มู่หลันกลางเหมันต์

-

เขียนโดย ลิ่วเม่ย

วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 เวลา 22.40 น.

  6 ตอน
  1 วิจารณ์
  5,962 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 22.43 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) 7 ทายาทแห่งต้าหลิง (3)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
“หลันเอ๋อร์ นี่เจ้า!?” มู่หรงไป่หลิงที่ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเอ่ยถามน้องสาวด้วยความตกใจในความสามารถของนาง ความสามารถที่ไม่เคยมีผู้ใดตระหนักรู้มาก่อน แม้แต่ตัวของนางเอง
“น้องเจ็ดของท่านเก่งใช่หรือไม่” มู่หรงมู่หลันไม่ตอบคำ หากแต่กล่าวถามกลับไปพลางลดกระบี่ลง เมื่อสิ้นภารกิจแล้ว ฉับพลันนั้นศาสตราเล่มยาวก็มลายหายไปคล้ายไม่เคยมีอยู่ก่อน องค์หญิงน้อยเวลานี้โทสะคลายลงมากแล้ว
“ย่อมใช่ เพราะเจ้าเป็นน้องสาวของข้าพี่สี่ผู้นี้อย่างไรเล่า...” องค์ชายสี่ไม่ถือโทษโกรธที่น้องสาวชี้คมอาวุธมาที่ตนเอง ตรงกันข้ามกลับพึงพอใจยิ่งนักที่มู่หรงมู่หลันยามจับอาวุธก็จับได้อย่างมั่นคงและเข้มแข็ง
“หลันเอ๋อร์ หน้าผากของเจ้า” ในขณะเดียวกันเหล่าพี่น้องชายหญิงที่เหลือก็พากันเคลื่อนกายเข้ามาหาสองผู้ประลอง เมื่อสังเกตเห็นว่ามีปานแดงปรากฏขึ้นที่กลางหน้าผากของน้องเจ็ดของตน องค์ชายสามมู่หรงจางหลิงจึงเอ่ยขึ้น เวลานี้ห้าองค์ชายหนึ่งองค์หญิงต่างกำลังนึกถึงเรื่องราวที่บิดามารดาเคยเล่าให้ฟังทั้งเรื่องความฝันและสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อน้องเล็กออกจากครรภ์มารดา
“พวกเรากลับกันก่อนเถิด... องค์หญิงเจ็ดมู่หรงมู่หลันเป็นผู้ชนะ การประลองวันนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว แยกย้ายกันได้” มู่หรงเว่ยหลิงผู้เป็นพี่ใหญ่และไท่จื่อเอ่ยกับน้องชายน้องสาวแล้วจึงกล่าวจบการประลองกับเหล่าทหารก่อนจะนำกลุ่มพี่น้องเคลื่อนกายออกจากลานประลองมุ่งหน้าสู่ตำหนักถางอ้ายของผู้เป็นบิดามารดา
เมื่อเดินทางถึงตำหนักใหญ่ของสองสามีภรรยาผู้เป็นใหญ่แห่งต้าหลิง มู่หรงเว่ยหลิงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในลานประลองทั้งหมดให้กับต้าหวางและหวางโฮ่วฟัง
“กระบี่เสวียนปิงเช่นนั้นหรือ หลันเอ๋อร์ เจ้าเล่าให้พ่อฟังได้หรือไม่ เจ้ารู้จักชื่อของกระบี่เล่มนั้นได้อย่างไร” มู่หรงเจิ้งถามย้ำกับธิดาคนเล็กเมื่อสิ้นคำเล่าโอรสองค์โต
มู่หรงมู่หลันเล่าเรื่องราวที่ปรากฏขึ้นในหัวของนาง หญิงสาวผู้สวมอาภรณ์สีแดง มีปานแดงคล้ายดอกมู่หลันที่กลางหน้าผาก ใบหน้าเรียบนิ่งหากดวงตาแสดงความขึ้งโกรธ นางถือกระบี่ยาวที่ตัวนางองค์หญิงเจ็ดรับรู้ได้ว่ามีนามเรียกคือเสวียนปิง หญิงสาวผู้นั้นสถิตอยู่ระหว่างนภาและพิภพ ยืนอยู่ท่ามกลางสงคราม ยามเมื่อนางส่งกระบี่เวทย์ลงสู่พื้นดินก็บันดาลให้เกิดรอยแยกเปรียบว่านางเปิดอเวจีให้ดูดกลืนผู้สร้างภัยพิบัติ
“สงครามสี่เผ่าพันธุ์” มู่หรงเจิ้งกล่าวออกมาเมื่อมู่หรงมู่หลันกล่าวจบ
ชนชั้นสูงรุ่นหลังล้วนได้รับรู้เกี่ยวกับสงครามระหว่างเซียน มนุษย์ ปีศาจ และมาร สงครามที่เกิดขึ้นเพียงเพราะความโลภที่มีต่อใบมู่หลันแดงเพียงใบเดียวและยังเป็นสงครามที่ทำให้เทพบรรพกาลพิโรธจนบันดาลให้สี่เผ่าพันธุ์แยกออกจากกัน หากแต่การรับรู้เหล่านั้นล้วนเป็นเพียงการศึกษาจากบันทึกเท่านั้น อีกทั้งผู้คนที่เหลือรอดจากสงครามครั้งนั้นล้วนล้มหายตายจากไปจนหมดสิ้น
เมื่อได้ฟังคำบิดา ทายาทแห่งต้าหลิงต่างก็สงสัยว่าเหตุใดน้องเล็กของพวกตนถึงได้นิมิตเห็นเรื่องราวเมื่อครั้งสงครามสี่เผ่าพันธุ์สิ้นสุดลง อีกทั้งยังสามารถเรียกใช้ศาสตราแห่งเทพบรรพกาล
“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความฝันของน้องหรือไม่ ครานั้นน้องไม่แน่ใจว่าดอกไม้ที่น้องเห็นคือสิ่งใด แต่เมื่อลองพินิจดูแล้ว คล้ายดอกมู่หลันเพียงแต่มีสีแดงคล้ายเลือด ไม่คุ้นตา อีกทั้งกลิ่นหอมของดอกไม้นั้นก็เป็นกลิ่นกายของหลันเอ๋อร์ไม่ผิดแน่” เจินเหมยฮวากล่าวกับสวามีเมื่อสงสัยว่าความฝันของนางและนิมิตของธิดาองค์น้อยอาจมีความเชื่อมต่อกัน
“ฮวาเอ๋อร์อย่าเพิ่งกังวลไป เรื่องนี้คงไม่ร้ายแรงนัก แต่ยังไม่ควรแพร่งพรายให้ผู้อื่นรับรู้ ไม่เช่นนั้นอาจเป็นการสร้างความยากลำบากให้กับหลันเอ๋อร์” ต้าหวางผู้ครองระดับสวรรค์ขั้น 4 กล่าวกับชายารักและโอรสธิดา ด้วยในใจของตนบังเกิดความคิดหนึ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้คือการถือกำเนิดของธิดาองค์น้อยอาจเป็นการจุติของเทพบรรพกาลที่ในตำราบันทึกไว้ว่าได้หายสาบสูญไปหลังสิ้นสงครามครั้งใหญ่ที่แบ่งแยกสี่เผ่าพันธุ์ออกจากกัน ด้วยนางมีปานแดงคล้ายดอกมู่หลันที่กลางหน้าผาก กลิ่นกายหอมดังดอกไม้สวรรค์ และครอบครองกระบี่เวทย์เสวียนปิง หากแต่เทพบรรพกาลผู้นั้นเป็นนายของเก้าราชันย์แห่งสัตว์เวทย์ ประการข้อสุดท้ายนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานของเขาได้ดีที่สุด เพียงแต่บุตรสาวของเขาไม่ได้กล่าวออกมาเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยอีกทั้งยังไม่ปรากฏปราณธาตุระดับเทพบรรพกาลในกายของนาง
เพื่อป้องกันเหตุร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นและเพื่อปกป้องมู่หรงมู่หลันที่ในยามนี้เป็นเพียงเด็กหญิงวัยสิบสี่ ต้าหวางแห่งแคว้นหลิงจึงสั่งให้โอรสธิดาเก็บเรื่องความฝันและนิมิตเอาไว้กับตัว อย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไป แม้รูปลักษณ์และความสามารถของนางจะมีเหล่าทหารหลายนายเป็นประจักษ์พยานแต่เขาเหล่านั้นก็ใช่จะรู้ว่า ปานแดง นั้นมีลักษณะคล้ายสิ่งใด อีกทั้งย่อมไม่รู้ว่า เสวียนปิง แท้จริงแล้วเป็นศาสตราของผู้ใด
หลังจากวันประลองสิ้นสุดลง มู่หรงมู่หลันพลันรู้ถึงความสามารถของตน แม้นางจะยังคร้านที่จะสนใจการฝึกยุทธก็ไม่อาจขัดรับสั่งของผู้เป็นบิดาได้ นางจึงต้องเข้าฝึกฝนกำลังกับเหล่าพี่ชายพี่สาวบ้างเป็นครั้งคราว หากแต่ก็ไม่เคยกล่าวเรียกนามกระบี่เวทย์ออกมาอีกเลย
องค์หญิงเจ็ดมู่หรงมู่หลันยังคงเป็นองค์หญิงน้อยผู้น่ารักของเหล่าพี่น้อง แต่ในยามนี้หากกล่าวถึงนางย่อมต้องมีคำว่า เหี้ยมโหด ปรากฏขึ้นในชื่อเรียกนั้นด้วยเช่นกัน คำกล่าวนี้เป็นองค์ชายสี่มู่หรงไป่หลิงบันดลขึ้นภายหลังจากเกือบต้องเสียหัวให้กระบี่เสวียนปิง ดังนั้นยามนี้ในหมู่พี่น้องราชวงศ์มู่หรงแห่งต้าหลิงจึงปรากฏสององค์หญิงผู้เหี้ยมโหดขึ้นในทันใด
“ต้าลี่ ข้าอยากไปเที่ยวด้านนอกดูการใช้ชีวิตของชาวเมืองบ้าง ท่านพาข้าไปได้หรือไม่” มู่หรงมู่หลันกล่าวมู่หรงโม่ลี่ให้พานางออกไปเที่ยวหลังจากต้องทนฝึกซ้อมมากว่าห้าชั่วยาม เหล่าพี่ชายของนางยามนี้แยกย้ายกันกลับไปประจำการที่ชายแดนทั้งสี่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงมู่หรงเว่ยหลิงผู้เป็นไท่จื่อและมู่หรงโม่ลี่องค์หญิงห้าผู้สร้างอักขระเท่านั้น
“เจ้าคงเบื่อแล้วกระมัง เช่นนั้นก็ได้ เราไปเที่ยวกัน” มู่หรงโม่ลี่กล่าวตอบน้องเล็กของตน นางนึกเอ็นดูน้องน้อยผู้นี้นักด้วยนางอยากเป็นพี่สาวมาตลอด อีกทั้งเสี่ยวหลันของนางก็มีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักแต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความเหี้ยมโหดไว้ภายในเช่นนางไม่ผิดเพี้ยน
ครั้นเมื่อถึงยามอู่ สองพี่น้องพร้อมด้วยอาผิง บ่าวรับใช้ผู้สถิตระดับเซียนขั้น 3 ขององค์หญิงหกเดินทางออกจากวังหลวงมุ่งหน้าสู่ตลาดที่เต็มไปด้วยผู้คนและผู้ฝึกยุทธสัญจรไปมา มู่หรงมู่หลันยามนี้สวมชุดยาวสีชมพูอ่อน ดวงหน้างามในยามนี้ปราศจากปานแดงที่กลางหน้าผากด้วยใช้แป้งป่นขาวปกปิดเอาไว้ ในขณะที่มู่หรงโม่ลี่สวมชุดขาวเรียบง่ายเฉกเช่นยามปกติ หากสีขาวนั้นก็ยิ่งขับผิวและทำให้นางยิ่งดูงดงามอ่อนโยน
เมื่อสองนายหนึ่งบ่าวก้าวขาเข้าสู่เขตชุมชนก็พาให้นายผู้น้องตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก ด้วยสิบสี่ปีที่ผ่านมา นางไม่เคยได้ก้าวขาออกนอกวังหลวง นางใช้ชีวิตเฉกเช่นสตรีที่ไม่ใฝ่วิชายุทธ และนิยมปลีกตนออกมาอยู่คนเดียว ดังนั้นข้างกายนางจึงไม่พบว่ามีบ่าวคนสนิทที่คอยติดตามรับใช้เช่นพี่ชายและพี่สาว
“ท่านลุง มุกมิลพวกนี้งดงามนัก ท่านขายราคาเท่าไหร่หรือ” มู่หรงมู่หลันเอ่ยถามพ่อค้าขายอัญมณี นางใคร่สนใจมุกสีเข้มกลุ่มนี้ตั้งแต่แรกเห็น รูปลักษณ์กลมมนและสีที่ดำขลับเป็นเงาของพวกมันพาให้นางนึกถึงความมืดมนอนธกาลที่ปรากฏในความฝันของนางตลอดหนึ่งเดือนมานี้
ทุกราตรีนางคล้ายหลับคล้ายไม่หลับ ในห้วงฝันของนางพบเพียงความมืดสนิทแต่รอบกายกลับหนาวเย็นคล้ายนางจมอยู่ใต้สายธารลึก เมื่อรู้สึกว่าร่างกายพลันจมลึกลงไปเรื่อยๆ นางก็ได้ยินเสียงบุรุษและสตรีกล่าวเรียก‘นายหญิง’ นางได้ยินเสียงเหล่านั้นซ้ำไปมาจนกระทั่งนางตื่นจากนิทรา
“คุณหนูช่างตาถึง มุกนิลเหล่านี้หายากนัก ทั้งต้าหลิงมีเพียงสิบเม็ดเท่านั้น สิบเม็ดนี้ข้าขายเพียงห้าร้อยตำลึงทอง” พ่อค้าอัญมณีกล่าวตอบองค์หญิงน้อย ห้าร้อยตำลึงทองสำหรับชาวบ้านทั่วไปนับว่าแพงเกินกว่าจะจ่ายไหว แต่สำหรับทายาทแห่งต้าหลิงแล้วห้าร้อยตำลึงทองไม่นับว่ากระไรนัก มู่หรงมู่หลันจ่ายเงินให้พ่อค้าและรับมุกสีดำสนิทเก็บลงแหวนจัดเก็บที่บิดามอบให้ จากนั้นจึงออกเดินชมตลาดต่อพร้อมกับผู้เป็นพี่สาว สองพี่น้องต่างเพลิดเพลินไปกับการเที่ยวชมนอกวังหลวงครั้งนี้โดยมีอาผิงบ่าวรับใช้คอยคุ้มกันระวังภัย หากแต่ความตื่นตาตื่นใจกลับสะดุดลงเมื่ออาผิงสะกัดหญิงสาววัยสิบห้าสิบหกผู้หนึ่งที่กำลังจะวิ่งมาชนองค์หญิงเจ็ดเอาไว้ นางผู้นี้ไม่ปรากฏเขตขั้นสถิตทั้งยังมีท่าทางตื่นตระหนกระคนหวาดกลัว
“แม่นาง ช่วยข้าด้วย คุณหนู ช่วยข้าด้วย” เมื่อจับพลักจับผลูชนเข้ากับผู้คน ไม่อาจวิ่งหนีต่อไปได้ ก็รีบกล่าวขอความช่วยเหลือ
“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ” เป็นมู่หรงโม่ลี่ที่เอ่ยปากถามเรื่องราวด้วยไม่คิดว่าในต้าหลิงจะมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น
“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ” เป็นมู่หรงโม่ลี่ที่เอ่ยปากถามเรื่องราวด้วยไม่คิดว่าในต้าหลิงจะมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น
“บ้านข้ายากจน ซ้ำยังถูกคหบดีใหญ่โกง พ่อแม่ข้าถูกฆ่าตาย พวกมันจะจับตัวข้าไป ขอคุณหนูโปรดช่วยข้าด้วย ข้ากลัว” นางเล่าความด้วยน้ำตานองหน้า และมีอาการสั่นกลัวเมื่อเห็นว่ามีกลุ่มบุรุษสามสี่คนกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้
“หญิงผู้นั้นเป็นคนของข้า คุณหนูโปรดส่งนางคืนด้วย” ชายร่างกำยำดูแล้วคงเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวทวงกับสององค์หญิง
“ฟังจากที่นางเล่าแล้วคงไม่ใช่เช่นนั้น” คราวนี้มู่หรงมู่หลันตอบกลับบ้าง
“คุณหนูทั้งสองคงไม่อยากมีเรื่องหรอกกระมัง นางเป็นหนี้ข้า หากพวกท่านอยากช่วยนางก็ชดใช้หนี้แทนนางเสียสิ” ชายผู้นั้นกล่าวข่มขู่
“ไยข้าต้องฟังคำท่านด้วยเล่า เรื่องนี้ไม่ชอบธรรม ควรส่งให้ทางการจัดการ” มู่หรงมู่หลันตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว
“หึ พวกท่านคงไม่รู้กระมังว่าข้าเป็นผู้ใด ทางการไม่อาจเอาเรื่องข้าได้” ชายหัวหน้ากลุ่มวางท่าโอหัง
“เช่นนั้นหรือ อาผิง จัดการคนพวกนี้ จากนั้นเจ้าจึงสืบสาวราวเรื่องถึงการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมของทางการแล้วส่งตัวผู้กระทำผิดให้ข้า ข้าจะลงโทษคนพวกนั้นอย่างเด็ดขาด” มู่หรงโม่ลี่ไม่อาจทนต่อไปได้
“เพคะ องค์หญิง” อาผิงรับคำ
“องค์หญิง!?” ไม่ทันได้หายตกใจกับฐานะของหญิงสาวที่กำลังมีเรื่องด้วย เหล่าชายร่างกำยำก็จำต้องก้มหน้ารับการลงทัณฑ์จากอาผิงซึ่งเหี้ยมโหดไม่แพ้ผู้เป็นนาย
“ส่วนเจ้า มีนามว่าอย่างไร” เมื่อเห็นว่าอาผิงรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์แล้ว มู่หรงมู่หลันก็หันกลับมาไถ่ถามหญิงสาวแปลกหน้า
“อิงอิงเพคะ” อิงอิงตอบผู้มีพระคุณ
“เช่นนั้นแล้วอิงอิง เจ้ามาอยู่กับข้าดีหรือไม่” ด้วยตัวนางไร้ซึ่งผู้ติดตามข้างกาย และอิงอิงเองก็มีบุคลิกและลักษณะดียิ่งหากฝึกฝนอีกหน่อยย่อมต้องเป็นผู้ช่วยที่ดีได้แน่นอน
“เพคะ ขอบพระทัยเพคะองค์หญิง” อิงอิงกล่าวดีใจจนน้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วพลันไหลนองออกมาอีกครา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา