคลแบบนี้มันมาจากญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องทางจีน มาได้ไงวะ
"ศิษย์พี่รอง เจ้านั่นมันคืออะไร หรือมันเป็นสายลับ" ศิษย์คนหนึ่งที่นั่งอยู่แล้วเห็นนินาจาได้ชี้ถาม แล้วลุกหมุนตีลังกามายืนตั้งฝ่ามือข้างหนึ่ง เหล่าเซียนกระจายตัวล้อมวงรอบเจ้านินจา "เจ้าเป็นใคร การแต่งตัวแบบนั้นพวกข้าไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่"
เจ้านินจาขยับลุก กระโดดขึ้นถึงขื่อเพดานแล้วเฟี่ยงระเบิดควัน ทัศนียภาพถูกเขม่าควันบดบังชั่วขณะ เหล่าเซียนที่หลงทิศทางกับทัศนียภาพได้คลำทางจนพบประตูออก "แคกๆ เขม่าควันนี่ นี่มันวิชาอะไร "
นินจาเป็นบุคคลที่มีการทำงานเป็นลักษณะการสืบเสาะหาข้อมูล ตามปกติในงานทั่วๆไปมันจะไม่ใช่โผล่เสนอตัวให้เห็นอย่างนี้นะ นินจาคนนี้คงมาแอบเอาของสำคัญของสำนักแห่งหมู่เกาะเหลย และใช้วิชาในการพรางตัวออกไปจากสำนัก ของที่ได้จะนำไปให้ผู้ที่ว่าจ้างมัน ผู้ว่าจ้างเป็นใครกัน ขณะที่เหล็งหมี่ยังนอนกรนอยู่ที่โรงเตี๊ยมดังๆ
เมื่อควันได้จางหายพอเหลือบางๆ เหล่าเซียนรีบเข้าไปดูในสำนักพบว่ามีสิ่งหนึ่งหายไป "เจ้านั่นมันเอาโถฉี่ทองคำของพวกเราไป และมันได้หายไปจากที่นี่ เฮ้ยพวกเราช่วยกันตามหาให้ทั่วเมือง รีบๆด้วย ปวดฉี่เว้ยเฮ้ย" และบรรดาเซียนก็พุ่งร่างไปกับลม ออกจากบริเวณสำนัก ไปค้นหานินจาคนละทิศคนละทาง
เหล็งหมี่พลิกตัวนอนตะแครง กำลังฝันเรื่องนินจาคนนั้นขโมยโถฉี่ทองคำมันวิ่งตัดหน้าเขา แล้วเขาก็ใช้ฝ่ามือลมปราณผลักพุ่งไปข้างหน้าซึ่งแรงลมไปปะทะที่แผ่นหลังนินจาตัวนั้น เจ้านินจาหลุดออกมาจากความฝัน ในโรงเตี๊ยมที่เหล็งหมี่เช่านอน เหล็งหมี่ตื่นขึ้นมาตกใจกับภาพในห้อง พบว่ามีนินจาเจ้าหัวขโมยหัวทิ่มและสองขาชี้ฟ้าที่ด้านหลังของมันแบกโถฉี่ทองคำ " ใครวะ ตัวอะไรวะ หลุดมาจากความฝัน "
ประตูไม้เปิดพรั่กมาพร้อมกับการหมุนม้วนตัวกลางอากาศของเหล่าเซียนที่สำนัก " นั่นไงเจ้าโจรลักขโมย "
เหล็งหมี่ได้ยินแล้วใจไม่กล้าโต้เถียง ด้วยความลนลานลุกเหยียบที่นอนแล้วกระโดดออกทางหน้าต่าง " อะไรกัน อะไรกันวะเนี่ย ข้านี่จะต้องถูกจับหรือเนี่ย จู่ๆถูกหาว่าเป็นขโมย"
เหล็งหมี่แมร่งลืมสัมภาระที่เก็บไว้ในถุงดันออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว เทวดาและยมทูตที่คนอื่นมองไม่เห็นได้กลับเข้าไปเก็บ และภาพนั้นเป็นภาพถุงใส่สัมภาระลอยออกไปทางหน้าต่าง
"ไอย่ะ ไอหยา ผีเว้ย ผีมาหลอกหลอน ไอ้เชี่ย" บรรดาเซียนหมุนตัวหนีออก นินจาที่หัวทิ่มก็ฟื้นทันทีวิ่งหนีเข้าไปในกลุ่มบรรดาเซียนที่ตีลังกาทุกเซียนและที่มือของไอ้นินจาก็ถือโถใส่ปัสสาวะทองคำ กลุ่มเหล่านั้นจากไปยังที่ใกลๆ ไม่กลับมายังสำนัก แล้วนินจาทำไมวิ่งไปอยู่กับกลุ่มนั้นล่ะเฟ้ย
"เรื่องบ้าๆอะไรวะเนี่ย" เหล็งหมี่ที่อยู่ข้างนอกได้หยุดลนลานและหยุดก้าวเดิน ถุงใส่สัมภาระปลิวมากระทบท้ายทอย "โอ๊ย"
" เอ่อ " เทวดาและยมทูตต่างชี้ให้แก่กัน " เจ็บท้ายทอยมากมั้ย คือ หล่อน/เขา ทำ"
"ช่างมันๆ เถอะ ไหนๆก็นอนพักได้สักพัก แล้ว.... ข้างหน้านี่มีอะไร"
และที่เขาเห็นข้างหน้านั้นคืออะไร?
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ