Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ

-

เขียนโดย MoMoGa

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.

  26 บท
  4 วิจารณ์
  20.88K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

23) ตอนที่ 14 ความเป็นไปมรณะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

              “มาซามุเนะคุง ฉันตัดสินใจได้แล้วล่ะ ฉันจะช่วยเหลือทุกๆคนที่ฉันทำได้ ไม่ว่าฉันจะต้องหายไปก็ตาม”

              คาวาซากิ คุออน ตะโกนบอกมาซามุเนะที่มาส่งตัวเองซึ่งตอนนี้ยืนอยู่สุดทางของถนนซึ่งเป็นทางเข้าบ้านของคุออนเอง เนื่องจากคุออนที่ไปยังบ้านของมาซามุเนะเพื่อมาหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่มาซามุเนะนั้นหลบหน้าเธอในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และสิ่งที่เธอพูดกับมาซามุเนะเมื่อเจอหน้าก็คือการชวนไปเที่ยวทะเลในวันหยุดที่จะมาถึง แต่ก็ได้ขอเสนอที่ดีกว่าของแคทเธอรีน ทำให้การไปเที่ยวในครั้งนี้ของเธอกับมาซามุเนะนั้นมีนากิสะ อิบูกิและแคทเธอรีนเพิ่มด้วย และได้ไปท่องเที่ยวยังเมืองที่เธอไม่เคยคิดว่าจะได้ไป ซึ่งนั้นก็คือรัฐปกครองพิเศษ นิวปารีสนั่นเอง แต่ถึงจะมีจำนวนคนเพิ่มขึ้นหรือสถานที่เที่ยวจะเปลี่ยนไป จุดมุ่งหมายในการทำให้มาซามุเนะร่าเริงขึ้นของเธอก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

              มาซามุเนะที่ไม่รู้ว่าได้ยินเสียงที่เธอตะโกนไปหรือไม่นั้น แค่โบกมือขวาให้และก็เดินจากไปแค่นั้น ในขณะที่คุออนนั้นรู้สึกเดจาวูกับเหตุการณ์ที่เธอต้องมองแผ่นหลังที่ค่อยๆหายไปของมาซามุเนะเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้วนั้น ทำได้แค่ยินให้แผ่นหลังนั้นของเขาแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน

               วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม เวลา 22.00 นาฬิกา

               หลังจากที่เหตุการณ์ระเบิดเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน มาซามุเนะและคุออนที่ในตอนนี้ยังมองหน้ากันไม่ติดเนื่องจากสาเหตุบางประการที่ตอนนี้มันกลายเป็นกำแพงใหญ่ที่กั้นระหว่างทั้งสองคนไปแล้ว

               มาซามุเนะที่นั่งอยู่บนโซฟาของห้องรับแขกของปราสาทตระกูลฟลอล่า ในห้องที่ถูกตกแต่งด้วยกระจกหลากสีและความนุ่มของโซฟา มาซามุเนะที่นั่งอยู่นั้นไม่ได้สัมผัสถึงสิ่งเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เขาทำหน้าจิตตกอย่างถึงที่สุด ก้มมองมือทั้งสองของตัวเองพลางคิดว่ามันทำอะไรได้บ้างนะ แต่ระหว่างที่เขากำลังคิดแบบนั้นอยู่ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ มันเปิดออกพร้อมกับเสียงพูดที่คุ้นหู

               “มาซามุเนะ ฉันเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้วล่ะ”

               อิบูกิเปิดประตู้เข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมกับเอกสารที่อยู่ในมือขวาอีกจำนวนหนึ่ง หลังจากที่เกิดเหตุระเบิดขึ้น มาซามุเนะก็พึ่งจะได้รู้ว่างานที่โซเฟีย ฟลอล่า เจ้าของปราสาทหลังนี้ ผู้นำตระกูลฟลอล่าและยังมีศักดิ์เป็นยายของมาซามุเนะ สิ่งที่เธออยากจะให้มาซามุเนะทำนั้นก็คือการหยุดกลุ่มก่อการร้ายที่ต้องการจะทำลายเมืองนี้ทิ้ง ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นกลุ่มเดียวกับที่วางระเบิดที่สวนสาธารณะ มาซามุเนะที่พึ่งจะรู้เรื่องนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก และในตอนที่โซเฟียจะบอกข้อมูลให้กับมาซามุเนะนั้น อิบูกิที่รู้ว่ามาซามุเนะในตอนนี้ไม่มีทางที่จะสามารถรับข้อมูลได้ เขาจึงอาสาไปฟังข้อมูลนั้นเอง

               แต่ในที่ประชุมนั้น อิบูกิที่รู้ข้อมูลต่างๆก็เสนอไปว่าจะเป็นคนจัดการกับเรื่องนี้แทนมาซามุเนะเอง แต่ข้อมูลที่ได้มาเพิ่มเติมนั้นก็ทำให้เขาจำเป็นต้องหยุดความคิดนั้นอย่างไร้ความปราณี เพราะถึงแม้ว่ามาซามุเนะจะอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่ว่าถ้าไม่มีมาซามุเนะในแผนการนี้ แผนการก็จะไม่สามารถสำเร็จลุล่วงได้อย่างแน่นอน

               “อิบูกิ ฉันคิดว่าฉันทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”

               มาซามุเนะที่เห็นอิบูกิกำลังจะอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้รับมาให้เขาฟัง จึงพูดตัดหน้าขึ้นมาก่อน

               “มาซามุเนะ ถ้าไม่มีนาย แผนนี้จะไม่สำเร็จนะ เมืองนี้จะกลายเป็นทะเลเพลิงได้ง่ายๆเลยนะ”

               “แต่ฉันในตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลยนี่นา ทั้งที่…ทั้งที่คุออนบอกว่าจะแลกด้วยชีวิต แต่ฉันกลับละเลยมันซะง่ายๆ”

               ใช่แล้ว สิ่งที่เป็นตัวสร้างกำแพงทางใจให้กับมาซามุเนะในตอนนี้ ก็คือคำพูดของคุออนเมื่อวานนี้นั่นเอง

               {มาซามุเนะคุง ฉันตัดสินใจได้แล้วล่ะ ฉันจะช่วยเหลือทุกๆคนที่ฉันทำได้ ไม่ว่าฉันจะต้องหายไปก็ตาม}

               คำพูดที่เต็มไปด้วยความตั้งใจของคุออนนั้น เมื่อมาซามุเนะได้ยินมันก็ทำให้ตัวเขานั้นคิดได้เพียงว่า {ฉันจะทำความตั้งใจนั้นของเธอให้เป็นจริงให้ได้เลย}

               “ทั้งที่ตั้งใจไว้แบบนั้นแล้วแท้ๆ แต่กลับ…”

               ความคิดของมาซามุเนะชะงักอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ที่เข้ามายังปราสาทนี้เมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน

               “…”

               ถึงอิบูกิจะรู้จักและเข้าใจความรู้สึกของมาซามุเนะเป็นอย่างดี แต่ในตอนนี้เขาก็สุดความคิดของตัวเองแล้ว ไม่รู้เลยว่ามาซามุเนะกำลังกลุ้มใจเรื่องอะไร

               ในห้องนอนที่ถูกตกแต่งด้วยสีชมพูซึ่งแสดงให้เห็นได้เลยว่าเป็นห้องนอนของเด็กผู้หญิงอย่างแน่นอน แต่เพราะไฟที่มืดสลัวนั้นทำให้ไม่สามารถมองลายละเอียดของห้องนี้ได้อย่างเต็มที่ ถึงมันจะมืดไปหน่อย แต่ที่มุมห้อง

               “ทั้งที่ตั้งใจไว้แบบนั้นแล้วแท้ๆ…”

               คุออนที่เห็นน้ำตาของมาซามุเนะที่สวนสาธารณะนั้น เธอก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องทำให้เขาร่าเริงขึ้นมาให้ได้ ซึ่งนั่นก็คือจุดประสงค์แรกที่เธอตั้งไว้ก่อนที่จะเดินทางมายังที่นี่นั่นเอง แต่เมื่อคุออนเห็น <เหตุระเบิด> เมื่อ 2 ชั่วโมงก่อนแล้ว เธอที่ยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ ก็ได้เห็นมาซามุเนะที่ทรุดลงกับพื้นหลังจากที่ได้ยินอะไรบางอย่างจากปากของโซเฟีย ฟลอล่า เธอไม่ได้สงสัยเลยว่าทั้งสองคนพูดคุยเรื่องอะไรกัน แต่สิ่งแรกที่เธอตระหนักได้ก็คือ ความสิ้นหวังและความเศร้าทั้งหลายกำลังเข้าปกคลุมจิตใจของมาซามุเนะอีกแล้ว

               …..ทั้งที่ตั้งใจจะทำให้เขาร่าเริงขึ้นแท้ๆ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้เลย นั่นคือคำตัดพ้อที่คุออนคิดมาตลอดตั้งแต่ได้เห็นใบหน้าที่หมองหม่นของมาซามุเนะเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน

               {คุออน คุออน!}

               มีเสียงของใครบางคนดังขึ้นมาในหัวของคุออน เธอสะดุ้งนิดหน่อยกับเสียงนั้น แต่เธอก็จำเสียงนั้นได้ดี เพราะมันทั้งเป็นเอกลักษณ์และที่สำคัญ มันคือเสียงของวิญญาณเพียงหนึ่งเดียงที่เธอพึ่งเคยเจอตัวเป็นๆ ดัังนั้นเจ้าของเสียงเรียกนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฮิคารินั่นเอง

               “…มะ…มีอะไรเหรอ?”

               คุออนตอบเสียงเรียกของฮิคาริโดยที่ยังคงก้มหน้าซุกเข่าของตัวเองอยู่ เธอสลัดความสงสัยที่ว่าทำไมฮิคาริถึงได้พูดคุยกับเธอได้ทั้งทั้งที่วิญญาณของฮิคาริไม่ได้อยู่แถวนี้ทิ้งไปก่อน เพราะตอนนี้เธอยังไม่สามารถทำใจในเรื่องของมาซามุเนะได้

               {คุออน เธอรู้รึเปล่าว่าตอนนี้มาซามุเนะกำลังกลุ้มใจเรื่องอะไรอยู่}

               “…”

               คุออนที่ไม่รู้จึงไม่ได้ตอบออกไป เธอเพียงสายหน้าปฏิเสธเท่านั้น ฮิคาริที่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนจึงตัดสินใจบอกความจริงกับคุออนออกไป

               {<เหตุระเบิด> ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายที่มีจุดประสงค์บางอย่างน่ะ}

               “!?”

               คุออนที่สะดุ้งนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็เอาหน้าซุกเข่าของตัวเองเหมือนเดิม ถึงตอนนี้เธอจะรู้สึกว่าอยากช่วยเหลือแค่ไหน แต่ความคิดที่ว่า {แค่ช่วยให้มาซามุเนะร่าเริงขึ้นก็ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปช่วยชีวิตใครได้} นั้น ก็ทำให้ตัวของเธอซุกหน้าลงอย่างเดิม

               ส่วนฮิคาริที่รู้สึกว่าต้องเล่าความจริงแล้วจริงๆนั้น ก็กลั้นใจพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากเดิม

               {คุออน เธอรู้ไหมว่าทำไมมาซามุเนะถึงเป็นแบบนั้นน่ะ}

               <แบบนั้น> ที่ฮิคาริหมายถึง คุออนนั้นเข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่อได้ในทันทีเลยว่ามันหมายถึงมาซามุเนะที่กำลังเศร้าสร้อยอยู่นั่นเอง แน่นอนว่านั่นกลายเป็นคำพูดที่ตอกย้ำความคิดที่วนเวียนไปมากว่า 2 ชั่วโมงของเธอก่อนหน้า  นี้

               ฮิคาริที่พึ่งจะรู้ตัวว่าคำพูดของเธอกลายเป็นสิ่งที่รุนแรงต่อตัวคุออนไปแล้วนั้น ทำให้เธอมีความรู้สึกผิดเกิดมาภายในใจของเธอ แต่ที่เธอพูดไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อตัวคุออนและตัวมาซามุเนะเอง เธอจึงทำได้แค่พูดต่อไปเท่านั้น

               {ที่มาซามุเนะกำลังกลุ้มใจอยู่ ก็เพราะคำพูดของเธอเองนะ คำพูดที่บอกถึงความปรารถนาอันสูงส่งของเธอเองไง}

               ใช่แล้ว สิ่งที่ฮิคาริพยายามจะบอกกับคุออนก็คือ ให้คุออนไปคุยปรับความเข้าใจกับมาซามุเนะใหม่ให้เรียบร้อยนั่นเอง ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายกำลังทุกข์ใจเพราะเป็นห่วงอีกฝ่ายอยู่ ถ้าปรับความเข้าใจกันซะใหม่ เรื่องทุกอย่างก็จะลงตัว

               ไม่รู้ว่าความคิดแบบนั้นจะสื่อไปถึงคุออนรึเปล่า แต่ปฏิกิริยาของเธอก็คือการลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่กระเซอะกระเซิง ผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยุ่งเหยิงนั้นทำให้ฮิคาริหัวเราะออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่คุออนก็ไม่ได้ยินเสียงนั้นของฮิคาริเพราะตอนนี้ฮิคารินั้นตัดการเชื่อมต่อนั้นทิ้งไปแล้ว แน่นอนว่าคนอย่างคาวาซากิ คุออนที่เมื่อตั้งใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างถึงที่สุดแล้ว สิ่งอื่นล้วนไร้ความหมายทั้งสิ้น คุออนเดินออกจากห้องไปทั้งๆอย่างนั้น แต่ไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่าจุดหมายปลายทางนั้นคือที่ไหน

 

 

 

 

               “มาซามุเนะคุง!”

               เสียงใสๆของคุออนที่เรียกหามาซามุเนะดังขึ้นมาหลังจากเสียงเปิดประตูดังปึ้ง มาซามุเนะที่นั่งอยู่บนโซฟาจึงหันหน้าไปตามต้นเสียงนั้น แต่เมื่อเขาหันไปมอง ร่างของคุออนก็พุ่งเข้ามากอดซะแล้ว ข้างหูของมาซามุเนะยังไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงร้องไห้กระซิกของคุออน มาซามุเนะจึงได้แต่กัดฟันเพราะเข้าใจว่าเธอกำลังร้องไห้เพราะ <เหตุระเบิด> ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน 

               “มาซามุเนะคุง ฉันไม่เป็นอะไรหรอกนะ ที่ฉันเศร้าไม่ใช่เพราะฉันช่วยใครไว้ไม่ได้หรอก แต่เพราะมาซามุเนะคุงมัวแต่เสียใจอยู่ต่างหาก ดังนั้นแล้ว ถ้าอยากจะให้ฉันดีใจล่ะก็ มาซามุเนะคุงแค่ร่าเริงขึ้นก็พอแล้วล่ะ”

               มาซามุนเะที่มัวแต่คิดว่าที่คุออนนั้นเศร้าเป็นเพราะว่าตัวเองไม่สามารถช่วยใครไว้ได้ แต่เมื่อเจ้าตัวบอกว่าต้องการให้ตัวเขาร่าเริงขึ้น ถ้าทำแบบนั้นก็จะทำให้ตัวคุออนร่าเริงขึ้นด้วย ทำให้ในตอนนี้ มาซามุเนะก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมัวแต่เศร้าใจแล้ว

               มาซามุเนะใช้มือขวาของตัวเองลูบหลังของคุออนพลางกล่าวออกไปว่า

               “เข้าใจแล้วล่ะ คุออน แต่เธอต้องสัญญากับฉันนะ ว่าถ้าฉันร่าเริงขึ้นแล้ว เธอก็จะร่าเริงขึ้นด้วย และถ้าฉันช่วยคนไว้ได้อีก คุออนก็ต้องร่าเริงยิ่งขึ้นไปอีกนะ”

               มาซามุเนะพูดพลางจ้องมองใบหน้าที่มีแต่คราบน้ำตาของคุออน

               “อืม!”

               “ท่านพี่คะ!”

               “อ๊ะ!”

                วันเดียวกัน เวลา 22.20 นาฬิกา     

               เสียงของนากิสะลอดผ่านหูของมาซามุเนะ ทำให้เขารู้ตัวว่าตอนนี้ตัวของเขากำลังเดินอยู่บนทางเท้าของเขตการปกครองที่ 6 ของรัฐปกครองพิเศษ นิวปารีส

               รัฐปกครองพิเศษ นิวปารีสนั้นสามารถแบ่งเขตการปกครองได้เป็น 13 เขตใหญ่ๆ ซึ่งแต่ละเขตก็จะมีจุดเด่นที่ต่างกันไป อย่างเขตที่ 2 ซึ่งเป็นที่ตั้งของ <ปราสาทตระกูลฟลอล่า> นั้น เป็นเขตการปกครองที่เป็นศูนย์รวมของบ้านพักที่อยู่อาศัยถึง 80% ของรัฐ และเขตการปกครองที่ 6 ที่มาซามุเนะและนากิสะอยู่ในตอนนี้นั้น เป็นเขตที่มีสวนสนุกและเครื่องเล่นอยู่มากมาย ซึ่งแน่นอนว่าพวกมาซามุเนะนั้นเคยมาเที่ยวแล้วเมื่อตอนบ่ายของวันนี้ 

               แต่ที่ตอนนี้เขามาอยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นเพราะว่านากิสะเกิดอยากเล่นเกมตอนดึกหรอก แต่เขตนี้นั้นเป็น <ทางผ่าน> ที่เชื่อมระหว่างเขตการปกครองที่ 2 และเขตการปกครองที่ 0 ซึ่งถือว่าเป็นการปกครองที่ไม่ค่อยจะมีใครอยากเข้าใกล้นัก ส่วนเหตุผลก็เป็นเพราะว่าเขตการปกครองที่ 0 นั้น เป็นแหล่งที่รวบรวมขยะทุกประเภททั่วทั้งรัฐเพื่อมาผ่านกระบวนการต่างๆ คนงานส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นั่นเป็นเหมือนคนที่ตกงานจากเขตต่างๆมารวมกัน โดยคนงานเหล่านั้นจะทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ที่มีหน้าที่กำจัดขยะหลากหลายประเภท

               ส่วนเหตุผลที่มาซามุเนะและนากิสะต้องเดินทางไปยังเขตการปกครองที่ 0 ก็เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับเหตุผลที่เขามาได้มาเยือนยังนิวปารีสแห่งนี้ด้วย

               เหตุผลข้อแรกก็คือ พวกมาซามุเนะที่ถูกแคทเธอรีนชักชวนให้มายังรัฐแห่งนี้ ก็เพราะตัวแคทเธอรีนได้รับคำสั่งจากโซเฟียให้พาตัวมาซามุเนะมา และโซเฟียก็ตั้งใจว่าจะมอบหมายภารกิจที่มีแต่มาซามุเนะคนเดียวที่จะทำให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ ส่วนรายละเอียดของงานนั้น เพราะมาซามุเนะกำลังซึมเศร้าอยู่ ทำให้อิบูกิต้องไปประชุม และล่วงหน้าไปก่อนกับแคทเธอรีนแล้ว ทำให้รายละเอียดของงานนั้น มาซามุเนะและนากิสะต้องรับฟังผ่านเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่ติดตั้งไว้ที่หู มา.ามุเนะคิดว่ามันค่อนข้างมีประโยชน์เลยทีเดียว แต่ติดตรงที่รูปร่างของมันนั้นออกจะเหมือนหูฟังแบบปกติจนคิดว่าจืดชืดไปเลย

               ส่วนเหตุผลอีกข้อนั้น ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลส่วนตัวของมาซามุเนะ เพราะเหตุผลข้อนี้นั้นเกี่ยวกับสัญญาที่มาซามุเนะให้ไว้กับคุออนก่อนที่จะออกมาทำภารกิจนี้ ซึ่งเหตุผลระหว่างที่มาซามุเนะกำลังไปยังเขตการปกครองที่  ตามที่ได้รับรายงานมานั้น เขาก็คิดถึงเหตุผลข้อนี้ระหว่างทางไปด้วย

               “นี่ท่านพี่คุยเรื่องอะไรกับคุออนจังที่นี่กันแน่คะ!”

               นากิสะที่่เห็นมาซามุเนะเหม่อลอยระหว่างเดินก็พูดข้อสงสัยอย่างกับว่ามองความคิดของเขาออกว่ากำลังนึกถึงเรื่องอะไรอยู่ ทางมาซามุเนะที่ได้ยินอย่างนั้นก็เบี่ยงประเด็นด้วยคำพุดต่อมาของตัวเขาเอง

               “นากิสะนั่นแหละ น่าจะเปลี่ยนเป็นชุดที่ไม่สะดุดตานะ”

               มาซามุเนะวิจารณ์รสนิยมการแต่งตัวแต่กิโมโนอย่างเดียวของนากิสะ แต่เขาก็รู้ดีว่ากิโมโนตัวนั้นถูกถักด้วยเส้นใยพิเศษที่สามารถป้องกันกระสุนเจาะเกราะได้อย่างสบายๆ ความสามารถในการป้องกันนั้นดีถึงขนาดที่ว่าสามารถป้องกันแรงระเบิดที่มีขนาดไม่รุนแรงมากได้โดยที่คนสวมไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งต่างกับเสื้อกันหนาวแบบฮู้ดสีดำที่มาซามุเนะสวมใส่อยู่ ถึงมันจะไม่เด่นสะดุดตาและเหมาะแก่การทำภารกิจประเภทลอบเร้นสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นได้แค่เสื้อกันหนาวธรรมดาที่ไม่สามารถป้องกันอะไรได้เลย

               นากิสะที่รู้เรื่องนั้นดีก็เชิดหน้าใส่มาซามุเนะแล้วพูดว่า 

               “อย่างน้อยกิโมโนของหนูก็มีประโยชน์กว่าเสื้อกันหนาวของท่านพี่นั่นหละค่ะ”

               “อ๊ะ!”

               มาซามุเนะที่ได้ยินแบบนั้นก็คอตกอย่างอัตโนมัติ นากิสะก็หัวเราะขึ้นมาราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่แล้วเสียงจากอุปกรณ์สื่อสารของพวกเขาก็ดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่ปรับความคิดให้พร้อมปฏิบัติภารกิจอย่างรวดเร็ว

               {อีกแค่ 20 เมตรก็จะเข้าสู่เขตการปกครองที่ 0 ซึ่งคาดว่าเป็นที่ตั้งของฐานที่มั่นของศัตรูแล้ว ระวังตัวกันด้วยล่ะ อย่าคิดว่าคนที่ล่วงหน้าไปก่อนจะทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว เพราะทางนั้นเข้าไปก่อนเราแค่ 10 นาที และก็อย่าลืมคิดถึงความเป็นไปได้ที่ว่าคนพวกนั้นจะถูกจัดการหมดแล้วด้วยล่ะ}

               ““รับทราบ””

               ทั้งคู่ตอบกลับเสียงของโอเปอเรเตอร์ที่ค่อยบอกรายละเอียดต่างๆด้วยเสียงที่เบาที่สุด แล้วค่อยๆมุ่งหน้าไปยังเขตการปกครองที่ 0 ที่เป็นตำแหน่งเป้าหมาย แต่ก็ชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นจุดตรวจซึ่งปกติแล้วจะไม่มีอยู่ระหว่างเขตติดต่อของเขตการปกครองต่างๆ ข้างๆนั้นล้อมรอบด้วยกำแพงที่สูงเกิน 10 เมตร สามารถคิดได้ว่าเพราะเป็นเขตพิเศษ ทำให้ต้องมีการตรวจคนเข้าออก หรือไม่ก็เป็นจุดตรวจที่พวกศัตรูสร้างขึ้นมาเอง แต่เสียงใสๆของโอเปอเรเตอร์คนเดิมก็ทำให้มาซามุเนะแน่ใจว่ามันเป็นเพราะอะไร 

      {ทั้งคู่ นั่นเป็นจุดคัดกรอง คนที่จะผ่านจุดนั้นเข้าไปได้มีแต่พวกคนงานเท่านั้น พวกเธอต้องเข้าหาจังหวะลอบเข้าไปกันเองแล้วล่ะ}

      “ผมขอใช้พลังจิตก็แล้วกัน แน่นอนว่าไม่ได้จะลอบเข้าไปนั่นแหละครับ”

      มาซามุเนะพูดพลางแอบอ้อมไปยังกำแพงซึ่งอยู่ข้างๆจุดตรวจ โชคดีที่คนที่ตรวจนั้นเป็นหุ่นยนต์ที่มีหน้าที่แค่ตรวจเท่านั้น ไม่สามารถที่จะสังเกตเห็นได้ว่าพวกมาซามุเนะเข้ามาใกล้กำแพง จากนั้นมาซามุเนะก็เริ่มเค้นออร่าของตัวเองออกมาไว้ที่มือขวาของตัวเอง จากนั้นเขาจึงใช้นิ้วชี้ที่มีออร่ารวมอยู่วาดเป็นวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เมตรที่่กำแพง เขาวาดมันทับไปเรื่อย ๆ และสุดท้ายก็ใช้มือขวาที่มีพลังจิตอยู่ทาบลงบนกำแพง หลังจากนั้นไม่นาน ที่กำแพงก็มีช่องว่างรูปวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เมตรโผล่ขึ้นมา มีลมพัดส่วนทิศมายังทั้งสองคนนิดหน่อยเรื่องจากมาซามุเนะใช้พลังจิตเปลี่ยนกำแพงบางส่วนให้เป็นออกซิเจนนั่นเอง โชคดีที่โครงสร้างของกำแพงนั้นเป็นคอนกรีดล้วนทำให้ไม่ถล่มลงมาอย่างแน่นอน ซึ่งคาดว่ามาซามุเนะนั่นเช็คเรื่องนั้นแล้วเมื่อกี้นี้ ทั้งสองคนลอดผ่านรูบนกำแพงเข้าไปอย่างเงียบๆ และสิ่งที่ทั้งคู่ได้เห็นเป็นอย่างแรกสุดเลยก็คือกองขยะกองหนึ่งกำลังถูกขนย้ายเข้าไปในโรงงานซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นจุดแยกขยะ

      “สมแล้วที่เป็นเขตที่มีไว้จัดการเรื่องขยะ"

      {จุดที่คาดว่าเป็นฐานของศัตรูอยู่ถัดจากโรงงานหลังนั้นไปอีก 5 เมตร ระวังอย่าให้คนงานเห็นตัวล่ะ}

      มาซามุเนะคิดว่าตามปกติแล้ว เวลาขนาดนี้ไม่น่าจะมีคนงานอยู่แน่ๆ แต่เนื่องจากจุดตรวจยังเปิดอยู่ จึงไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่ว่าจะยังมีคนงานอยู่ทิ้งไปได้ นอกจากนี้ แถวๆนี้อาจจะมีศัตรูอยู่ก็ได้ ดังนั้นวิธีการลอบเข้าไปจึงเป็นทางเลือกที่เขาคิดว่าดีที่สุดแล้ว

      มาซามุเนะและนากิสะมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นากิสะจะเริ่มใช้งาน <ดอพเพลแกงเกอร์> ซึ่งเป็นความสามารถพลังจิตของตัวเอง ถึงมาซามุเนะจะมองไม่เห็นว่าดอพเพลแกงเกอร์อยู่ตำแหน่งไหน แต่เขาก็สามารถจับออร่าอ่อนๆของมันได้ รู้สึกว่านากิสะจะใช้ดอพเพลแกงเกอร์เพื่อตรวจสอบว่ามีมนุษย์อยู่แถวๆนี้รึเปล่า แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา ออร่าของดอพเพลแกงเกอร์ก็หายไป นากิสะหันหน้ามามองมาซามุเนะแล้วพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง นั่นเป็นสัญญาณว่าไม่มีคนอยู่ มาซามุเนะจึงตัดสินใจค่อยๆเดินเรียบกำแพงของโรงงานไป เมื่อผ่านตัวของโรงงานมาได้แล้ว สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็มีแค่ห้องเล็กๆห้องหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องเก็บของ

      {นั่นเป็นทางเข้าของฐานที่มั่นศัตรู ตอนนี้คนที่ล่วงหน้าไปก่อนกำลังอยู่ระหว่างปะทะกับศัตรูอยู่ ทั้งสองคนเข้าไปสมทบได้เลย}

      จากที่โอเปอเรเตอร์รายงานมา มาซามุเนะจึงคิดได้ว่าพวกอิบูกิกับแคทเธอรีนที่ล่วงหน้ามาก่อนน่าจะส่งข้อมูลมาว่าอย่างนั้น ความคิดที่ว่าอาจจะเป็นกับดักของศัตรูก็ลดลงไปมากด้วย แต่ที่ว่ากำลังปะทะกันอยู่นี่คืออะไร มาซามุเนะที่เริ่มสงสัยเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่ต้องให้ตัวเองเป็นคนทำภารกิจนี้ด้วยจึงเอ่ยถามกับโอเปอเรเตอร์

      “เอ่อ…สรุปแล้ว ผมมีหน้าที่แค่ต่อสู้กับพวกนั้นเหรอครับ หรือว่ามีจุดประสงค์อื่นที่ผมเท่านั้นจึงจะทำได้”

      นากิสะที่สงสัยเหมือนกับมาซามุเนะก็หยุดเดินไปที่ห้องเก็บของแล้รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ หลักจากนั้นสัก 3 นาทีเห็นจะได้ โอเปอเรเตอร์ที่น่าจะรู้ว่าถ้าไม่ตอบมาซามุเนะก็นาจะไม่เคลื่อนที่ต่อ จึงยอมเอ่ยปากพูดออกมาอยย่างช่วยไม่ได้

       {เมื่อ 1 อาทิตย์ก่อน มีคนถูกกลุ่มก่อการร้ายจับตัวไปน่ะ ทางเรายังจับสัญญาณชีพของเขาคนนั้นได้}

       “แล้วทำไมผมต้องเป็นคนมาช่วยด้วยล่ะครับ”

       {ถ้าไปถึง นายก็รู้เองแหละ} 

       มาซามุเนะที่ได้คำตอบแบบนั้นกลับมา จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องทำภารกิจต่อไป เนื่องจากกลายเป็นภารกิจช่วยเหลือไปซะแล้ว มาซามุเนะกับนากิสะที่เคยทำแต่ภารกิจลอบสังหารกับภารกิจกวาดล้างศัตรูก็เลยไม่ค่อยจะรู้เรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ ทั้งคู่จึงได้แต่ทำตามที่โอเปอเรเตอร์แนะนำมาเท่านั้น ทั้งสองคนสบตากันครั้งหนึ่ง ก่อนที่นากิสะจะเดินไปเปิดประตูของห้องเก็บของที่อยู่ข้างหน้าตัวเองด้วยความระมัดระวังพร้อมความคิดที่ว่า ภารกิจจริงๆมันพึ่งจะเริ่มเท่านั้น

       20 นาทีต่อมา

       “ท่านพี่คะ ทางนี้มันถูกจริงๆเหรอคะ!”

       นากิสะที่กำลังวิ่งหอบแฮ่กๆอยู่บนทางเดินที่ทั้งมืดทั้งแคบ ถามมาซามุเนะที่กำลังวิ่งอยู่ข้างๆด้านขวาของเธอซึ่งอยู่ในสภาพเดียวกัน ข้างหลังของทั้งสองคนมีแสงที่คล้ายกับแสงแฟลชเวลากดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูป แต่สิ่งที่พุ่งเข้ามาหาทั้งคู่ต่อจากนั้นก็คือกระสุนปืนนั่นเอง

       “ถามอย่างนี้แล้วพี่จะไปรู้เหรอ ถามคุณโอเปอเรเตอร์เองซี่”

       {…}

       ใช่แล้ว หลังจากที่มาซามุเนะและนากิสะบุกเข้ามายังที่ที่คิดว่าน่าจะเป็นฐานของกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ทำให้เกิด <เหตุระเบิด> ขึ้นในเขตการปกครองหลายเขตของรัฐปกครองพิเศษ นิวปารีส หลังจากที่เข้ามาได้ไม่นานก็ได้เจอกับอิบูกิที่บุกเข้ามาก่อน แต่ก็ต้องแยกกันเพราะทางอิบูกินั่้นกำลังรับมือกับศัตรูที่คาดว่าน่าจะเป็น <ผู้ใช้พลังจิต> อยู่ ถึงจะไม่รู้ที่มาที่ไปของศัตรู แต่ก็ต้องจัดการก่อน อิบูกิจึงให้พวกมาซามุเนะล่วงหน้ามาก่อน ทั้งคู่ที่ไม่มีทางเลือกจึงได้แต่เดินหน้าต่อไป แต่ไม่ทันไรก็ถูกจู่โจมด้วยความซับซ้อนของทางเดิน และก็ถูกจู่โจมต่อเนื่องด้วยหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยที่ถูกดัดแปลงด้วยการติดอาวุธสงคราม ตอนแรกๆทั้งสองคนก็จัดการได้ง่ายๆ แต่จำนวนหุ่นยนต์ที่โผล่ออกมานั้นก็มากขึ้นเรื่อยๆจนทั้งคู่เริ่มตัดสินใจได้ว่าการหนีนั้นจะทำให้ช่วยประหยัดพลังงานที่ต้องใช้ไปกับการใช้พลังจิตได้ดีกว่า แต่ก็ต้องประสบปัญหาเดิม ซึ่งนั่นก็คือการหลงทางนั่นเอง โอเปอเรเตอร์นั้นช่วยคาดเดาเส้นทางสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะคาดการไว้แล้วว่าที่นี่จะถูกบุกก็เลยสร้างทางให้สับซ้อนหรือว่าที่ที่ทั้งคู่อยู่ตอนนี้เป็นกับดักกันแน่ เพราะไม่ว่าจะก้าวออกไปทางไหน ก็จะถุกหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยดักไว้ทุกทาง

       “ท่านพี่คะ หนูได้ชอบเล่นเกมแนวMMORPGเพราะอะไรรู้ไหมคะ!”

       ระหว่างที่นากิสะกำลังวิ่งอยู่ เธอก็ถามอะไรที่ดูจะไม่เข้ากับสถานการณ์เอาซะเลย แต่มาซามุเนะก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงคิดว่ามันเป็นคำถามที่ดีมากๆในสถานการณ์แบบนี้

       “ทะ…ทำไมล่ะ!”

       “ก็หนูเกลียดดันเจี้ยนยังไงล่ะคะ”

       มาซามุเนะที่ฟังคำพูดแบบนั้นของนากิสะก็ทำสีหน้าเอือมระอาออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่จู่ๆนากิสะก็ตะโกนขึ้นมาอีกครั้งอย่างกะทันหัน

       “ทะ…ท่านพี่คะ ข้างหน้าค่ะ ข้างหน้า”

       พอมาซามุเนะเงยหน้าขึ้นมาตามที่นากิสะพูด ก็ได้พบกับสิ่งเกินขาด สิ่งที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าของทั้งสองคนก็คือกองทัพหุ่นยนต์ติดอาวุธที่คราวนี้ในมือของพวกมันถือเครื่องช็อตไฟฟ้าไว้แทนปืนสงคราม จากที่ดูแล้ว จำนวนของพวกมันน่าจะพอๆกับจำนวนหุ่นยนต์ที่อยู่ข้างหลังของมาซามุเนะและนากิสะ ดูจากระยะห่างระหว่างทั้งคู่กับหุ่นยนต์กลุ่มใหม่ที่โผล่มานั้น อีกไม่กี่วินาทีคงได้ปะทะกันแน่ แล้วถ้าต้องสู่ล่ะก็ คงไม่สามารถเลี่ยงที่จะหนีหุ่นยนต์ที่อยู่ข้างหลังของทั้งคู่ได้อีกแน่

       มาซามุเนะที่คิดได้แบบนั้นจึงตัดสินใจที่จะใช้พลังจิตเพื่อเลี่ยงการต่อสู่กับหุ่นยนต์พวกนั้นอย่างช่วยไม่ได้

       “นากิสะ! เจาะรูที่กำแพงฝั่งซ้ายของเธอเร็วๆเลย เดี๋ยวพี่จะอุดรูให้!”

       “อะ…แต่ว่า-”

       “ไม่มีเวลาแล้ว!”

       นากิสะที่ได้ยินคำพูดบังคับจาก [ท่านพี่] ของเธอ จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตามคำสั่งนั้นของมาซามุเนะ เธอเรียกดอลเพลแกงเกอร์ออกมาแล้วใช้กำลังหมัดอันมหาศาลที่ไม่กลัวเจ็บของมัน เจาะรูที่กำแพงทางด้านซ้ายของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว มาซามุเนะที่กะจังหวะไว้แล้วก็กระโดดเข้าไปกอดนากิสะไว้ โดยที่จุดตกนั้นว่าแน่นอนว่าเป็นด้านในของกำแพงที่พึ่งจะมีรูโหว่ นากิสะร้องว้ายนิดหน่อยแต่มาซามุเนะก็ไม่ได้สนใจมัน เขารวมออร่าของตัวเองไว้ที่ปลายเท้าทั้งสองข้าง จากนั้นก็หมุนตัวนิดหน่อย มีแรงลมที่ถูกรวมไว้แล้วปล่อยออกมาในคราวเดียวด้วยความสามารถของออร่าสีขาวปนรุ้งของเขา และหลังจากที่พุ่งผ่านรูบนกำแพงเสร็จ มาซามุเนะก็ปล่อยให้นากิสะออกจากอ้อมแขน ทำให้ตัวนากิสะนั้นเลยต่อไปอีกครู่หนึ่ง จากนั้นมาซามุเนะก็ใช้พลังจิตของตัวเอง เปลี่ยนรูบนกำแพงให้กลายสภาพเป็นคอนกรีตตามเดิม

       “สำเร็จ ทำลายสถิติได้แล้ว”

       มาซามุเนะที่คำนวณเวลาที่เร็วที่สุดที่ตัวเองจะเปลี่ยนจากออกซิเจนให้กลายเป็นคอนกรีตตามเดิมจากการฝึกซ้อมที่ผ่านมา แต่ที่เขาทำได้ในวันนี้มันทำลายสถิติเดิมจนทำให้มาซามุเนะมัวแต่ดีใจจนลืมนากิสะที่กระเด็นลงพื้นอย่างดูไม่ได้เพราะไม่คิดว่ามาซามุเนะจะปล่อยตัวเองกระเด็นตกมาเองแบบนี้

       “ท่านพี่คะ ท่านพี่ลืมใส่ความเป็นไปได้ที่ว่าอาจจะมีศัตรูอยู่ในห้องนี้ลงในการคำนวณนะคะ”

       “อ๊ะ!”

       มาซามุเนะค่อยๆหันหลังกลับไปมองน้องสาวของตัวเอง แต่เหตุผลที่ทำให้เข้าหันหลับไปมองไม่ใช่เพราะว่าคำพูดของเธอ แต่เป็นเสียงกระซิกๆที่ดังขึ้นมาหลังจากเสียงพูดนั้นต่างหาก

       “ละ…แล้วท่านพี่… แล้วท่านพี่ก็ไม่ควรปล่อยน้องสาวสุดน่ารักแบบนี้ด้วยนะคะ ฮือ--------”

       เป็นไปตามที่มาซามุเนะคิดไว้ นากิสะร้องไห้โหใหญ่ มาซามุเนะรู้ดีว่ามันเป็นความผิดของตัวเอง แต่สิ่งที่ดึงดูดมาซามุเนะได้ดีกว่านากิสะก็คือจอมอนิเตอร์ที่ตั้งอยู่ด้านหลังของนากิสะนั่นเอง จอมอนิเตอร์มากกว่าสิบจอเรียงรายกันอยู่ข้างหลังนากิสะ มาซามุเนะเดินเข้าไปหามันอย่างอัตโนมัติโดยที่ลืมไปเลยว่านากิสะที่นั่งอยู่กับพื้นนั้นกำลังร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ

       มาซามุเนะหยิบสายหยิบสาย USB ที่ถูกมั่วเก็บไว้อย่างดีในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาก็หยิบอุปกรณ์ที่มีรูปร่างเหมือนโน๊ตบุ๊คขนาดพอดีมือขึ้นมา เขาเสียบสาย USB ไว้ที่โน๊ตบุ๊คอันเล็กในมือ ส่วนปลายสายอีกด้านก็เสียบไว้ที่แผงควบคุมของจอมอนิเตอร์ เปิดโน๊ตบุ๊คขนาดเล็กขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉง ทันใดนั้น ที่จอมอนิเตอร์ของโน๊ตบุ๊คก็มีข้อความตัวสีแดงเข้มเด้งขึ้นมา ใจความคือข้อความเตือนว่ากำลังจะมีการโหลดข้อมูลจำนวนมากลงในตัวเครื่อง มาซามุเนะกดปุ่มตกลงอย่างลวดเร็ว จากนั้น จอมอนิเตอร์ของโน๊ตบุ๊คก็มีโค้ดจำนวนมากถูกโหลดเข้ามาในตัวเครื่อง ใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที การดาวน์โหลดข้อมูลก็เสร็จสมบูรณ์ มาซามุเนะอ่านข้อมูลที่พึ่งได้มาอย่างรวดเร็ว

       “ไม่จริงน่า"

       เมื่ออ่านข้อมูลที่ได้มาไปได้ครึ่งหนึ่ง มาซามุเนะก็อุทานออกมาว่าอย่างนั้น เขาหันหน้ากับไปหวังจะคุยเรื่องนี้กับนากิสะ แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

       “นากิสะ”

       …..ห้องนี้เป็นห้องโล่ง ดังนั้นจึงไม่มีทางที่นากิสะจะไปที่ไหนได้ มาซามุเนะที่กำลังคิดแบบนั้นอยู่ ต้องชะงักความคิดของตัวเองลง เมื่อเห็นรูขนาดใหญ่อยู่บนกำแพงด้านขวามือของตัวเอง

       “โอเปอเรเตอร์ ติดต่อนากิสะได้ไหม”

       ไม่มีเสียงตอบรับ ไม่รู้เหตุผลด้วยว่าทำไมถึงไม่มีเสียงตอบกลับมาจากโอเปอเรเตอร์ มาซามุเนะไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเดินตามรูนั้นไป เมื่อออกมาจากห้องแล้ว สิ่งแรกที่เขาพบก็คือซากหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยจำนวนมากที่พังเละเทะกองอยู่กับพื้น มาซามุเนะเดินตามซากไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายซากหุ่นยนต์ก็หมดไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีร่องลอยอื่นที่จะทำให้ตามหานากิสะพบอีกแล้ว แต่ทันใดนั้น พื้นที่เขาเหยียบอยู่ก็หายไป หลงเหลือไว้เพียงอากาศธาตุ มาซามุเนะล่วงลงไปในหลุมอะไรไม่รู้ เขาตระหนักได้ว่านากิสะอาจจะตกลงมาในนี้้ จึงยอมล่วงลงไปแต่โดยดี ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่หลุมธรรมดาๆ แต่มีรูปร่างโค้งงอด้วย แสงสว่างที่ลอดมาท่ามกลางความมืดทำให้เขารู้ได้ว่ามาถึงจุดหมายที่หลุมนี้ต้องการให้มาแล้ว สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกก็คือกองขยะ กองขยะจำนวนมากที่ทำให้มาซามุเนะรู้สึกตัวว่าตัวเองอยู่ที่เขตการปกครองที่ 0

       “เหวอ-----”

       หน้ามาซามุเนะกระแทกเข้ากับกองขยะอย่างไม่ทันตั้งตัว พอลุกขึ้นมาก็พบว่าปากหลุมนั้นอยู่เหนือกองขยะแค่ 1 เมตรเท่านั้น แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของมาซามุเนะไปได้อีกรอบ ก็คือเสียงระเบิดที่ดังขึ้นมา ฟังจากเสียงแล้วน่าจะอยู่ถัดจากกองขยะกองนี้ไป มาซามุเนะที่วินิจฉัยว่าอย่างนั้นจึงเร่งฝีเท้าตัวเอง เดินอ้อมกองขยะตรงหน้าไปอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่ทำให้เข้าตกตะลึง ก็คือร่างของนากิสะนั่งคุกเข่าลงกับพื้นในสภาพสะบักสะบอม ด้านหน้าของเธอนั้นมีหุ่นยนต์ที่ดูคล้ายกับมนุษย์อยู่ บนร่างที่ดูเก่าของมันมีรอยขีดข่วนเล็กๆจำนวนมากอยู่และในวินาทีนั้นเอง หุ่นยนต์ก็ยกมือขวาของตัวเองขึ้นสูงๆ จู่ๆมือของมันก็เปลี่ยนกลายเป็นใบมีดที่บางเฉียบ ไม่ทันไร ข้อต่อไหล่ขวาก้เริ่มขยับ มันกำลังจะฟันลงบนร่างของนากิสะนั่นเอง

       “หยุดนะ-----”

       มาซามุเนะตะโกนสุดเสียง แต่หุ่นยนต์ตัวนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการเคลื่อนไหว กลับกัน ความเร็วของแขนขวาซึ่งเป็นใบมีดนั้นเร็วขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ มาซามุเนะพุ่งเข้าไปด้วยพลังจิทันที และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ แขนทั้งสองข้างของมาซามุเนะที่ไขว้กันเพื่อตั้งการ์ด มี ใบมีดอันแหลมคมฝังอยู่ แรงกดนั้นไม่ได้ลดลงเท่าที่ควร การกระทำของหุ่นยนต์ตัวนั้นก็ไม่ได้ชะงักเลยแม้แต่น้อย และแรงกดของใบมีดที่อยู่บนแขนทั้งสองข้างของมาซามุเนะนั้นยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวด้วย 

       “หนี…ไป”

       มาซามุเนะที่กำลังถูกใบมีดกดลงบนแขนอยู่ พูดให้นากิสะที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนกิริยาเลยแม้แต่น้อย

       “โธ่เว้ย!”

       ทันใดนั้น มาซามุเนะที่เริ่มตั้งสติได้ก็ใช้พลังจิตของตัวเองรวบรวมออร่าไว้ที่เท้าทั้งสองข้าง ออร่าของพลังจิตของมาซามุเนะทำหน้าที่ในการรวบรวมอากาศไว้เพื่อเปลี่ยนเป็นสสารชนิดอื่น แต่ตอนนี้มาซามุเนะใช้อากาศที่รวมได้ ปล่อยออกมาในคราวเดียว ทำให้เกิดแรงพุ่งตัวอันมหาศาล หุ่นยนต์ที่เริ่มโน้มตัวเข้ามาข้างหน้าจนถึงเมื่อกี้นี้เพื่อเพิ่มแรงกกดให้กับใบมีด ทำให้จุดยืนไม่คงที่ และเมื่อมาซามุเนะปล่อยอากาศที่สะสม ทำให้หุ่นยนต์ล้มได้ง่ายๆ แต่ใบมีดของมันก็ฝั่งลึกจนแทบจะหักกระดูกเขาแล้ว มาซามุเนะจึงจงใจใช้ใบใช้นั้น คว้านเนื้อที่แขนขวาซึ่งถูกใบมีดฝั่งอยู่ลึกที่สุดทิ้งไป เพื่อทำให้ตัวเองพุ่งตัวออกมาจากจุดได้

       มาซามุเนะที่พุ่งตัวออกมาในระยะ 3 เมตรนั้น เมื่อเท้าแตะกับพื้นเมื่อไหร่ เขาก็คิดจะพุ่งเข้าไปรับตัวนากิสะอีกรอบ ดังนั้นจึงรวมพลังจิตไว้ที่มือเท้าทั้งสี่ แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไร หุ่นยนต์ที่ท่าทางหนักอึ้งตัวเมื่อครู่ ก็พุ่งเข้ามาหามาซามุเนะด้วยความเร็วสูง ตัวมันกลายเป็นเงาที่บดบังตัวมาซามุเนะไปแล้ว คราวนี้มันง้างหมัดขวาที่กลับมาเป็นมือแล้วขึ้นสูงๆ เมื่อมองดูแล้วก็เห็นว่ามันมีไอพ่นติดอยู่ที่ด้านหลังด้วย มาซามุเนะที่เห็นแบบนั้ันจึงปล่อยอากาศที่รวมได้ที่มือขวา ทำให้ทิศทางของร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ปล่อยออร่าที่เท้าทั้งสองข้างเพื่อพุ่งตัวหลบการโจมตีอันหนักหน่วงของหุ่นยนต์ตัวนั้นได้อย่างหวุดหวิด

       แต่ว่าเมื่อมาซามุเนะที่พุ่งตัวออกมาทางด้านซ้ายของหุ่นยนต์นั้นเริ่มรวบรวมออร่าเพื่อเพิ่มอากาศเพื่อปล่อยออกเป็นไอพ่นอีกครั้งหนึ่ง หุ่นยนต์ตัวนั้นก็จู่โจมใส่มาซามุเนะอีกครั้งด้วยการยิงหมัดซ้ายที่มีไอพ่นติดอยู่ คราวนี้มาซามุเนะไม่สามารถที่จะพุ่งตัวออกเพื่อหลบการโจมตีได้อีกแล้ว หมัดที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงพุ่งหามาซามุเนะอย่างไม่ปราณี

       “ท่านพี่!-----”

       มาซามุเนะที่กำลังจะใช้ออร่าที่อยู่ที่มือซ้ายของตัวเองขึ้นมาป้องกันการโจมตีของหุ่นยนต์เพื่อเปลี่ยนหมัดซ้ายข้างนั้นของหุ่นยนต์ให้กลายเป็นไนโตรเจน แต่แน่นอนว่าก่อนที่จะเปลี่ยนหมัดซ้ายของหุ่นยนต์ให้กลายเป็นไนโตรเจนได้นั้น มือซ้ายของมาซามุเนะต้องแตะกับหมัดของหุ่นยนต์ก่อน และมือซ้ายของมาซามุเนะก็ไม่น่าที่จะรอดพ้นจากแรงกระแทกอันหมาศาลของหมัดไอพ่นของหุ่นยนต์ไปได้ เขารู้ดีว่ามันเป็นการแลกระหว่างมือซ้ายของเขากับมือซ้ายของหุ่นยนต์ตัวนั้น แต่ก่อนที่หมัดของหุ่นยนต์จะพุ่งมาถึงตัวของมาซามุเนะ เสียงตะโกนของนากิสะที่ดังขึ้น มาซามุเนะหันไปมองทางต้นเสียง แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ทำแบบนั้น ฮู้ดเสื้อกันหนาวของเขาก็ถูกดึงโดยอะไรบางอย่าง ทำให้เขาพ้นจากวิถีของหมัดนั้นได้อย่างหวุดหวิด และพอเขาตั้งสติได้อีกที ก็ถึงได้รู้ว่านากิสะเป็นคนใช้ <ดอพเพลแกงเกอร์> พลังจิตของตัวเองช่วยตัวเขาไว้

       มาซามุเนะที่ถูกดอพเพลแกงเกอร์ลากตัวมากับพื้นก็ลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าแบบเดียวกับนากิสะที่อยู่ด้านขวาของตัวเอง เมื่อมองดูหน้าของนากิสะแล้ว ดูเหมือนว่าเธอตอนนี้จะจดจ่อกับการต่อสู้จนไม่มีเวลาให้คิดเรื่องเมื่อกี้แล้ว มาซามุเนะหยุดมองหน้านากิสะแล้วหันหน้ามองไปทางหุ่นยนต์ตัวเดิม มันดึงหมัดซ้ายของมันกลับคืนมาไว้ที่เดิมแล้ว มาซามุเนะที่เห็นแบบนั้นจึงเริ่มใช้พลังจิต รวมออร่าไปที่มือและเท้าทั้งสี่อีกครั้ง

       “หยุดก่อนค่ะ”

       มาซามุเนะที่กำลังจะทำแบบนั้น ก็ถูกเสียงร้องของนากิสะร้องดังขึ้นมาก่อน เธอยื่นมือมือซ้ายออกมาขวางตัวมาซามุเนะด้วย มาซามุเนะที่เห็นดังนั้นจึงหยุดการกระทำของตัวเองแต่โดยดีและดำลังจะเอ่ยปากถามว่าทำไม แต่นากิสะที่ดูเหมือนจะรู้ความคิดของมาซามุเนะก็พูดออกมาก่อนที่ปากของเขาจะขยับเสียอีก

       “เจ้านั่นไม่ใช่หุ่นยนต์ปกติค่ะ ท่านพี่เห็นความเร็วตอบสนองของมันแล้วใช่ไหมคะ เท่าที่ดู มันน่าจะมีระบบตรวจจับออร่าพลังจิตค่ะ”

       มาซามุเนะที่ได้ยินดังนั้นจึงสงสัยว่ามันมีระบบแบบนั้นได้อย่างไร้ เขาจึงคิดจะถามนากิสะที่เป็นคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ก็ตระหนักได้ว่าตัวนากิสะที่เป็นคนต่อสู้ก่อนเขาน่าจะรู้แค่นั้น แต่คงไม่รู้เบื้องลึกกว่านี้แน่ เมื่อมาซามุเนะคิดได้ดังนั้น มือขวาของตัวเองก็กำลังจะหยิบโนีตบุ๊คขนาดเล็กที่มีข้อมูลหลายๆอย่างอยู่ แต่มาซามุเนะก็ห้ามปฏิกิริยานั้นของตัวเองไว้ได้ทัน เพราะตอนนี้คงไม่ใช่เวลามาตรวจสอบข้อมูลของศัตรูแน่ๆ มาซามุเนะจึงดึงสติของตัวเองกลับมาคิดแผนรับมือกับหุ่นยนต์ตัวนั้นก่อน เพราะตอนนี้มันก็กำลังยืนจ้องมองทั้งสองคนด้วยความนิ่งสงบต่างจากการกระทำเมื่อกี้นี้อย่างสิ้นเชิง

       “ท่านพี่ยังมีแรงเหลืออยู่ใช่ไหมค่ะ"

       “อา”

       มาซามุเนะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ตอบกลับไปด้วยความรวดเร็ว ทันทีที่นากิสะได้ยินอย่างนั้น ใบหน้าที่มอมแมมของเธอก็มีรอยยิ้มปรากฏออกมา

       “ใช้แผนโจมตีสองทางเป็นไงค่ะ”

       นากิสะพูดขึ้นมาพร้อมกับมองมาทางมาซามุเนะ มาซามุเนะมองหน้าเธอกลับด้วยสีหน้าที่สามารถสื่อได้เป็นคำพูดว่า {ช่วยอธิบายมาหน่อยสิ} เท่านั้น

       “ในตอนที่พวกเราเริ่มใช้พลังจิตหรือรวบรวมออร่า หุ่นยนต์ตัวนั้นจะจู่โจมเข้ามาทันทีค่ะ ดังนั้นหนูคิดว่าถ้าเราทั้งคู่เริ่มใช้พลังจิตพร้อมๆกันล่ะก็ เราคนใดคนหนึ่งก็จะโดนพุ่งเข้าใส่ ถ้าเป็นไปตามนั้น ก็ให้เราอีกคนหนึ่งโจมตีใส่รวดเดียวเลยค่ะ”

       “มีแต่วิธีนี้สินะ”

       มาซามุเนะที่คิดได้แค่ว่าวิธีนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วจึงพูดแบบนั้นออกไป มาซามุเนะและนากิสะลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงอีกครั้ง ทั้งคู่เดินแยกออกจากกันเพื่อล้อมหุ่นยนต์ตัวนั้นที่ ส่วนหุ่นยนต์ที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาทั้งสองคนก็หยุดชะงักลงเหมือนกับกำลังประมวลผลอยู่

       มาซามุเนะและนากิสะพยักหน้าพร้อมกันครั้งหนึ่ง จากนั้นทั้งคู่จึงเริ่มช่วยนากิสะเค้นออร่าพลังจิตออกมา ทันใดนั้น หุ่นยนต์ตัวนั้นก็จู่โจมใส่มาซามุเนะที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายของตัวมันทันที มาซามุเนะหยิบการ์ดใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันเปลี่ยนรูปร่างกลายดาบคมด้านเดียวที่ไม่มีโค้งสีขาวบริสุทธิ์ฺ์ ออร่าของมาซามุเนะที่รวมไว้ที่มือขวาไหลเข้าสู้ใบดาบอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ตั้งท่าชักใบมีดขึ้้นเหนือไหล่ด้วยมือขวาและใช้แขนซ้ายตั้งขนานกับตัวดาบอีกต่อหนึ่งเพื่อตอบโต้หุ่นยนต์ที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยท่าแทคเคิลความเร็วสูง โดยที่มีนากิสะวิ่งเข้ามาหามันจากด้านหลังด้วยความเร็วที่พอๆกัน

       “นากิสะ เอาเลย!”

       ทันใดนั้นนากิิสะก็พุ่งเข้าหาหุ่นยนต์ด้วยความเร็วที่มากว่าเดิมมาก ถึงจะมองไม่เห็นแต่ก็คาดเดาได้ว่าน่าจะมีดอพเพลแกงเกอร์อยู่ข้างหน้าขอนากสะอีกต่อหนึ่ง แต่จู่ๆหุ่นยนต์ที่กำลังพุ่งเข้ามาหามาซามุเนะก็ใช้เท้าทั้งสองข้างของมันยันกับพื้นดิน และเตะกลับหลังด้วยขาขวาใส่นากิสะที่เข้าใกล้มันภายในไม่กี่วินาที

       “นากิสะ!”

       “!?”

       นากิสะที่พุ่งตัวเข้าด้วยความเร็วสูงไม่มีทางที่จะหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองได้ทันอย่างแน่นอน และการโจมตีของหุ่นยนต์ตัวนั้นจะได้ผล มาซามุเนะในตอนนี้มีอยู่สองทางเลือก คือการพุ่งเข้าไปช่วยนากิสะ หรือจะใช้จังหวะนี้จัดการหุ่นยนต์ตัวนี้ให้สำเร็จ เขาตระหนักไดว่าทวงท่าของตัวเองในตอนนี้ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นการพุ่งเข้าไปช่วยนากิสะที่ได้ จึงต้องเลือกทางที่สองอย่างไม่เต็มใจนัก

       {ถ้าเธอใช้พลังนั้นล่ะก็ ต้องช่วยไว้ได้แน่}

       ในตอนที่มาซามุเนะกำลังจะพุ่งเข้าไปโจมตี ก็มีเสียงผู้หญิงที่ฟังดูคุ้นหูมากดังเข้ามาภายในหัวเขา แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เสียงของฮิคาริแน่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องแบบนี้ มาซามุเนะที่คิดได้ดังนั้นจึงสลัดความคิดภายในหัวทิ้งไป เหลือไว้แต่เพียงความคิดในการต่อสู้นี้เท่านั้น

       {ท่านพี่คะ ตอนนี้แหละ} สายตาของนากิสะในตอนนี้บ่งบอกได้เพียงคำคำนี้ ก่อนที่เธอจะถูกท่าหมุนตัวเตะของหุ่นยนต์ตัวนั้นโจมตีเข้าใส่โดยที่มีแขนทั้งสองข้างเป็นกำบังไว้ให้ แต่มาซามุเนะมองเห็นช่องว่างนิดหน่อยระหว่างตัวนากิสะและขาของหุ่นยนต์ นั่นน่าจะเป็นดอพเพลแกงเกอร์ของนากิสะอย่างแน่นอน จากนั้นนากิสะก็ถูกท่าเตะนั่นโจมตีใส่ปลิวไปกระแทกกับกองขยะที่อยู่ด้านหลังจนฝุ่นตลบ มาซามุเนะไม่พลาดโอกาสนี้ เขาพุ่งตัวออกจากจุดที่ตัวเองยืนตั้งท่าอยู่ไปหาหุ่นยนต์ด้วยความเร็วสูง เขาดึงแขนทั้งสองข้างเข้าหาร่างกายคล้ายการโอบกอด กำหมัดซ้ายที่ว่างเปล่าแน่นแล้วกะจังหวัดในการเหวี่ยงแขนขวาฟันใส่หุ่นยนต์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยดาบที่อัดแน่นไปด้วยออร่าสีขาวปนรุ้งในแนวเฉียง

       ตามปกติแล้ว ออร่าสีขาวปนรุ้งของพลังจิตของมาซามุเนะนั้นจะทำได้แค่การเปลี่ยนสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อมาซามุเนะใช้ออร่าเคลือบและอัดเข้าไปในดาบของตัวเองอย่างดาบ [STARDUST] แล้ว จะสามารถฟันทุกอย่างให้ขาดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น สาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะออร่าของมาซามุเนะมีความสามารถในการเปลี่ยนสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งหนึ่ง สรุปก็คือ มาซามุเนะสามารถใช้ออร่าที่อยู่กับดาบของตัวเองนั้น เปลี่ยนสิ่งที่ถูกฟันให้กลายสภาพเป็นอากาศธาตุได้ด้วยความเร็วสูงตามกฏความสามารถพลังจิต [INFINITY] ของเขาเอง

       การฟันใส่ในครั้งนี้เป็นการฟาดดาบที่มีออร่าสูงเพื่อเปลี่ยนหุ่นยนต์ที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตให้เป็นอากาศ และชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ซะ มาซามุเนะที่กำลังเหวี่ยงดาบเคลือบออร่าเปล่งแสงเข้าใส่หุ่นยนต์ที่แข็งแกร่งสุดๆคิดว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่การคาดเดาของเขาก็ถูกทำลายด้วยการกระอันเหนือความคาดหมายของหุ่นยนต์สุดแกร่งตัวนั้นเอง

       มันที่ควรจะหยุดนิ่งเนื่องจากการหมุนตัวด้วยความเร็วสูงเพื่อโจมตีใส่นากิสะนั้นกลับทำการหมุนตัวเพื่อโจมตีด้วยท่าเตะหมุนตัวแบบเดียวกับที่โจมตีใส่นากิสะอีกรอบ ปลายเท้าของมันจะเข้าเป้าหมายซึ่งก็คือต้นคอของมาซามุเนะเต็มๆ ส่วนดาบของมาซามุเนะนั้น ถ้าเสริมระยะการฟันด้วยออร่าพลังจิตแล้ว การโจมตีที่โดนนั้นก็จะสามารถผ่ากลางลำตัวของหุ่นยนต์ได้พอดี แต่ถ้าจะทำแบบนั้นได้ก็จะต้องมีความเร็วเหนือกว่ามันให้ได้

       “ใช้การเสริมความเร็วด้วยการปล่อยอากาศจากออร่าที่เท้าไม่ได้เพราะจะทำให้วิถีของการฟันเบนออก และเราก็จะโดนลูกเตะนั้นจนตายคาที่ซะก่อน เดี๋ยวก่อนนะ วิถีการฟันเบนออกเหรอ?”

       “รุกกฆาต”

       มาซามุเนะที่กำลังคิดหาทางอยู่ได้ยินคำพูดที่คิดได้อย่างเดียวว่ามาจากหุ่นยนต์ที่อยู่ด้านหน้าของเขา มันทำให้สติของเขาหลุดออกไปแว็บเดียว แต่เขาก็ดึงสติกลับมาแล้วหาทางออกจากสถานการณ์นี้จนเจอ

       ระหว่างที่มาซามุเนะกำลังจะถูกลูกเตะฆ่าทิ้งอยู่นั้น เขาเบี่ยงวิถีของการเคลื่อนไหวด้วยการปล่อยอากาศที่อยู่ในออร่าออก ทำให้เขารอดจากการโจมตีนั้นได้อย่างหวุดหวิด ตอนนี้เขาพุ่งตัวเข้ามาใต้ตัวของหุ่นยนต์ตัวนั้น

       “ถึงวิถีดาบจะเบี่ยงไปนิดหน่อย แต่ก็ฟันเอาขาซ้ายแกได้ล่ะนะ”

       ชิ้ง---- ขาซ้ายที่ตั้งอยู่เพื่อทำหน้าที่เป็นเหมือนแกนในการหมุนตัวของหุ่นยนต์ถูกดาบเคลือบออร่าของมาซามุเนะตัดทิ้งจนเหลือแค่ต้นขาเท่านั้น จากนั้นเขาก็ปล่อยอากาศที่อยู่กับออร่าใต้เท้าออกมานปริมาณที่เท่ากันเพื่อพุ่งตัวออกจากหุ่นยนต์ตัวนั้นด้วยความเร็วสูง

       ตึ้ง หุ่นยนต์ตัวนั้นล้มลงอย่างง่ายดาย มาซามุเนะหันไปหานากิสะที่ล้มอยู่ที่กองขยะ เธอค่อยๆลุกขึ้นมาดูว่าเป็นยังไงต่อ แต่ก็เห็นแค่มาซามุเนะที่วิ่งเข้ามาหาเท่านั้น ดูแล้วเขาน่าจะมีข้อสรุปใหม่เกี่ยวกับหุ่นยนต์ตัวนั้นแล้ว

       “เป็นไงมั้ง”

       “สบายมากค่ะ ท่านพี่”

       นากิสะโบกมือปัดทำท่าเหมือนกับไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน แต่ถ้าสังเกตดีๆแล้วก็จะรู้ได้ว่าแขนทั้งสองข้างของเธอนั้นหักไปเรีบยร้อยแล้ว ดูแล้วน่าจะหักเพราะดอพเพลแกงเกอร์ถูกเตะปลิวจนทำให้นากิสะโดนเตะไปด้วย แต่แค่นี้ก็ดีแล้ว เพราะถ้านากิสะโดนเต็มๆล่ะก็ แขนทั้งสองข้างคงจะด้วนไปแล้ว มาซามุเนะที่รู้แบบนั้นจึงทำสีหน้าเป็นห่วงนิดหน่อยก่อนที่จะลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน

       “พี่รู้แล้วล่ะว่าเหตุการณ์เมื่อกี้นี้มันเกิดได้เพราะอะไร”

       นากิสะไม่ได้ตอบอะไรมาซามุเนะเพราะตอนนี้เธอกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับการถูกลูบหัวของตัวเอง แต่มาซามุเนะก็ดึงมือกลับมาก่อน นากิสะก็กำลังจะใช้มือของเธอมาจับให้มาซามุเนะลูบหัวต่อ แต่ก็ต้องหยุดไปเพราะแขนตัวเองนั้นเจ็บมากเกินไปที่จะยกขึ้นได้

       “เดียวกลับไปพี่จะลูบหัวให้ถึงเช้าเลย”

       “เพราะอะไรถึงเกิดเหตุการณ์เมื่อกี้เหรอคะท่านพี่”

       มาซามุเนะที่เห็นนากิสะพูดแบบนั้นก็คิดว่านากิสะนั้นเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักดีจริงๆ  

       “พี่คิดว่าหุ่นยนต์ตัวนั้นน่าจะสามารถตรวจจับความเข้มข้นของพลังจิตได้ด้วยน่ะสิ”

       “ความเข้มข้น พลังจิต?"

       “ใช่แล้ว คำนี้พี่เพิ่งคิดสดๆเมื่อกี้นี้เลยนะ”

       “ค่ะๆ”

       มาซามุเนะที่เห็นนากิสะตอบแบบส่งๆจึงกลับเข้าเรื่องต่อ

       “ความเข้มข้นของพลังจิตก็คือปริมาณออร่าที่เราเค้นออกมาเวลาใช้พลังจิตยังไงล่ะ เช่น นากิสะที่จะใช้ดอพเพลแกงเกอร์ก็ต้องเค้นออร่าออกมามากเพื่อสร้างให้เป็นรูปร่างของตัวคน ดังนั้น ถ้าสามารถตรวจจับได้ ก็สามารถคาดเดาได้ว่าศัตรูจะใช้ท่าแบบไหน ก็คล้ายๆกับเวลาที่ต้องใช้ท่าโจมตีที่รุนแรง ก็ต้องเค้นพลังจิตออกมามากยังไงล่ะ ถ้าให้พี่คิดล่ะก็ มันน่าจะถูกตั้งให้โจมตีใส่คนที่มีความเข้มพลังจิตสูงที่สุดก่อนเพื่อน ก็ประมาณนี้แหละนะ”

       “อืม…”

       หลังจากที่มาซามุเนะพูดจบ นากิสะก็ทำหน้าครุ่นคิดต่ออีก เขาคิดว่าเธอคงกำลังคิดถึงแผนการขั้นต่อไป แต่มาซามุเนะก็รู้ดีว่ามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านั้นอยู่อีก

       “พี่มีทางเลือกอื่นให้นะ”

       “เอ๊ะ!?”

       นากิสะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ หันหน้ากลับมาหามาซามุเนะที่ตอนนี้ทำหน้าเครียดอยู่ไม่แพ้กลับตัวเธอ

       “เราไม่จำเป็นต้องสู้กับเจ้าหุ่นยนต์ตัวนั้นหนิ ภารกิจของเราก็คือการช่วยเหลือตัวประกันที่ถูกจับตัวไป ไม่ใช่การกวาดล้างที่นี่สัก-”

       “ก็เพราะเป็นภารกิจช่วยเหลือตัวประกันน่ะสิค่ะ เราถึงต้องจัดการกับเจ้าหุ่นกระป๋องนั่น”

       นากิสะพูดจบก็ชี้นิ้วไปยังหุ่นยนต์ตัวนั้นที่กำลังทรงตัวยืนอยู่ด้วยขาข้างเดียว แต่เธอไม่ได้ตั้งใจชี้ไปที่ตัวหุ่นยนต์ตัวนั้น แต่สิ่งที่เธอชี้ก็คือกำแพงเหล็กที่อยู่ด้านหลังหุ่นยนต์ต่างหาก ที่กำแพงมีช่องที่ถูกแทนที่ด้วยกระจกใสสีฟ้าขนาดประมาณกระดาษA4อยู่ พอมาซามุเนะลองเพ่งมองมันอย่างแน่วแน่ ก็เห็นใบหน้าของผู้หญิงผมยาวไสวอยู่

       “นะ..นั่นคือ ตัวประกันเหรอ”

       “ไม่รู้สิคะ แต่เราก็ต้องช่วยออกไปให้ได้อยู่ดี”

       “มันคือเหตุผลที่ทำให้เรามาอยู่ที่นี่นี่เนอะ” 

       นากิสะพยักหน้าครั้งหนึ่งแล้วทำท่าครุ่นคิดต่อ คราวนี้มาซามุเนะก็คิดหาทางจัดการกับสถานการณ์แบบนี้บ้าง ทั้งคู่เร่งเกียร์สมองของตัวเองให้เร็วขึ้นเพราะว่าหุ่นยนต์ฺตัวนั้นกำลังซ่อมขาตัวเองด้วยอยู่ ดูจากความเร็วแล้วคงไม่เสร็จในเร็วๆนี้ก็จริง แต่ความเป็นไปได้ที่ว่าความเร็วของมันนั้นไม่คงที่ก็ไม่สามารถตัดออกไปจากหัวสมองของทั้งคู่ได้ มาซามุเนะจึงตัดสินใจที่จะพูดความคิดสุดท้ายที่ตัวเองคิดได้ออกมากับนากิสะ

       “นากิสะ ฉันมีแผนแล้ว”

       “ยังไงเหรอคะ? ท่านพี่

       นากิสะหันหน้ามาหามาซามุเนะด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังยิ่งขึ้นกว่าเดิม มาซามุเนะใช้มือขวาลูบหัวเธอแล้วพูดต่อ

       “น้องไปช่วยเธอคนนั้นเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

       มาซามุเนะพร้อมกับชักมือขวาของตัวเองกลับมาแล้วเดินออกไปข้างหน้า เขากำมือขวาของตัวเองแน่นแล้วใช้มือขวาข้างเดิมกำด้ามดาบที่ถูกเก็บไว้ในฝักที่ถูกถือด้วยมือซ้ายไว้ แล้วชักมันออกมาถืออย่างแน่วแน่หันไปทางหุ่นยนต์ที่ยืนอยู่ข้างหน้า

       “ตะ…แต่ว่า ท่านพี่ค่ะ เจ้าหุ่นกระป๋องนั่นอาจจะมีลูกเล่นที่เราไม่รู้ซ่อนอยู่ก็ได้นะคะ”

       “พี่จะเร่งพลังจิตของตัวเองออกมาให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้มันเปลี่ยนเป้าหมายไปที่น้องได้ ระหว่างนั้นน้องก็ต้องช่วยเธอคนนั้นให้ได้ล่ะ”

       มาซามุเนะตัดสินใจที่จะเมินเฉยต่อคำห้ามปรามของนากิสะ เข้าเดินเข้าไปประจันหน้ากับหุ่นยนต์ที่ตอนนี้มันก็หันความสนใจมาหามาซามุเนะแทนการซ่อมแซมขาของตัวเองแล้ว มาซามุเนะเปลี่ยนวิธีการถือดาบของตัวเอง จากการจับด้ามดาบแล้วหันปลายดาบออกเปลี่ยนเป็นจับให้ก้นของด้ามดาบหันไปทางศัตรูแทน แล้วปลายดาบก็หันออกข้าง ไม่กี่วินาทีต่อมา ออร่าพลังจิตสีขาวปนรุ้งของเขาก็ห่อหุ้มดาบจนทำให้สีขาวบริสุทธิ์เปลี่ยนเป็นสีขาวปนรุ้งภายในพริบตา นั่นรวมไปถึงเท้าทั้งสองข้างของเขาด้วย แต่ว่าครั้งนี้เขาใช้พลังจิตที่มือซ้ายเพียงนิดเดียวเท่านั้น

       จนถึงตอนนี้นั้น มาซามุเนะนั้นใช้พลังจิตของตัวเองไปมากพอดู แต่การที่เขายังสามารถเค้นพลังจิตออกมาได้ขนาดนี้นั้น คงจะตระหนักได้ว่านี่เป็นศึกตัดสินของจริงแล้ว

       ที่มาซามุเนะเปลี่ยนท่าจับดาบนั้นมีเหตุผลอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือการเตรียมตัวรับมือกับการจู่โจมสายฟ้าแลบของหุ่นยนต์ตัวนั้นที่จะจู่โจมเข้ามาเมื่อสัมผัสถึงพลังจิตได้ แต่หลังจากที่เขาเค้นออร่าออกมาก็ผ่านมาเกิน 5 วินาทีแล้ว หุ่นยนต์ตัวนั้นกลับยังไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนที่เลยสักนิดเดียว กลับกัน สิ่งที่ตอบต่อท่าเตรียมต่อสู้ของมาซามุเนะก็คือเสียงพูดกวนประสาทที่ดังออกมาจากลำโพงของหุ่นยนต์

       “นี่ แกน่ะ คิดจริงๆเหรอว่าจะจัดการกับหุ่นยนต์สุดแกร่งที่ฉันเป็นคนสร้างขึ้นมาได้น่ะ บอกไว้ก่อนเลยนะ ถึงเจ้านี่จะขาด้วนไปข้างหนึ่งแล้ว แต่มันก็ไม่ได้อ่อนแอลงเลยสักนิดเดียวเลยล่ะ ขนาดฉันที่เป็นคนสร้างยังตกใจกับความสามารถของมันเลยนะ จะบอ-”

       ชิ้ง เสียงจากลำโพงนั้นดัวขึ้นไม่ทันจะจบ มาซามุเนะก็พุ่งตัวออกไปโจมตีด้วยความเร็วที่เหนือกว่าครั้งก่อนๆมาก เขาลากปลายดาบจากไหล่ของตัวเองจนหมุน 180 องศาด้วยความเร็วสูง มันควรจะผ่าร่างของหุ่นยนต์ให้แบงออกเป็นท่อนบนกับร่างได้ในพริบตาเดียว แต่ก็ถูกกันไว้ด้วยการใช้แขนทั้งสองข้างตั้งการ์ดของหุ่นยนต์

       มาซามุเนะใช้แรงส่งตัวจากการปล่อยอากาศของเท้าทั้งสองข้างแล้วหมุนตัวออกมาจากวงการโจมตีทันทีที่รู้ว่าการโจมตีถูกบล็อคไว้

       “เล่นงานที่ขา”

       มาซามุเนะที่ตระหนักได้อย่างนั้นก็ย่อตัวลงแล้วพุ่งตัวออกไปอีกครั้ง ในจังหวะที่ดาบของเขาหมุนจนรัศมีการโจมตีถึงขาของหุ่นยนต์นั้น ขาข้างที่เหลือของมันถูกตัดออกจากลำตัวภายในชั่วพริบตาเดียว และในจังหวะเดียวกัน เขาก็หมุนตัวออกมาด้วยการปล่อยอากาศจากเท้าอีกครั้ง

       หุ่นยนต์ที่ถูกตัดขาทั้งสองข้างไปแล้วกำลังจะล้มลง มาซามุเนะไม่รอช้า ปล่อยอากาศที่เท้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทำให้การหมุนตัวออกนั้นเปลี่ยนเป็นการหมุนตัวกลับเข้าไปหาหุ่นยนต์แทน ในจังหวะเดียวกันนั้น เขาก็เปลี่ยนมาจับดาบแบบปกติอีกครั้ง การหมุนเข้าหาในครั้งนี้นั้น จะสามารถทำให้ร่างของตัวหุ่นยนต์นั้นขาดออกเป็นสองซีกได้ด้วยการฟันของดาบบวกกับความเร็วเคลื่อนที่ของการหมุนตัวด้วย

       แต่ในจังหวะเดียวกันกับที่ท่อนบนของหุ่นยนต์นั้นกำลังจะหล่นลงพื้น กลางหลังของมันก็มีประกายแสงเกิดขึ้น ถ้าเรียกให้ถูกหน่อย มันก็คือเจ็ทแพ็คนั่นเอง มันพุ่งตัวถอยหลังหลบการโจมตีที่ทุ่มสุดตัวของมาซามุเนะได้อย่างหวุดหวิด ส่วนมาซามุเนะที่โจมตีไม่โดนนั้นไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองได้ในทันที จึงต้องกะจังหวะให้เท้าทั้งสองข้างนั้นแตะกับพื้นดินและปล่อยอากาศออกมาเพื่อพุ่งตัวขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง 

       แต่เมื่อพุ่งตัวออกไปได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็ถูกจู่โจมด้วยมิสไซล์ขนาดเล็ก 3 ลูกจากด้านหลัง ซึ่งคนที่ยิ่งมันก็คือหุ่นยนต์ที่ตอนนี้กำลังลอยอยู่บนอากาศอย่างมัั่นคงนั่นเอง มาซามุเนะหมุนตัวเตะแล้วใช้ขาขวาเตะใส่มิสไซล์ ทำให้การเคลื่อนที่ของมันหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเขาก็ตัดมันทิ้งด้วยดาบในมือขวาในแนวเฉียง ในจังหวะเดียวกันก็พุ่งตัวออกมา 

       การระเบิดของมิสไซล์เมื่อกี้ทำให้เกิดควันดำกลางอากาศ มาซามุเนะที่ตอนนี้ปลายเท้าแตะอยู่กับกำแพงจากไหนไม่รู้ก็พุ่งตัวออกมาอีกครั้งโดยที่คราวนี้เสริมแรงเคลื่อนที่ด้วยการถีบกับกำแพงนั้น เข้าจับดาบให้ปายดาบหันเข้ามาหาตัวเอง จากนั้นก็เร่งความเข้มข้นของออร่าที่อยู่ในดาบให้สูงยิ่งกว่าเดิม เล็งจุดที่คิดว่าน่าจะมีหุ่นยนต์อยู่ กำดาบแน่นแล้วหมุนสะโพกนิดหน่อย เหวี่ยงดาบออร่าเป็นเกิน 180 องศา

       “<โรลริ่ง สแลช (Roaring Slash)>”

       เกิดคลื่นพลังจิตเส้นหนึ่งตัดผ่านกลุ่มควันกลางอากาศจนทำให้มันถูกแบ่งออกเป็นสองซีก ไม่นานนักลมแรงๆก็พัดตามเคลื่อนนั้นมาจนทำให้กลุ่มควันนั้นหายไป กองขยะที่อยู่ด้านหลังก็ถูกคลื่นนั้นตัดจนทำให้มันถล่มลงมาเหมือนกัน แต่สิ่งที่คาดหวังไว้ที่สุดหลับหายไปจากทัศนะวิสัยเนี่ยสิ

       “เจ้าหุ่นนั่นอยู่-”

       “อยู่ทางนี้”

       มีเสียงทุ้มต่ำดังมาจากข้างหลังของมาซามุเนะ เมื่อเขาจะหันกลับไปมองก็ถูกอะไรบางอย่างซัดเข้ากลางหลังอย่างรุนแรงด้วยแรงที่มหาศาล นั่นทำให้มาซามุเนะปลิวจนกลิ้งไปกับพื้นดินหลายตลบเลยทีเดียว กระดูกสันหลังร้าว เขาพยุงร่างของตัวเองขึ้นมาจากพื้นดินแล้วมองไปยังจุดที่ตัวเองปลิวมา แต่สิ่งที่เห็นกับเป็นมิสไซล์ขนาดเล็กจำนวนมากที่พุ่งเข้ามาหาเขาจากหลายทิศทาง นั่นน่าจะเป็นเพราะว่ามันเคลื่อนที่ออกไปข้างๆเพื่อบีบวงการหนีของเขาให้แคบลงเรื่อย ๆนั่นเอง

       มาซามุเนะตั้งท่าเตรียมตอบโต้การโจมตีด้วยการจับให้ปลายดาบหันออกข้าง เขาย่อตัวลงเล็กน้อย แต่ในจังหวะนั้นเอง มาซามุเนะก็พึ่งตระหนักได้ว่าหลังของตัวเองไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะวิ่งไปไหนได้แล้ว

       “ยะ…แย่ล่ะสิ หลังฉัน”

       มาซามุเนะล้มลงกับพื้น แต่ก็ยังพยุงตัวด้วยการใช้ดาบค้ำยันร่างเอาไว้ได้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่ก็ไม่ทันการ เพราะมิสไซล์ลูกเล็กนั้นพุ่งเข้าใส่มาซามุเนะจากทางด้านขวาข้างลำตัวนั่นเอง

       ตู้ม ร่างของมาซามุเนะลอยขึ้นไปกลางอากาศทันทีที่โดนการจู่โจมนั้น เขาพยายามพยุงสติของตัวเองเพื่อรับมือกับมิสไซล์ลูกที่เหลือที่กำลังพุ่งเข้ามาหา และเมื่อสติกลับคืนมา ความเจ็บปวดแสนสาหัสก็ตามเข้ามาหาเขาด้วยเหมือนกัน นี่ไม่ใช่เวลามาร้องเจ็บปวดสักกะหน่อย เขาคิดแบบนั้นพร้อมกำดาบไว้แน่น เค้นออร่าทั้งหมดออกมารวมไว้ที่เท้าทั้งสองข้างและที่คมของดาบ

       “ถ้ากะจังหวะดีๆล่ะก็…”

       มาซามุเนะกะจังหวะที่มิสไซล์พุ่งมากับจังหวะของการโจมตีของเขาให้ตรงกัน จากนั้นจึงใช้แรงหมุนตัวจากออร่าที่เท้าทั้งหมดเพื่อปัดการโจมตีครั้งนี้ ชิ้ง วินาทีต่อมา มิสไซล์ที่พุ่งเข้ามาหาเข้าทั้งหมดก็ถูกตัดออกเป็นสองท่อน เกิดแรงระเบิดอันรุนแรงขึ้นในเวลาต่อมา มาซามุเนะยอมทนแรงระเบิดเพื่อถนอมพลังจิตเอาไว้ใช้ลงสู่พื้น แน่นอนว่าแรงระเบิดนั้นทำให้ตัวของเขากระเด็นไปยิ่งกว่าเดิม ในจังหวะที่กำลังจะลงสู่พื้น มาซามุเนะก็กะจังหวะในการปล่อยอากาศออกไปในทิศตรงข้ามกับพื้นดิน แต่ก่อนหน้านั้น สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาจากกลุ่มควันของการระเบิดนั้นก็คือมิสไซล์ลูกหนึ่งที่มีลักษณะภายนอกต่างจากมิสไซล์เมื่อกี้นี้ ระหว่างที่มาซามุเนะกำลังหาคำตอบอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นั้น เสียงที่สูงจนฟังดูน่าขยะแขยงก็ดังขึ้นมาตามหลังมิสไซล์กลุ่มนั้น

       “มิสไซล์ก่อนหน้านี้ไม่ได้รุนแรงถึงขนาดที่จะทำให้นายตายได้หรอกนะ มันเป็นแค่มิสไซล์ที่จะปล่อยควันออกมาจำนวนมากตอนที่ถูกทำลายก็เท่านั้นเอง แต่มิสไซล์ชุดนี้น่ะ มีอานุภาพที่สามารถทำลายตึกร้อยชั้นได้ภายในพริบตาเชียวนะ บ้ายบาย”

       “…เสร็จกัน…”

       มาซามุเนะที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ ปะทะเข้ากับมิสไซล์ลูกนั้นเข้าอย่างจัง เกิดแรงระเบิดอันมหาศาลขึ้นอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้มันแรงกว่าครั้งก่อนๆมาก ไม่ทันที่ฝุ่นที่ตลบจะหายไป กองขยะที่อยู่ด้านหลังก็ล้มลงมาทับจุดที่มาซามุเนะโดนระเบิด นากิสะที่กำลังใช้พลังจิตเพื่อทำลายกำแพงนั้นอยู่ก็หันหน้ากับมามองอีกครั้ง และสิ่งที่เธอเจอก็คือ แขนขวาที่กระเด็นตกอยู่ข้างๆกองขยะนั้น คงจะคิดได้แค่ว่า ร่างไร้วิญญาณของมาซามุเนะนั้นน่าจะถูกกองขยะทับไปหมดแล้ว

       “ท่านพี่ค่ะ---------”

       “ต่อไปก็ตาเธอสินะ”

       มีเสียงต่ำทุ้มดังขึ้นมาจากกลางอากาศ เมื่อนากิสะมองดู ก็เห็นร่างท่อนบนของหุ่นยนต์ตัวนั้นกำลังลอยอยู่กลางอากาศ มันหันแขนที่กลายเป็นกระบอกปืนใหญ่มาทางนากิสะ ตอนนั้นเอง ใบหน้าที่ร้องไห้ของนากิสะก็ถูกเปลี่ยนเป็นใบหน้าของปีศาจที่ไร้ความรู้สึก หลงเหลือไว้เพียงความอาฆาตพยาบาทที่จะทำลายทุกสิ่งให้หายไปจากโลกนี้

       “แก----------”

       นากิสะทำได้เพียงตะโกนอยู่อย่างนั้น เพราะพลังจิตที่เหลืออยู่ของเธอนั้นหมดลงไปกับการที่พยายามทำลายกำแพงที่ตั้งตระหว่านอยู่ตรงหน้าของเธอแล้ว การที่เธอยังยืนหยัดอยู่ก็เป็นเพราะว่าแรงฮึดเฮือกสุดท้ายหลังจากที่เห็นพี่ชายสุดที่รักของตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตา

       “แค่ยืนอยู่ได้ก็แทบจะไม่ไหวแล้วไม่ใช่รึไง ยัยหนูเอ๊ย”

       เสียงที่น่าขยะแขยงดังมาจากหุ่นยนต์ตัวนั้นอีกครั้ง เจ้าของเสียงคงจะเป็นคนที่ควบคุมหุ่นยนต์ตัวนั้นอยู่ จากคำพูดแล้ว ทางนั้นก็คงจะรู้อยู่แล้วว่านากิสะนั้นโจมตีใส่กำแพงด้านหลังนั้นด้วยทุกอย่างที่มี ทำให้มันรู้ว่าพลังจิตของนากิสะตอนนี้นั้นหมดไปแล้วเรียบร้อย ไม่แน่ว่าบางที มันอาจจะจับตาดูพวกมาซามุเนะตั้งแต่ที่เข้ามาที่นี่เลยก็เป็นได้ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ตอนนี้ทุกอย่างก็คงจะอยู่ในแผนการของมันไปหมดแล้ว

       “แก---- อ้า------”

       “หืม คราวนี้อะไรอีกล่ะ”

       จู่ๆร่างของนากิสะก็มีออร่าสีแดงเข้มเข้ามาปกคลุมร่างกาย จากที่ผ่านๆมานั้น ออร่าพลังจิตของนากิสะนั้นจะไม่ปรากฏออกมาเป็นสีและรูปร่างที่แน่นอน สรุปก็คือ ออร่าพลังจิตของนากิสะนั้นเป็นประเภทที่สามารถรับรู้ได้ว่ามีอยู่แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคืออะไร แต่ในตอนนี้ ออร่าที่ไม่เคยปรากฏอยู่ของนากิสะนั้นดันออกมาในจังหวะที่ไม่ปกติ และที่ไม่ปกติที่สุดก็คือ ออร่านั้นดันเข้าปกคลุมร่างกายของนากิสะแทนที่จะรวมตัวกันและกลายสภาพเป็น <ดอพเพลแกงเกอร์> อย่างที่ควรเป็น แน่นอนว่านากิสะที่อยู่ในสภาพโกรธจัดนั้นไม่ได้นึกถึงออร่าของตัวเองในตอนนี้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

       “คิดจะทำอะไรก็ทำไปซี่ ยังไงซะเธอก็ทำอะไร-”

       ไม่ทันที่คำพูดของเจ้าของหุ่นยนต์ตัวนั้นจะจบบท แขนขวาที่พับติดกับร่างของหุ่นยนต์ตัวนั้นก็ขาดกระเด็นไปภายในพริบตา แน่นอนว่าเหตุผลที่ทำให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นได้ก็คืออร่าสีแดงเข้มของนากิสะที่พึ่งปรากฏขึ้นมาเมื่อตะกี้นี้ จู่ๆออร่านั่นก็ก่อตัวเป็นรูปร่างของสิ่งที่ดูแปลกตา มันยื่นออกมาจากออร่าที่ปกคลุมร่างกายของนากิสะ ส่วนตัวนากิสะในตอนนี้นั้นยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม

       “อ้า-----------”

       นากิสะอ้าปากออกร้องตะโกนจนสุดเสียง เธอค่อยๆขยับร่างกายออกทีละนิด สิ่งที่ยื่นออกมาจากออร่าของนากิสะเองก็สั่นไหวเหมือนกับกำลังตอบรับต่อเสียงตะโกนนั้นด้วย มันค่อยๆขยับเยื้องไปทางซ้ายและทางขวาอย่างช้าๆ หุ่นยนต์ที่ตอนนี้เหลือเพียงแค่แขนซ้ายเพียงข้างเดียวนั้นรีบเคลื่อนที่ถอยห่างจากออร่านั้นด้วยความเร็วสูง แต่ในจังหวะเดียวกัน ออร่านั้นก็พุ่งเข้าหาหุ่นยนต์ตัวนั้นด้วยความเร็วที่เหนือกว่า ถ้าเป็นแบบนี้ หุ่นยนต์ตัวนั้นจะถูกทำลายลงในที่สุด

       แต่ในจังหวะที่อีกแค่ไม่กี่เซนติเมตร ออร่าก็ทำลายหุ่นยนต์ได้แล้วนั้น จู่ๆร่างของนากิสะล้มลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร่างของเธอที่เคยทำท่าโกรธเกรี้ยวอยู่ก่อนหน้านี้ ในตอนนี้มันลงไปกองอยู่กับเศษขยะที่กระจัดกระจายอยู่กับพื้น เจ้าของหุ่นยนต์ที่เห็นแบบนั้นจึงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หนีจากตัวเองไป มันค่อยๆเข้าไปใกล้ร่างของเธอที่อยู่กับพื้นด้วยท่าทางกึ่งระแวง แต่ในที่สุดมันก็หยุดอยู่ตรงหน้าของนากิสะแล้ว

       “อาวุธทุกอย่างของเจ้าหุ่นตัวนี้มันก็เหลือแค่หมัดซ้ายข้างนี้ซะด้วยสิ แต่ก็เหลือเฟือที่จะฆ่าแกล่ะนะ”

       หุ่นยนต์ง้างมันซ้ายออกไปด้านหลัง ก่อนจะเหวี่ยงแขนเข้าใส่ร่างที่แน่นิ่งของนากิสะ แต่ว่าก่อนหน้านั้น ระหว่างที่มันกำลังเหวี่ยงแขนซ้ายอยู่นั้น ด้านบนท้องฟ้าสีดำของโดมที่พวกเขาอยู่กันอยู่นั้น ก็มีแสงสีทองนวลส่องลงมาจนทำให้ทั่วทั้งบริเวณถูกปกคลุมด้วยแสงนั่นภายในชั่วพริบตาเดียว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น หุ่นยนต์ตัวนั้นก็ไม่ได้ถูกตั้งค่าให้ชะงักการโจมตีไว้เพราะแค่ความเข้มของแสงเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่ขัดขวางการโจมตีของมันจริงๆก็คือการโจมตีที่พุ่งเข้าใส่ร่างกายท่อนบนที่ลอยอยู่กลางอากาศ การโจมตีนั่นมีลักษณะเป็นเส้นตรงสีทองที่ลากผ่านร่างของหุ่นยนต์ในแนวนอนแล้วพุ่งเข้าใส่กำแพงที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าของมัน มีรอยร้าวเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากที่กำแพงนั้น แต่ที่ตัวหุ่นยนต์ต่างออกไป ที่กลางลำตัวมีรูโหว่ขนาดเล็กอยู่ แต่ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นก็เริ่มเกิดรอยร้าวขึ้นทำร่างของมันจากรูนั่น จนในที่สุดร่างของหุ่นยนต์ก็พังลงมาเหลือไว้เพียงซากของเหล็กกล้าเท่านั้น

       “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง”

       มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทิศทางที่เป็นต้นกำเนิดของการโจมตีที่ทำลายหุ่นยนต์ตัวนั้น คนที่โจมตีเข้ามาก็คือมาซามุเนะนั่นเอง พอลองกลับไปมองดูที่จุดที่เคยมีแขนขวาของมาซามุเนะอยู่ ตอนนี้แขนข้างนั้นหายไปแล้ว และสิ่งที่ดูแปลกก็คือร่างกายของมาซามุเนะในตอนนี้นั้นเป็นแบบกึ่งโปร่งแสงสีทองอ่อน และที่แขนขวาของเขานั้นก็ไม่ได้สมบูรณ์ด้วย มันดูเหมือนกับมีเม็ดทรายจำนวนมากกำลังมารวมกันกลายเป็นมือของเขามากกว่า มาซามุเนะเดินไปทางที่นากิสะอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เขาใช้แขนทั้งสองข้างยกร่างของนากิสะขึ้นมาอุ้มไว้

       ต่อจากนั้นไม่กี่วินาที กำแพงที่เคยมีรอยร้าวเพราะการโจมตีของมาซามุเนะก็พังทลายลงมาดังโคร่มใหญ่ แต่สิ่งที่ยังเหลือไว้อยู่ก็คือผลึกแก้วสีฟ้าที่มีร่างของหญิงนอนหลับตาสนิทอยู่ด้านใน เธอคือคนเดียวกันกับคนที่มาซามุเนะเห็นก่อนหน้านี้แน่นอน ตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่โดยที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมาซามุเนะก็ไม่ได้ตกใจอะไรมาก เขาคิดเพียงแค่ว่าเหมือนกับเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน ผู้หญิงผมสีเขียวแก่สีเข้ม ใบหน้าที่ดุแล้วเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่พอดูรวมกันแล้วก็เดาอายุได้ว่าเธอน่าจะมีอายุน้อยกว่ามาซามุเนะเล็กน้อย

       “เธอเป็นใครกันน้า----”

       มาซามุเนะคิดพลางใช้มือขวาของตัวเองไปแตะที่ผลึกแก้วนั้น แต่ทันทีที่มือของเขากระทบกับมัน ก็มีกรอบข้อความโฮโลแกรมหลายอันเด้งขึ้นมาจากผลึกนั้น มาซามุเนะตกใจจึกชักมือของตัวเองออก ข้อความที่แสดงอยู่ในกรอบนั้นเด้งขึ้นมาเรื่อยๆเหมือนกับกำลังประมวลผลอะไรบางอย่างอยู่ แต่ในที่สุดมันก็หยุดลงพร้อมข้อความสั้น ๆว่า [FINISH] หลังจากนั้น ผลึกแก้วก็ละลายออกมา เหลือไว้เพียงร่างของหญิงสาวปริศนาที่กำลังจะกอองลงกับพื้น มาซามุเนะที่กำลังงงอยู่จงใช้มือขวาของตัวเองพยุงร่างของเธอไว้ ส่วนมือซ้ายก็มีร่างของนากิสะอยู่ นั่นทำให้มาซามุเนะนึกสงสัยว่าตอนนี้เขากำลังประสบอยู่กับเหตุการณ์อะไรกันแน่ แต่ไม่ทันที่สมองของเขาจะประมวลผลเสร็จสมบูรณ์ ตาที่ปิดสนิทอยู่ก็ค่อยๆลืมขึ้นทีละนิด มาซามุเนะก็ใช้ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องเหตุการณ์นั้นอย่างจดจ่อจนลืมตัวไปเลยว่าตัวเองกำลังเอาหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นเรื่อย ๆ และเมื่อเธอลืมตาขึ้นมองมาทางมาซามุเนะอย่างเต็มที่ คำพูดที่ออกมาจากปากของเธอคำแรกไม่ใช่เสียงกรี๊ดโวยวายหรือว่าคำพูดที่แสดงถึงความตกใจอื่น แต่เป็นคำสั้น ๆอย่าง

        “พี่จ๋า”

        “เอ๊ะ?”      

ปัจฉิมลิมลิขิต

อย่างแรกก็ต้องขอคุณที่เข้ามาอ่าน [ตอนที่14 ความเป็นไปมรณะ] นะครับ แล้วก็ต้องขอโทษสำหรับนักอ่านที่รอตอนนี้อยู่ด้วยนะครับ ตอนแรกก็คิดไว้ว่าตอนนี้คงจะยาวมากแน่ๆ คงใช้เวลาอย่างมากก็ 1 สัปดาห์กับอีกสัก 2-3 วัน แต่ก็อยา่งทีู่้นี่แหละครับ แฮะๆ [หัวเราะแบบเขินๆ] และก็ถึงจะใช้เวลามากขนาดนี้ในการเขียน แต่ผมก็คิดว่าตอนนี้มันยังไม่สมบูรณ์ดี 100% ด้วยครับ มีทั้งเร่ืองเรียนต่อแล้วก็ต้องอาหนังสืออีกแถมเรียนพิเศษด้วย แต่ยังไงก็ขอขอบคุณสำหรับการอ่านจนถึงบรรทัดนี้นะครับ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา