Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ

-

เขียนโดย MoMoGa

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.

  26 บท
  4 วิจารณ์
  20.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ตอนที่ 4-2 จ้าวมังกรฟ้าแห่ง 7 ดารา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

           หลังจากแสงสว่างจ้าที่พวยพุ่งออกมาจากปากมังกร นากิสะรู้สึกตัวอีกที เธอก็อยู่ถูกทับไปด้วยซากของบ้านที่อยู่รอบๆตัวแล้ว สิ่งที่เธอจำได้ ก็มีแค่ว่า เธอกำลังเล็งหาจังหวะในการโจมตีสวนกลับโทเบะ แต่อยู่เจ้านั่นก็ลอยขึ้นไปสูงกว่าเดิม มันทำให้ความแม่นยำของลูกไฟของมันนั้นลดลง แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกว่ามีออร่าแปลกประหลาดแผ่ออกมา หลังจากที่มองไปที่จุดที่ต้นทางของออร่านั้นแล้ว เธอก็พบกับมังกรตัวสีฟ้าขนาดใหญ่ยื่นหัวลงมาจากก้อนเมฆ และดูเหมือนว่าก็หันหัวมาทางนากิสะนิดหน่อย หลังจากนั้นเธอก็ถูกแสงสว่างจ้าปกคลุมทั่วทั้งตัว นากิสะเรียก<ดอพเพลแกงเกอร์>ออกมาป้องกันได้ทัน แต่พลังงานมหาศาลที่มังกรนั้นยิงออกมา ก็ทำให้ดอพเพลแกงเกอร์รับไว้ได้ไม่หมด นั่นทำให้เธอโดนการโจมตีไปด้วย

           <ดอพเพลแกงเกอร์> คือความสามารถพลังจิตของ ฮันโซ นากิสะ เธอค้นพบมันเมื่อ 6 ปีที่แล้ว มันเป็นพลังที่เหนือล้ำกว่าจินตนาการของเธอที่พึ่งจะอายุแค่นั้นอย่างแน่นอน และถ้าให้คาดเดาแล้ว ดอพเพลแกงเกอร์นก็คงจะเป็นสิ่งที่นากิสะปรารถนามากกว่า ความสามารถของมันก็คือ การสร้างร่างที่มีค่าพลังกายเท่ากับเจ้าของนั่นเอง โดยตัวนากิสะที่ถูกฝึกให้เป็นนักฆ่ามาตั้งแต่ตอนเด็กนั้น ยอมมีพละกำลังที่มากกว่าเด็กในวัยเดียวกันอยู่แล้ว แต่มันก็มากกว่าผู้ใหญ่ในวัยทำงานบางคนด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้ค่าพลังกายและพลังการโจมตีของร่างแยกนั้นมากตามไปด้วย ร่างแยกนั้นมีลักษณะโปร่งใสเป็นจุดเด็น และยังสามารถทำให้ออกมาได้เฉพาะส่วนได้อีกด้วย ยกตัวอย่างการใช้งาน ก็คือตอนที่เธอสู้กับซาดาโอะ ที่พลังการโจมตีของเธอไม่เท่ากันนั้น ก็เป็นเพราะบางครั้งเธอก็จะคอยใช้ร่างแยกในการโจมตีพร้อมกันในจุดเดียวกันนั่นเอง และร่างแยกยังมีปราสาทสัมผัสทุกๆส่วนเชื่อมต่อกับนากิสะอีกด้วย และเธอก็สามารถปิดกั้นปราสาทสัมผัสบางส่วนได้อีกด้วย แต่ร่างแยกนั้นจะไม่สามารถออกห่างจาตัวเธอได้เลย

           “นะ...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน พลังโจมตีของเจ้านั่นมะ...มันมีมากขนาดไหนกัน”

           นากิสะลุกขึ้นมาจากซากปรักหักพังที่เกิดขึ้นจากการโจมตีของมังกรตัวนั้น สภาพรอบๆตัวเธอในตอนนี้นั้น เรียกได้ว่าพังพินาศกันเลยทีเดียว ฉากหลังที่เคยเป้นบ้านของผู้อยู่อาศัยจำนวนมาก ถูกทำลายลงในพริบตาเดียว มันเป็นอะไรที่น่าตกใจสำหรับนากิสะมาก ตัวเธอไม่เคยเห็นพลังทำลายล้างขนาดนี้มาก่อนเลย

           ไม่ทันที่ตัวเธอจะมองหามาซามุเนะผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งคาดว่าน่าจะโดนการโจมตีครั้งนี้ใกล้กว่าเธอ ก็มีลูกไฟที่คุ้นตาดีถูกขว้างมาจากด้านบนเหนือหัวของเธอ โทเบะนั่นเอง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย แหงล่ะ ก็หลบการลำแสงทำลายล้างก่อนเธอตั้งหลายวินาทีนี่นา เขาคงจะทำหน้าที่เป็นตัวล่อสำหรับการโจมตีเมื่อกี่เป็นแน่

           “งานของนายยังไม่เสร็จอีกหรอ คิดว่าน่าจะมีหน้าที่เป็นตัวรอนี่นา”

           “อะไรกันครับ มอออกถึงขนาดนั้นเลยหรอ ใช่แล้วล่ะครับ หน้าที่ของกระผมนั้นคือตัวล่อเป้านั่นเอง แต่ผมก็ไม่ได้รู้จักกับที่ทำการโจมตีอย่างรุนแรงเมื่อกี้ดีมากหรอกครับ กระผมทำตามคำสั่งของนายของกระผมเท่านั้น แล้วหน้าที่ของกระผมก็จบลงแล้วด้วย”

           นากิสะรู้จักกับวิธีการ<ทำแค่ตามหน้าที่ที่ได้รับมาเท่านั้น>ดี เพราะมันก็เป็นกฎเหล็กของนักฆ่าที่เธอได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กแล้วนั่นเอง

           “งั้นก็ถอยไปสิ หมดหน้าที่แล้วใช่ไหมล่ะ”

           นากิสะต้องการที่จะไปหามาซามุเนะให้เร็วที่สุด มาซามุเนะที่โดนโจมตีตรงๆน่าจะเจ็บกว่าเธอมาก แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมคนที่ใช้มังกรตัวนั้นถึงไม่เรียกที่จะโจมตีเธอก่อนที่จะโจมตีใส่มาซามุเนะ ทั้งที่เธอน่าจะได้รับความเสียหายมากกว่าแท้ๆ แต่เมื่อโทเบะได้ยินอย่างนั้น ก็ยิ้มออกมาอย่างโรคจิต ก่อนจะพูดว่า

           “อะไรกันครับ ถึงงานจะจบแล้ว แต่ได้มาอยู่ในอาณาเขตนี้ที่ไม่มีใครรู้ถึงมัน ก็น่าจะใช้เวลากับมันให้เต็มที่หน่อยสิครับ ใช่ไหมล่ะ”

           คำพูดและน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำตอนท้ายของเขาเป็นการประกาศเจตนาของตนเองอย่างดี

           “เคยได้ยินมาเหมือนกัน เรื่องนักฆ่าประเภทที่ทำนอกเหนืองานน่ะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจอกับตัวเหมือนกัน ท่านพี่ค่ะ รอหนูก่อนนะ”

           ต้องต่อสู้ แล้วฝ่าออกไปหาพี่ นั่นคือสิ่งที่นากิสะต้องทำในตอนนี้ ท่าไม่สู้ก็ไม่ได้เจอกับคนที่อยากเจอ ไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ และไม่ได้เป็นในสิ่งที่อยากจะเป็น นั่นคือคำสอนเธอได้รับมาตอนอายุ 3 ขวบ เธอไม่เคยสนุกกับการฆ่าคนเลย เธอทำเพื่อตัวเองเท่านั้น

           โทเบะไม่รอให้นากอสะเรียกใช้พลังจิตของตัวเอง เขาเหวี่ยงมือที่มีลูกไฟอยู่ใส่นากิสะทันที เธอกระโดหลบได้อย่างง่ายดาย นากิสะจงใจไม่ใช้พลังจิต เพราะพลังของเธอนั้นสิ้นเปลืองพลังงานทางอารมณ์เป็นอย่างมาก

           โทเบะนั้นยังคงขว้างลูกไฟใส่เธออย่างไม่หยุดยั้ง นากิสะกระโดดหลบการโจมที่แค่สะบัดแขนใส่ได้อย่างง่ายดาย เธอเริ่มรู้สึกตัวว่าอานุภาพของลูกไฟนั้นไม่ได้ส่งผลเป็นวงกว้าง ทำให้เธอแค่โยกตัวหลบก็เหลือเฟือแล้ว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าลูกไฟเหล่านั้นไม่ใช่พลังทั้งหมดของเขา เพราะมันเริ่มเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่เข้าใส่ ด้วยอัตราเร่งที่น่าตกใจอยู่ ขนาดของลูกไฟเองก็ใหญ่ขึ้นเช่นกัน รัศมีของอานุภาพเองก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ

           นากิสะตระหนักได้เลยว่า เขากำลังเล่นสนุกกับตัวเธออยู่

           “ก็เอาซี่ เดี๋ยวฉันจะเป็นเพื่อนเล่นให้แกสักหน่อยก็ได้”

           ทันใดนั้น ออร่าไร้สีแต่รู้สึกได้ก็ได้เข้าปกคลุมร่างของเธอ ทันใดนั้น การกระโดดที่ดูสูงเกินกว่ามนุษย์จะทำได้ก็ได้ปรากฏต่อหน้าของโทเบะ นากิสะกระโดดเข้าใส่โทเบะที่น่าจะอยู่เหนือพื้นดินสัก 3 เมตร พร้อมด้วยความเร็วที่เรียกได้ว่าเหนือมนุษย์ โทเบะไม่ทันที่จะรู้สึกตัว ก็ถูกซัดด้วยหมัดที่รุนแรงเกินกว่ากำลังของเด็กเข้าที่ท้อง เขาลอยออกจากแผ่นวงกลมที่ยืนอยู่ตลอด ไม่พอ นากิสะใช้เท้ายันที่แผนวงกลมเต็มที่ ซัดหมัดขวาเข้าที่จุดเดิม

           โทเบะปลิวตกลงไปในซากปรักหักพัง นากิสะกระโดดลงมาหวังจะโจมตีต่อเนื่อง แต่โทเบะย่อมรู้เรื่องนั้นดี เขาลุกขึ้นพร้อมกับเปลวเพลิงที่ยิ่งกว่าลูกไฟในมือ

           “รับไฟซะ เปลวเพลิงวันสิ้นโลก!!”

           เขาปล่อยไฟในมือให้พุ่งออกมาหานากิสะ แต่เธอก็ยังคงเดินเข้าไปหาเขาอย่างไม่ลังเล เปลวไฟนั้น ดูๆแล้วก็โดนตัวเธออย่างจังแน่ๆ แต่ว่าเธอก็ยังคงเดินผ่านมาอย่างไม่ได้มีทีท่าว่าจะรู้สึกอะไร

           “มีพลังแค่นี้งั้นหรอ ฉันมีอะไรจะถาม ตอบให้ดีก็แล้วกัน”

           “กะ...กระผมคะ... แค่ทำตามหน้าที่ครับ ละ...แล้ว มีอะไรรึครับ”

           สีหน้าของโทเบะนั้นแตกต่างกับตอนที่บอกว่าจะสนุกกับช่วงเวลาที่เหลือเป็นอย่างมาก นากิสะแอบสมเพชอยู่นิดหน่อย แต่ก็ถามคำถามต่อไป

           “นายสังกัดอะไร เจ้านายของแกต้องการอะไร”

           “กะ... กระผมไม่มีสังกัดหรอกครับ ผมเป็นแค่ลูกน้องของเจ้านายเท่านั้นแหละครับ เป็นได้แค่ลูกกระจ๊อกเท่านั้นแหละ!!”

           ตอนที่พูดแบบนั้น โทเบะก็ปล่อยเปลวไฟที่รู้สึกได้เลยว่ามันร้อนระอุกว่าเดิม พุ่งตรงเข้าใส่นากิสะ

           “เปลวเพลิงของนายนี่มันช่างอ่อนหัดเสียจริง มันก็แค่ของที่มีไว้คู่เท่านั้นแหละ”

           นากิสะกล่าวออกมาอย่างนั้น พร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปโจมตีใส่โทเบะ หมัดขวาตรงของเธอเล็งไปที่ใบหน้าของเขา แต่โทเบะก็หันตัวไปทางขวา หลบได้อย่างหวุดหวิด ระหว่างที่กำลังคิดอย่างนั้น ก็มีอะไรบางอย่างสัมผัสเข้าที่ใบหน้าด้านขวาของเขา ใช่แล้ว มันเป็นสิ่งที่เหมือนกับกำปั้นซึ่งมีความรุนแรงเท่าๆกับกำปั้นของนากิสะเลยทีเดียว

           มันคือหมัดของร่างแยกของนากิสะนั่นเอง หมัดนั้นเกิดจากการคาดเดาจากการเคลื่อนที่ของโทเบะที่นากิสะเป็นคนคิด โทเบะที่ไม่รู้ตัวว่าโดนอะไรโจมตีใส่นั้น กำลังกลับเข้ามาในระยะโจมตีของหมัดขวาของนากิสะอีกครั้ง แล้วก็ ตู้ม หมัดของนากิสะกระแทกเข้าไปกลางใบหน้าของโทเบะ เขากระเด็นไปในทิศที่เฉียงไปทางซ้ายหลังของตัวเอง

           KO!!!

           มีเสียงประก่่าศถึงชัยชนะที่เธอจำมาจากวีดีโอเกมดังก้องอยู่ในหูเธอ ถือเป็นชัยชนะที่งดงาม เธอรู้ตัวว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคาดคั้นเขาไปมากกว่านี้ ที่เหลือก็คงต้องให้มาซามุเนะที่อยู่ที่ไหนสักแห่ง จัดการกับคนที่โจมตีด้วยมังกรที่มีอานุภาพมหาศาลที่คาดว่าน่าจะอยู่ด้วยกันเป็นคนจัดการเท่านั้น

           “ท่านพี่ ไปอยู่ไหนกันค่ะ”

           เธอพูดพึมพำออกมาด้วยเสียงที่เบาที่สุด

          

 

 

 

 

 

 

 

           ……คนๆนั้น ทำไม ถึง...ดูคุ้นจัง เป็นใครกันน้า

           ท่ามกลางความมืดมิดที่แสงไม่อาจหยั่งถึง มาซามุเนะกำลังโดนซากคอนกรีตที่เกิดจากการพังทลายลงของสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากที่ถูกทำลายลงโดยสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือลำแสงที่ส่องสว่างเจิดจ้าที่ออกมาจากปากของมังกรตัวนั้น มังกรตัวสีฟ้าที่คิดว่าน่าจะเป็นพลังจิตของคนๆนั้น ผู้ที่ถือกระบี่อยู่ในมือขวาคนนั้น

           “ตอนนี้ข้างบนจะเป็นยังไงบ้างน้า ดูแล้วอาณาเขตคงไม่ใหญ่จนคลุมถึงครึ่งเมืองละมั้ง คุออนก็คงจะพ้นจากอาณาเขตแบบเฉียดฉิว นากิสะน่าจะไม่เป็นอะไรมากสินะ”

           เขาคิดอย่างเหม่อลอยท่ามกลางความมืดมิด ทันใดนั้น เขาก็พูดด้วยเสียงเบาๆว่า

           “<แบล็ค เบิร์ส (Black Burst)>”

           มีคลื่นสีดำระเบิดออกมาจากร่างกายของเขา ซากคอนกรีตที่เคยทับถมก็กระจายออกไปทางอื่น มาซามุเนะลุกขึ้นมาจากซากปรักหักพังด้วยสภาพที่ไม่น่าจะบาดเจ็บอะไรมาก เขาเริ่มมองไปรอบๆ สัมผัสถึงพลังงานต่างๆแผ่ออกมาทั่วพื้นที่ ทันใดนั้น ตัวเขาที่ควรจะอาบแสงอาทิตย์ยามเย็นอยู่ ก็ถูกอะไรบางอย่างมาบดบังจนกลายเป็นเงาขนาดใหญ่เคลื่อนเข้ามาแทนที่แสงอาทิตย์ เมื่อเขาหันหน้าไปทางที่ทิศตะวันตก ก็พบกับร่างของมังกร รู้สึกว่าตัวของมันจะเล็กกว่าเมื่อกี้อยู่เยอะ โดยมีผู้ชายคนหนึ่งหันกระบี่ที่อยู่ในมือขวาเข้าใส่เขา

           “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ชินโด มาซามุเนะ”

           แสงอาทิตย์ที่ส่องไปที่หน้าของเขาคนนั้น ทำให้มาซามุเนะตกตะลึ่งกับใบหน้าที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่าดี

           “ได้เจอกันครั้งล่าสุดก็เมื่อ 5 ปีที่แล้วสินะ”

           “ทะ...ทำไมกัน ทำไมต้องเป็นนายด้วยล่ะ อิบูกิ”

           คนที่จู่โจมเข้าด้วยพลังโจมตีอันร้ายกาจ นั่นก็คือเพื่อนสมัยเด็กที่สนิทกับมาซามุเนะมากที่สุด เซย์ริว อิบูกิ นั่นเอง สมัยก่อน มาซามุเนะเป็นคนที่ไม่มีเพื่อนเลย แต่เมื่อเขาได้พบกับอิบูกิ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนคนแรกของกันและกันโดยทันที แต่ต่างกันตรงที่ มาซามุเนะนั้นเริ่มมีเพื่อนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อิบูกินั้นยังมีแค่มาซามุเนะเป็นเพื่อนอยู่เหมือนเดิม

           “คนที่เป็นคนปลุกพลังนี้ให้ฉัน ก็คือนายยังไงล่ะ ตั้งแต่วันนั้น วันที่นายหายตัวไป มันเป็นจุดเริ่มต้นของตัวฉันในตอนนี้ จะยังไงก็ช่าง ฉันเก็บความเจ็บปวดนี้มา 5 ปี ฉันจะขอคืนมันให้นายล่ะนะ”

           ทันทีที่พูดจบ ก็มีแสงสีฟ้าสว่างออกมาจากทิศตะวันตก เมื่อลองมองดู ก็พบว่ามังกรของอิบูกิก็ตัวหดลงเหลือขนาดไม่ถึง 5 เมตร โดยที่ตัวของเขายังคงยืนบนหลังของมัน เหมือนกับยทนบนเซิร์ฟบอร์ดยังไงยังงั้น เขาตั้งท่าดาบของของตัวเองอยู่เหนือไหล่ ปลายดาบชี้มาทางมาซามุเนะ ด้วยท่าทีที่ทะมัดทะแมงสมกับที่เป็นกระบี่ที่มีน้ำหนักน้อยกว่าดาบปกติ

           มาซามุเนะยังคงยืนกัดปากตัวเองแน่น เขาเริ่มเข้าใจอะไรหลายๆอย่างแล้ว ทั้งคนที่เป็นคนส่งอิบูกิมา เหตุผลที่เป็นเขา และความเข้าใจผิดของอิบูกิเกี่ยวกับตัวเขาอยู่

           “<ดราก้อน แดช (Dragon Dash)>”

           มังกรสีฟ้าพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง มาซามุเนะยังคงก้มหน้าอยู่ จนอยู่ในระยะ 3 เมตรสุดท้าย เขาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับสายตาที่แน่วแน่ แน่วแน่ต่ออะไรบางอย่าง

           -------ถ้าระยะแค่นี้ล่ะก็ ถึงจะเร็วแค่ไหนก็หลบไม่พ้นหรอก ยังไงก็โดน

           ทันใดนั้น จู่ๆที่มือขวาของมาซามุเนะก็เปล่งแสงสีดำออกมา มีออร่ามารวมตัวกัน แล้วก่อตัวเป็นรูปใบมีดที่ยาว 70 เซนติเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กกว่าตอนที่ใช้ครั้งก่อน

           เคร้ง

           ใบมีดสีดำปะทะเข้ากับกระบี่สีเงินเงาวับ ที่ใบมีดของทั้งสองมีออร่าสีดำและสีฟ้าห่อหุ้มอยู่ บ่งบอกถึง<ความเอาจริง>ของทั้งสองคน

           แต่ด้วยกำลังที่เหนือกว่าของอิบูกิที่พุ่งเข้ามาด้วยมังกร ทำให้มาซามุเนะไม่สามารถต้านทานได้ ใบมีดเริ่มมีรอยราว เพล้ง สุดท้ายแล้วก็แตกออกเป็นเศษแก้วสีดำจำนวนมาก แต่เขาก็หันตัวหลบคมดาบของอิบูกิได้อย่างเฉียดฉิว ดูๆแล้วเหมือนจะมีอะไรผิดแผนสักอย่าง

           ความจริงแล้ว มาซามุเนะนั้นตั้งใจจะโจมตีสวนกลับใส่ที่ท้องของอิบูกิ แต่เขาก็ไม่สามารถทำกับเพื่อนคนแรกของตัวเองได้ลงคอ

           “ใบมีดนั่น ถ้านายไม่เอาจริงก็ชนะฉันไม่ได้หรอกนะ นายเองก็รู้ดีไม่ใช่หรอ ที่ฉันมาก็เพราะแค้น แค้นนายยังไงล่ะ ฉันมาที่นี่โดยเอาชีวิตเป้นเดิมพันไว้แล้ว”

           “นั่นสินะ ถ้าไม่เอาจริงก็ชนะไม่ได้ ถ้าไม่เอาจริงก็คงพูดไม่มีสิทธิพูดอะไรได้เหมือนกัน!”

           -------ถ้าไม่เอาจริง ก็คงพูดความจริงกับนายไม่ได้

           มาซามุเนะรู้สึกถึงความเข้าใจผิดที่ฝังอยู่เต็มอกของอิบูกิ แต่ความจริงที่ว่าตัวเองเป็นตนเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ก็คงต้องรับผิดชอบมัน แต่ต้องเป็นหลังจากที่สู้ชนะแล้ว

           อิบูกิยังคงอยู่บนหลังของมังกร ไม่รู้ว่าพูดอะไร แต่เหมือนเขาจะสามารถสื่อสารกับมังกรตัวนั้นได้ เป็นการสื่อสารผ่านจิตรรึเปล่านะ แต่ก็คงเป็นการสั่งการพร้อมกับพูดชื่อท่าโจมตี ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะไม่สามารถรู้ได้ถึงการโจมตีของเข้าได้ทันแน่

           อิบูกิเริ่มตั้งกระบี่ไว้หน้าตัวเอง โดยใช้มือทั้งสองข้างตั้งดาบอย่างมั่นคง มาซามุเนะเองก็รู้สึกได้ว่ากำลังจะมีการจู่โจมจากเขาเข้ามา

           มาซามุเนะเริ่มรวบรวมออร่าสีดำไว้ที่แขนทั้งสองข้างและกลางหลัง อิบูกิเองก็มีออร่าสีฟ้าห่อหุ้มร่างและกระบี่ เขาหันร่างกายซีกซ้ายไปทางมาซามุเนะ โดยที่ยังคงถือกระบี่ไว้แนบกับลำตัวอยู่ ส่วนมาซามุเนะก็ย่อตัวลง ออร่าสีดำของเขาเริ่มที่จะเปล่งแสงออกมามากขึ้นและปกคลุมไปทั่วร่างกาย

           ผ่านไปหลายวินาทีที่มีแต่ความเงียบงัน ก่อนที่ทั้งสองคนจะเริ่มสบตากันอีกครั้ง แล้วมาซามุเนะก็หลับตาลงอีกครั้ง ทันใดนั้น-----

           “<ดราก้อน เบิร์ส (Dragon Burst)>”

           มีลำแสงสีฟ้าถูกยิงออกมาจากปากของมังกรสีฟ้า มันเป็นลำแสงที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวคนปกติ แต่ไม่ใหญ่เท่ากับตอนที่ยิงออกมาในตอนแรก โดยที่อิบูกิยังคงตั้งดาบอยู่บนหลังของมังกร ทั้งที่บนลำตัวนั้นน่าจะสะเทือนอยู่ แต่เขาก็ยังคงยืนอย่างสงบนิ่งราบกับสายลำธารที่ไหลอย่างไร้สิ่งรบกวน

           ถ้าเป็นลำแสงนี้ ดาร์ค ชีลด์ ที่เป็นการเรียกโล่ออกมาป้องกันนั้น คงจะป้องกันได้อยู่ แต่มาซามุเนะที่พูดว่าจะเอาจริงคงจะไม่หนีหรือป้องกันการโจมตีครั้งนี้เป็นแน่

           “<แบล็ค วิงค์ ไรซิ่ง (Black wing Rising)> <แบล็ค แดช (Black Dash)> แล้วก็ <ดาร์ค เบลด (Dark Blade)>!!!”

           เขาพูดชื่อ 2 ท่าแรกด้วยเสียงกระซิบที่ไม่สามารถรัยรู้ได้ แต่ในชื่อท่าสุดท้ายนั้น เขาลืมตาออกอย่างแรงพร้อมกับตะโกนมันออกมาอย่างสุดเสียง

           ทันทีที่ปีรูปร่างคล้ายใบไม้ทั้งสิบก่อตัวขึ้นที่กลางหลังของมาซามุเนะ มันก็หุบลงเหลือ 2 ใบ แรงส่งอันมหาศาลที่รวมกับแบล็ค แดช ท่าเคลื่อนที่ย่นระยะการโจมตี มันทำให้เขาพุ่งตัวออกไปด้วยในทิศตรงข้ามกับลำแสงสีฟ้าที่พุ่งทะยานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ มือทั้งสองข้าง ในตอนนี้มันกลายเป็นใบมีดสีดำที่ให้ความรู้สึกว่าสามารถตัดฝ่าได้ทุกๆสิ่ง

           ลำแสงสีฟ้าที่ดูรุนแรงนั้นถูกตัดทิ้งภายในการสะบัดแขน(ที่กลายเป็นใบมีดทมิฬไปแล้ว)แค่ครั้งเดียว ระยะห่าง 5 เมตรถูกย่นลงภายในระยะเวลาเพียงวินาทีเดียว

           มาซามุเนะพุ่งเข้าไปหาอิบุกิพร้อมกับโจมตีด้วยแขนทั้งสองข้างในท่าไขว้กัน อิบูกิรับไว้ด้วยการฟาดดาบจากบนลงล่างตรงกลางหน้าของเขา ออร่าทั้งสองสีเข้าปะทะกันอย่างจัง

           “นี่คือทั้งหมดของนายแล้วหรอ มีแค่นี้เองหรอ!”

           “งั้นหรอ ชั้นจะแสดงพลังที่แท้จริงให้นายดูเอง”

           อิบูกิตอบมาซามุเนะพร้อมกับดันตัวเองตอบโต้การโจมตีของมาซามุเนะ ทั้งสองคนยังคงต้านแรงของกันและกันด้วยออร่าของทั้งคู่ แต่มาซามุเนะก็กระโดดออกมาก่อนที่จะรู้ผล เขากระโดออกมาแล้วลอยตัวอยู่กลางอากาศ ในช่วงนั้น อิบูกิที่เสียสมดุลเนื่องจากใส่แรงทั้งหมดไปกับการฟันนั้น ก็หวดลมเข้าไปอย่างจัง

           “ยะ...แย่ล่ะสิ ช่องว่าง”

           ในการดวลต้านแรงกันเมื่อกี้ มาซามุเนะนั้นมีแรงหนุนจากการแดชทำให้มีแรงมากกว่า แต่กระบี่ที่หุ้มด้วยออร่าของอิบูกินั้น แข็งแกร่งเกินไป ในขณะที่ใบมีดสีดำของเขาก็ไม่ได้ทนทานขนาดนั้น เขาจึงเปลี่ยนแผนนิดหน่อย

           มาซามุเนะจงใจกระโดดออกมาเพื่อที่จะเปิดช่องว่างของอิบูกิจากการที่แรงต้านหายไป ในวินาทีนั้น มาซามุเนะก็โจมตีเข้าใส่เขาอีกรอบ อิบูกิไม่มีทางโต้ทันแน่ นั่นคือสิ่งที่เขาคิด มันเป็นสมการแห่งชัยชนะอย่างแท้จริง แต่ว่า เขาลืมคำนวณอะไรไปบางอย่าง

           จังหวะที่มาซามุเนะพุ่งตัวเข้าไปโจมตีซ้ำสองนั้น สิ่งทีไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น นั่นคือมังกรนั่นเอง มันหันหัวมาทางมาซามุเนะ อ้าปากกว้างๆของมันออกมา มีแสงสีฟ้าจำนวนมากไปรวมอยู่ข้างในนั้น

           “เฮ้อ---- เดจาวูจังเลยน้า”

           --------เจอนี่หน่อย มาซามุเนะ

           ในสมัยเด็ก อิบูกิเคยใช้แผนนี้กับมาซามุเนะแล้ว ซึ่งมันก็คือแผนเดียวกันกับที่มาซามุเนะใช้ในการโจมตีใส่อากิโอะเช่นกัน มันคือแผนหลอกล่อและสวนกลับ –หลอก-ว่าการโจมตีเมื่อกี้คือ<ขีดจำกัด>ของตัวเองแล้ว-ล่อ-คู่ต่อสู้ให้เข้ามาในแผนที่วางไว้ สุดท้ายก็-สวนกลับ-ด้วยการโจมตีที่คาดไม่ถึง

           มาซามุเนะนั้นคิดว่าถ้าโดนสวนกลับด้วยการโจมตีแบบเดียวกับเมื่อกี้ จะสามารถโต้กลับไปได้อย่างแน่นอน แต่ว่าลำแสงที่ยิงออกมาจากปากของมังกรในครั้งนี้นั้นมันรุนแรงกว่าครั้งที่แล้วมาก แต่ก็คงไม่เท่ากับการโจมตีครั้งแรงสุด ไม่สิ มันคงเทียบกันไม่ได้หรอก แต่ถึงยังไง ใบมีดทมิฬของเขาเปราะเกินจะรับการโจมตีนั้นได้ แค่คิดจะ“ต้าน”ไว้ก็“ตาย”แล้ว

           มาซามุเนะกางปีกที่อยู่กลางหลังออกมาอีกครั้ง ปีกที่รูปร่างคล้ายใบไม้ทั้งสิบกระพืออีกครั้ง หมุนตัวเปลี่ยนทิศการเคลื่อนที่ แล้วหุบปีกลงเพื่อพุ่งตัวหลบการโจมตีนั้น เขาพุ่งออกไปในระยะ 4 เมตรแล้วก็ลอยค้างอยู่บนฟ้า ก่อนจะหันกลับมาพูดกับอิบูกิ

           “ยอดเลย ไม่คิดเลยว่านายจะใช้แผนนี้นะเนี่ย”

           “หึหึหึ ฉันก็ไม่คิดว่านายจะหลบทันเหมือนกันนั่นแหละ สมแล้ว สมแล้วจริงที่เป็นนาย ที่เป็นตัวนาย ชินโด มาซามุเนะ”

           “ขอบคุณๆ”

           “งั้นคงต้องเอาจริงแล้วสินะ”

           หลังจากที่อิบูกิพูดจบ มังกรของเขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้า เหมือนกับจะบอกให้มาซามุเนะตามมา มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนน่าตกใจ

           “งั้นหรอ อยากจะสู้ท่ามกลางท้องนภาอันกว้างไกลสินะ”

           มาซามุเนะกระพือปีกทำท่าจะตามไปด้วยความเร็ว แต่ก็มีเสียงตะโกนหนึ่งเสียงดังขึ้นมาก่อนที่เขาจะบินขึ้นไปตามอิบูกิ

           “ท่านพี่ค่ะ”

           เมื่อเขาหันกลับไปดู ก็เห็นนากิสะกำลังวิ่งมาอยู่ แต่ก็ไม่ทันได้ตอบกลับอะไร เธอก็โยนอะไรบางอย่างมาให้ แสงอาทิตย์ที่แยงตาทำให้มาวามุเนะยืนมือทั้งสองข้างรับมันไว้โดยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร จากรูปร่างแล้ว มันคือสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กและแข็งกว่ากระดาษแข็ง ใช่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นบัตรหรือการ์ดอะไรบางอย่างนั่นเอง

           การ์ดนั้นมีสีฟ้า มีแทบสีทองพาดอยู่บริเวณขอบบน ที่รู้ว่ามันเป็นด้านบนหรือล่าง ก็เพราะมีแทบสีดำขนาดประมาณ 10 เซนติเมตรพาดอยู่ที่ด้านล่าง ข้างในนั้น มีอักษรภาษาอังกฤษเขียนด้วยฟอนต์ที่ดูสวยงามแต่แปลกตาว่า -THE STARDUST- ซึ่งแน่นอนว่า เขานั้นไม่เคยเห็นการ์ดใบนี้ แต่ก็รู้สึกคุ้นชื่ออย่างแปลกประหลาด

           “ท่านพี่ค่ะ การ์ดใบนั้นท่านพ่อส่งมาให้นะคะ เห็นบอกว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อพี่ และก็ถือเป็นของขวัญย้ายบ้านด้วย”

           --------งั้นหรอ ขอบคุณนะ

           เขาควรที่จะพูดแบบนั้นออกไป แต่ก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาขัดไม่ให้เขาพูดมันออกไปได้ แต่เขาก็พยักหน้าครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะกระพือปีกสีดำบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อท้าทายอิบูกิอีกรอบ

           เขาบินขึ้นไปเหนือเมฆ พล่างคิดเรื่องชื่อที่เขียนบนการ์ดใบนั้นอีกครั้ง เขาเคยได้ยินมาแน่ และได้ยินมาจาพ่อของนากิสะด้วย แต่ก็จำรายละเอียดไม่ได้

           ------ถ้าเก่งขึ้นจนปกป้องนากิสะได้ล่ะก็ ฉันจะให้มันกับนายนะ

           เสียงนั้นแล่นเขาหัวของเขา มันเป็นเสียงของพ่อนากิสะนั่นเอง มันเป็นคำพูดที่ทั้งสองคนให้สัญญากันเอาไว้ แล้วในที่สุด มาซามุเนะก็จำได้ แล้วเขาก็จำการ์ดใบนี้ได้ด้วย

           มาซามุเนะรุ้ดีว่าปีกของเขาไม่สามารถบินได้สูงขนาดนี้ ถ้าเป็นอาทิตย์ที่แล้วล่ะนะ ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาหรือก็คือเมื่อวานนี้ เขาได้ฝึกใช้ปีกเพื่อที่จะบินให้สูงขึ้นโดยที่มีอากิโอะมาช่วย แต่ก็บินไม่ได้ขนาดนี้ ที่บินมาได้สูงขนาดนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะแรงใจและ -อิมเมจ- อันแรงกล้าที่ช่วยผลักดันเขาอยู่เป็นแน่ 

           และในที่สุด เขาก็ตามอิบูกิทัน อิบูกินั้นยืนหลับตาทำสมาธิอยู่บนตัวของมังกรสีฟ้า แต่ก็แผ่พลังจิตและออร่าสีฟ้าออกมาอย่างมหาศาล เป็นการบอกว่า “ที่นี่คือที่ตัดสินศึกนี้” หรืออะไรประมาณนี้ มาซามุเนะบินตามมาด้วยความเร็วสูง และเว้นระยะห่างไว้ประมาณ 7 เมตร ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเหมาะสมแล้ว

           “เฮ้อ ยกแรกนี่ ฉันแพ้นายแบบหมดรูปเลยล่ะนะ”

           “อย่างนั้นหรอ งั้นคราวนี้ก็ต้องทุ่มสุดตัว เพราะว่าฉันก็จะทุ่มสุดตัวเหมือนกัน เพื่อที่จะสระสางเรื่องของนายยังไงล่ะ ฉันฆ่านายแน่”

           “งี้เอง ไม่มีต่อยกสามเลยสินะ เป็นงั้นก็ได้ มาตัดสินกัน”

           หลังจากพูดจบ อิบูกิก็รวบรวมสมาธิไว้ ออร่าสีฟ้าเข้าปกคลุมกระบี่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันมีสีที่เข้มกว่าเดิม หรือก็คือ ออร่านั้นมากกว่าเดิมมาก ส่วนมาซามุเนะ ออร่าสีดำที่เห็นจนคุ้นตาของเขา ตอนนี้สีมันอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็ถูกรวบนรวมไว้ที่แขนทั้งสองข้างและปีก

           “...โอ้วววว”

           เป็นเสียงตะโกนที่ส่งมาจากอิบูกิ ตอนนี้ ไม่เสียงใดๆเกิดขึ้นและไร้ซึ่งการกระทำใดๆ เป็นช่วงเวลาเพื่อทำสมาธิก็ว่าได้

           ทันใดนั้น อิบูกิก็ลืมตาขึ้น พร้อมกับออร่าที่แผ่กระจาย และมันก็ถูกรวมไว้ที่กระบี่เล่มนั้น นั่นเป็นการรวมพลังที่ดุคุ้นตา มันคือการรวมพลลังแบบเดีนวกับก่อนที่มังกรของเขาจะยิงลำแสงออกมา อีกนัยหนึ่ง การฟันของอิบูกินั้นมีความรุนแรงพอๆกับลำแสงนั้นนั่นเอง เขาเตรียมท่าฟันโดยถือดาบไว้ข้างหน้าของตัวเอง และสุดท้าย เขาก็พุ่งออกไปด้วยความเร็วที่รู้สึกว่าจะเร็วกว่าเดิม

           ส่วนมาซามุเนะนั้น เขายังคงยืนนิ่งอยู่ ออร่ามากมายถูกรวมไว้ที่มือข้างขวา แต่ก็ไม่ได้ก่อตัวเป็นสิ่งใดให้ได้เป็นเหมือนแต่ก่อน อิบูกิย่นระยะเข้ามาด้วยความเร็วสูง มันใดนั้นก็เกิดประกายแสงสีดำ ตัดกับแสงของด้วงอาทิตย์ยามเย็น เขาชูมือขวาขึ้นเหนือหัว แสดงให้เห็นถึงการ์ดที่นนากิสะส่งมาให้ มันกำลังส่องแสงสีขาวตัดสีดำอยู่ และก่อตัวขึ้นเป็นบางอย่าง

          อิบูกิไม่ได้สนใจการ์ดใบนั้นและยังคงพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่าอะไร เขาไม่ได้มองมาซามุเนะที่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ และเขาก็ลงดาบของกระบี่ มีแสงบางอย่างสะท้องเขาที่ตา แต่เขาก็ฟันลงไปแล้ว มังกรที่พุ่งด้วยความเร็วสูง พุ่งผ่าเลยมาซามุเนะไป และนั่นก็คือการฟันของเขา เร็วยิ่งกว่าอะไรดี คงจะเป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงเลยสักนิด แต่ก็มีความรู้สึกแปลกๆก่อตัวขึ้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

           “อะไรกัน น่าจะฟันโดนไปแล้วแท้ๆนี่ อ๊ะ อ้าาาาาาา….”

           “รู้ผลแล้ว สินะ”

           ระหว่างทีอิบูกิกำลังทำการจู่โจมนั้น การ์ดในมือของมาซามุเนะก็เปล่งแสงออกมา และก็ก่อตัวเป็นรูปร่างของอะไรบางอย่าง นั้นคือสิ่งที่อิบูกิรู้ แต่เขาก็ไม่ได้นึกสนใจ เพราะถ้าความเร็วของตนนั้น มาซามุเนะก็ไม่น่าที่จะตอบโต้ทัน

           แต่การ์ดในมือขวาของมาซามุเนะนั้น ได้เปลี่ยนรูปร่างไป กลายเป็นดาบมีคมด้านเดียว หรือก็คือดาบคาตานะ แต่ก็ไม่มีส่วนโค้งเลย ที่ฝักดาบมีสีขาวสว่างดังประกายดาว ส่วนด้านจับถูกพันด้วยผ้าสีดำ มาซามุเนะใช้มือขวาของตัวเองจับที่ด้าม ส่วนมือซ้ายก็จับที่ฝักของดาบ และหลับตาลงโดยที่มีอิบูกิพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง ระหว่างนั้น เป็นเหมือนช่วงที่เวลาของโลกหยุดนิ่ง ทุกสิ่งล้วนแตกดับและหลอมรวมกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง เขานึกถึงคำสอนที่ได้รับมาระหว่างฝึกการต่อสู้ด้วยดาบ การทำจิตใจให้บริสุทธิ์คือแก่นแท้ของการโจมตี

           ติ๋ง

           มีหยดน้ำหนึ่งหยดตกลงสู่ทะเลสาบจิตใจของเขาและก็ลืมตาขึ้น มือซ้ายกำฝักดาบไว้แน่น ส่วนมือแขนขวาก็ชักดาบออกมา แสดงให้เห็นถึงใบดาบสีขาวสว่างคล้ายแสงของดาวนับพันบนท้องฟ้า แล้วฟันดาบไปในแนบนอน ซึ่งนั่นเป็นจังหวัดเดียวกับที่อิบูกิโจมตีพอดี แต่ก็ไม่ได้เกิดการต้านกันเหมือนครั้งที่แล้ว ถือเป็นการตัดสินโดยแท้จริง

           เลือดไหลออกมาจากช่วงท้องของอิบูกิ เมื่อลองมองดู ก็เห็นว่ามีรอยถูกฟันเป็นเส้นตรงในแนวนอนอยู่ และเขาก็ทรุดลงไปที่ตัวมังกร แต่มาซามุเนะนั้นไม่ได้มีรอยแผลที่ไหนเลย เขาเก็บใบมีดเขาฝักดาบแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า

           “ใบมีดสีขาวประกาย นี่แหละดาบแห่งดวงดาวนับพัน [STARDUST] ยังไงล่ะ”

           “ฉะ...ฉัน แพ้แล้ว...ล่ะ”

           มังกรที่คาดว่าเกิดจากพลังจิตของอิบูกิสลายไป เขาตกลงไปสู่ผืนดิน และสุดท้ายอาณาเขตแห่งนี้ก็คลายออก

         

 

 

      

           วันเดียวกัน เวลา 22.34 นาฬิกา

           หลังจากการต่อสู้จบลง มาซามุเนะก็พาอิบูกิมาที่บ้าน แล้วนากิสะก็ทำแผลให้เขา ในระหว่างนั้น มังกรตัวสีฟ้าของเขาก้ปรากฏตัวออกมาในร่างที่มีขนาดแค่ 20 เซนติเมตร ดูเหมือนว่ามันคือพลังจิตอัตโนมัติที่อิบูกิสร้างขึ้นมา และถูกกำหนดให้อยู่ในขนาดที่สามารถช่วยเหลืองานต่างๆได้ในเวลาปกติ

           “ตื่นแล้วหรอ อิบูกิ”

           มังกรตัวนั้นพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเขาลืมตาขึ้นบนเตียงที่มีอยู่เตียงในห้องของมาซามุเนะ

           “ริวหรอ ที่นี่...คือ”

           “ดูเหมือนจะเป็นที่พักของชายคนนั้นนะ”

           มังกรตัวนั้นหันมาหน้าไปข้างหลัง ทำให้เขาเห็นมาซามุเนะเดินเข้ามาหาพร้อมกับการ์ดที่เคยเห็นมันส่องแสงในมือขวา แต่ตอนนี้เขากำลังโยนเล่นอยู่ อิบูกิลุขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง

           “โธ่ ท่านพี่ค่ะ ของสำคัญก็เก็ยไว้ดีๆหน่อยเถอะ”

           “โทษทีๆ แล้วเป็นยังไงมั่งล่ะ”

           มาซามุเนะตอบกลับนากิสะแล้วหันหน้ามาทางอิบูกิ เขาก็เบือนหน้าหนีเหมือนกำลังหนีอยู่

           “ทำไม...นายถึง” 

           “ก็นะ ฉันอยากจะคุยอะไรกับนายหน่อยน่ะ”

           เมื่อได้ยินดังนั้น อิบูกิก็หันหน้ากลับมาราวกับว่านึกสนใจขึ้นมา

           “คือ จริงๆแล้วน่ะ เมื่อ 5 ปีก่อนน่ะ พ่อแม่ของฉันโดนฆ่าตายน่ะ ก็เลยต้องย้ายออกจากเมืองนี้ ฉันต้องขอโทษนายจริงๆนั่นแหละ ที่ไปโดยไม่บอกอะไรเลยน่ะ”

           อิบูกิตกตะลึ่งกับสิ่งที่มาซามุเนพูดออกมาอยู่สักพัก ก่อนที่เขาจะตอบไป

           “งั้นหรอ ถ้าเป็นงั้น ฉันนี่แหละที่เป็นคนผิดน่ะ ทั้งที่นายทุกข์ใจอยู่แท้ๆ แต่ฉันกลับทำอะไรไม่ได้เลยนี่ ไม่สมควรจะเป็นเพื่อน…”

           “ไม่เลย นายน่ะ แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ มันไม่ผิดหรอกนะ”

           “งั้นหรอ ขอบคุณนะ”

           ทั้งสองคนได้คุยกันจากใจจริง แต่นากิสะที่รู้สึกว่ามันเริ่มที่จะแปลกๆ จริงเอ่ยขึ้นมาขัดจังหวะก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น

           “แล้วตอนนี้ นายน่ะทำงานให้ใคร”

           อิบูกินิ่งเงียบอยู่สักพัก ก่อนจะหันมาหานากิสะ

           “ฉันเป็น 1 ในมือสังหารของกลุ่ม [SEVEN STAR] ที่มีอยู่ทั้งหมด 7 คน เป็นกลุ่มที่ถูกจัดตั้งขึ้นมา แต่ไอ้คนที่โจมตีใส่พวกนายในตอนแรกไม่ได้อยู่ในกลุ่มหรอก แต่เป็นแค่ลูกน้องของคนในกลุ่มที่ฉันวานมา”

           “กลุ่มนั่น ใครเป็นคนตั้งขึ้นหรอ”

           “ฉันว่านายน่าจะรู้แล้วนะ มาซามุเนะ ถ้าเป็นนายที่รู้ทุกเรื่อง”

           อิบูกิหันหน้าไปทางมาซามุเนะที่ยืนอยู่ฝังตรงข้ามของนากิสะ ตอนนี้เขาทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ยิ้มขึ้นมา

           “ถ้าเป็นไปตามที่ฉันคิดล่ะก็ คงจะเป็น -รัฐบาล- สินะ”

           “ถูก รัฐบาลวางแผนไว้แบบนี้ ในตอนที่รวบรวมผู้มีพลังจิตมาได้แล้ว ก็นำส่วนที่ไม่ค่อยจะมีประโยชน์ไปเป็นหนูทดลองให้กับพวกนักวิทยาศาสตร์ ครึ่งหนึ่งของพวกนั้นตายไประหว่างการทดลอง ส่วนคนที่เหลือรอดก็จะถูกนำไปทดลองต่อเรื่อยๆ จนกว่าจะใช้การไม่ได้”

           “โหดร้ายเกินไปแล้ว”

           -----แม้แต่นากิสะที่ฆ่าคนไปแล้วมากมายยังอุทานออกมาแบบนั้น ก็คงจะโหดจริงล่ะมั้ง

          “แต่การทดลองนั้นจะมีทุกๆ 4 เดือน การทดลอง 1 ครั้งคงใช้ระยะเวลาประมาณ 3 วันล่ะมั้ง 3 วันนั้นคงจะเป็นนรกบนดินเลย ยิ่งไม่อยากจะคิดเลยว่าจะมีคนตายไปแล้วเท่าไหร่น่ะ”

          “แล้ว อีกส่วนหนึ่งล่ะ”

          มาซามุเนะพูดขึ้นมาทำลายบรรยากาศหดหู่ที่กำลังเกิดขึ้น นากิสะที่รู้ตัวว่ายังไม่หมดคำถาม ก็เงยหน้าขึ้นเพื่อเค้นคำตอบจากอิบูกิ

          “อีกส่วนหนึ่งก็คือสวนที่ฉันได้เข้ารวม เป็นการให้ฝึกใช้พลังจิตน่ะ แต่คนที่ทำอะไรไม่ได้มากก็จะถูกส่งไปส่วนของหนูทดลองทันที พูดอีกอย่างว่า คนที่เหลือรอดก็คือคนที่จะเป็นมือสังหารที่ทำตามคำสั่งของรัฐบาลนั่นเอง โดยทีกลุ่ม [SEVEN STAR] เป็นแกนกลางที่มีสิทธิ์ในการรับคำสั่งโดยตรงจากรัฐบาล จากนั้นจะเอาภารกิจที่ได้รับมาไปทำเอง หรือเอาไปแจกจ่ายให้กลุ่มย่อยก็แล้วแต่ตัวเอง ตัวฉันเองตอนที่ได้รับรู้ถึงแผนการสังหารนาย ก็คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะต้องมาทำเอง”

          “งี้นี่เอง”

          มาซามุเนะไปนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่หน้าโต๊ะคอม ส่วนนากิสะก็ยืนคิดอยู่เหมือนเดิม ก่อนที่เธอจะพูดออกมา

          “แล้วจากนี้นายจะทำยังไงล่ะ”

          “กฎเหล็กของกลุ่มก็คือ คนที่ทำงานไม่สำเร็จ ก็จะถูกกำจัดทิ้ง”

          คราวนี้มังกรตัวสีฟ้าที่เงียบมาตลอดก็ตอบออกมาบ้าง นากิสะรู้สึกว่านั่นเป็นกฎที่สมเหตุสมผลอยู่

          “ฉันคิดว่าจะอยู่ที่เมืองนี้ค่อยช่วยนายอีกสักพักน่ะ คิดว่าต่อจากนี้นายก็จะโดนโจมตีอีกแน่ แล้วก็คงจะหนักกว่าเดิมด้วย ถ้าภารกิจนั้นไม่สำเร็จ รัฐบาลที่คอยจับตามองอยู่ก็จะเริ่มให้ความสนใจ แล้วก้จะส่งคนมาเพิ่มด้วยคำสั่งโดยตรง”

          “งั้นหรอ งั้นนายก็อยู่ที่นี่สิ”

          “เอ๋”

          นากิสะที่ฟังอยู่สักพัก ก็ร้องออกมาพร้อมกับสีหน้างุนงง ก่อนจะชะงักไปชั่วครู่

          “เออ ท่านพี่ค่ะ คิดว่าคงจะทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะคะ”

          “เอ๋ ทำไมล่ะ”

          มาซามุเนะพูดออกมาด้วยความมึนงง

          “ก็ห้องนี้มันแคบขนาดนี้เลยนี่ค่ะ! อยู่กันแค่สองคนก็รู้สึกว่ามันแคบตั้งขนาดนั้นเลยนะคะ แล้วหนูก้อยากจะอยู่กับท่านพี่แค่สองคนด้วย...”

          “จริงด้วยสิ งั้นพรุ่งนี้เราย้ายไปบ้านใหม่กันเถอะ บ้านหลังนั้นใหญ่มากเลยนิ”

          ดูเหมือนว่ามาซามุเนะจะไม่ได้ฟังที่นากิสะพูดจนจบเลย เขาพูดออกไปพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขค้นมา แล้วโทรหาบริษัทขนของ

          “เฮ้อ ช่วยไม่ได้ล่ะน้า”

          นากิสะตัดพ้อ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา