Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ

-

เขียนโดย MoMoGa

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.

  26 บท
  4 วิจารณ์
  20.88K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ตอนที่ 4-1 จ้าวมังกรฟ้าแห่ง 7 ดารา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            วันจันทร์ที่ 29 เมษายน เวลา 12.26 นาฬิกา

            มาซามุเนะที่กำลังกินข้าวกลางวันที่ดาดฟ้าของโรงเรียนอยู่ ได้เรียก อิโนะอุเอะ ซาโยโกะให้มาหาเขาระหว่างพักกลางวัน ระหว่างที่มาซามุเนะรออยู่นั้น เขาก็ได้ครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา

            “ว่าไง มาซามุเนะ เรียกฉันมามีอะไรรึเปล่า หรือจะสารภารความในใจ?”

            ซาโยโกะตบที่ไหล่มาซามุเนะจากด้านหลังพร้อมกับทักทายอย่างติดตลก น้ำเสียงของเธอไม่เหมือนตอนที่เธอคุยเรื่องชมรมเลยสักนิด

            “รุ่นพี่รู้เรื่องการต่อสู้ของพวกผมเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้วใช่ไหมครับ”

            มาซามุเนะเข้าเรื่องอย่างไม่รีรอ เขาใช้น้ำเสียงที่แสดงถึงความจริงจังออกมา

            “ใช่ มีอะไรรึเปล่า”

            ซาโยโกะยังใช้น้ำเสียงที่ยังไม่จริงจังเหมือนเดิม ไม่เหมือนเวลาพูดคุยเรื่องพลังจิตตามปกติที่เธอจะใช้น้ำเสียงที่ทำให้รู้สึกเครียดตามไปด้วย

            “รุ่นพี่รู้รึเปล่าครับ ที่โรงพยาบาลในเช้าวันถัดมา อลิซาเบธบอกกับผมว่า คาวาวากิ คุออนมีพลังจิตครับ เธอบอกว่าในตอนที่ถูกจู่โจม ศัตรูกางอาณาเขตไว้แล้ว คุออนที่ควรจะถูกจับแยกกับอลิซาเบธ แต่เธอกับยังอยู่ในอาณาเขต แล้วสุดท้าย เธอก็ถูกจับไปเป็นตัวประกันครับ รุ่นพี่คิดว่ายังไง อยู่ๆคนที่ไม่มีความรู้ของโลกทางนี้ ก็ต้องเข้ามาพัวพันอย่างไม่มีทางเลี่ยง มันไม่แปลกไปหน่อยหรอครับ?”

            “.....”

            ซาโยโกะนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ดูเหมือนว่าเธอกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ มาซามุเนะจ้องมองเธออย่างรอคำตอบ

            “นั่นสินะ แล้วนายจะทำยังไงล่ะ มาซามุเนะ”

            “ไม่รู้เหมือนกันครับ ใจจริงผมก็อยากจะผลักดันให้เธอออกไปเหมือนกัน เธอยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมีพลังจิต แถมยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพลังจิตเลยด้วย”

            มาซามุเนะพูดอย่างตัดพ้อถึงคุออนด้วยความรู้สึกว่าเธอไม่ควรเข้ามายุ่งกับ

            “มาซามุเนะ ดูอย่างฉันสิ ฉันไม่มีพลังจิตแท้ๆ แต่ก็เข้ามายุ่งเรื่องนี้ เพราะว่าฉันต้องการยังไงล่ะ นายลองคิดดูสิ ถ้าคุออนคุงเขาอยากเข้าด้วยความสมัครใจล่ะ นายน่าจะก่อนนะ”

            ซาโยโกะพูดพร้อมกับผ่ายมือไปมา มาซามุเนะก้มหน้าลงอีกครั้ง

            “ขอบคุณนะครับ รุ่นพี่”

            มาซามุเนะเดินจากซาโยโกะไปโดยไม่พูดอะไรมาก เธอได้แต่ยืนมองเขาจากข้างหลัง

            มาซามุเนะนั้นกำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียนของตัวเองเพื่อรอเรียนในคาบบ่าย ทางเดินระหว่างดาดฟ้าของอาคารเรียนกับห้อง 3 ของมาซามุเนะนั้น ต้องผ่านห้อง 2 และ 1 ของปีเดียวกันด้วย ระหว่างทางมาซามุเนะกะว่าจะไปปรึกษาเรื่องของคุออนกับ โอคาซากิ อากิโอะ ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเด็กและเป็นผู้ใช้พลังจิตเหมือนกัน ในตอนที่มาซามุเนะยืนอยู่หน้าห้อง 1 ซึ่งเป็นห้องเรียนของอากิโอะ เขาแอบมองอยู่หน้าห้องชั่วครู่ก่อนที่จะเรียกอากิโอะ แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะเปล่งเสียงออกมานั้น ก็มีมืออันบอบบางแตะที่ไหล่ทั้งสองข้างของเขา

            “จ๊ะเอ๋ มาแอบมองหาใครอยู่หรอ มาซามุเนะคุง”

            มาซามุเนะสะดุ้งกับมือและเสียงที่มาจากด้านหลัง มันเหมือนเหตุการณ์ในเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วเขาพึ่งเข้าชมรมไม่มีผิด ตอนนั้นมาซามุเนะก็มาแอบมองเหมือนกัน แต่ครั้งนี้เขาตั้งใจที่จะไปหาอากิโอะ

            “คุออน ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยสักหน่อย ตอน 4 โมงเย็น เจอกันที่หน้าโรงเรียนนะ”

            มาซามุเนะหันมาพูดกับคุออนด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูจริงจัง คุออนที่ได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่เธอก็ยิ้มขึ้นมาแล้วพยักหน้าตอบรับ มาซามุเนะจึงเดินออกมาโดยไม่ได้พูดคุยกับอากิโอะตามที่ตัวเองหวังไว้ อากิโอะสังเกตเห็นมาซามุเนะตั้งแค่ที่เขาแอบมองเข้ามาที่ห้องแล้ว แต่ในจังหวะที่เขาจะเข้าไปทักมาซามุเนะนั้น คุออนก็โผล่ออกมาก่อน เขาสามารถรับรู้ความต้องการของเพื่อนสนิทของตัวเองได้จากสีหน้าระหว่างที่กำลังคุยกับคุออน นั่นทำให้เขาตัดสินใจไม่เข้าชมรมของตัวเองหลังเลิกเรียน แต่จะไปหามาซามุเนะที่ห้องชมรมพลังจิตแทน ทางด้านมาซามุเนะนั้นเขารู้ตัวดีว่าควรจะเข้าไปหาอากิโอะก่อน แต่เพราะเขายังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าคุออน ทำให้เขาเดินออกมาโดยพูแบบนั้นออกไป ทางด้านคุออนนั้น เธอยังรู้สึกสงสัยในเรื่องพลังจิตที่มาซามุเนะอธิบายออกมาไม่หาย ตัวเธอก็อยากที่จะถามมาซามุเนะเกี่ยวกับพลังจิตเพิ่มเติมเหมือนกัน แค่ก็รู้ว่าหน้าห้องเรียนที่มีคนอยู่เยอะคงไม่เหมาะที่จะถาม แถมดันถูกนัดให้เจอกันที่หน้าโรงเรียงอีก นั่นเลยทำให้ข้อสงสัยของเธอไม่ลดลงและยังเพิ่มขึ้นอีก ช่างน่าปวดใจซะจริง

            “เราจะต้องคุยเรื่องพลังจิตกับคุออนอย่างตรงไปตรงมาแล้วผลักดันให้เธอออกจากโลกแบบนี้ให้ได้”

            “คิดว่ามาซามุเนะคงไปที่ห้องชมรมหลังเลิกเรียนนั่นแหละ เราจะต้องถามเรื่องที่อยากจะบอกเราเมื่อตอนกลางวันให้ได้”

            “มาซามุเนะคุงเป็นอะไรไปนะ แถมยังนัดเจอเราซะด้วย จะชวนไปเดตรึเปล่านะ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงถามเรื่องพลังจิตอะไรนั่นได้ล่ะมั้ง เอาเถอะ ตื่นเต้นจังเลยแหะ”

            นั่นคือสิ่งที่ มาซามุเนะ อากิโอะและคุออนคิดอยู่

            วันเดียวกัน เวลา 15.06 นาฬิกา

            มาซามุเนะกำลังนั่งอ่านเอกสารการค้นคว้าที่มายาซาว่าจัดทำขึ้น เนื่องจากปกติแล้ว สมาชิกในชมรมทุกคนยกเว้นมาซามุเนะจะมีชมรมประจำของตัวเองอยู่แล้ว นั่นจึงทำให้มาซามุเนะแน่ใจว่าเขาจะได้อยู่ในห้องชมรมคนเดียวอย่างแน่นอน แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อมีเสียงฝีเท้าเดินตรงมาที่ห้องจากระเบียงทางเดิน นั่นนับเป็นเรื่องที่ผิดปกติเป็นอย่างมากสำหรับอาคารตึกที่เลิกใช้ไปแล้ว

            “ไม่ใช่อาจารย์มายาซาว่าแน่ๆ อาจารย์บอกว่ามีธุระด่วน วันนี้ก็เลยจะไม่เข้ามาที่ชมรม ใครกันนะ หรือว่า...”

            มาซามุเนะคิดพร้อมกับตัดสินใจที่จะเข้าไปแอบในตู้เก็บ เขารีบเข้าไปแอบโดยทันที ในขณะที่เสียงฝีเท้านั้นดังเขามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ มาซามุเนะจึงคิดทบทวนถึงคนที่สามารถมายังห้องนี้ได้ แต่ไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น

            “มาซามุเนะ ออกมาเถอะ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

            มาซามุเนะยังไม่เชื่อหูตัวเอง เขาแง้มประตูตู้ออกดู สิ่งที่ดวงตาของเขาเห็นก็คือ อากิโอะที่วางกระเป๋าลงบนโต๊ะ หันหน้าไปมา เขาออกมาจากตู้ด้วยท่าทีที่ดูโล่งอก พร้อมยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัว

            “คร้าบๆ ยอมให้จับแล้วคร้าบ”

            มาซามุเนะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดุผ่อนคลาย แต่อากิโอะนั้นไม่ได้มีท่าทีที่จะเล่นกับเขาเลย มีแต่ใบหน้าที่ดูเคร่งเครียด

            “ไม่สมกับเป็นนายเลยนะ อากิโอะ มีอะไรก็ค่อยๆพูดก็ได้ ฉันจะได้ไม่ต้องเกรงด้วยไง”

            “สิ่งที่ฉันจะอยากรู้ก็คือคำถามที่นายอยากจะถามฉันนั่นแหละ มาซามุเนะ นายน่ะ เมื่อตอนกลางวันมีอะไรอยากจะพูดใช่ไหมล่ะ ถึงได้มาที่ห้องฉันน่ะ”

            อากิโอะพูดสิ่งที่ตัวเองมั่นใจว่าถูกต้อง มาซามุเนะเดินไปเปิดตู้เย็นของห้อง หยิบชาอู่หลงออกมา เปิดฝา แล้วรินลงแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะ

            “สิ่งที่ฉันอยากจะถามจากนาย ก็คือความคิดเห็นของนายน่ะ ความมคิดเห็นเกี่ยวกับพลังจิตของคุออนกับนายน่ะ อลิซาเบธติดต่อไปที่นายก่อนที่เธอจะหายไปใช่ไหม มันเป็นเรื่องคุออนรึเปล่า”

            มาซามุเนะเปิดประเด็นคำถามตามที่อากิโอะต้องการ และที่เขาบอกว่า “อลิซาเบธติดต่อไปหาก่อนที่เธอจะหายตัวไป” นั่นหมายความว่า หลังจากเรื่องนั้นแล้ว อลิวาเบธก้ได้หายตัวไปโดยไม่มีการบอกว่าไปไหนทันที มาซามุเนะจึงคิดว่าเธอน่าจะไปเรียนที่โรงเรียนที่ตัวเองอยากเรียน เพราะเหตุผลที่เธอมายังเมืองนี้ก็คือการมาตามหาโรงเรียนที่ต้องการจะเรียนนั่นเอง

            “อืม ใช่แล้วล่ะ เธอโทรมาบอกฉันว่าคุออนมีพลังจิตน่ะ ตามการสันนิษฐานของเธอ ฉันก็คิดว่าเธออาจจะมีจริงๆนั่นแหละน่ะ”

           “อาณาเขตโลกเสมือนสินะ เธอบอกว่า มันเป็นเขตแดนที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นที่ประลองสำหรับผู้ใช้เวทมนตร์ ถูกสร้างขึ้นมาโดยคุณปู่ของเธอ หลักการทำงานก็คือ การส่งออร่าเข้าไปในอุปกรณ์รูปแบบสวิตซ์ หรือก็คือการส่งพลังจิตเข้าไป อุปกรณ์นั่นจะทำการแผ่ขยายคลื่นพลัง แล้วแสดงออกมาในรูปร่างของโลกเสมือนจริง ตามชื่อของมัน ถึงแม้สิ่งก่อสร้างใดจะถูกทำลายลงในโลกนั้น ในโลกความจริงมันก็จะคงอยู่เหมือนเดิม ที่จะมีแต่ผู้มีออร่ารูปแบบนั้นเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ ตัวคนที่มีพลังจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังโลกเสมือนที่ถูกสร้างขึ้น คนทั้งโลกที่ไม่มีพลัง จะโดนลบความทรงจำเกี่ยวกับผู้ที่เข้าไปจนกว่าอาณาเขตจะคลายลง หรือเจ้าตัวจะออกมาจากอาณาเขตได้ก่อน รัศมีของอาณาเขตจะขึ้นอยู่กับพลังที่ใช้ในการกางอาณาเขต ดูนี่สิ”

           มาซามุเนะยื่นอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของเข้า มันเป็นแท่งสีขาวใสบริสุทธิ์ ส่วนปลายนั้นมีอะไรบางอย่างยื่นออกมา สวิตซ์นั่นเอง เมื่ออากิโอะเห็นมันก็เข้าใจดี มันคืออุปกรณ์กางอาณาเขตนั่นเอง

           “ตอนที่อลิซาเบธเล่าเรื่องพลังจิตของคุออนออกมา เธอก็ยื่นสิ่งนี้มาให้ฉัน เธอคงจะอยากให้ฉันพิสูจน์มันด้วยตาตัวเองน่ะ ถ้าคุออนเข้ามาในอาณาเขตที่ฉันสร้างได้สร้าง ฉันจะคุยกับเธอเรื่องโลกแห่งนี้ให้เธอได้รู้ และจะดันเธอออกมาจากโลกแห่งนั้น ฉันจะทำให้เธอเลิกสนใจไปเลย”

           “แล้วนายจะทำยังไงล่ะ นายจะทำให้เธอเลิกสนใจได้จริงหรือไงกัน ยัยนั้นเป็นคนที่มีเพอร์เฟคเมมโมรี่นะ”

           อากิโอะเถียงมาซามุเนะออกมา สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงทั้งหมด คาวาซากิ คุออน เป็รเด็กพิเศษที่เกิดมาพร้อมีกับความสามรถเพอร์เฟคเมมโมรี่ นั่นคือสิ่งที่เธอจดจจจำมันได้แล้วครั้งหนึ่ง เธอจะไม่มีวันลืมมันได้เลย มาซามุเนะรู้ถึงสิ่งนั่นดี เพราะเขาเป็นคนที่ตั้งชื่อให้ความสามารถของเธอเองนั่นเอง มันจึงทำให้มาซามุเนะคิดไม่ตกตั้งแต่ตัดสินใจอย่างนั้นไป

           “ฉันจะทำทุกอย่างนั่นแหละ แม้จะทำให้ตัวตนของฉันหายไปก็ยอม!!!”

           มาซามุเนะพูดออกมาโดยไม่ได้คิดไตร่ตรองก่อน มันคำพูดจากใจของเขาล้วนๆ อากิโอะเข้าใจถึงจุดนั้นดี เขายกแก้วชาอู่หลงขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด แล้ววางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม

           “ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามนายเถอะ เอาจริงๆถึงฉันจะห้ามนายไปนายก็ไม่ฟังใช่ไหมล่ะ”

           อากิโอะพูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้น ตู้เย็นของห้องถูกเปิดอีกครั้ง สิ่งที่เขาหยิบออกมาก็คือขนมห่อที่พึ่งออกมาใหม่นั่นเอง มันกำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้อากิโอะใช้กรรไกรตัดเปิดปากห่อออกมา หยิบขนมในห่อยื่นให้มาซามุเนะ

           “อาจารย์มายาซาว่าซื้อมาสินะ ยังชอบกินอะไรแบบนี้อยู่เรื่อยเลยสินะ”

           “นายเองก็ชอบไม่ใช่หรือไง ตอนที่ฉันไปค้างบ้านนาย ยังเปิดตู้เย็นเจอขนมอยู่เยอะแยะเลยนี่”

           “นากิสะต่างหากที่ซื้อมา แล้วหยิบขนมของอาจารย์ออกมากิแบบนี้จะไม่เป็นอะไรหรอ คราวก่อนแค่ทำฟิกเกอร์หล่น ยังโดนมีดแท่งเลยนะ”    

           หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็คุยกันไปพลาง กินขนมไปพลาง เป็นเวลากว่า 40 นาที มาซามุเนะดูนาฬิกาแล้วออกไปจากห้องทันที

           “เป็นไงเป็นกันล่ะ”

          

 

 

 

 

 

 

 

           มาซามุเนะเดินตรงไปที่ประตูโรงเรียนที่เป็นจุดนัดพบ ในมือขวาของเขานั้นลวงกระเป๋ากางเกงอยู่ โดยที่ในกระเป๋ากางเกงนั้นมีสวิตซ์สำหรับกางเขตแดนอยู่อีกที เมื่อเขาเดินไปถึงจุดที่สามารถมองเห็นประตูโรงเรียนจากระยะไกลแล้ว คุออนที่รออยู่ก็หันมามองเห็นพอดี เธอโบกมือมาทางเขาที่กำลังเดินเข้าไปหา เขาโบกมือซ้ายที่วางอยู่กลับแล้วยิ้มให้

           มาซามุเนะตัดสินใจกดสวิตซ์ที่อยู่ในมือซ้าย เขารู้สึกว่าถูกดูดพลังเข้าไปในสวิตซ์ แต่เขาก็สามารถควบคุมการดูดนั้นได้ เขากดสวิตซ์ลงแล้วปล่อยมือออกทันที เพราะฉะนั้น อาณาเขตที่ถูกกางนั้นก็คงจะมีรัศมีไม่มากเท่าไหร่ แต่เมื่อเขาปล่อยมือออกมาจากสวิตซ์ มันก็เหมือนกับมีออร่าสีขาวแผ่ขยายไปทั่วพื้นที่ มันกินรัศมีเกิน 1 กิโลเมตรไปแล้ว เขารู้ตัวทันทีว่าพลังงานนั้นหายไปค่อนข้างมาก แต่เมื่อออร่าสีขาวที่แผ่ขยายออกไปเสถียร ผู้คนรอบตัวเขาก็สลายหายไป เขาภาวนาอยู่ลึกๆภายในใจว่าขอให้ไม่มีใครรอบตัวเขาเลยสักคน แต่สิ่งที่ได้นั้นก็คือ คาวาซากิ คุออนที่ทำท่ามางตกใจอยู่ข้างหน้าเขา มาซามุเนะจึงรีบเดินไปหาเธอทันที

           “คุออน นี่คืออาณาเขตโลกเสมือนที่ฉันเป็นคนกางขึ้นมาเอง มันทำหน้าที่สร้างโลกเสมือนที่จะมีแต่ผู้ที่มีพลังจิตเท่านั้นที่จะเข้ามาได้”

           มาซามุเนะพูดขึ้นมาในตอนที่คุออนมองหน้าเขาด้วยความสงสัย

           “เธอเข้าใจความหมายรึเปล่า มันหมายความว่าคนที่อยู่ที่นี่มีแต่คนที่มีพลังจิตเท่านั้นยังไงล่ะ นั่นหมายถึง ตัวเธอมีพลังจิตอยู่ด้วยถึงเข้ามาที่นี่ได้”

           “ฉันมีพลังจิตงั้นหรอ”

           ท่าทางของดูตกใจเล็กน้อย แต่เธอก็ยิ้มออกมา

           “งั้นแปลว่า ฉันกับมาซามุเนะก็มีพลังจิตเหมือนกันสินะ ดีจัง”

           “จะบ้ารึเปล่า การมีพลังจิตมันไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ มันพาลแต่จะเป็นภาระซะด้วยซ้ำ ดูฉันกับอากิโอะสิ ต้องเข้าไปยุ่งในเรื่องที่ช่วยไม่ได้ตั้งหลายครั้ง หลังจากนี้ฉันคิดก็ว่าจะมีเรื่องยุ่งๆ ไม่สิ เรื่องอันตรายอีกเยอะแน่นอน ฉันไม่อยากให้เธอเข้ามา…”

           มาซามุเนะพูดไม่ทันจบประโยค น้ำตาของเขาก็ไหลออกมา เขาจึงก้มหน้าลงปกปิดความเป็นห่วงของตัวเองที่มีต่อคุออน คุออนทำท่าคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับไป

           “ถ้างั้นนายก็ปกป้องฉันสิ ฉันมีพลังจิต ดังนั้นก็ต้องเข้าไปยุ่งด้วยแน่ จากเรื่องที่นายเล่ามา ศัตรูเล็งที่จะเล่นงานคนที่มีพลังจิตในเมืองนี้ใช่ไหมล่ะ มันก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะต้องเข้าไปยุ่ง แต่นายไม่อยากให้ฉันเข้าไปยุ่งเพราะกลัวฉันจะมีอันตราย งั้นนายก็ปกป้องฉันซะสิ”

           คุออนตอบมาซามุเนะกลับไปด้วยความเป็นจริงที่ตัวเขาเป็นคนเล่าให้เธอฟังทั้งหมด แล้วเสนอทางออกที่ง่ายแสนง่ายให้ตัวเขา เมื่อเธอพูดเสร็จก็เขาไปเช็ดน้ำตาให้เขา มาซามุเนะเงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับทำสีหน้าเอือมระอาต่อข้อเสนอของเธอ ทั้งที่เขายังมีคราบน้ำตาเหลืออยู่ให้เห็นได้ชัดเจน

           “เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะเธอน่ะ ฉันคิดไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องโดนปฏิเสธแน่ๆ ก็เป็นเธอนี่นะ เป็นลูกคนที่เดียวที่เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น...”

           มาซามุเนะต้องหยุดพูดกลางคัน เมื่อเห็คุออนมีท่าทีแปลกไปเมื่อเขาพูดเรื่องครอบครัวเธอออกมา เธอเอามือทั้งสองข้างจับที่เข่าของตัวเอง ทำท่าทีเหมือนกับอ่อนแรง ทั้งที่เธอเป็นคนแข็งแรง ไม่ใช่คนที่จะเหนื่อยง่ายถึงขนาดทรุดทั้งที่ยืนอยู่

           “คุออน เป็นอะไรรึเปล่า”

           “อะ...อืม โทษทีนะ แต่จู่ๆก็รู้สึกเหมือนกับว่าฉันลืมอะไรที่สำคัญมากๆไปน่ะ”

           มาซามุเนะพยุงคุออนไปนั่งที่ม้านั่งที่อยู่ติดกับรั้วโรงเรียน พร้อมกับยกเลิกการกางอาณาเขตลง

           “ขอบคุณนะ รู้สึกดีขึ้นมามากแล้วล่ะ แล้วมาซามุเนะคุงจะกลับบ้านรึยังล่ะ”

           “ฉันคิดว่าจะแวะร้านสะดวกซื้อซะหน่อยน่ะ มี...”

           ”บังเอิญจังเลย ฉันก็มีของที่ยากซื้ออยู่พอดีเลยล่ะ งั้นเรากลับด้วยกันเป็นไง”

           คุออนชวนมาซามุเนะกลับบ้าน ดูแล้วก็เป็นเรื่องปกติ แต่มาวามุเนะรู้สึกทะแม่งๆกับคำพูดของเธอ แต่เมื่อเขากำลังจะอ้าปากเพื่อพูดปฏิเสธ คุออนก็กล่าวออกมาว่า “เมื่อวันอาทิตย์ก็ไม่ได้ไปสวนสนุก” นั่นจึงทำให้เขาตอบปฏิเสธไม่ลง จึงต้องจำใจให้เธอตามมาด้วย

          

 

 

          

 

 

 

 

 

 

 

 

           “นี่มันยังไงกันคะ? ท่านพี่”

           หลังจากที่มาซามุเนะและคุออนซื้อของที่ต้องการจากร้านสะดวกซื้อเสร็จแล้ว เขาที่คิดว่าเธอจะแยกย้ายกลับบ้าน แต่เขานั้นคิดตื่นไป

           “ฉันอยากเห็นบ้านของมาซามุเนะคุงจังเลย แล้วก็อยากไปหานากิสะจังด้วย”

           ด้วยคำพูดนั้นที่คุออนพูดออกมา เขาก็ต้องยอมให้เธอตามมาจนถึงที่บ้านเลย แต่เมื่อมาถึงแล้ว นากิสะที่รอมาซามุเนะกลับมาจึงรู้สึกแปลกใจ นั้นทำให้มามุเนะทำไม่ถูก แต่คุออนก็แค่มาทักทายนากิสะแล้วก็กลับไปเฉยๆ แล้วก็ยอมกลับไปแต่โดยดี แต่นากิสะดูเหมือนจะไม่พอใจอะไรสักอย่าง

           “ไหนท่านพี่บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับคุออนจังไงคะ? แล้วทำไมเธอถึงได้กลับกับท่านพี่ล่ะ”

           หลังจากที่คุออนกลับไป นากิสะก็ถามมาซามุเนะเป็นการใหญ่

           “ก็เพื่อนกันกลับบ้านด้วยกันมันผิดตรงไหนกันเล่า แล้วทำไมเธอต้องโกรธพี่ดด้วยเนี่ย”

           “ก็หนูไม่อยากให้ท่านพี่ไปมีผู้หญิงคนอื่นนี่นา ท่านพี่เป็นท่านพี่ของหนูคนเดียวนะคะ”

           นากิสะพูดพร้อมกับเข้ามากอดมาซามุเนะที่ยืนอธิบายกับเธออยู่กลางห้อง แต่มาซามุเนะก็ใช้แขนทั้งสองข้ายันตัวเธอเอาไว้

           “อะไรกันเล่า เราเป็นพี่น้องกันนะ แล้วเธอก็เข้าเรียนมัธยมแล้วนะ ทำมยังไม่ย้ายไปบ้านใหม่สักทีเนี่ย”

           บ้านใหม่ที่มาซามุเนะพูดถึง คือบ้านที่พ่อและแม่ของนากิสะ หรือก็คือญาติของมาซามุเนะนั้นซื้อไว้ให้ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของนากิสะที่มาเรียนที่เมืองนี้

           “จะว่าไปแล้ว ท่านพ่อบอกมาว่าท่านพี่จะไปอยู่ด้วยก็ได้นะคะ ท่าพี่จะได้ไม่ต้องอยู่ในห้องแคบๆนี้”

           “เธอไปอยู่บ้านหลังนั้นเถอะ ฉันจะอยู่ที่นี่เอง”

           “เอ๋ ทำไมล่ะคะ?”

           “ก็เวลาจะนอนทีไร เธอก็โผล่ออกมาจากผ้าห่มทุกทีเลยนี่! คิดจะทำอะไรกันแน่”

           เมื่อมาซามุเนะบอกเหตุผลไป เขาก็เผลอนึกถึงประสบการณ์สยองที่เคยเจอ มาซามุเนะที่กำลังอาบน้ำอยู่ อยู่ๆนากิสะก็เปิดประตูห้องน้ำเข้ามาพร้อมตะโกนว่า “เดี๋ยวหนูขัดหลังให้ท่านพี่นะคะ” นากิสะอยู่ในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว แต่มาซามุเนะนั้นอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าทั้งตัว แน่นอนว่าเขารีบล็อคประตูห้องทันที แต่เมื่อนากิสะได้ยินมาซามุเนะพูดอย่างนั้นแล้วสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่น่ากลัวอย่างมาก

           “ฉันออกไปซื้อของก่อนละกัน อยู่ๆก็โผล่มาแบบนี้ ต้องไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารเพิ่มอีก คราวหลังก็บอกก่อนมาสิ”

           มาซามุเนะหาเรื่องออกจากห้องที่มีบรรยากาศแปลกๆทันที

           “งั้นเราไปกินข้าวนอกบ้านเป็นไงคะ ท่านพ่อส่งตั๋วทานอาหารที่ภัตตาคารหรูสำหรับเราสองคนมาด้วยล่ะค่ะ”

           ไม่จริง เรื่องที่นากิสะพุดออกมานั้นมีเรื่องโกหก เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เธอได้คุยกับพ่อของเธอทางโทรศัพท์ เธอเล่าเรื่องที่เธอได้เจอเพื่อนๆขอมาซามุเนะ และพ่อของเธอก็ส่งตั๋วสำหรับท่าอาหารมาให้ แต่ไม่ใช่สำหรับสองคน แต่พ่อของเธอส่งมาเผื่อ อากิโอะ คุออนและอลิซาเบธด้วย

           “ไม่ล่ะ วันนี้ฉันมีเมนูที่อยากทำอยู่แล้วน่ะ”

           มาซามุเนะเดินออกจากห้องมาพร้อมกับบอกปฏิเสธข้อเสนอของนากิสะไป แต่เธอก็เดินออกมาจากห้องด้วย พร้อมกับพูดว่า “หนูก็มีของที่ต้องซื้อค่ะ”

           “จะซื้ออะไรล่ะ เดี๋ยวฉันซื้อมาให้”

           มาซามุเนะไม่อยากให้เธอมาเกะกะการเลือกซื้อของในร้าสะดวกซื้อ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจของเขาได้เป็นอย่างดี

           “ท่านพี่ค่ะ หนูก็มีของที่หนูอยากซื้อแต่บอกกับท่านพี่ไม่ได้อยู่นะคะ”

           นากิสะพูดออกมาพร้อมกับยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม นั่นจึงทำให้มาซามุเนะต้องให้เธอตามมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ระหว่างทางนั้น มาซามุเนะพยายามเลี่ยงไม่พูดคยกับนากิสะ เพราะเขากลัวร้อยยิ้มนั้นของเธอนั้นเอง และสิ่งที่ช่วยเขาก็ปรากฏ

           “อ้าว คุณเจ้าของ สวัสดีครับ”

           “อะ...เอ่อ สวัสดีเช่นกันค่ะ”

           มาซามุเนะเห็นเจ้าของห้องที่เขาเช่าเดินมา เขาทักทายอย่างเป็นมิตร ต่างกับนากิสะที่มีความสามารถในการเข้าหาคนอื่นเป็นศูนย์ เธอพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก แต่เจ้าของบ้านที่เป็นผู้หญิงวัยชราที่ดูท่าทางใจดีทักทายกลับอย่างเป็นมิตรเช่นกัน

           แต่ทันใดนั้น ร่างกายของเจ้าของบ้านก็มลายสลายไปต่อหน้ามาซามุเนพและนะกิสะ มาซามุเนะคือเห็นการสลายแบบนี้มาก่อนแล้ว มันคือการเคลื่อนย้ายพวกตนเข้าสู่โลกเสมือนนั่นเอง

           นากิสะและมาซามุเนะเอาหลังชนกัน มีออร่าออกมาจากตัวทั้งคู่ สิ่งที่โผล่ออกมานั้นก็คือ ลูกไฟสีดำพุ่งเข้าใส่ทั้งคู่ มาซามุเนะกับนากิสะจึงกระโดดออกจากกันเพื่อหลบลูกไฟนั้น อีกไม่กี่วินาทีต่อมา เจ้าของการโจมตีอย่างกะทันหันนั้นก็ปรากฏตัว เขายืนอยู่บนแผ่นวงกลมอันราบเรียบและโปล่งใส มันถูกวาดด้วยลวดลายที่ให้ความรู้สึกอ่อนช้อย แต่ตัวคนที่ยืนอยู่บนวงกลมนั่นไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกันเลยสักนิด เขาสวมผ้าคลุมสีดำที่กลัดไว้บริเวณลำคอ สวมเสื้อเชิ้ตสีเทาลายขวางแนวตั้งสีดำ มีผมสีทองตั้งโด่แหลมเหมือนกับจงใจเซ็ตไว้อย่างนั้น ใบหน้าก็เหมือนกับจะเยาะเย้ยอะไรสักอย่าง แต่ไม่ทันไร ในมือขวาของเขาก็ก็มีลุกไฟปรากฏขึ้นมาจำนวนหนึ่ง เขาเหวียงมือข้างนั้นใสพวกมาซามุเนะอีกรอบ คราวนี้ทั้งคู่กระโดดออกจากกันไกลยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนว่าจะจงใจแยกพวกเขาออกจากกันตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วย

           “แกเป็นใคร แล้วต้องการอะไร”

           นากิสะก้าวออกมาข้างหน้าอย่างห้าวหาญ เธอเปล่งเสียงพูดออกมาเหมือนจะฉีกกกระเนื้อหนังของคนที่มาขัดขวางช่วงเวลาแห่งความสุขระหว่างเธอและกับท่านพี่ของเธอ

          “กระผมต้องขออภัยด้วยครับที่เสียมารยาท ตัวกระผมนั้นมีนามว่า โทเบะ เจ้ากระสุนหกภพ โทเบะ ครับ”

          “ชื่อแปลกดีนี่ แล้วต้องการอะไรล่ะ บอกไว้ก่อนนะ พวกฉันน่ะเคี้ยวไม่ง่ายนักหรอกนะ”

          “กระผมก็แค่ถูกไหว้วานมาเท่านั้นแหละครับ กระผมก็แค่ต้องทำตามหน้าที่ จะไม่ทำอะไรเกินเลยครับ”

          มาซามุเนะเป็นคนถามแทนนากิสะ แต่เมื่อโทเบะพูดจบ ก็ยื่นมือทั้งสองข้างออกมาข้างหน้า มีลุกไฟผุดออกมาอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกเป็นอย่างดีเลยว่าสามารถใช้พลังจิตได้อย่างคล่องแคล่ว เขาปามันใส่ทั้งสองคนอีกครั้ง มาซามุเนะกับนากิสะกระโดดออกจากกันเรื่อยๆ ต่อจากนั้น แผ่นวงกลมที่โทเบะยืนอยู่ก็เริ่มเคลื่อนตัว มันพุ่งไปหานากิสะที่ห่างกับมาซามุเนะอย่างจงใจ นากิสะจึงเริ่มออกวิ่งไปข้างหน้าเพื่อหาจังหวะที่จะโจมตีสวนกลับไป โดยมีโทเบะคอยตามอยู่จากข้างหลัง มาซามุเนะไม่ได้ตามโทเบะไปทันที เขากระโดดไปที่ซอยข้างๆที่มีทิศของถนนเดียวกัน แต่มีบ้านกั้นอยู่ระหว่างถนนที่นากิสะวิ่งอยู่กับถนนที่เขากระโดดออกมา ถนนทั้งสองเส้นนั้นมีลักษณะที่ตีขนานกันไปอีกประมาณ 500 เมตร

          มาซามุเนะจงใจวิ่งบนถนนอีกสายเพื่อที่จะหาจังหวะเข้าจู่โจมใส่โทเบะในจังหวะที่เขาไม่ได้ตั้งตัว เขารวบรวมออร่าไว้ที่ขาทั้งสองข้างเพื่อเตรียมกระโจนใส่โทเบะในจังหวะที่สมควร และรวบรวมออร่าไว้ที่มือทั้งสองข้างเพื่อที่จะโจมตีปิดเกมในคราวเดียว แต่เมื่อเขาสังเกตการโจมตีด้วยลูกไฟของโทเบะที่ขว้างใส่นากิสะ มันดูไม่เหมือนกับคนที่จงใจโจมตีตามหน้าทีของตัวเองเลยสักนิด เขาแค่ขว้างออกไปเพื่อเหตุผลอื่น

          {ผมก็แค่ถูกไหว้วานมาเท่านั้นแหละครับ กระผมก็แค่ต้องทำตามหน้าที่ จะไม่ทำอะไรเกินเลยครับ}

          “รึว่า...”

          คำพูดที่แสดงถึงความตั้งใจของตนของศัตรูแล่นเข้ามาในหัวมาซามุเนะ มันเป็นคำพูดที่เหมือนจะบอกว่าจะกำจัดแค่คนที่ได้รับมอบหมายว่าต้องกำจัด นั่นคือสิ่งที่มาซามุเนะเป็นคนตีความไปเอง แต่เมื่อเขานึกสงสัยมันก็สายไปซะแล้ว

          ระหว่างที่มาซามุเนะนึกสงสัยอยู่นั้นเอง ท้องฟ้าบนหัวที่อยู่ในทิศที่เฉียงไปข้างหน้าค่อนข้างไกลก็เปิดออก ท่ามกลางกลุ่มเมฆที่เปิดออกมา ไม่ใช่ <มีอะไร-บางอย่าง>แหวกผ่านกลุ่มก้อนเมฆออกมาต่างหาก แสงอาทิตย์ของท้องฟ้ายามเย็นส่องผ่านกลุ่มก้อนเมฆนั้น ทำให้เขาเห็น<อะไรบางอย่าง>นั่น มันคือหัวมังกรนั่นเองเป็นหัวมังกรที่มีขนาดใหญ่กว่าบ้านข้างตัวเขาเสียอีก มันมีสีฟ้า มังกรตัวนั้นแหวกผ่าก้อนเมฆลงมาเรื่อยๆ ออกมามากพอที่จะทำให้เขาเห็นลำตัวของมันได้ แล้วหัวมันก็ขนานกับพื้นดิน ระยะห่างแค่ประมาณ 2 เมตรเท่านั้นเอง

          มาซามุเนะยังวิ่งเข้าหามันโดยลืมคิดถึงหลักการการต่อสู้ต่างๆที่เขารู้จัก เขายังคงตกจะลึกกับสิ่งที่มาปรากฏอยู่ตรงหน้า มังกรตัวนั้นเริ่มอ้าปากออก มีแสงสีฟ้าอะไรบางอย่างก่อตัวขึ้นภายในนั้น มาซามุเนะพึ่งจะรู้สึกได้ถึงออร่าที่ร้ายกาจที่แผ่ออกมาจากมังกร ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก มันแผ่ออกมาจากคนที่กระโดดออกมาจากก้อนเมฆหลังจากที่มังกรตัวนั้นโผล่ออกมาต่างหาก ในมือขวาของเขามีดาบจีน นั่นก็คือกระบี่นั่นเอง สวมกางเกงยีนส์สีกรมท่าที่มีร้อยขาดอยู่นิดหน่อย ใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มที่มีรายตามขวางแนวตั้งสีขาว ผมสีฟ้าที่ดูเรียบกว่าโทเบะเยอะ ในระหว่างนั้น เขาหันคมกระบี่มาทางมาซามุเนะที่กำลังวิ่งอยู่ ทันใดนั้น แสงที่ก่อตัวในปากของมังกรก็มาขึ้นกว่าเมื้อกี้เยอะแล้ว มันเปล่งแสงเจิดจ้า และหลอมรวมอยู่ในจุดเดียวกัน แล้วสิ่งนั้นก็ถูกปล่อยออกมาในรูปแบบของลำแสงที่ดูแล้วมีอนุภาพรุนแรงสุดๆ

          “<ดาร์ค ชีลด์ (Dark Shield) >”

          มาซามุเนะกระโดดถอยหลังออกมาพร้อมกับขว้างอะไรบางอย่างออกมาจากฝามือ มันมีลักษณะเป็นเหมือนแผ่นจาน จากนั้นมันก็กางออกมีเป็นจานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มันป้องกันลำแสงนั่นจากมาซามุเนะนั่นเอง แต่ก็ทำได้แค่ไม่กี่วินาที ชีลด์เริ่มร้าวและแตกออก ทันใดนั้น ลำแสงนั้นยิงเข้าใส่เขาโดยตรง ไม่มีอะไรป้องกันอีกแล้ว

          ตู้ม!!!

          สว่างจ้า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา