มู่หลันกลางเหมันต์

-

เขียนโดย ลิ่วเม่ย

วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 เวลา 22.40 น.

  6 ตอน
  1 วิจารณ์
  5,950 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563 22.43 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ราชันย์แห่งสัตว์เวทย์ปรากฏ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

อิงอิงเข้าสู่วังหลวงในฐานะสาวใช้ข้างกายของมู่หรงมู่หลัน นางได้รับการฝึกฝนทั้งงานเรือนและงานยุทธ ยามนี้นางสำเร็จระดับสามัญอันหมายถึงระดับต่ำสุดของผู้ฝึกตน จำต้องรู้ว่าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เองก็เป็นเช่นแดนเนรมิตและแดนโลกียะที่มีระดับผู้ฝึกตนที่หลากหลาย หากแต่ที่นี่ผู้ฝึกตนจะมีรากฐานที่แข็งแกร่งอีกทั้งทั่วทุกสารทิศยังมีไอวิญญาณที่หนาแน่นจึงทำให้พัฒนาและก้าวข้ามระดับได้รวดเร็วมากกว่า ไม่แปลกที่เซียนและสวรรค์ย่อมต้องถูกพบมากที่สุด สำหรับอิงอิงนั้น เริ่มแรกองค์หญิงเจ็ดรู้สึกสงสารและเห็นใจนางมากด้วยต้องตกระกำลำบากและพลัดพรากจากครอบครัว หากแต่เมื่อรับนางเข้ามาอยู่ข้างกายแล้ว มู่หรงมู่หลันกลับรู้สึกชื่นชม อิงอิงแก่กว่านางเพียงหนึ่งปีแต่กลับเข้มแข็งนัก นางไม่เคยย่อท้อ แม้จะถูกทำร้ายมาก่อนก็ใช่ว่านางจะสิ้นกำลังใจ ตรงกันข้ามนางกลับใช้ความทนทุกข์เหล่านั้นเป็นสิ่งกระตุ้นสร้างเกราะคุ้มกันให้ตนเอง เวลาผ่านไปเพียงสองเดือนกว่า สาวใช้ข้างกายของมู่หรงมู่หลันคล้ายเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งที่เข้มแข็งและเก่งกาจแต่ก็อ่อนหวานเช่นอิงอิงคนเดิม แม้นางจะสถิตระดับสามัญซึ่งไม่นับว่าสูงส่งอันใดนัก แต่หากมองตามหลักกฎเกณฑ์ที่สามดินแดนต่างยึดถือ อิงอิงผู้นี้ก็นับได้ว่าสันทัดการยุทธมากกว่าผู้เป็นนาย ด้วยเหตุนี้มู่หรงมู่หลันจึงไว้ใจและให้ความเชื่อใจกับนางมากทีเดียว สองนายบ่าวใช้เวลาร่วมกัน ในยามฝึกยุทธกับองค์ชายองค์หญิงคนอื่น อิงอิงเองก็จะเป็นคู่ฝึกฝนให้กับองค์หญิงเจ็ดเสมอ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะรักและไว้ใจเพียงใด มู่หรงมู่หลันก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นกับนางให้สาวใช้ฟังแม้เพียงครั้งเดียว อิงอิงยามนี้จึงยังเข้าใจว่าองค์หญิงเจ็ดแห่งต้าหลิงนั้นปราศจากปราณยุทธ

เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงเดือนต้าหลิงก็จะมีงานฉลองครั้งใหญ่คืองานฉลองครบรอบ 15 ปีของมู่หรงมู่หลัน ทายาทคนเล็กของแว่นแคว้น ในแคว้นหลิงมีประเพณีที่เรียกว่าแตกต่างจากแว่นแคว้นอื่นคือในราชสำนักจะมีการจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเหล่าองค์ชายองค์หญิงแค่เพียงครบวัย 15 ปีเท่านั้น กล่าวได้ว่าหนึ่งชีวิตมีเพียงครั้ง

“องค์หญิงเพคะ หวางโฮ่วให้นางกำนัลนำฉลองพระองค์ที่เพิ่งตัดเสร็จมาให้ท่านลองสวมดูเพคะ” ยามซื่อของวันที่หนาวเหน็บวันหนึ่ง อิงอิงกล่าวแจ้งผู้เป็นนายเมื่อหน้าตำหนักมีสาวใช้นำอาภรณ์ที่นางจะต้องสวมใส่ในวันงานหยุดยืนอยู่

“เรียกพวกนางเข้ามาเถิด” มู่หรงมู่หลันรับทราบแล้วจึงอนุญาตให้สาวใช้ของตนพาคนเหล่านั้นเข้าไปในตำหนัก

“เพคะ” อิงอิงรับคำผู้เป็นนายและแยกออกไปทำตามคำสั่ง

เมื่อเหล่านางกำนัลจากตำหนักถางอ้ายได้เข้าสู่ตำหนักขององค์หญิงเจ็ดก็ได้นำอาภรณ์ยาวชุดหนึ่งออกมา อาภรณ์ชุดนี้มีสีแดงสดมองแล้วงดงามนัก เมื่อมันมาอยู่บนร่างของมู่หรงมู่หลันก็ยิ่งงดงามน่ามอง ไม่รู้ว่าเพราะชุดงามคนจึงงาม หรือเพราะคนงามจึงยิ่งทำให้ชุดยิ่งดูงาม อีกทั้งเมื่อสวมเครื่องประดับที่ทำจากทองแล้ว องค์หญิงเจ็ดมู่หรงมู่หลันจากองค์หญิงตัวน้อยก็พลันกลายเป็นยอดพธูที่งามสง่าดั่งเทพสวรรค์ ทุกผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็ถูกสะกดนิ่งด้วยภาพเทพเซียนชุดแดงนี้

ครั้นพบว่าไม่มีอะไรต้องแก้ไข อีกทั้งยังกระจ่างแจ้งว่าองค์หญิงเจ็ดของตนงดงามเพียงใด นางกำนัลจากตำหนักถางอ้ายจึงลากลับไปทูลหวางโฮ่ว

คืนก่อนวันสำคัญจะมาถึง มู่หรงมู่หลันกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ นางพลิกตัวไปมากว่าค่อนคืนแต่ก็ไม่อาจหลับตาลงได้ อิงอิงได้ยินเสียงผ้าเสียดสีกันไปมาจึงตื่นขึ้นและถามไถ่ผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง เมื่อได้ทราบว่าองค์หญิงของนางมีอาการคล้ายตื่นเต้น นางจึงอยู่คุยเป็นเพื่อนและในชั่วขณะหนึ่งนางได้หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากแหวนจัดเก็บที่ผู้เป็นนายเคยมอบให้พลางกล่าว

“องค์หญิง จริงๆ แล้วอิงอิงมีสิ่งหนึ่งอยากมอบให้ท่าน แต่เกรงว่าในวันงาน ท่านคงไม่อาจปลีกตัว อิงอิงจึงอยากมอบมันให้ท่านในยามนี้”

“นี่อะไรหรือ” มู่หรงมู่หลันกล่าวถามสาวใช้

“สิ่งนี้คือรากคนจี๋หลิน ท่านพ่อของอิงอิงก่อนตกทุกข์ได้ยากเคยทำงานขุดหาสมุนไพรอยู่ที่ชายแดน ครั้งหนึ่งโชคดีพบคนจี๋หลินรากนี้เข้าจึงนำกลับมา หากแต่ก็ไม่ได้ขายออกไปด้วยสมุนไพรนี้สรรพคุณมากนัก เก็บไว้ย่อมเป็นประโยชน์ ก่อนตายท่านพ่อได้มอบมันให้อิงอิง ยามนี้อิงอิงขอมอบมันให้องค์หญิงเพคะ”

“คนจี๋หลิน... ข้าเคยได้ยินหากแต่ก็ไม่เคยได้เห็น ยามนี้ได้เห็นแล้วต้องขอบคุณเจ้า ข้าจะนำมันไปปลูกในโรงสมุนไพร อย่างที่เจ้าว่าคนจี๋หลินประโยชน์มากนักแต่ในต้าหลิงกลับไม่ค่อยพบ” มู่หรงมู่หลันยินดียิ่งนักด้วยนางนั้นหลงใหลในพืชสมุนไพรอยู่ก่อนแล้ว

“องค์หญิง ท่านเคยไปเยือนแคว้นเป่ยหรือไม่เพคะ อิงอิงได้ยินมาว่าที่นั่นสมุนไพรนับร้อยชนิดเติบโตเต็มไปหมด” อิงอิงเมื่อเห็นว่านายาวของตนดีใจและชื่นชอบพืชที่มากคุณประโยชน์ยิ่งนักจึงเอ่ยถาม

แปดแคว้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นอกจากแคว้นหลิงแล้วก็นับแคว้นเป่ยได้อีกหนึ่ง เป่ยนั้นอยู่ทางเหนือของหลิง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชสมุนไพรและพืชพิษแตกต่างจากหลิงที่เต็มไปด้วยไอวิญญาณและปราณธาตุหนาแน่น เป่ยนับว่าเป็นจุดหมายหลักของผู้ฝึกตนสายเวทย์โอสถในขณะที่หลิงเป็นจุดหมายของผู้ฝึกตนในทุกแขนงด้วยปราณวิญญาณที่หนาแน่นจะช่วยเสริมรากฐานและสร้างความแข็งแกร่งเพื่อเตรียมพร้อมและเกื้อหนุนการฝึกเวทย์ในทุกรูปแบบ สองแคว้นแม้แตกต่างแต่ก็เป็นมิตรกันมาอย่างยาวนาน ในทุกๆ สิบปีต้าหวางของสองแคว้นจะกำหนดให้มีการเยี่ยมเยือนอย่างเป็นทางการโดยแต่งตั้งองค์ไท่จื่อเป็นราชทูต

“ข้าเองก็เคยได้ยินเช่นนั้นแต่ก็ยังไม่เคยได้ไปเยือนที่นั่น จริงๆ ข้าเองก็อยากไปสักครั้งแต่เสด็จพ่อเสด็จแม่คงไม่อนุญาต ถ้าจะไปคงต้องรอไปพร้อมเสด็จพี่ใหญ่เมื่อยามเยือนต้าเป่ยอย่างเป็นทางการกระมัง หรือเจ้าจะพาข้าไปดีเล่า” มู่หรงมู่หลันกล่าวกับสาวใช้พลางเอ่ยอย่างทีเล่นทีจริง

“อิงอิงน้อมรับคำสั่งเพคะ” สาวใช้คนงามตอบรับผู้เป็นนาย สองนายบ่าวหัวเราะร่วนให้กันก่อนที่อิงอิงจะจุดกำยานสมุนไพรที่ช่วยให้มู่หรงมู่หลันนอนหลับได้สบาย

ราตรีแห่งความฝันกลับมาอีกคราหลังจากห่างหายไปกว่าสองเดือนพร้อมกับปานแดงกลางหน้าผากของนาง ความฝันครั้งนี้ก็เป็นเฉกเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน จะแตกต่างก็เพียงความรู้สึกที่ชัดเจนมากขึ้นและเรื่องราวที่ต่อเนื่องกว่าเดิมช่วยให้นางคลายสงสัย นางจมอยู่ใต้ธารน้ำลึก รอบกายมีเพียงความเหน็บหนาวและความดำสนิท แม้หลับตาแต่นางกลับมีสติ นางกำลังจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ ยามเมื่อแผ่นหลังของนางแตะพื้นเรียบของก้นสมุทรก็มีเสียงเรียก ‘นายหญิง’ ดังขึ้นซ้ำๆ คล้ายเร่งเร้าปลุกให้นางตื่นและลืมตา

ความมืดมน ความหนาวเหน็บ เสียงเรียก... ฉับพลันนั้นนางรู้สึกเจ็บที่กลางหน้าผาก บริเวณซึ่งปรากฏปานแดง ความเจ็บปวดนั้นปลุกให้นางลืมตาขึ้น เสียงเรียกยังคงดังอย่างต่อเนื่อง นางพยายามมองหาเจ้าของเสียงเหล่านั้นแต่กลับไม่พบ นางคิดถอดใจแต่บริเวณปานแดงกลับยิ่งทวีความเจ็บปวด อีกทั้งเสียงเรียกนางก็ยิ่งทวีความดัง ชั่วขณะนั้นมีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว หากยามนี้นางอยู่ใต้น้ำ เจ้าของเสียงอาจอยู่ด้านบน เมื่อคิดได้ดังนั้นนางจึงข่มความเจ็บปวดและตั้งสติรวบรวมพลังพุ่งตัวผ่านความหนาวเหน็บและแผ่นน้ำแข็งหนาขึ้นไปยังเหนือน้ำ เมื่อถึงจุดหมายนางก็พบว่ารอบกายแปรเปลี่ยนจากดำกลายเป็นขาว และนางไม่ได้กำลังยืนอยู่เพียงลำพัง หากแต่รอบกายนั้นล้อมรอบไปด้วยเก้าสัตว์เวทย์ที่เมื่อนางปรากฏกายจึงเปลี่ยนร่างเป็นบุรุษและสตรี เก้าบุรุษสตรีคุกเข่าลงพร้อมกันแล้วจึงกล่าวว่า

‘ยินดีต้อนรับกลับมาขอรับ / เจ้าค่ะ นายหญิง’

‘จู้หลง เฟ่งหวง ไห่หยาง หวางซู่ เหย่หู เสวหลาง โหย่วสง เหม่ยหยวน หม่าเสอ สัตว์เวทย์ของข้า ขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าต้องรอนาน’นางยิ้มรับพลางเอ่ยตอบเหล่าสัตว์เวทย์

“องค์หญิงเพคะ ตื่นเถิดเพคะ” เสียงอิงอิงปลุกให้นางตื่นจากความฝันเพื่อมาพบว่ายามนี้นางไม่ได้อยู่บนแท่นนอนในตำหนัก หากกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนแคร่ไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง

“อิงอิง ที่นี่ที่ใดกัน” นางเอ่ยถามสาวใช้ข้างกายด้วยยังคงมึนงงและสับสนทั้งกับความฝันและความจริง

“ที่นี่ก็ต้าเป่ยอย่างไรเล่าองค์หญิงแห่งต้าหลิง” หากแต่เสียงที่ตอบกลับมากลับไม่ได้มากจากอิงอิง อีกทั้งคำตอบที่ได้รับก็ไม่ใช่สิ่งที่เคยคาดการณ์ไว้

ผู้มาใหม่เป็นบุรุษรูปร่างสูงกว่าเจ็ดฉื่อ การแต่งกายคล้ายคนสูงศักดิ์ของแคว้น ท่าทางและการพูดจาก็โอหังไว้ตัวยิ่งนัก

“ไท่จื่อ องค์หญิง คนผู้นี้คือไท่จื่อแห่งต้าเป่ย องค์ชายซ่งเฉินเพคะ” อิงอิงกล่าวคำนับบุรุษผู้ชิงตอบคำถาม จากนั้นจึงแนะนำคนผู้นั้นกับนาง

“ต้าเป่ย ไท่จื่อ นี่หมายความว่าอย่างไร อิงอิง อย่าบอกนะว่าเจ้า... เจ้าคงไม่ได้เป็นผู้พาข้ามาที่นี่ใช่หรือไม่” มู่หรงมู่หลันยามนี้นอกจากสับสนแล้วยังตื่นกลัวเช่นกัน นางกลัวว่าคนที่นางให้ความไว้วางใจจะหักหลังและทำร้ายนาง

“เจ้าทั้งไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลกเสียจริงมู่หรงมู่หลัน ถ้าไม่ใช่นางแล้วจะเป็นผู้ใดเล่า” เป็นซ่งเฉินที่ตอบนาง และคำตอบนั้นก็ได้ทำร้ายนางเป็นอย่างมาก

“เจ้าทำกับข้าได้เยี่ยงไร ข้าสู้เชื่อใจเจ้า... เจ้าฝ่าอักขระของต้าลี่ออกมาได้อย่างไร!?” มู่หรงมู่หลันถามสาวใช้เสียงสั่น พลันนึกขึ้นได้ว่าต้าหลิงโดยเฉพาะบริเวณวังหลวงปกคลุมไปด้วยเวทย์อักขระของมู่หรงโม่ลี่ ยากที่ผู้ใดจะฝ่าเข้าออกได้โดยง่ายหากไม่ได้รับอนุญาต

“บอกให้เจ้ารู้นางคือหนึ่งในยอดฝีมือระดับสวรรค์ของข้า” หากแต่คำตอบของไท่จื่อแห่งต้าเป่ยก็คลายความสงสัยของนางสิ้น

“เจ้าจับข้ามาด้วยจุดประสงค์ใด ไม่รู้หรืออย่างไรว่านี่จะเป็นการสร้างสงคราม ต้าเป่ยไม่มีทางเอาชนะต้าหลิงได้เจ้าก็รู้” สิ้นแล้วซึ่งความหวาดหวั่น ยามนี้มู่หรงมู่หรงถูกกระตุ้นด้วยความโกรธ นางเอ่ยข่มขู่บุรุษที่อยู่ตรงข้าม หากแต่ความผยองนั้นก็มลายหายไปเมื่อซ่งเฉินกล่าวคำออกมา

“หึ เจ้าคิดว่าอย่างนั้นหรือ โง่เง่า ข้าจะบอกเจ้าให้ เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ พวกพี่น้องของเจ้าจะไม่มีวันกล้าท้ารบกับพวกข้า ช่างน่าสงสาร ใครให้เจ้าอ่อนปวกเปียกแต่กลับเป็นที่รักใคร่ของพ่อแม่พี่น้องเจ้าเล่า ถ้าพวกนั้นอยากพาเจ้ากลับไปก็จำต้องนำแก่นวิญญาณและหินรวมปราณธาตุมาแลก เจ้ารู้หรือไม่ ตัวเจ้าเป็นเหมือนจุดอ่อนที่จะช่วยข้าทำลายบ้านเมืองของเจ้า เมื่อครอบครองทั้งไอวิญญาณและปราณธาตุ ต้าเป่ยก็จะเป็นใหญ่เหนือเจ็ดแว่นแคว้น”

ผ่านไปแล้วเกือบครึ่งวัน ยามนี้ที่ต้าหลิงคงรู้แล้วว่านางหายตัวไป หลังจากซ่งเฉินและอิงอิงที่กลับไปสู่ฐานะเดิมจากไปแล้ว มู่หรงมู่หลันก็ตั้งสติ สลัดความเสียใจและความกลัวทิ้งไป นางพยายามคิดหาวิธีเอาตัวรอด ไท่จื่อแห่งต้าเป่ยกล่าวโอ่กับนางว่าที่ๆ นางอยู่ล้อมรอบไปด้วยพืชพิษ พวกเขาไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้า หากคิดหนีก็คงไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่พวกเขาไม่รู้จักนาง นางมิได้ปวกเปียกเช่นที่ถูกปรามาศ เมื่อตระหนักได้ดังนั้น นางจึงเปิดประตูออกมาแล้วก็เห็นว่าภายนอกเป็นเช่นที่ถูกกล่าวเตือนเอาไว้ พืชพิชที่เพียงได้กลิ่นก็เจ็บปวดไปทั้งร่างกายอยู่ทั่วทุกสารทิศ นางกลั้นหายใจเรียกเสวียนปิงออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน กระบี่เวทย์แผ่ไอวิญญาณแข็งแกร่งพร้อมทั้งดูดดึงพลังแห่งสรรพธาตุทั่วทั้งบริเวณ มันปลดปล่อยไอแห่งเพลิงน้ำแข็งเข้าสกัดการแพร่กระจายของไอพิษรอบตัว เมื่อเส้นทางเปิดออก มู่หรงมู่หลันก็ออกตัววิ่งไป นางไม่รู้เส้นทาง คิดเพียงให้ออกพ้นบริเวณนี้ไปได้ก่อนแล้วจึงจะหาทางส่งข่าวให้พี่ๆ ของนางด้วยยามนี้เหล่าองค์ชายองค์หญิงคงแฝงตัวมาที่ต้าเป่ยเพื่อช่วยเหลือนางแล้ว

การณ์กลับไม่ง่าย เมื่อเห็นหน้าผาอันเป็นเครื่องหมายว่าใกล้ฝ่าพ้นแนวไอพิษ ขณะที่กำลังจะก้าวขาต่อไปมู่หรงมู่หลันกลับถูกสกัดโดยผู้ฝึกตนระดับสวรรค์ผู้หนึ่ง... เป็นอิงอิง อดีตสาวใช้โจมตีนางจากด้านหลัง กระบี่เวทย์หลุดมือตกหน้าผาลงไป นางล้มกลิ้งไปตามทางแต่ก็พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่ยามที่ไร้ซึ่งเสวียนปิง นางก็ไร้ซึ่งเกราะคุ้มกัน ยามนี้นางสูดไอของพืชพิษเข้าไปเต็มปอด อีกทั้งยามที่ล้มลุกคลุกคลาน ร่างกายของนางก็ถูกใบไม้บาดกิ่งไม้ทิ่มแทง ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยเลือดและเจ็บปวดทรมานไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ฉับพลันร่างของซ่งเฉินก็ปรากฏต่อหน้านางพลางกล่าวเหยียดหยาม

“เจ้าอยากไปที่หน้าผารึ เช่นนั้นข้าพาเจ้าไปดีหรือไม่ แม้เจ้าตายก็ไม่ส่งผลอันใดนักต่อแผนการของข้า” เมื่อพูดจบ ซ่งเฉินก็โยนร่างโชกเลือดของนางไปทางหน้าผานั้น ยามนี้นางไร้ซึ่งทางสู้ ได้แต่หลับตายอมรับชะตากรรม หากแต่เมื่อร่างลอยพ้นขอบหน้าผา ภาพความฝันและเรื่องราวที่นางไม่เคยเห็นแต่กลับคุ้นเคยก็พลันปรากฏในความคิด ก่อนที่ร่างงามจะตกลงสู่เบื้องล่างก็พลันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเหนือท้องฟ้าต้าเป่ย มีดินแดนประหลาดปรากฏขึ้นกลางท้องนภา และสิ่งที่สร้างความตกใจไปยิ่งกว่านั้นก็คือมีสัตว์เวทย์สีขาวราวหิมะขนาดมหึมาบินออกมาจากดินแดนเหนือฟ้านั้นพุ่งสู่พื้นน้ำเบื้องล่างก่อนจะกลับขึ้นมาเบื้องบนพร้อมด้วยมู่หรงมู่หลันที่มีกระบี่เวทย์เสวียนปิงในมือบนหลังของสัตว์เวทย์ตัวนั้น

“มังกร!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา