Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ

-

เขียนโดย MoMoGa

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.

  26 บท
  4 วิจารณ์
  20.53K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) ตอนที่ 13

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
                    วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม เวลา 16.00 นาฬิกา
                    หลังจากเลิกเรียนแล้ว มาซามุเนะที่เป็นเวรทำความสะอาดห้องนั้น ทำให้ตัวเขาจำเป็นต้องอยู่ทำความสะอาดห้องต่อ และพอมาซามุเนะทำเสร็จ เขาก็ตรงดิ่งไปที่อาคารเก่าโดยทันที ซึ่งมันก็คือที่ตั้งของห้องชมรมตรวจสอบและวิจัยพลังจิตภาพ
                    ชมรมตรวจสอบและวิจัยพลังจิตภาพ เป็นชมรมที่ถูกตั้งขึ้นมาอย่างไม่เป็นทางการของอาจารย์มายาซาว่า ไม่มีข้อมูลอย่างแน่ชัดในเรื่องของเวลาที่ก่อตั้งหรือสมาชิกคนแรก แต่สิ่งที่สมาชิกในตอนนี้รู้เป็นอย่างดีก็คือ ชมรมนี้เป็นชมรมที่อาจารย์มายาซาว่าก่อตั้งขึ้นมาโดยความตั้งใจของเธอเอง ไม่ใช่เพื่อทำตามคำสั่งของรัฐบาลแต่อย่างใด และถึงแม้ว่าผู้ก่อตั้งอย่างอาจารย์มายาซาว่าจะถูกฆ่าตายไปแล้ว แต่พวกมาซามุเนะก็ตัดสินใจที่จะสานต่อความตั้งใจเดิมของอาจารย์ที่ตัวเองเคารพรักอย่างสุดความสามารถ
                    “ขออนุญาตครับ”  
                    มาซามุเนะเปิดประตูของห้องชมรมออกโดยไม่รอคำตอบของคำพูดที่เขาพูดออกไป เพราะเขานั้นรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่จะตอบรับคำพูดของเขาก็คือความเงียบงันของห้องนั่นเอง
                    {อ้าวๆ นี่นายโดนเพื่อนทิ้งหมดแล้วเหรอยะ พ่อ-คน-เก่ง}
                    ฮิคาริที่ตอนนี้กลับมาอยู่ในร่างของมาซามุเนะตามเดิมแล้ว ปกติเธอจะงีบหลับในเวลาที่มาซามุเนะเรียนอยู่ แต่เมื่อมาซามุเนะอยู่คนเดียวหรือไม่มีใครอยู่ด้วยเมื่อไหร่ ฮิ-คาริก็จะออกมาพูดคุยกับเขาเป็นครั้งคราว
                    “คงงั้นละมั้ง”
                    มาซามุเนะพูดออกมาด้วยเสียงจริงๆของเขา พอพูดเสร็จเขาก็เดินออกจากห้องชมรมทันที เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าและความเงียบงันที่จะคงอยู่ในห้องนี้ไปอีกสัก   2-3 ชั่วโมง
                    {อ้าว จะกลับบ้านแล้วเหรอยะ}
                    ฮิคาริที่กำลังซึมซับบรรยากาศของความเงียบที่ตัวเธอชื่นชอบ ถามมาซามุเนะที่่เดินออกมาจากห้องหลังจากที่พึ่งจะเปิดประตูเข้าไปได้ไม่ถึง 1 นาที
                    “อืม”
                    {จะรีบกลับไปฝึกอีกแล้วเหรอ ทำไมถึงรีบร้อนจังขนาดนั้นล่ะ}
                    ฮิคาริเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดตอบกลับสั่นๆของมาซามุเนะ ตวาดใส่ด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจในตัวของเขาในตอนนี้ แน่นอนว่ามาซามุเนะไม่ได้ตอบกลับอะไรไป เพราะสิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ มันมีเหตุผลง่ายๆอยู่แค่ไม่กี่ข้อ
                    อย่างแรกเลย มาซามุเนะเขินเกินกว่าจะอยู่โรงเรียนต่อได้ เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว มาซามุเนะทำตามความรู้สึกของตัวเอง ด้วยการประกบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากอันบอบบางของคุออน การกระทำนั้นทำให้มาซามุเนะหลบหน้าคุออนตั้งแต่นั้นมา และการที่เขาเดินมายังที่ห้องชมรมนี้ก่อนจะกลับบ้าน ก็เพื่อไม่ให้เขาเจอกับคุออนระหว่างที่เดินกลับบ้านนั่นเอง
                    ส่วนเหตุผลอีกข้อก็คือ ข้อมูลที่เขาได้มาจากโทโมยูกิ ซาเอโกะ ชายผูู้เข้ามาคุกคามพวกมาซามุเนะ แต่ก็ถูกจัดการไปแล้ว ข้อมูลที่เขาบอกมานั้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่และเหนือความคาดหมายสำหรับมาซามุเนะเป็นอย่างมาก นั่นจึงทำให้มาซามุเนะต้องทำให้ตัวเองคุ้นชินกับพลังจิตแบบใหม่ของตัวเองให้เร็วที่สุด และพัฒนาตัวเองเพื่อเตรียมรับมือกับภัยคุกคามนั้น
                    แน่นอนว่าฮิคาริรับรู้ถึงเหตุผลทั้งสองข้อของมาซามุเนะ แต่เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่มาซามุเนะนั้นไม่เคยจะหันกลับมาดูข้างกายของตัวเองบ้างเลย ว่าเขานั้นมีพวกพ้องคนสำคัญที่พร้อมจะต่อสู้ร่วมกับเขาอยู่ด้วย และเอาแต่ฝืนตัวเองเกินความจำเป็นตลอด
                    เมื่อมาซามุเนะกลับมาถึงบ้าน เขาก็เเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับฝึกซ้อมและเริ่มใช้พลังจิตโดยทันที มีแสงวูบวาบเกิดขึ้นมาเป็นระยะระยะจากโรงฝึก ฮันโซ นากิสะ น้องสาวที่แน้นแฟ้นยิ่งกว่าพี่น้องของมาซามุเนะและแคทเธอรีน ฟรีค เมดประะจำบ้านที่มีหน้าที่ผู้-ปกครองของคนทั้งหมดในบ้าน ทั้งสองคนมักจะมาดูการฝึกซ้อมของมาซามุเนะอยู่เสมอ โดยที่ทั้งคู่ก็มักจะเอาชาเขียวและอาหารว่างมาฝากมาซามุเนะด้วย
            ปิ๊งป่อง
            มีเสียงกริ่งดังขึ้นมาระหว่างที่มาซามุเนะกำลังฝึกการใช้พลังจิตอยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้ไปรบกวนมาซามุเนะแต่อย่างใด เพราะตอนนี้เจ้าตัวกำลังใช้สมาธิทั้งหมดจดจ่อไปที่กับการฝึกฝนอยู่ แต่เสียงกริ่งนั่นก็ทำให้นากิสะและแคทเธอรีนได้ยินอยู่ดี ทั้งสองคนวิ่งไปยังประตูหน้าซึ่งเป็นทางเข้าบ้านเพื่อหาต้นเหตุของเสียงนั้น และสิ่งที่ได้พบก็คือ
            “สวัสดี นากิสะจัง แล้วก็แคทเธอรีนจังด้วยนะ”
            ผู้ที่มากดกริ่งของบ้านฮันโซ ก็คือคาวาซากิ คุออนนั่นเอง เธอยังอยู่ในเครื่องแบบของโรงเรียนมาซาราดะ แต่ในมือของเธอนั้นมีห่ออะไรบางอย่างอยู่ ถ้าลองสังเกตดีๆแล้ว ก็จะเห็นเม็ดข้าวญี่ปุ่นติดอยู่ที่ห่อนั้น ดังนั้นจึงคิดได้แค่ว่าห่อนั้นคือห่อข้าวกล่อง ซึ่งก็น่าจะนำมาให้มาซามุเนะทีตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่
            เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว นากิสะจึงให้แคทเธอรีนพาคุออนเข้าไปรอในบ้านก่อน และตัวเธอเองจะไปเรียก มาซามุเนะที่กำลังฝึกอยู่โดยใช้ข้ออ้างว่าอาหารเย็นเสร็จแล้ว มาซามุ-เนะยอมฟังคำของนากิสะแต่โดยดี เขาบอกกับนากิสะว่าขอเวลาไปล้างตัวก่อนแล้วจะตามไป
            “ทะทะทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่ล่ะ คุออน”
            มาซามุเนะอุทานออกมาอย่างไม่ได้ใจความ เมื่อเห็นคุออนนั่งรอเขาซึ่งพึ่งจะเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นสำหรับอยู่บ้าน เพราะมาซามุเนะจะใส่ชุดนี้ก็ต่อเมื่อตัวเองอยู่คนเดียวหรืออยู่กับครอบครัวที่คุ้นเคยดีและเขาไม่ต้องเกรงใจมากเท่านั้น ตอนนี้อลิซาเบธกลับบ้านที่อังกฤษเพราะว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปจะเป็นวันหยุดยาว ดังนั้น ในเวลานีี้จึงมีแค่มาซามุเนะ นากิสะ อิบูกิและแคทเธอรีนเท่านั้นที่อยู่ที่บ้าน ทำให้การปรากฏตัวของคุออนจึงเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายต่อมาซามุเนะมาก
            “เอ่อ คือ พอดีฉันเห็นมาซามุเนะคุงทำตัวแปลกๆ ก็เลยคิดว่า-”
            “คุออนจังจะมานอนที่บ้านของเราในคืนนี้ด้วยคนค่ะ ท่านพี่คงไม่มีปัญหาตรงไหนใช่ไหมคะ?”
            นากิสะพูดคัดคุออนก่อนที่เธอจะพูดจบเสียอีก และแน่นอนว่าสิ่งที่นากิสะพูดออกมาเป็นเรื่องที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาทั้งหมด
            “มันก็ต้องมีอยู่แล้วสิ!”
            มาซามุเนะพูดขึ้นมาทันทีหลังจากที่นากิสะพูดจบ
            “ตรงไหนล่ะคะ?”
            “คะคะคุออนไม่น่าจะมานอนอยู่บ้านของเรานี่นา ทำไมจู่ๆถึง-”
            “มะ…ไม่ใช่อย่างนั้นน้า---- มาซามุเนะคุงเข้าใจผิดหมดแล้ว นากิสะจังพูดโกหกทั้งหมดเลยนะ!”
            คุออนรีบพูดคัดเรื่องทุกอย่างก่อนที่เรื่องจะบานปลายด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก มาซามุเนะที่ได้ยินดังนั้นจึงหันหน้าไปมองนากิสะที่ตอนนี้กำลังยิ้มอย่างชอบใจเมื่อเห็นว่าเรื่องทุกอย่างไปได้ด้วยดี
            {น้องสาวนายนี่ตลกดีเนอะ}
            {เธอน่ะ เงียบไปเลย}
            มาซามุเนะที่จำเป็นต้องระงับความเขินอายของตัวเองไว้ก่อน จึงขอตัวไปเพิ่มความมัั่นใจด้วยการเปลี่ยนเป็นกางเกงขายาวอย่างสุภาพ แล้วจึงลงมาหาคุออน นากิสะ อิบูกิและแคทเธอรีนที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวด้วยสีหน้าที่มีความเขินปนอยู่นิดๆ
            “ละละแล้ว คุออนมาทำอะไรล่ะ”
            มาซามุเนะที่กำลังจะตักอาหารเข้าปาก เอ่ยถามกับคุออนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของตัวเอง ทันทีที่คุออนได้ยินคำถามของมาซามุเนะ แก้มที่มีสีขาวอมชมพูก็เริ่มแดงขึ้นอย่างกะทันหัน
            “มะ…มาซามุเนะคุง ฉันตัดสินใจแล้วล่ะ พะพรุ่งนี้ เราไปเที่ยวทะเลกันเถอะนะ”
            “แค๊กๆ อัก-”
             นากิสะที่กำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยตามภาษาของเด็กในช่วงวัย จู่ๆอาหารที่เธอทานก็ติดคอไปเฉยๆซะอย่างนั้น
            “อะ นากิสะจัง เป็นอะไรรึเปล่า”
            คุออนรีบดูอาการนากิสะที่นั่งอยู่ข้างๆตัวเองทันที
            “ทำไมจู่ๆถึงชวนกันละ”
            มาซามุเนะพูดออกมาด้วยความรู้สึกต่างๆที่ตนนั้นไม่อาจจะแบกรับได้ อิบูกิที่เป็นเพื่อนสนิทย่อมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงที่มาซามุเนะเป็น และแน่นอนว่าเขาก็สนับสนุนในการกระทำของคุออนในตอนนี้ด้วย เพราะว่าอิบูกินั้นรู้เหตุผลของคุออนที่เธอต้องการพามาซามุเนะไปเที่ยวทะเลนั่นเอง
            “ก็ เอ่อ …เฮ้อ--- มาซามุเนะคุงพยายามหลบหน้าฉันน่ะสิ ทั้งที่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทำแบบนั้นกับฉันไว้แท้ๆ”
            “ปัดโธ่ เรื่องนั้นเองหรอกเหรอเนี่ย”
            อิบูกิคิดในใจเกี่ยวกับคำพูดของคุออนที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองเดาไว้
            มาซามุเนะใช้แขนขวาของตัวเองมาเช็ดคราบของซอสที่ติดอยู่มุมปาก แต่นั่นเป็นแค่การกระทำเพื่อปกปิดใบหน้าที่ถูกย้อมไปด้วยความเขินอายเท่านั้น
            “งะ...งั้นเหรอ คุออน คือว่าฉัน-”
            "ท่านพี่ค่ะ หนูก็อยากไปเที่ยวเหมือนกันนะคะ น้าๆ ให้หนูไปด้วยน้า~~~~”
            ระหว่างที่มาซามุเนะกำลังจะพูดตอบคุออน จู่ๆนากิสะก็พูดขึ้นขัดก่อนที่เขาจะพูดจบ โดยที่ตัวของนากิสะนั้นไปเขย่าแขนซ้ายของมาซามุเนะเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
            “ดะ…เดี๋ยวก่อนสิ นากิสะ พี่ไม่ได้จะ-”
            “งั้นเอาอย่างนี้ดีไหมค่ะ”
            …..อีกแล้วสิ เราจะได้พูดให้มันครบสมบูรณ์บ้างไหมเนี่ย มาซามุเนะคิดอยู่ในใจพลางหันไปหาแคทเธอรีนที่พูดเชิงเสนอความคิดเห็นออกมา ทุกคนที่อยู่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารต่างก็หันไปที่แคทเธอรีนเช่นเดียวกับมาซามุเนะ แคทเธอรีนยิ้มมุมปากก่อนจะกล่าวต่อไปว่า…
            
 
 
            “เย้! หนูจะได้ไปเที่ยวแบบคนปกติแล้ว~~~ ท่านพี่ คุออน อิบูกิ แคทเธอรีน เย้ๆ!”
            วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม เวลา 10.20 นาฬิกา
            มาซามุเนะ คุออน นากิสะ อิบูกิและแคทเธอรีน กำลังเดินขึ้นเครื่องบิน ท่าทางตื่นเต้นแม้จะอยู่ในชุดกิโมโน สีม่วงอ่อนตัวโปรดของนากิสะนั้นคงจะเป็นอย่างเดียวที่ดูสดใสอย่างเด่นชัดที่สุดแล้ว เพราะนอกจากนากิสะแล้ว ก็ดูเหมือนจะมีแค่คุออนเท่านั้นที่ทำหน้ามุ่งมั่นกับอะไรสักอย่าง และนอกนั้นแล้ว ทั้งมาซามุเนะและอิบูกิที่โดนลากมา กำลังทำหน้าเหมือนเครื่องบินที่ขึ้นนั้นกำลังจะตกอยู่อย่างไงอย่างงั้น ส่วนแคทเธอรีนกที่ทำหน้าตาสงบเสงี่ยมเหมือนทุกที แท้จริงแล้วกำลังดีใจที่ได้พาพวกมาซามุเนะไปเที่ยวสถานที่ที่เธอเป็นคนเสนอนั่นเอง
            “อะ…อะไรนะ รัฐปกครองพิเศษ นิวปารีสงั้นเหรอ”
            มาซามุเนะอุทานออกมาด้วยความตกใจ คุออนเองก็ทำหน้าตาตื่นตกใจกับข้อเสนอของแคทเธอรีนเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่านากิสะจะไม่ได้ตกใจอะไรเลยสักกะนิด เธอยังคงทานอาหารบนโต๊ะโดยที่ไม่ได้มีท่าทางต่างจากตอนปกติ
            “รัฐปกครองพิเศษ นิวปารีส มันคืออะไรเหรอคะ?”
            นากิสะพูดพร้อมกับตักอาหารเข้าปากด้วยสีหน้าเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทั้งสี่คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารร่วมกับนากิสะนั้น กำลังทำหน้าตาตกใจปนมึนงงกับอาการตื่นตกใจของนากิสะอยู่
            “เดี๋ยวดิฉันจะอธิบายเองค่ะ”
            แคทเธอรีนพูดออกมาเมื่อเห็นว่ามาซามุเนะกำลังจะพูดอะไรออกมา
            “เมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีนายทุนกระเป๋าหนักกลุ่มหนึ่งประกาศจะสร้างเมืองที่เหนือลำจินตนาการขึ้น และก็มีนายทุนจากประเทศต่างๆรวมหุ้นด้วนในเวลาต่อมา ซึ่งรัฐบาลของประเทศฝรั่งเศสก็ตัดสินใจร่วมหุ้นด้วย และ 10 ปีต่อมา เมืองแห่งนั้นก็สร้างขึ้นมาสำเร็จค่ะ”
            นากิสะที่ฟังมาจนถึงตรงนี้ เกิดความรู้สึกว่าน่าเบื่อขึ้นมานิดหน่อย เพราะรู้สึกว่าเมืองนั้นก็แค่เมืองที่สร้างขึ้นมาใหม่โดยการร่วมหุ้นของคนรวยก็เท่านั้น แคทเธอรีนรู้สึกได้ว่านากิสะคิดอย่างนั้นอยู่ จึงกล่าวต่อไปอีกว่า
            “รัฐปกครองพิเศษ นิวปารีสเมืองที่ตั้งอยู่เหนือน่านฟ้าของมหาสมุทรแปซิฟิกค่ะ ในหนึ่งปีจะเคลื่อนที่เป็นวงกลม มีวิทายาการที่ล้ำสมัยมากมาย ถูกยกให้เป็นเมืองแห่งอนาคตในอุดมคติของนักวิชาการหลายๆคนเลยด้วยค่ะ”
            ถึงจะได้ยินอย่างนั้น แต่ใบหน้าของนากิสะก็ยังบ่งบอกว่ามันเป็นเมืองที่หน้าเบื่ออยู่ดี
            “มีสวนสนุกแห่งอนาคต ร้านอาหารที่ล้ำยุคแล้วก็เครื่องเกมที่มีแค่ที่นั่นที่เล่นได้ด้วยค่ะ”
            “ไปกันเถอะค่ะ ท่านพี่ค่ะ คุออนแล้วก็อิบูกิด้วย ไปเที่ยวกันเถอะ วันหยุดเราต้องพักผ่อนกันบ้างเซ้~~~”
            ก็นั่นแหละครับ แคทเธอรีนเป็นคนเสนอ นากิสะเป็นหัวหอกและคุออนเป็นผู้สนับสนุน สามเสียง มาซามุเนะและอิูบูกิจึงจึงต้องถูกลากไปเที่ยวด้วยนั่นเอง
            “ม่ายน้า———- วันหยุดที่แสนสำคัญของฉ้าน———”
            เสียงมาซามุเนะที่แคทเธอรีนบันทึกไว้ในโทรศัพท์ดังขึ้นมาในหูฟังของเธอระหว่างที่เครื่องบินกำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าของมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่
            วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม เวลา 18.40 นาฬิกา
            พวกมาซามุเนะกำลังเดินอยู่บนทางเท้าซึ่งด้านซ้ายของพวกเขาเป็นพื้นที่วิ่งเช่นของเด็กๆ และเมื่อมองไกลออกไปอีกก็จะเห็นพื้นน้ำของมหาสมุทรซึ่งกำลังสะท้อนแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ยามเย็นอยู่ นากิสะกำลังเดินอยู่บนทางเท้าซึ่งประดับไปด้วยดอกไม้สีสวยสดใสด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส โดยมีแคทเธอรีนนำทางไปยังที่พักที่เธออ้างว่าเป็นที่พักของคนรู้จัก ซึ่งก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามันคือที่ไหน คุออนที่กำลังเดินอยู่ข้างๆมาซามุเนะและอยู่่ด้านหลังนากิสะก็กำลังเดินดูวิวของเมืองลอยฟ้าซึ่งตัวเธอเองไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาเหยียบ มันเป็นวิวของดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าซึ่งหาดูจากในเมืองใหญ่ไม่ได้แล้ว ส่วนด้านหลังสุดก็มีอิบูกิที่ทำหน้าไม่ต่างอะไรกับคนตายเดินตามหลังทั้งสี่คนอยู่
            “แคทเธอรีน ใกล้จะถึงรึยัง”
            ถึงนากิสะจะถามเชิงเร่งเร้า แต่ท่าทางของเธอมันบ่งบอกว่าถึงจะให้เดินอีก 5 กิโลเมตรก็ยังไหว แคทเธอรีนที่ดูแผนที่สลับกับมองทาง ก็ตอบข่าวดีออกมา
            “ถึงแล้วค่ะ เอ่อ…อยู่ข้างหน้านี่แล้ว นี่ไงคะ พิกัดนี้แหละค่ะ”
            แคทเธอรีนพูดพร้อมกับหันหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มไปทางให้พวกมาซามุเนะที่อยู่ด้านหลัง เธอใช้มือซ้ายของตัวเองมาทาบไว้ที่หน้าอก และใช้ผ่ายมือขวาออกไปทางขวา มาซามุเนะและคนอื่นๆจึงหันตามไปในทิศที่มือขวาของแคทเธอรีนยืนออกไป และสิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือ
            “นี่ไม่เรียกว่าที่พักนะแคทเธอรีน มันคือปราสาทต่างหาก”
            มาซามุเนะใช้มือทั้งสองของตัวเองจับไปที่ไหล่ทั้งสองข้างของแคทเธอรีน โดยที่อีกสามคนที่เหลือยังคงตะลึงกับสถานที่ที่แคทเธอรีนบอกว่าเป้นที่พักของพวกเขา สถานที่นั้นก็คือปราสาทที่เหมือนกับหลุดออกมาจากหนัังสือนิทาน
            แคทเธอรีนไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มออกมา เธอเดินตรงเข้าไปที่รั้วบ้านซึ่งเป็นทางเข้าเพียงหนึ่งเดียว มีเมดที่ดูอายุไม่ถึงยี่สิบหลายคนออกมาเปิดประตูต้อนรับเธอพร้อมกับคำพูดว่า “ยินดีต้อนรับกลับค่ะ” แน่นอนว่าเมดพวกนั้นยังคงเปิดประตูให้พวกมาซามุเนะอยู่ พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเข้าไปอย่างเดียว
            ทั้งหมดเดินเข้าไปภายในตัวปราสาทโดยมีแคทเธอรีนเป็นคนเดินนำเข้าหน้า มีเมดหลายคนทำความเคารพแคทเธอรีนอย่างกับว่าที่นี่เป็นบ้านชองเธอเอง ภายในสุดของบ้านมีบันไดขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง แคทเธอรีนยืนสงบนิ่งอยู่ข้างหน้ามัน ไม่นานหลังจากนั้นก็มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินลงมาจากบันได
            “สวัสดีค่ะ”
           “ยินดีต้อนรับกลับนะ แคทเธอรีน”
            แคทเธอรีนโน้มตัวทำความเคารพหญิงคนนั้น หญิงคนนั้นช้อนตัวแคทเธรีน ขึ้นมาแล้วหันมาทางพวกมาซามุเนะที่กำลังยืนงงอยู่
            “ขออภัยที่เสียมารยาทค่ะ ท่านผู้นี้มีชื่อว่าโซเฟีย ฟลอล่าค่ะ”
            แคทเธอรีนแนะนำผู้หญิงคนนั้นให้เรารู้จัก แต่ที่ทำให้มาซามุเนะตกใจมากที่สุดก็คือนามสกุลของโซเฟียที่เป็นนามสกุลเดียวกับแม่ของตัวเอง
            “มะ...หมายความว่า”
            “ตามที่เธอคิดเลย เจ้าหนู ฉัน โซเฟีย ฟลอล่า เป็นผู้นำของตระกูลฟลอล่าในตอนนี้ และก็เป็นแม่ของแคโร-ไลน์ด้วย”
            โซเฟียพูดออกมาออกมาพร้อมกับจ้องไปยังหน้ามาซามุเนะ สายตานั้นมาซามุเนะจำมันได้ดี มันคือสายตาแบบเดียวกันกับที่แคโรไลน์ แม่ของมาซามุเนะจ้องเวลาที่เขาร้องไห้
            “งะงั้นก็หมายความว่า คุณผู้หญิงสาวสวยคนนี้เป็นยายของท่านพี่งั้นเหรอค้า—————”
            “ก็ประมาณนั้นแหละจ่ะ แต่ถึงแม่หนูจะพูดอย่างนั้น ฉันก็ไม่มีอะไรให้หรอกนะจ๊ะ”
            ““““เอ๋--------!!!””””
            “อธิบายทุกอย่างมาเดี๋ยวนี้เลยนะ! ทั้งแคทเธอรีนแล้วก็คุณด้วย”
            
 
 
            มาซามุเนะ คุออน นากิสะ อิบูกิ แคทเธอรีนและโซเฟีย กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทานอาหารขนาดใหญ่ บนโต๊ะยังไม่มีจานอาหารวางอยู่ มีเพียงเชิงเทียนสีทองงดงามเท่านั้น
            โซเฟียที่นั่งอยู่ที่มุมโต๊ะมองดูอีก 5 คนที่เหลือด้วยสายตาที่น่าสงสัย ส่วนมาซามุเนะที่กำลังหงุดหงิดจึงจ้องตาโซเฟียกลับไปโดยไม่สนใจสิ่งที่จะตามมาภายหลังเลยแม้แต่น้อย ส่วนอีกสี่คนที่เหลือก็ทำได้แค่นั่งทำตัวสงบเสงี่ยม
            “คนพวกนี้เป็นใครเนี่ย!”
            มีเสียงของผู้ชายดังมาจากอีกด้านของประตูที่เป็นทางเข้าของห้องอาหารซึ่งเป็นห้องที่พวกมาซามุเนะอยู่ จากนั้นประตูบานดังกล่าวก็ถูกเปิดจนเกิดเสียงดังไปทั่วห้อง คนที่เปิดมันออกเป็นเด็กหนุ่มที่ดูจะมีอายุพอๆกับมาซามุเนะ สวมชุด-สูทสีแดง เขามองมาซามุเนะและคนอื่นๆด้วยสายตาดูแคลนอย่างที่สุด
            “คุณย่าครับ คนพวกนี้มันใครกัน ถ้าจะให้ผมกินข้าวกับเจ้าพวกนี้ ผมไม่เอาด้วยหรอกนะครับ”
            เด็กหนุ่มหันหน้าไปพูดกับโซเฟียโดยที่ไม่ได้สนใจพวกมาซามุเนะที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารเลยแม้แต่น้อย
            “ใจเย็นๆสิแม็ก คนพวกนี้เขาเป็นแขกของย่านะ ทำตัวให้ดีๆหน่อยสิ”
            “แต่คนนี้เป็นใครก็ไม่รู้นะครับ อยู่ๆก็เข้ามาในบ้าน แล้วทำไมหัวหน้าเมดถึงมานั่งที่โต๊ะอาหารกับพวกเราได้ล่ะ”
            หัวหน้าเมดที่เด็กหนุ่มพูดถึงก็คือแคทเธอรีนนั่นเอง เม่ื่อแคทเธอรีนได้ยินอย่างนั้นก็ก้มหน้าลงเหมือนต้องการหลบสายตาดูถูกที่เด็กหนุ่มมองมาที่เธอ มาซามุเนะที่ทนไม่ไหวจึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
            “นี่ แกน่ะชื่อแม็กสินะ จะเป็นใครมาจากไหนก็ช่าง ไอ้การไม่เคารพย่าตัวเองมันก็หยาบคายมากแล้วนะ แต่ที่หยาบคายกว่าก็คงจะเป็นการกดคนอื่นให้อยู่ต่ำกว่าตัวเองนี่แหละ!”
             มาซามุเนะลุกขึ้นมาพูดตามสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ในใจ ส่วนสีหน้าของเด็กหนุ่มที่ชื่อแม็กนั้นแน่นอนว่ากลายเป็นโกรธจัดในพริบตาเดียว โซเฟียที่เห็นดังนั้นจึงไม่คิดจะพูดอะไรเป็นการขัดขวางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
             “แล้วแกล่ะเป็นใคร บังอาจมากนะที่มาพูดแบบนี้กับฉันน่ะ ดีเลย งั้นจะให้ดูของดีก็แล้วกัน”
             พอแม็กพูดจบ เขาก็กระโดดเข้าใส่มาซามุเนะที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหารด้วยความเร็วสูง ถึงไม่ต้องสังเกต มาซามุเนะก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าแม็กนั้นกำลังใช้พลังจิตอยู่ เพราะตอนนี้ สิ่งที่มาซามุเนะมองเห็นก็คือกลุ่มออร่าสีเหลืองที่อยู่ที่ปลายเท้าทั้งสองข้างและหมัดขวาของแม็ก การกระโดดเข้ามาโจมตีของแม็กนั้น มีแค่ความเร็วและพละกำลังเท่านั้น ถ้ามองทันการโจมตีนั้นได้ แม้แต่มนุษย์ปกติก็สามารถหลบการโจมตีแค่นั้นได้สบายๆเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่มาซามุเนะทำก็คือ
             “คุณป้า ถ้าบ้านพังก็ไม่เป็นอะไรสินะ”
             มาซามุเนะหันหน้าไปถามโซเฟีย ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา แต่สิ่งที่ตอบกลับมาก็คือการพยักหน้าเบาๆหนี่งครั้งของหล่อน มาซามุเนะที่เห็นดังนั้น จึงโต้กลับไปด้วยออร่าสีขาวปนรุ้งของตัวเอง มาซามุเนะใช้มือขวาที่มีออร่าปกคลุมอยู่ของตัวเองแตะไปที่หัวของแม็กเบาๆ แต่หลังจากนั้น ตัวของแม็กที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงก็ถูกดีดกระเด็นทะลุกำแพงของห้องอาหารไปอย่างง่ายดาย
             “คราวนี้ก็ถึงตาคุณป้าอธิบายได้แล้วล่ะมั้งครับ”
             มาซามุเนะนั่งลงอย่างเดิมแล้วหันหน้าไปมองโซเฟียที่นั่งอยู่ที่มุมของโต๊ะอาหาร ทำให้เธอไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องพูดทุกอย่างที่มาซามุเนะอยากรู้
             “งั้นก็”
             โซเฟียสั่นกระดิ่งที่อยู่ข้างตัวจนทำให้เกิดเสียงกระดิ่งดังไปทั่วปริเวณ ไม่นานนักก็มีพ่อครัวยกอาหารมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะอาหาร หลังจากนั้นทั้งหกคนก็ทานอาหารโดยมีมาซามุเนะคอยถามคำถามต่างๆกับโซเฟีย ส่วนคนอื่นๆก็ทานอาหารไปพลางนั่งฟังบทสนทนาของพวกเขาไปพลาง จนในที่สุด มาซามุเนะก็ได้รู้ทุกเรื่องเขาอยาก
             “สรุปแล้ว คุณป้าสั่งให้แคทเธอรีนล่อลวงพวกเราให้มาเที่ยวที่นี่ เพื่อจะไหว้วานเราให้ไปทำงานที่พวกคุณทำไม่ได้สินะ”
             มาซามุเนะสรุปความที่เขาได้มาจากการซักถามโซเฟียเมื่อสักครู่นี้ โดยระหว่างที่พูดเขาก็มองไปที่แคทเธอรีนที่แนะนำสถานที่เที่ยวให้พวกเขาได้อย่างแนบเนียน แคทเธอรีนที่เห็นดังนั้นจึงหลบหน้ามาซามุเนะเพราะกลัวว่าตนจะถูกโกรธ แต่มาซามุเนะก็ไม่ได้คิดจะว่าอะไรแคทเธอรีนที่ทำตามหน้าที่เจ้านายของตัวเอง และคิดว่าเธอทำหน้าที่ออกมาได้ดีมากด้วย
             “ถ้าเช้าใจแล้วล่ะก็ ทานอาหารเสร็จแล้วก็ตามมาที่ชั้นใต้ดินด้วยก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะอธิบายเกี่ยวกับงา-”
             “ไม่ตลกเลยนะ อยู่ๆก็มาบอกว่าฉันเป็นหลาน แล้วยังจะมาใช้แรงงานกันอีก มันจะมากไปแล้วนะ”
             มาซามุเนะพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน เขาจ้องตากับโซเฟียอยู่นาน ก่อนที่มาซามุเนะจะเดินออกไปจากห้องอาหารโดยไม่ได้สนใจคุออนและคนอื่นๆที่ยังประติดประต่อเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ทัน
             “เดี๋ยวฉันออกไปตามเขาให้เองค่ะ”
             แคทเธอรีนยืนขึ้นมาแล้วอาสาจะไปตามมาซามุเนะ แต่การกระทำของเธอก็ถูกห้ามไว้โดยโซเฟีย ทำให้การกระทำของเธอหยุดลงเพียงตรงนั้น ถึงแม้จะแค่แป็บเดียว แต่อิบูกิที่ดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ก็รู้สึกได้ว่าโซเฟียนั้นกำลังหลั่งน้ำตาให้กับการกระทำของตัวเองอยู่่
 
           
             “ขอบพระคุณสำหรับอาหารค่ะ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
             จู่ๆคุออนก็พูดขึ้นมาพร้อมกับลุกขึ้นยืนมุ่งหน้าไปยังประตูห้องซึ่งเป็นทางเดียวกับที่มาซามุเนะเดินไป แคท-เธอรีนพยายามจะห้ามเธอไว้แต่นากิสะถูกมาห้ามไว้เสียก่อน เสียงปิดประตูห้องอาหารดังตึ้ง เหลือไว้เพียงความเงียบงันของคนที่ยังคงอยู่ในห้อง
             " เดี๋ยวก่อนสิ มาซามุเนะคุง มาซามุเนะคุง---- ”
             คุออนที่วิ่งไล่ตามแผนหลังของมาซามุเนะจนมาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ในที่สุดเธอก็วิ่งเข้าไปจับแขนเสื้อของเขาได้ทัน คุออนกระชากแขนเสื้อที่อยู่ในมือขวาของตัวเองด้วยแรงทั้งหมดที่มี นั่นทำให้มาซามุเนะต้องหันกลับมามองคุออน เขามองเธอด้วยสายตาที่ปนความเศร้าเล็กน้อย คุออนที่เห็นแบบนั้นจึงเข้าสามารถเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ในทันที เธอดึงตัวของมาซามุเนะเข้ามาแล้วใช้แขนอันบอบบางทั้งสองข้างโอบกอดเขาไว้ มาซามุเนะซุกหน้าของตัวเองลงบนตัวของคุออนเพื่อปิดบังน้ำตาที่กำลังไหลพรากอยู่ของตัวเอง
             “ขอบคุณนะ คุออน”
             มาซามุเนะที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งเอ่ยคำขอบคุณให้กับเพื่อนสมัยเด็กของตัวเองที่นั่งอยู่ข้างๆ ตนด้วยน้ำเสียงที่ปนตวามเศร้าเล็กน้อย
                     “มะ…ไม่เป็นไรหรอก”
                     คุออนพูดออกมาทั้งๆที่แก้มของเธอยังคงแดงก่ำเพราะการกระทำของตัวเองเมื่อกี้นี้ ถึงมาซามุเนะจะพุดแบบนั้นมา แต่เขาก็ยังคงนั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้น คุออนที่เห็นดังนั้นจึงเริ่มหาเรื่องคุยอื่นเพื่อทำให้มาซามุเนะรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม
                     “นี่ มาซามุเนะคุง คิดเหมือนฉันไหม?”
                     คุออนเริ่มพูดเชิงถามกับมาซานุเนะเพื่อที่จะบังคับให้เขาพูดโต้ตอบอะไรกลับมา
                     “หมายถึงอะไรเหรอ”
                     “ฉันหมายความว่า มาซามุเนะคุงคิดว่าสวนนี้เหมือนสวนที่เราชอบไปเล่นตอนเด็กไหมน่ะสิ”
                     “อืม? จะว่าไปที่นี่ก็คล้ายๆอยู่น้า~~~”
                     “ใช่ไหมล่ะ มาซามุเนะคุงก็คิดเหมือนฉันสินะ”
                     ทั้งคู่พูดคุยกันพลางมองไปรอบๆสวนสาธารณะที่ตัวเองอยู่ตอนนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับสวนสาธารณะที่เคยเล่นจริงๆนั่นแหละ มาซามุเนะคิดพลางมองไปยังรอบๆตัว แต่เขาก็ต้องปรับความคิดตัวเองเสียใหม่เมื่อเขาหันหน้ากลับมามองคุออนที่นั่งอยู่ข้างๆตัวเอง
                     “ความจริงมันอาจจะไม่เหมือนเลยก็ได้ แต่เพราะมีคุออนอยู่ด้วย เราถึงคิดว่ามันเหมือนสินะ”
                     มาซามุเนะคิดขณะที่กำลังจ้องหน้าของคุออนอยู่ แต่จู่ๆก็…
                     {อ้าวๆ ทำไมไม่กระโจนเข้าใส่เลยล่ะยะ นาย-คน-บ้า-กาม}
                     “เย้ย!?”
                     จู่ๆ ฮิคาริที่น่าจะกำลังหลับอยู่ก็ตื่นมาปั่นประสาทมาซามุเนะในตอนนี้เขากำลังจ้องหน้าคุออนอยู่
                     “เป็นอะไรไปเหรอ มาซามุเนะคุง”
                     “อะ…เออ ไม่มีอะไรหรอก”
                     {ทำไมถึงตื่นมาตอนนี้ล่ะ}
                     {ฉันพักผ่อนเป็นเวลานะยะ}
                     ขณะที่มาซามุเนะกำลังยิ้มให้คุออนอยู่ ในใจของเขาก็กำลังคุยกับฮิคาริที่พึ่งจะตื่นมาเมื่อกี้นี้
                     “เอ่อ มาซามุเนะคุง เมื่อกี้กำลังคุยกับวิญญาณที่อยู่ในตัวสินะ”
                     “ห๊า!?”
                     {ฟะ…แฟนนายรู้ได้ยังไงเนี่ย!}
                     “ไม่ใช่แฟนเฟ้ย อุ๊บ!”
                     มาซามุเนะรีบเอามือทั้งสองข้างมาปิดปากที่เผลอพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป คุออนที่ได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าตาสงสัยอย่างถึงที่สุด
                     “มาซามุเนะคุง เล่าทุกอย่างมาเลยนะ” 
              คุออนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่สีหน้าที่ปรากฏกับความรู้สึกที่ให้นั้นมันช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน มาซามุเนะคิดพลางลังเลที่จะอธิบายให้กับคุออนฟัง แต่ว่าคำพูดของฮิคาริก็สามารถตัดสินความคิดลังเลของมาซามุเนะได้ในพริบตา
             [ปล่อยให้ฉันอธิบายเองก็แล้วกัน]
             มีเสียงของฮิคาริดังเข้ามาภายในหัวของมาซามุเนะ และคุออนก็คงจะได้ยินเสียงนี้เช่นกัน เพราะหน้าตาของคุออนในตอนนี้อย่างกับว่ากำลังตื่นตระหนกกับอะไรสักอย่างอยู่
             “มาแล้ว~~~~~”
             หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ร่างกึ่งโปร่งใสของฮิคาริซึ่งยังคงอยู่ในชุดโกธิคโลลิต้าสีดำเหมือนเคย ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศต่อหน้าของมาซามุเนะและคุออน แน่นอนว่าคุออนที่เห็นแบบนั้นก็ต้องตกใจมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว และเสียงที่บ่งบอกถึงอาการตกใจนั้นก็ดังขึ้นมา
             “อะอะ….เอ๋-------!?”
             มาซามุเนะที่ได้ยินดังนั้นก็ใช้มือขวามาก่ายหน้าผาก ขณะที่ฮิคาริยังคงยิ้มเยาะกับหน้าตาหวาดกลัวที่คุออนแสดงออกมาอย่างดูไม่ได้
             “ให้มันได้อย่างงี้สิ”
             หลังจากนั้น มาซามุเนะก็ต้องอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับฮิคาริทั้งหมดที่แม้แต่นากิสะและอิบูกิที่รู้และเกี่ยวข้องกับพลังจิตพอๆกับมาซามุเนะก็ยังไม่รู้ให้กับคุออนที่ยังไม่รู้แม้แต่เรื่องที่ว่ามาซามุเนะมีพลังจิตแบบไหนซึ่งตอนนี้กำลังทำหน้าหวาดระแวง ต่างกับในตอนแรกที่ทำหน้าตาไม่ลังเลที่จะเค้นถามกับมาซามุเนะ คุออนฟังที่มาวามุเนะพูดโดยจ้องร่างกึ่งโปร่งใสที่ลอยอยู่เหนือหัวของฮิคาริไปด้วย ระหว่างที่มาซามุเนะพูดอยู่ ฮิคาริก็จะคอยพูดเสริมมาเป็นระยะๆ และหลังจากที่อธิบายจบ คุออนก็ตั้งสติและเรียบเรียงข้อมูลที่ได้มาอยู่หลายวินาที ก่อนที่เธอจะเริ่มถามคำถามที่ตัวเองข้องใจออกมาเป็นข้อข้อ
             “ทำไมฮิคาริไม่ฆ่ามาซามุเนะคุงทิ้งล่ะคะ ขอโทษที่ถามอะไรแบบนี้นะ แต่เรื่องเหตุผลที่ว่าอยู่แบบวิญญาณสบายกว่ามันฟังดูไม่มีน้ำหนักเลยค่ะ”
             [ก็เพราะฉันมีเหตุผลที่บอกใครไม่ได้อยู่น่ะสิยะ แต่ถึงเธอจะไม่เชื่อใจฉันก็เปลี่ยนแปลงเรื่องที่ฉันมีหมอนี้เป็นเหมือนร่างสถิตไม่ได้แล้วล่ะ]
             คำตอบของฮิคารินั้นฟังดูชวนโมโหก็จริง แต่สิ่งที่เธอพูดต่อมาก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด เพราะในตอนนี้ไม่มีใครเลยที่รู้ว่าจะดึงฮิคาริออกจากตัวของมาซามุเนะได้อย่างไร และที่คุออนถามคำถามแบบนั้นออกไป นั้นก็เพื่อจะฟังคำพูดที่เป็นธรรมชาติที่่สุดของตัวฮิคารินั่นเอง
             “งั้นเหรอๆ ขอโทษนะจ๊ะฮิคาริจัง เมื่อกี้ฉันรอเล่นน่ะ”
             เป็นคำพูดที่ฟังดูไร้ความจริงใจอย่างยิ่ง แต่นั่นก็เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของคุออน ซึ่งฮิคาริก็สัมผัสได้ว่าเป็นอย่างนั้น เพราะทั้งน้ำเสียงและวิธีการพูดตอนถามคำถามเมื่อกี้ของคุออนนั้น ดูแตกต่างจากเวลาปกติที่เธออยู่กับมาซามุเนะและคนอื่นๆเป็นอย่างมาก และที่ตัวของฮิคาริรู้เรื่องนั้นก็เพราะว่าเธอที่อยู่ในร่างของคุออนมานานกว่า 1 สัปดาห์ นั้นได้เห็นท่าทางของมนุษย์ทุกๆคนที่มาซามุเนะรู้จักและวิเคราะห์นิสัยเหล่านั้นออกมาได้อย่างง่ายดาย
             “ว่าแต่ ฮิคาริจัง”
             คุออนพูดออกมาพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนจากร่าเริงแจ่มใสเป็นใบหน้าที่ตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด มาซามุเนะและฮิคาริที่เห็นดังนั้นจึงรู้ได้ทันทีว่าคุออนกำลังจะถามเรื่องที่จริงจังมากๆอย่างแน่นอน
             “ทะ…ทำไมเหรอ?”
             “มาซามุเนะคุงตอนที่อยู่บ้านนี่ทำอะไรมั่งเหรอ? แล้วมาซามุเนะคุงคิดเรื่องอะไรมั่งล่ะ?”
             ความจริงจังของแต่ละคนก็ต่างกันไป แต่สำหรับคุออนแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะจริงจังกับเรื่องของมาซามุเนะมากที่สุดล่ะมั้ง
             ฮิคาริที่ได้ยินคำถามของคุออนคิดเชิงวิเคราะห์ว่าอย่างนั้น จากนั้นเธอจึงคิดจะเล่าทุกๆเรื่องของมาซามุเนะให้กับคุออนฟัง ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างเดียวแน่ๆ มาซามุเนะที่เห็นใบหน้าของฮิคาริที่กำลังคิดอย่านั้นอยู่จึงรู้ตัวว่าควรจะหาคำพูดมาตัดบทสนทนาก่อนที่เรื่องต่างๆมันจะเละเทะไปมากกว่านี้ แต่ว่า…
             “ได้ยินเสียงคนแถวนี้มั้ย”
             แต่จู่ๆก็มีเสียงทุ้มต่ำที่ฟังดุคล้ายกับของชายที่มีร่างกายใหญ่โตดังขึ้นมาขัดมาซามุเนะซะก่อน
             “ไม่รู้สิ เรารีบทำงานของเราให้เสร็จเถอะ ถ้าไม่รีบเดี๋ยวระเบิดที่ติดอยู่ที่อื่นจะระเบิดขึ้นมาก่อนนะ”
             มีเสียงที่ฟังดูคล้ายๆของผู้หญิงวับกลางคนดังขึ้นตามหลังเสียงทุ้มต่ำแบบติดๆ
             “ระเบิดงั้นเหรอ?” 
             ขณะที่มาซามุเนะกำลังคิดทบทวนสิ่งที่ได้ยินอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังตรงมาทางม้านั่งที่พวกเขานั่งอยู่ มาซามุเนะที่รู้แบบนั้นจึงดึงตัวของคุออนที่นั่งอยู่ข้างเข้าไปในพุ่มไม้ที่ด้านหลัง
             “ทะ…ทำอะไรน่ะ มาซามุเนะคุง”
             มาซามุเนะใช้นิ้วของตัวเองแตะที่ปากำสัญญาณให้คุออนเงียบไว้ ในจังหวะเดียวกัน ฮิคาริก็หายไปจากที่ๆตัวเองลอยอยู่ เพราะผู้ชายและผู้หญิงถือปืนไว้ที่มือของตนนั้นเดินมาที่ม้านั่งที่พวกเขาเคยอยู่พอดี คนผู้ชาควักอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้ด้านหลังตัวเอง จากนั้นก็นำสิ่งสิ่งนั้นติดตั้งไว้ใต้ม้านั่งที่พวกมาซามุเนะเคยนั่งอยู่ ใช้เวลาสักพักก็เดินออกไป พอมาซามุเนะลองมองสิ่งนั้นดูดีๆก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือระเบิดแบบตั้งเวลา และถ้าองวิเคราะห์จากบทสนทนาของชายหญิงคู่เมื่อกี้ก็จะรู้ได้ว่าระเบิดนั้นมีมากกว่า 1 ลูกอย่างแน่นอน
             “คุออน รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”
             มาซามุเนะพูดพร้อมกับวิ่งออกไปจัดการกับชายหญิงคู่นั้นด้วยการรัดคอ แต่หลังจากนั้นไม่กี่สินาทีก็มีคนแต่งกายด้วยชุดทหารลายพรางแบบเดียวพร้อมอาวุธปืนแบบเดียววกันกับชายหญิงคู่เมื่อกี้ เข้ามาโจมตีใส่เขา แน่นอนว่ามาซามุเนะไม่ลังเลที่จะจัดการกับคนพวกนั้นด้วยวิธีง่ายๆโดยไม่ใช่พลังจิตที่เข้าได้เรียนรู้มาจากมิไรอิที่เป็นอาจารย์ ที่มาซามุเนะไม่ใช่พลังจิตนั่นเป็นเพราะเขาอยากจะหลีกเลี่ยงการใช่มันในที่สาธารณะให้มากที่สุด และเมื่อมาซามุเนะจัดการกับคนกลุ่มนั้นเสร็จแล้ว เขาก็ต้องหนักใจกับความซับซ้อนของวงจรระเบิดเวลาที่ถูกติดตั้งไว้ใต้ม้านั่ง เนื่องจากว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างบีบบังคับ มาซามุเนะจึงจำเป็ต้องใช้พลังจิตของตัวเอง จัดการกับระเบิดเวลาที่อยู่ตรงหน้า
             [INFINITY] คือชื่อพลังจิตแบบใหม่ที่มาซามุเนะตั้งขึ้นมาอย่างลวกๆ ส่วนความสามารถของมันก็คือการเปลี่ยนจากสสารหนึ่งเป็นอีกสสารหนึ่งได้ ใช่แล้ว มันคือการเปลี่ยนอะไรก็ได้ให้กลายเป็นอะไรก็ได้นั่นเอง สสารมีอยู่ทั้งหมด 4 สถานะ นั่นคือของแข็ง ของเหลว ก๊าซและพลาสม่า ซึ่งตัวมาซามุเนะที่ฝึกฝนพลังนี้แค่ 5 วันหลังจากได้มา ทำได้เพียงใช้ออร่าของตัวเองเปลี่ยนจากของแข็ง ของเหลวหรือก๊าซ อย่างใดอย่างหนึ่งในนั้นให้เป็นของแข็ง ของเหลวหรือก๊าซ อย่างใดอย่างหนึ่งเช่นกัน โดยเงื่อนไขในการเปลี่ยนมีอยู่ไม่กี่ข้อ คือ <1.สสารที่่จะเปลี่ยนต้องมีปริมาณเท่ากันกับสสารที่ใช้เปลี่ยนยด้วย> <2.ถ้าจะเปลี่ยนจากก๊าซเป็นของแข็ง จะต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก โดยระยะเวลาจะคำนึงถึงปริมาณสสารที่จะเปลี่ยนและสติสัมปชัญญะของตัวมาซามุเนะด้วยด้วย แต่ในทางกลับกัน การเปลี่ยนก๊าซเป็นของแข็งนั้น จะใช้เวลาน้อยกว่าการเปลี่ยนของแข็งเป็นก๊าซ และแน่นอนว่าการเปลี่ยนจากสสารที่มีสถานะเดียวกันเป็นสสารชนิดเดียวกันนั้น จะใช้เวลาน้อยกว่าการเปลี่ยนของแข็งเป็นก๊าซและใช้เวลามากกว่าการเปลี่ยนก๊าซเป็นของแข็ง> และเรื่องข้อจำกัดด้านที่มาซามุเนะในตอนนี้ยังไม่สามารถทำลายได้ก็คือการที่สามารถรวบรวมออร่าไว้ที่มือและเท้าของตนเท่านั้น แต่ออร่าของเขาก็มีสามารถเพิ่มเติมอย่างการรวบรวมอากาศ(ก๊าซ)ที่อยู่ในบริเวณไว้ที่ออร่าของตัวเองได้คล้ายกับการดักจับนั่นเอง และยังสามารถใช้อากาศที่รวบรวมได้ ปล่อยมันออกไปในทิศทางเดียวเพื่อพุ่งหรือลอยขึ้นไปในอากาศได้อีีกด้วย
             มาซามุเนะใช้ออร่าสีขาวปนรุ้งของตัวเองเปลี่ยนจากระเบิดที่ถูกติดตั้งอยู่ใต้ม้านั่งให้เป็นออกซิเจนหายไปภายในพริบตาเดียว จากนั้นมาซามุเนะจึงบอกให้คุออนที่หลบอยู่ออกมาได้ ทั้งคู่มุ่งหน้ากลับไปยังปราสาทของตระกูลฟลอล่าด้วยความเร็วสูงเพื่อแจ้งเรื่องระเบิดที่ยังไม่เหลืออยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองนี้ให้กับโซเฟียที่น่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองนี้ที่สุด แต่ในจังหวะที่มาซามุเนะวิ่งมาถึงที่รั้วของปราสาท ระเบิดลูกที่เหลือก็ระเบิดขึ้นมาพอดี
             เสียงที่ดังกึกก้องของระเบิดอีก 3 ลูกดังไปทั่วเขตที่ระเบิด มาซามุเนะและคุออนที่กำลังจะกดกริ่งก็หันหน้ากลับไปดู และทำได้เพียงยืนมองเหตุการวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้นโดยที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้เลย ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังยืนมองเหตุการวุ่นวายดังกล่าวอยู่ รั้วของปราสาทก็เปิดออกอย่างไร้เสียง และคนที่เดินออกมาก็คือผู้นำตระกูลฟลอล่าและเป๊นเจ้าของปราสาทหลังนี้ โซเฟีย ฟลอล่านั่นเอง
             “ไม่ทัน งั้นสินะ”
             โซเฟียที่เดินออกมายืนอยู่ข้างๆมาซามุเนะพูดพึมพำว่าอย่างนั้น คุออนที่กำลังมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอยุ่ไม่ได้ยินเสียงของเธอ แต่มาซามุเนะที่หูดีนั้นได้ยินเต็มสองหูเลยก็ว่าได้
             “มันหมายความว่าอะไร เธอรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างงั้นเหรอ”
             มาซามุเนะพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อของหญิงที่มีหน้าเด็กกว่าอายุ แต่คำตอบที่โซเฟียกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบตามปกติก็สามารถทำให้มาซามุเนะเข่าทรุดได้อย่างง่ายดาย
             “ฉันบอกเธอไปแล้วนิ ว่าฉันมีงานให้เธอช่วยน่ะ”       

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา