Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ
-
เขียนโดย MoMoGa
วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.
26 บท
4 วิจารณ์
20.57K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) ตอนที่ 7 ต้นทางสู่จุดหมายแห่งความจริง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “มาซามุเนะ นายเลิกใช้พลังจิตเถอะ”
วันพุธที่ 22 พฤษภาคม เวลา 16.23 นาฬิกา ณ ห้องชมรมวิจัยและตรวจสอบพลังจิตภาพ
วันนี้ตอนกลางวัน อลิซาเบธกับอากิโอะมานัดกับมาซามุเนะให้ไปหาที่ห้องชมรม ทั้งสองคนบอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย ทำให้เขาจำเป็นต้องไปตามที่ถูกนัดไว้ เมื่อมาถึง ก็เห็นอลิซาเบธกับอากิโอะที่เป็นคนนัดมา แต่ที่เขาไม่ได้คิดไว้ก็มีอีกสองคน นั่นก็คืออาจารย์มายาซาว่า ผู้ก่อตั้งชมรมนี้กับอิโนะอุเอะ ซาโยโกะ ผู้เป็นทั้งรุ่นพี่ในชมรม รุ่นพี่ในโรงเรียนและผู้ที่ทุ่มเทในการหาข้อมูลให้ชมรมมากที่สุดอีกคนหนึ่ง
ทั้งสี่คนน่าจะนั่งรอมาซามุเนะอย่านานแล้ว อาจารย์มายาซาว่านั่งอยู่ที่มุมโต๊ะ อลิซาเบธกับอากิโอะนั่งอยู่ฝั่งขวาและซาโยโกะนั่งอยู่ที่ฝั่งซ้าย บนโต๊ะด้านหน้าของทั้งสี่คนรวมถึงที่นั่งข้างของซาโยโกะมีถ้วยน้ำชาร้อนวางอยู่ พอมาซามุเนะเปิดประตูเข้ามา อาจารย์มายาซาว่าก็บอกให้เขานั่งลง ถึงจะไม่ได้บอกว่าให้นั่งตรงไหนแต่มาซามุเนะก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆซาโยโกะ จากนั้นบทสนทนาก็ได้เริ่มขึ้น
“มีอะไรกันรึเปล่าครับ”
มาซามุเนะตั้งใจพูดออกมาเพื่อลบบรรยากาศสุดตรึงเครียด แต่คำพูดของอากิโอะที่พูดออกมากลับทำให้มันไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
“มาซามุเนะ นายเลิกใช้พลังจิตเถอะ”
“...”
อากิโอะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังจนมาซามุเนะคิดว่าแทนที่จะชงชาร้อน น่าจะชงไอซ์ทีมากกว่า แต่ตัวเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรไปเพราะยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์สักเท่าไหร่
“ฉันว่านายไม่น่าจะรู้ตัว แต่ว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันเห็นมันกับตาเลยล่ะ เห็นนายที่กลายร่างเป็นปีศาจฆ่าฮายาโตะอย่างเลือดเย็นโดยที่ไม่ลังเลเลยสักนิดน่ะ มันคือปีศาจที่แท้จริงเลยล่ะ”
“ฉันก็รู้สึกนะ ถึงตอนที่นายอาละวาดจะไม่มีสติก็เถอะ แต่ว่าตอนนั้นฉันรับรู้ถึงจิตสังหารที่ไม่ลังเลในการฆ่าคนได้”
ในความฝันที่คาวาซากิ ริน ผู้เป็นทั้งพี่สาวของคาวาซากิคุออนและเป็นความจริงทั้งหมดของพลังจิตคุออนสร้างขึ้นมานั้น เธอบอกกับเขาว่าถ้าตื่นแล้วจะรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถเอาชนะพวกฮายาโตะมาได้ แต่พอตื่นมาเขาก็รู้แค่ลางๆว่าตัวเองคลุ้มคลั่งไป เขานั้นคิดว่านั่นเป็นตัวตนที่แท้จริงของพลังจิตที่เขาได้รับมา ซึ่งพลังจิตนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ตัวเขายืมมาจากตัวเขาอีกด้านหนึ่งซึ่งมีความต้องการในการฆ่าสูง สรุปก็คือ พลังจิตของเขานั้นเป็นสิ่งที่ยืมมา[ตัวเขาอีกด้าน]ที่เกิดจากจิตที่ต้องการสังหารผู้ที่ฆ่าพ่อแม่ของเขา ซึ่งถ้าคิดแบบนั้น ก็จะคิดได้ว่าพลังจิตที่แข็งแกร่งอย่าง[ดาร์ค]นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของ[ตัวเขาอีกด้าน] และพลังจิต[แบล็ค]นั้นคือ[ดาร์ค]ที่อ่อนกว่าซึ่งเกิดขึ้นมาจากการที่มาซามุเนะต้องการยืมพลังจิตของเขาอีกด้านมาใช้
อาจารย์ที่เคยฝึกเขาตอนอยู่กับตระกูลฮันโซก็บอกมาว่าถ้ายิ่งใช้พลังจิตมากเท่าไหร่ [ตัวเขาอีกด้าน]ก็จะยิ่งมีอำนาจต่อตัวเขามากขึ้นตามไปด้วย [ปีศาจ]ที่อากิโอะพูดถึงนั้น อาจจะเป็น[ตัวเขาอีกด้าน]ที่แท้จริง ตัวมาซามุเนะเองคิดแบบนั้น
“ฉันรู้อยู่แต่แรกแล้วล่ะ ว่าพลังจิตของฉันเป็นสิ่งที่ไม่ควรใช้ แต่ตัวฉันก็จะใช้มันเพื่อปกป้องคนที่อยากจะปกป้อง อากิโอะ ถ้านายคิดว่าจะปกป้องคนที่ฉันต้องการจะปกป้องได้ ฉันก็จะเลิกใช้พลังจิต”
“ใจเย็นๆกันก่อนซี่ เมื่อวานทั้งสองคนมาปรึกษากับฉันแล้วก็ได้ข้อสรุปแบบนั้นก็จริง แต่ว่านะ...”
“แต่ว่าอีกประมาณ 1 เดือนต่อจากนี้หรือก็คือช่วงหลังปิดเทอมแรกๆ จะมีทัศนะศึกษาของปี 1 สถานที่ก็คือปารีส ระยะเวลาคือ 1 สัปดาห์เต็ม เป็นแบบให้ท่องเที่ยวตามอัธยาศัย มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนคลายความเครียดที่มีมาตลอด 1 เทอมนี้ลง ดังนั้น สิ่งที่อาจารย์มายาซาว่าตั้งใจจะบอกก็คือ พวกนายน่ะ ค่อยคิดเรื่องนี้แล้วอ่านหนังสือเตรียมสอบวัดผลก่อนไม่ดีกว่ารึไง”
ดูเหมือว่าซาโยโกะนั้นจะเข้าใจความคิดของอาจารย์มายาซาว่าเป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพราะการอธิบายของเธอละเอียดจนมายาซาว่าถึงกับพูดไม่ออกเลย ทั้งสามคนที่อยู่ปีหนึ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้วก็ก้มหน้าหาคำตอบให้ตัวเองอย่างจริงจัง
“งั้นคราวหน้า ถ้ามีศัตรูปรากฎตัวมาอีก ฉันขอฝากพวกนายด้วยก็แล้วกัน”
มาซามุเนะพูดออกมาพร้อมกับหยิบกระเป๋ามาแล้วเดินออกไปจากห้อง ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมห้องอีกครั้ง แต่ซาโยโกะก็หยิบกระเป๋าแล้วออกจากห้องไปอีกคนหนึ่ง เธอวิ่งตามมาซามุเนะที่กำลังจะกลับบ้านไปจนถึงประตูทางเข้าโรงเรียน
“มาซามุเนะ ขอเวลาสักนิดได้ไหม”
เธอเรียกมาซามุเนะที่กำลังจะเดินออกจากโรงเรียนไป เขาหันกลับมาพยักหน้าครั้งหนึ่ง เธอจึงเดินเข้าไปหาเพื่อที่จะคุยด้วย
“จากที่ฉันหาข้อมูลมา พลังจิตของนายน่ะเป็นแบบที่ค่อนข้างที่จะพิเศษ ดังนั้นการที่นายจะควบคุมมันไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติล่ะนะ เพราะงั้นถ้านายฝึก...”
“ขอบคุณนะครับรุ่นพี่ เรื่องนั้นผมลองมาแล้วล่ะ ถ้ารุ่นพี่อยากรู้จริงๆลองสืบค้นเกี่ยวกับตระกูลฮันโซดูสิครับ แล้วก็ ผมขอเตือนเอาไว้อย่างนะครับ คุณไม่มีพลังจิต ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งในเรื่องที่อันตรายแบบนี้หรอกครับ อีกอย่าง ในชมรมน่ะมีพรรคพวกของศัตรูแฝงตัวอยู่ด้วย”
สิ่งที่มาซามุเนะพูดออกมานั้นเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงสำหรับซาโยโกะมาก ไม่ใช่แค่เรื่องสปาย แต่รวมถึงเรื่องที่เขาให้สืบค้นตระกูลฮันโซด้วย นั่นคงจะเป็นหลักฐานอย่างดีที่ว่าเธอนั้นสืบค้นมาไม่พอ
มาซามุเนะเดินจากเธอไปโดยไม่คิดที่จะสนใจในสิ่งที่เธอจะพูดต่อ ถ้าคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจของเขามันก็อาจจะนับว่าเป็นความเด็ดเดี่ยวอีกแบบของเขาเลยก็ว่าได้
วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม เวลา 21.30 นาฬิกา
หลังจากที่คุออนอ่านชื่อที่อยู่บนซองจดหมายเสร็จแล้ว เธอก็แนะนำให้เขาเก็บมันไปอ่านคนเดียวน่าจะดีกว่า เพราะเนื้อความข้างในนั้นเป็นภาษาอังกฤษที่มาซามุเนะนั้นอ่านได้ เขาจึงตัดสินใจตามนั้นแล้วก็แยกกับเธอตรงนั้น เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เขาก็ทำความสะอาดห้องจนเย็น เมื่อทำเสร็จอาหารเย็นก็พร้อมทานพอดี ดูเหมือนว่าอลิซาเบธกับนากิสะจะไปกินข้าวนอกบ้าน ทำให้อาหารเย็นนั้นเป็นแค่อาหารแช่แข็งที่เขากับอิบูกิทำได้เท่านั้น ระหว่างกินก็คุยกันเรื่องที่เจอมาวันนี้ อิบูกิเล่าตัวเขานั้นไม่ได้รู้เกี่ยวกับกลุ่ม[SEVEN STAR]มาก เพราะว่ารัฐบาลต้องการให้มันเป็นความลับมากที่สุด มาซามุเนะจึงไม่ได้ถามอะไรมากกว่านั้น หลังจากนั้นอิบูกิก็บอกว่าจะไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อนิดหน่อย มาซามุเนะจึงไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง
มาซามุเนะตัดสินใจหยิบซองจดหมายสีดำขึ้นมาจากบนโต๊ะในห้องของเขา ในนั้นมีกระดาษสีขาวเนื้อดีอยู่ เขาคลี่พับของกระดาษออกอย่างเบามือ มันคือจดหมายที่คุออนเป็นคนให้มา ทั้งเขาและเธอนั้นยังไม่รู้ทั้งเหตุผลที่มันไปอยู่ในตู้จดหมายของบ้านคาวาซากิและเนื้อความข้างในของจดหมาย แต่ตอนนี้เนื้อความข้างในนั้นกำลังจะถูกเปิดออกด้วยมือของเขาแล้ว
[ถึงคุณหนูทั้งสอง ฉันได้ข่าวมาว่าคุณหนูนั้นกลับมายังเมืองเกิดแล้ว และฉันเชื่อใจว่าคุณหนูผู้หญิงต้องส่งจดหมายฉบับนี้ถึงคุณหนูอย่างแน่นอน เนื้อความที่เหลือต่อจากนี้จะเป็นสิ่งที่ดิฉันอยากจะบอกกับคุณหนูค่ะ]
ในย่อหน้าแรกนั้นได้กล่าวถึงมาซามุเนะที่ถูกเรียกว่าคุณหนู และคุออนที่ถูกเรียกว่าคุณหนูผู้หญิง และสิ่งที่รู้ได้ในข้อความนี้ก็คือ คนที่เขียนและส่งมันมาก็คือ แคทเธอรีน ฟรีค ผู้เป็นคนรับใช้ของแคโรไลน์ ฟลอร่า หรือก็คือแม่ของมาซามุเนะนั่นเอง ตอนเด็กๆมาซามุเนะกับคุออนมักจะเล่นอยู่กับเธอเป็นประจำ เธอค่อนข้างเป็นมิตรและใจดีกับพวกเขา ถึงจะได้เล่นกับเธออยู่เป็นประจำ แต่เขาก็ไม่ได้รู้ความเป็นมาเกี่ยวกับเธอเลยแม้แต่น้อย นับว่าเป็นผู้หญิงที่ลึกลับมากสำหรับเขาอีกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
[1 สัปดาห์นับตั้งแต่โรงเรียนของคุณหนูปิดเทอมโดยเริ่มที่วันอาทิตย์ ดิฉันจะรออยู่ที่ปารีสค่ะ จาก คนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์]
ในตอนที่มาซามุเนะอ่านมันเป็นครั้งแรกนั้น เขาติดใจอยู่แค่เรื่องของสถานที่นัดเจอเท่านั้น ที่หมายความว่าเป็นไปตามวันนั้นหมายความว่าอะไร จนถึงตอนนี้เขาเองก็ยังไม่รู้ความหมายที่แท้จริง
วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน เวลา 15.00 นาฬิกา
“เฮ้อ สอบเสร็จสักที”
อลิซาเบธพูดออกมาหลังจากที่คาบสอบคาบสุดท้ายจบลง มาซามุเนะที่นั่งอยู่ข้างๆก็อยู่ในสภาพหลับๆตื่นๆมาได้สักพักแล้ว อลิซาเบธเห็นท่าทางแบบนั้นของเขามาได้สักพักแล้ว เธอจึงเอ่ยปากถามเขาเพื่อปลุกก่อนที่จะหลับไปจริงๆ
“แล้วทางนายเป็นไงบ้างล่ะ”
“...”
ความง่วงของมาซามุเนะนั้นยิ่งกว่าที่เธอคิด ตอนนี้เขาหลับไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ก่อนที่นักเรียนในห้องจะได้กลับบ้าน เสียงเปิดออกดังๆของประตูห้องเรียนก็ดังขึ้นโดยคนที่เปิดมันออกไม่ใช่คนในห้องอย่างแน่นอน อาจารย์มายาซาว่าเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถือซองกระดาษสีน้ำตาลไว้ในมือ ถึงมันจะดูคล้ายแต่ก็ไม่ใช่ซองกระดาษใส่ข้อสอบอย่างแน่นอน
เธอเดินออกมาหน้าห้องพร้อมกับหยิบปากกาเมจิกขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาน อลิซาเบธที่เห็นแบบนั้นจึงเขย่าตัวมาซามุเนะเพื่อปลุก เขาตื่นขึ้นมาในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น อลิซาเบธชี้ไปที่กระดาน มาซามุเนะมองตามอย่างช้าๆ สิ่งที่ตาของเขาเห็นก็คืออาจารย์มายาซาว่าที่กำลังมองเขาด้วยสายตาจิกกัด สิ่งนั้นทำให้ตัวของเขาเองตื่นออกมาอย่างเต็มที่ทันที มายาซาว่าที่เห็นดังนั้นจึงเริ่มออกเสียงพูด
“ทุกคน ฟังให้ดี เนื่องจากทางโรงเรียนเห็นว่าพวกเราเหนื่อยกันมามากแล้ว และต่อจากเทอมนี้ก็จะเข้าสู่ช่วงของการเรียนที่จริงจังมากขึ้น ดังนั้น ในวันอาทิตย์นี้ พวกเราจะได้ไปเที่ยวปารีสกัน!”
นักเรียนที่อยู่ในห้องนั้นตามเรื่องกันไม่ทัน แต่เสียงเฮก็ดังสนั่นห้องภายในไม่กี่นาทีต่อมา มายาซาว่าเริ่มปล่อยนักเรียนกลับบ้านพร้อมกับแจกเอกสารที่อยู่ภายในออกมาให้ มันเป็นเอกสารอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการไปทัศนะศึกษาที่ปารีส มาซามุเนะอ่านมันคร่าวๆระหว่างทางเดินกลับบ้าน
ตั้งแต่เขาได้จดหมายจากแคทเธอรีน ฟรีค ก็ไม่มีมือสังหารบุกมาเล่นงานพวกเขาเลย นับเป็นเรื่องดีและร้ายไปในตัว เพราะมันทำให้เขาไม่ต้องใช้พลังจิตที่พวกอากิโอะกังวลและก็ไม่มีความคืบหน้าในการหาตัวฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่เขาด้วย แต่ในสถานการณ์ที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้ก็คือการที่มีมือสังหารบุกมาแต่ว่าอากิโอะก็ชนะได้ ส่วนตัวเขาก็จะเข้าไปถามในตอนที่จัดการได้แล้ว แต่สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือเรื่องที่มือสังหารที่แข็งแกร่งจริงๆจะปรากฏตัวออกมา แล้วนั้นอาจจะเป็นจุดจบของเขาก็ได้
วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน เวลา 06.30 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่นของประเทศฝรั่งเศส
หลังจากลงมาจากเครื่องบินแล้ว อาจารย์ผู้ดูแลก็บอกให้นักเรียนจับกลุ่มกัน 5 คน พวกมาซามุเนะจึงมีอาจารย์มายาซาว่าอยู่ในกลุ่มด้วยเหตุผลที่ว่าคนไม่ครบ ดังนั้นในกลุ่มจึงประกอบไปด้วย 1.ชินโด มาซามุเนะ 2.โอคาซากิ อากิโอะ 3.คาวาซากิ คุออน 4.อลิซาเบธ อาเธน่า และสุดท้าย 5.อาจารย์มายาซาว่า โดยที่การทำกิจกรรมต่างๆจะทำสามารถทำได้อย่างอิสระแต่ต้องทำเป็นกลุ่ม ที่พักนั้นเป็นโรงแรมที่ถูกจัดไว้ให้แล้ว แต่ก็ต้องนอนเป็นกลุ่ม จากกฎข้างต้นที่กล่าวมา ทำให้มาซามุเนะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
“เอาล่ะทุกคน วันนี้เราไปไหนกันดีล่ะ”
มายาซาว่าพูดกับทั้งสี่คนหลังจากที่ทั้งหมดจัดสัมภาระไว้ในโรงแรมแล้วเปลี่ยนใส่ชุดลำลอง
“เอาเป็นพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ดีไหมครับ ผมอยากไปสักครั้งน่ะ”
“ดีเลย ฉันก็อยากไปอยู่เหมือนกัน”
“งั้นเอาเป็นที่นั่นก็แล้วกันนะ ก่อนอื่นก็ต้อง…”
คุออนมองมาซามุเนะที่พูดตามน้ำอย่างเป็นธรรมชาติด้วยท่าทีกังวล พลางดึงแขนเสื้อของเขาเข้ามาใกล้ๆแล้วกระซิบข้างๆหู
“เรื่องจดหมายนั่นจะไม่เป็นอะไรแน่หรอ? ถ้าไม่ไปเช็คสถานที่ที่มีความเป็นไปได้จะแย่เอาไม่ใช่หรอ?”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเข้าใจความหมายของจดหมายแล้วล่ะ”
มาซามุเนะพูดออกมาด้วยท่าทีที่ไม่มีความกังวลเลยสักนิด นั่นทำให้คุออนทั้งเบาและหนักใจไปตามๆกัน
ในวันอังคารที่ 21 พฤษภาคม หรือก็คือ 1 วันหลังจากที่มาซามุเนะได้รับจดหมายมา คุออนได้ถามมาซามุเนะเกี่ยวกับเรื่องจดหมาย เขาตัดสินใจบอกทุกๆอย่างกับเธอพร้อมกับสิ่งที่รู้และเข้าใจทั้งหมดเกี่ยวกับจดหมาย จากนั้นทั้งคู่ก็ช่วยกันคิดแต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเลย
วันพุธที่ 2 กรกฎาคม เวลา 09.30 นาฬิกา
วันนี้ถือเป็นวันที่ผิดคาดจากกำหนดการทั้งหมด เพราะจู่ๆฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทั้งที่เมื่อหลายวันก่อนยังไม่มีท่าทีว่าจะตกเลย จนคิดได้อย่างเดียวว่าต้องโดนพระเจ้าลงโทษแน่นอน อาจารย์มายาซาว่าจึงเปลี่ยนกำหนดการให้วันนี้อยู่แต่ในห้องจนกว่าฝนจะหยุดตก ดังนั้นทั้งสี่คนจึงได้แต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องของโรงแรม แต่ไม่ใช่กับมาซามุเนะ
ก๊อกๆ
“อาจารย์มายาซาว่าครับ ผมขอออกไปข้างนอกสัก 1 ชั่วโมงได้ไหมครับ”
มาซามุเนะซึ่งอยู่ในชุดเสื้อโค้ดสีดำทับเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนสีกรมท่า ในมือซ้ายถือร่มอยู่คันหนึ่ง กำลังเคาะห้องของอาจารย์มายาซาว่า ในห้องนั้นยังมีอลิซาเบธกับคุออนพักอยู่ด้วย หลังจากที่มาซามุเนะพูดไปได้ไม่ถึง 5 วินาที ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างเบามือ เผยให้เห็นมายาซาว่าที่อยู่ในชุดนอนยืนทำหน้าไร้อารมณ์อยู่หน้าประตู
“ก็ได้ แต่ต้องกลับมาภายใน 1 ชั่วโมงนะ”
“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากครับ”
มาซามุเนะปิดประตูห้องแล้วเดินจากไป มายาซาว่าหันกลับไปที่ห้องของตัวเอง ก็เจอกับคุออนที่ทำหน้าเป็นห่วงมาซามุเนะที่พึ่งเดินออกไปอยู่ เธอต่างกับมายาซาว่าตรงที่ตื่นเช้าและอยู่ในชุดเอี๊ยมสีน้ำเงินกับเสื้อสีขาวพร้อมออกไปเที่ยว
“เอ่อ อาจารย์คะ หนูขอตามมาซามุเนะคุงออกไปด้วยได้ไหมคะ?”
คุออนพูดด้วยน้ำสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่มายาซาว่าก็ตอบออกไปโดยไม่ต้องการเวลาในการคิด
“ก็เอาสิ ร่มของเจ้านั่นก็น่าจะใหญ่เกินไปสำหรับคนเดียวซะด้วย”
“ขอบคุณค่ะ”
คุออนตอบออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มขึ้นมาจนเห็นได้ชัดว่ากำลังดีใจอยู่ เธอเดินออกไปจากห้องทันทีหลังพูดเสร็จ
“มาซามุเนะคุง รอกันก่อนสิ”
คุออนตะโกนเรียกมาซามุเนะที่กำลังเดินออกไปจากโรงแรม เขาหันมาด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย คุออนวิ่งไปถึงตัวมาซามุเนะแล้วแตะที่ไหนพลางหอบนิดหน่อย
“เธอตามฉันมาทำไมเนี่ย”
“ฉันก็อยากเจอคุณแคทเธอรีนเหมือนกันนะ แล้วนายก็คิดจะทิ้งฉันไว้ที่โรงแรมน่าเบื่อๆเนี่ยหรอ?”
“ฉันก็ยังไม่แน่ใจสักหน่อยว่าจะได้เจอน่ะ”
“แต่คนที่พกร่มมาเที่ยวด้วยเนี่ยมันแปลกอยู่นะ”
คุออนพูดออกมาพร้อมกับยิ้มด้วยสีหน้าที่ดูแล้วน่ากลัวอยู่นิดหน่อย
“ก็ได้ๆ แต่อย่าอยู่ห่างฉันนะ”
มาซามุเนะพูดด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอาหน่อยๆ แต่เมื่อเห็นคุออนพยักหน้าด้วยหน้าที่จริงจังก็เลยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย
มาซามุเนะกางร่มที่มือของตัวเองออกมา คุออนเดินเข้าไปข้างใต้ร่มอย่างไม่รอช้า ทั้งคู่เดินออกจากโรงแรมไปตามถนนซึ่งเคยมีคนพลุกพล่าน ระหว่างทางนั้นมีอะไรบางอย่างอยู่ปกคลุมอยู่ในอากาศนอกจากน้ำฝน มันคือสิ่งที่แม้แต่คุออนเองก็สัมผัสได้ แต่มาซามุเนะน่าจะรู้ว่ามันคืออะไร เขาเดินเข้าไปใกล้มันเรื่อยโดยใช้มือซ้ายจับไหล่คุออนไว้แน่นขึ้นเรื่อยๆ คุออนรู้สึกได้ว่าข้างหน้ามีอะไรบางอย่างอยู่ และเมื่อเดินไปตามถนนได้สักพักหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าก็คือ โบสถ์ที่เหมือนถูกสร้างขึ้นมาตามแบบของยุคสมัยเก่า มาซามุเนะปล่อยมือจากไหล่ซ้ายของคุออนพร้อมกับถอนหายใจยาวๆครั้งหนึ่ง
“เข้าไปกันเถอะ”
“อะ...อืม”
ถึงคุออนจะยังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่มาซามุเนะก็ไม่มีท่าทีลังเลที่จะเดินเข้าไปในที่ๆน่าสงสัยแบบนั้น พอทั้งคู่เดินไปถึงหน้าประตูแล้ว ประตูที่ดูท่าจะหนักมากก็เปิดออกจากด้านนอก เชื้อเชิญให้ทั้งคู่เข้าไป
คุออนเดินเข้าไปก่อน ส่วนมาซามุเนะหุบร่มเก็บไว้ที่ทางเข้า ข้างในนั้นค่อนข้างมืด แต่ไฟก็ส่องสว่างขึ้นมาจากโคมระย้าที่อยู่ด้านบน เผยให้เห็นเก้าอี้ไม้สีดำสำหรับนั่งในการทำพิธีอยู่หลายแถว ทางซ้ายขวาถูกปิดไว้ด้วยม่านสีดำผืนใหญ่ ด้านในสุดมีกระจกสีที่มีลวดลายต่างๆถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม และด้านหน้าสุดของแถวเก้าอี้นั่งก็มีคนนั่งอยู่ เมื่อดูจากด้านหลังแล้วก็รู้แค่ว่าเป็นผู้หญิงที่ใส่เดรสเหลือง ผมยาวสีขาว เธอค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างไร้เสียงแล้วหันหน้ามาทางทั้งสองคน เผยให้เห็นใบหน้าไว้หน้าม้าสวมแว่นตาที่ทั้งคู่คุ้นเคย
“ยินดีต้อนรับคะ คุณหนู”
วันพุธที่ 2 กรกฎาคม เวลา 09.35 นาฬิกา
“อาจารย์คะ หนูขอไปตามอากิโอะคุงได้ไหมคะ เห็นว่าเขาออกไปซื้อของ แล้วฝนก็ตกระหว่างที่กำลังกลับ เขาคงไม่ได้พกร่มไปด้วย หมอกก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆแล้วด้วย”
อลิซาเบธที่นั่งอยู่บนตียงของตัวเองตลอด ลุกขึ้นมาขอกับมายาซาว่าที่กำลังนอนอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง
“แต่เธอก็อาจจะมีอันตรายไปอีกคนนะ ถ้าเธอเป็นอะไรไปฉันก็ลำบากแย่ เอาเป็นว่าถ้าจะไปจริงๆ เอานี่ไปด้วยก็แล้วกัน”
มายาซาว่าโยนสิ่งที่คล้ายกับโทรศัพท์ให้กับอลิซาเบธ เมื่อดูดีๆแล้วมันก็คือGPSซึ่งบอกตำแหน่งของทุกๆคนในกลุ่มเอาไว้ มายาซาว่ายังบอกอีกว่าให้เธอไปยืมร่มกับไฟฉายที่เคาน์เตอร์ของโรมแรม อลิซาเบธพยักหน้ารับพร้อมกับวิ่งออกไปจากห้อง ปล่อยให้มายาซาว่าต้องนอนอยู่ในห้องคนเดียวอีกตามเคย
อลิซาเบธออกมาจากโรงแรมโดยที่มือขวาถือร่มและมือซ้ายถือไฟฉาย ก่อนหน้านี้เธอเช็คที่อยู่ของอากิโอะแล้วเอามาเปรียบเทียบกับแผนที่ของโรมแรมแล้ว ทำให้เธอได้รู้ความจริงที่ว่าอากิโอะนั้นอยู่ที่หอไอเฟลซึ่งเดิมทีเขาน่าจะอยู่ที่น่าจะอยู่ที่ร้านค้าที่ไหนสักแห่ง แต่เธอก็คิดว่ารีบหาให้เจอแล้วถามกับเจ้าตัวเลยน่าจะง่ายกว่า
ท่ามกลางหมอกที่เปลี่ยนทัศวิสัยโดยรอบให้ขาวโผลนนั้น อลิซเบธยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง จนในที่สุดเธอก็ถึงจุดที่GPSบอกว่ามีอากิโอะอยู่ ซึ่งเขาก็อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว แต่ว่าเขากำลังนั่งอยู่บนหอไอเฟล มองดูปารีสที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นอลิซาเบธอยู่เหมือนกัน จึงโบกมือให้นิดหน่อย
อากิโอะค่อยลอยลงมาหาอลิซาเบธอย่างช้าๆ พร้อมกับกระชากมือซ้ายของเธอพร้อมกับลอยขึ้นไปอีกครั้งโดยที่เธอนั้นยังไม่ทันที่จะตั้งตัว และในตอนที่เธอรู้สึกตัวอีกครั้ง ร่าวงของเธอกับกำลังนั่งห้อยขาอยู่ขนหอไอเฟลแล้ว ข้างๆมีอากิโอะที่กำลังนั่งดูเมืองอยู่อย่างเงียบสงบ
“ตะ...ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่คะ?”
อลิซาเบธร้องเสียงหลง อากิโอะหันหน้ามายิ้มให้นิดหน่อย แต่เธอก็สังเกตได้ว่าที่ใบหน้าของเขามีหยดน้ำที่ไม่ได้เกิดจากน้ำฝนอยู่ มันคือน้ำตาของเขานั่นเอง อากิโอะหันหน้ากลับไปใช้มือขวาปัดมันทิ้งไปแล้วค่อยหันกลับมาหาเธอ อลิซาเบธทำหน้าเป็นห่วงปนสงสัยเหมือนเป็นการถามทางอ้อม เขาสายหน้าครั้งหนึ่งก่อนแล้วจึงพูดออกมา
“ขอโทษทีนะครับที่ต้องมาให้เห็นอะไรแบบนี้ ผมนี่จริงๆเลย”
อลิซาเบธยังคงทำหน้าเป็นห่วงอยู่
“เกิดอะไรขึ้นหรอคะ?”
เธอใช้มือขวาเช็ดน้ำตาที่กำลังหลั่งไหลอย่างไม่หยุดยั้งของอากิโอะ ดูเหมือนอากิโอะเองก็พึ่งจะรู้ตัวว่าน้ำตานั้นไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงใช้มือทั้งสองข้างมาปิดที่ใบหน้าของตัวเอง มีเสียงร้องหายโฮดังขึ้นมาจากปากของเขาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่เขาจะรวบรวมสติของตัวเองอีกครั้ง
“มาซามุเนะเป็นคนที่ทำให้ตัวผมเป็นตัวผมได้ ตอนเด็กก็เป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดของผม เมื่อ 2 เดือนก่อนก็ทำให้ตัวผมเป็นตัวผมที่ควรจะเป็น แล้วก็ช่วยสอนเรื่องต่างๆให้ผมตลอดมา แต่ตอนนี้ ตอนที่หมอนั่นทุกข์ใจอยู่ ผมกลับช่วยอะไรไม่ได้ แล้วยังซ้ำเติมด้วยการเสนอหนทางที่ทำให้หมอนั่นต้องทุกข์ใจยิ่งกว่าเดิมอีก ผมมัน...”
“ถ้าอากิโอะคุงพูดแบบนั้นล่ะก็ มาซามุเนะเองก็ช่วยฉันให้หลุดผลจากโซ่ตรวนที่ตัวฉันสร้างขึ้น โซ่ตรวนที่เรียกว่าความงมงาย...”
“หมายความว่าอะไรหรอครับ?”
อากิโอะหันหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตากลับไปหาอลิซาเบธที่กำลังก้มหน้าอยู่ เธอไม่ได้ตอบรับต่อคำพูดของเธอโดยทันที แต่ก็พูดต่อไปโดยไม่ได้ปล่อยให้ขาดช่วง
“ก่อนหน้านี้มีคนจากตระกูลของฉันที่ต้องการคัมภีร์มหาเวทย์ซึ่งตระกูลของฉันฝากไว้ แต่มาซามุเนะน่ะมาบอกความจริงกับฉันเกี่ยวกับตระกูลค่ะ เขาบอกว่าตระกูลอาเธน่าคือตระกูลที่ถูกขับไล่จากประเทศบ้านเกิดจริงๆ แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นตระกูลที่บังอาจชื่อของเทพมาเป็นชื่อตระกูล เขาบอกอีกว่ามันเป็นความลับสูงสุดของตระกูล และลูกหลานทุกคนก็เชื่อว่าตระกูลของตนนั้นได้รับพลังมาจริงๆ ตัวฉันที่เกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษก็ถูกมองว่าเป็นหลักฐานที่ช่วยสนับสนุนได้ดีด้วย แต่เขาก็บอกความจริงที่ว่าตระกูลของฉันไม่ได้ต่างจากคนปกติ และเวทมนตร์ที่ฉันมีก็คือพลังจิต ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้ที่มาที่ไปที่แน่ชัด แต่ซักวันหนึ่งเขาจะมาบอกฉันเกี่ยวกับความจริงในข้อนั้นค่ะ”
อลิซาเบธพูดความจริงที่มีเพียงแค่มาซามุเนะกับเธอเท่านั้นที่รู้ อากิโอะที่นั่งฟังมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรแทรกซักคำ เธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอากิโอะอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มพูดต่อไปอีก
“ทั้งที่มาซามุเนะช่วยฉันไว้แท้ๆ แต่ในตอนนี้ฉันกลับช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยอากิโอะคุงเองก็เหมือนกัน คุณก็คิดหาทางออกให้เขาอย่างเต็มกำลัง แต่ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นแล้ว ฉันต่างหากค่ะที่ผิด คุรอย่าคิดโทษตัวเองเลย”
อลิซาเบธที่อากิโอะคิดว่าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง แต่ตอนนี้เธอก็ร้องไห้ออกมาไม่ต่างอะไรกับตัวเขาก่อนหน้านี้พูดให้ถูกก็คือ ทั้งคู่ร้องไห้ออกมาไม่ต่างอะไรจากคนที่กำลังทุกข์ใจหรือเสียใจตามปกติเลย
คราวนี้อากิโอะจึงใช้มือขวาของตัวเองเช็ดน้ำตาของอลิซาเบธบ้าง เขายิ้มขึ้นมาด้วยสีหน้าที่สดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“งั้น... เอาแบบนี้ไหมครับ ต่อจากนี้ ถ้ามาซามุเนะเรื่องจำเป็นต้องใช้พลังจิตล่ะก็ พวกเราจะจัดการเอง ถึงแม้ผมจะไม่ได้เก่งมาก แต่ถ้าเป็นกำลังให้ได้ผมก็จะยอมทำเต็มที่เลยครับ”
“ค่ะ!”
อลิซเบธยิ้มอย่างเต็มที่พร้อมกับตอบรับความรู้สึกของอากิโอะ ดูเหมือนว่าเธอจะเหนื่อยมาก เพราะตอนนี้เธอได้ฟุบหลับลงบนตักของอากิโอะ ในระหว่าที่เขารอให้เธอตื่น ก็มองดูทิวทัศน์ของปารีสที่ฝนตกหนักอย่างกับว่าฟ้ารั่ว
“แต่เรื่องที่มาซามุเนะหาความจริงเกี่ยวกับตระกูลของเธอได้นี่ก็สมกับเป็นหมอนั่นดีนะ ฉันเองก็อยากทำตัวเท่แบบนั้นมั่งจังเลยน้า-----”
ในขณะที่ฝนที่ตกค่อยซาลงเรื่อยๆ อากิโอะก็พูดพร้อมกับถอนหายใจอย่างเบาๆโดยเก็บเสียงไว้ไม่ให้อลิซาเบธที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ตื่นขึ้นมา รอให้ฝนหยุดตกก่อนแล้วค่อยปลุก เขาคิดไว้แบบนั้น แต่เมื่อมองลงใบหน้าสุดแสนจะยั้วยวนของเธอ ก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“คนแบบนั้นก็เท่อยู่หรอกค่ะ แต่ฉันชอบคนที่เข้ามาช่วยคนอื่นโดยไม่ได้คิดเรื่องของตัวเองมากกว่านะ”
บนหัวของอากิโอะมีเครื่องหมายคำถามปรากฏอยู่ ตัวเขาที่กำลังจะอ้าปากถามถึงสิ่งที่อลิซาเบธพูด แต่เธอก็ใช้นิ้วชี้แตะที่ปากเหมือนเป็นการห้ามไว้ พร้อมกับลุกขึ้นมา
“งั้นพวกเรากลับกันเลยดีไหมคะ?”
อากิโอะปัดความรู้สึกสงสัยทิ้งไปพร้อมกับมองไปรอบๆ ถึงหมอกจะยังคงเหลืออยู่เยอะ แต่ก็พอที่จะเดินกลับไปได้แล้ว เขาจึงพยักหน้าตอบกลับไปครั้งหนึ่ง อลิซาเบธจึงกางแขนทั้งสองข้างออกไปด้านข้าง
“ทะ...ทำอะไรหรอครับ”
อลิซาเบธหันหน้ากลับมาหาเขาแล้วทำหน้าไม่พอใจอยู่นิดหน่อย ก่อนจะตอบคำถามของเขา
“ฉันลงจากที่นี่เองไม่ได้หรอกนะคะ! คุณพาฉันขึ้นมาก็ต้องพาลงไปด้วยสิ”
“อะ...อ๋อ เข้าใจแล้วๆ”
อลิซาเบธหันกลับมาทั้งตัวแล้วกอดตัวอากิโอะไว้ เขาเองก็กอดเธอด้วยเช่นกัน ทั้งคู่ค่อยๆลอยลงมาจากหอไอเฟลอย่างช้าๆ ที่พื้นนั้นมีร่มตกอยู่คันหนึ่ง แน่นอนว่านั่นเป็นคันเดียวกับที่อลิซาเบธเอามา ทั้งคู่ลงมาถึงพื้นอย่างนุ่มนวล
“เออ ลืมตาได้แล้วครับ”
อากิโอะพึ่งสังเกตว่าอลิซาเบธหลับตาตอนลอยอยู่ตลอด เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมา พบว่าตัวเองกำลังกอดอากิโอะแน่น จึงรีบปล่อยมือออกมาพร้อมกับวิ่งไปหยิบร่มที่ตกอยู่ที่พื้นพร้อมกับหน้าที่แดงขึ้นอย่างชัดเจน อากิโอะยืนคอยรอให้เธอโดยยิ้มอยู่ในใจ
“เดี๋ยวผมถือร่มให้นะครับ”
“คะ...ค่ะ”
อากิโอะใช้มือขวาหยิบร่มจากมือของอลิซาเบธ จากนั้นทั้งคู่ก็ค่อยๆเดินกลับโรงแรมไปอย่างช้าๆ อลิซาเบธหาเรื่องคุยกับอากิโอะเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“จะว่าไปแล้ว ทั้งที่ฝนก็เริ่มซาลงแล้ว แต่ก็ไม่มีคนอยู่เลยนะคะ อย่างกับว่าอยู่ในอาณาเขตโลกเสมือนยังไงยังงั้นเลย เนอะ”
อลิซาเบธพูดพร้อมกับยิ้มอย่างแห้งๆให้อากิโอะ แต่เขาที่ได้ยินอย่างนั้นก็เกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาในหัว เขายัดร่มที่ถืออยู่ในมือให้กับอลิซาเบธพร้อมกับวิ่งออกไปข้างหน้า
.......ถ้าจำไม่ผิด ข้างหน้านี่ก็คือร้านสะดวกซื้อที่เราจะมาซื้อของ ถ้าเป็นจริงล่ะก็…
อลิซาเบธถือร่มวิ่งตามไปโดยคิดว่าตัวเองน่าจะวิ่งตามไปติดๆแล้ว แต่สิ่งที่เขาเห็นก็คืออากิโอะที่เดินก้มหน้ากลับมาหาเธอ โดยข้างหลังนั้นมีร้านสะดวกซื้อที่เปิดไฟสว่างอยู่ เขาเดินกลับมาหาพร้อมกับคำพูดที่คาดไม่ถึง
“คุณอลิซาเบธ ลองมองดูข้างในให้ดีๆสิ”
อลิซาเบธทำตามที่เขาบอกทันที เธอเพ่งสายตาไปที่ร้านสะดวกซื้อ และสิ่งที่พบก็คือ ไม่มีคนอยู่ในร้านสักคน ร่มที่อยู่ในมือของเธอหล่นลงพื้นอย่างกะทันหัน
“ในที่สุดก็รู้ตัวสินะ เอาล่ะ ทีนี้ก็บอกมาได้แล้ว เด็กหนุ่มอายุ 15 ที่ชื่อ ชินโดมาซามุเนะ ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
มีเสียงดังมาจากข้างหลังของอลิซาเบธ เมื่อทั้งสองลองมองตามเสียงไป ก็เจอกับชายคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดตึกที่อยู่ด้านหลัง สิ่งที่พอจะรู้ก็คือ เขาเป็นผู้ชายที่สวมผ้าคลุมจนมองไม่เห็นร่างกายส่วนอื่น ที่ใบหน้าก็ถูกผันด้วยผ้าพันแผล สวมแว่นตาสีดำ สวมหมวกคาวบอยไว้บนหัว และแผ่ออร่าที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจากก้นบึงของจิตใจ อากิโอะและอลิซาเบธเริ่มปล่อยออร่าออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“โฮ่ คิดสู้หรอ? งั้นฉันจะเป็นเพื่อนเล่นให้ก็แล้วกัน”
[จบ]
วันพุธที่ 22 พฤษภาคม เวลา 16.23 นาฬิกา ณ ห้องชมรมวิจัยและตรวจสอบพลังจิตภาพ
วันนี้ตอนกลางวัน อลิซาเบธกับอากิโอะมานัดกับมาซามุเนะให้ไปหาที่ห้องชมรม ทั้งสองคนบอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย ทำให้เขาจำเป็นต้องไปตามที่ถูกนัดไว้ เมื่อมาถึง ก็เห็นอลิซาเบธกับอากิโอะที่เป็นคนนัดมา แต่ที่เขาไม่ได้คิดไว้ก็มีอีกสองคน นั่นก็คืออาจารย์มายาซาว่า ผู้ก่อตั้งชมรมนี้กับอิโนะอุเอะ ซาโยโกะ ผู้เป็นทั้งรุ่นพี่ในชมรม รุ่นพี่ในโรงเรียนและผู้ที่ทุ่มเทในการหาข้อมูลให้ชมรมมากที่สุดอีกคนหนึ่ง
ทั้งสี่คนน่าจะนั่งรอมาซามุเนะอย่านานแล้ว อาจารย์มายาซาว่านั่งอยู่ที่มุมโต๊ะ อลิซาเบธกับอากิโอะนั่งอยู่ฝั่งขวาและซาโยโกะนั่งอยู่ที่ฝั่งซ้าย บนโต๊ะด้านหน้าของทั้งสี่คนรวมถึงที่นั่งข้างของซาโยโกะมีถ้วยน้ำชาร้อนวางอยู่ พอมาซามุเนะเปิดประตูเข้ามา อาจารย์มายาซาว่าก็บอกให้เขานั่งลง ถึงจะไม่ได้บอกว่าให้นั่งตรงไหนแต่มาซามุเนะก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆซาโยโกะ จากนั้นบทสนทนาก็ได้เริ่มขึ้น
“มีอะไรกันรึเปล่าครับ”
มาซามุเนะตั้งใจพูดออกมาเพื่อลบบรรยากาศสุดตรึงเครียด แต่คำพูดของอากิโอะที่พูดออกมากลับทำให้มันไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
“มาซามุเนะ นายเลิกใช้พลังจิตเถอะ”
“...”
อากิโอะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังจนมาซามุเนะคิดว่าแทนที่จะชงชาร้อน น่าจะชงไอซ์ทีมากกว่า แต่ตัวเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรไปเพราะยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์สักเท่าไหร่
“ฉันว่านายไม่น่าจะรู้ตัว แต่ว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันเห็นมันกับตาเลยล่ะ เห็นนายที่กลายร่างเป็นปีศาจฆ่าฮายาโตะอย่างเลือดเย็นโดยที่ไม่ลังเลเลยสักนิดน่ะ มันคือปีศาจที่แท้จริงเลยล่ะ”
“ฉันก็รู้สึกนะ ถึงตอนที่นายอาละวาดจะไม่มีสติก็เถอะ แต่ว่าตอนนั้นฉันรับรู้ถึงจิตสังหารที่ไม่ลังเลในการฆ่าคนได้”
ในความฝันที่คาวาซากิ ริน ผู้เป็นทั้งพี่สาวของคาวาซากิคุออนและเป็นความจริงทั้งหมดของพลังจิตคุออนสร้างขึ้นมานั้น เธอบอกกับเขาว่าถ้าตื่นแล้วจะรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถเอาชนะพวกฮายาโตะมาได้ แต่พอตื่นมาเขาก็รู้แค่ลางๆว่าตัวเองคลุ้มคลั่งไป เขานั้นคิดว่านั่นเป็นตัวตนที่แท้จริงของพลังจิตที่เขาได้รับมา ซึ่งพลังจิตนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ตัวเขายืมมาจากตัวเขาอีกด้านหนึ่งซึ่งมีความต้องการในการฆ่าสูง สรุปก็คือ พลังจิตของเขานั้นเป็นสิ่งที่ยืมมา[ตัวเขาอีกด้าน]ที่เกิดจากจิตที่ต้องการสังหารผู้ที่ฆ่าพ่อแม่ของเขา ซึ่งถ้าคิดแบบนั้น ก็จะคิดได้ว่าพลังจิตที่แข็งแกร่งอย่าง[ดาร์ค]นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของ[ตัวเขาอีกด้าน] และพลังจิต[แบล็ค]นั้นคือ[ดาร์ค]ที่อ่อนกว่าซึ่งเกิดขึ้นมาจากการที่มาซามุเนะต้องการยืมพลังจิตของเขาอีกด้านมาใช้
อาจารย์ที่เคยฝึกเขาตอนอยู่กับตระกูลฮันโซก็บอกมาว่าถ้ายิ่งใช้พลังจิตมากเท่าไหร่ [ตัวเขาอีกด้าน]ก็จะยิ่งมีอำนาจต่อตัวเขามากขึ้นตามไปด้วย [ปีศาจ]ที่อากิโอะพูดถึงนั้น อาจจะเป็น[ตัวเขาอีกด้าน]ที่แท้จริง ตัวมาซามุเนะเองคิดแบบนั้น
“ฉันรู้อยู่แต่แรกแล้วล่ะ ว่าพลังจิตของฉันเป็นสิ่งที่ไม่ควรใช้ แต่ตัวฉันก็จะใช้มันเพื่อปกป้องคนที่อยากจะปกป้อง อากิโอะ ถ้านายคิดว่าจะปกป้องคนที่ฉันต้องการจะปกป้องได้ ฉันก็จะเลิกใช้พลังจิต”
“ใจเย็นๆกันก่อนซี่ เมื่อวานทั้งสองคนมาปรึกษากับฉันแล้วก็ได้ข้อสรุปแบบนั้นก็จริง แต่ว่านะ...”
“แต่ว่าอีกประมาณ 1 เดือนต่อจากนี้หรือก็คือช่วงหลังปิดเทอมแรกๆ จะมีทัศนะศึกษาของปี 1 สถานที่ก็คือปารีส ระยะเวลาคือ 1 สัปดาห์เต็ม เป็นแบบให้ท่องเที่ยวตามอัธยาศัย มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนคลายความเครียดที่มีมาตลอด 1 เทอมนี้ลง ดังนั้น สิ่งที่อาจารย์มายาซาว่าตั้งใจจะบอกก็คือ พวกนายน่ะ ค่อยคิดเรื่องนี้แล้วอ่านหนังสือเตรียมสอบวัดผลก่อนไม่ดีกว่ารึไง”
ดูเหมือว่าซาโยโกะนั้นจะเข้าใจความคิดของอาจารย์มายาซาว่าเป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพราะการอธิบายของเธอละเอียดจนมายาซาว่าถึงกับพูดไม่ออกเลย ทั้งสามคนที่อยู่ปีหนึ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้วก็ก้มหน้าหาคำตอบให้ตัวเองอย่างจริงจัง
“งั้นคราวหน้า ถ้ามีศัตรูปรากฎตัวมาอีก ฉันขอฝากพวกนายด้วยก็แล้วกัน”
มาซามุเนะพูดออกมาพร้อมกับหยิบกระเป๋ามาแล้วเดินออกไปจากห้อง ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมห้องอีกครั้ง แต่ซาโยโกะก็หยิบกระเป๋าแล้วออกจากห้องไปอีกคนหนึ่ง เธอวิ่งตามมาซามุเนะที่กำลังจะกลับบ้านไปจนถึงประตูทางเข้าโรงเรียน
“มาซามุเนะ ขอเวลาสักนิดได้ไหม”
เธอเรียกมาซามุเนะที่กำลังจะเดินออกจากโรงเรียนไป เขาหันกลับมาพยักหน้าครั้งหนึ่ง เธอจึงเดินเข้าไปหาเพื่อที่จะคุยด้วย
“จากที่ฉันหาข้อมูลมา พลังจิตของนายน่ะเป็นแบบที่ค่อนข้างที่จะพิเศษ ดังนั้นการที่นายจะควบคุมมันไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติล่ะนะ เพราะงั้นถ้านายฝึก...”
“ขอบคุณนะครับรุ่นพี่ เรื่องนั้นผมลองมาแล้วล่ะ ถ้ารุ่นพี่อยากรู้จริงๆลองสืบค้นเกี่ยวกับตระกูลฮันโซดูสิครับ แล้วก็ ผมขอเตือนเอาไว้อย่างนะครับ คุณไม่มีพลังจิต ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งในเรื่องที่อันตรายแบบนี้หรอกครับ อีกอย่าง ในชมรมน่ะมีพรรคพวกของศัตรูแฝงตัวอยู่ด้วย”
สิ่งที่มาซามุเนะพูดออกมานั้นเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงสำหรับซาโยโกะมาก ไม่ใช่แค่เรื่องสปาย แต่รวมถึงเรื่องที่เขาให้สืบค้นตระกูลฮันโซด้วย นั่นคงจะเป็นหลักฐานอย่างดีที่ว่าเธอนั้นสืบค้นมาไม่พอ
มาซามุเนะเดินจากเธอไปโดยไม่คิดที่จะสนใจในสิ่งที่เธอจะพูดต่อ ถ้าคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจของเขามันก็อาจจะนับว่าเป็นความเด็ดเดี่ยวอีกแบบของเขาเลยก็ว่าได้
วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม เวลา 21.30 นาฬิกา
หลังจากที่คุออนอ่านชื่อที่อยู่บนซองจดหมายเสร็จแล้ว เธอก็แนะนำให้เขาเก็บมันไปอ่านคนเดียวน่าจะดีกว่า เพราะเนื้อความข้างในนั้นเป็นภาษาอังกฤษที่มาซามุเนะนั้นอ่านได้ เขาจึงตัดสินใจตามนั้นแล้วก็แยกกับเธอตรงนั้น เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เขาก็ทำความสะอาดห้องจนเย็น เมื่อทำเสร็จอาหารเย็นก็พร้อมทานพอดี ดูเหมือนว่าอลิซาเบธกับนากิสะจะไปกินข้าวนอกบ้าน ทำให้อาหารเย็นนั้นเป็นแค่อาหารแช่แข็งที่เขากับอิบูกิทำได้เท่านั้น ระหว่างกินก็คุยกันเรื่องที่เจอมาวันนี้ อิบูกิเล่าตัวเขานั้นไม่ได้รู้เกี่ยวกับกลุ่ม[SEVEN STAR]มาก เพราะว่ารัฐบาลต้องการให้มันเป็นความลับมากที่สุด มาซามุเนะจึงไม่ได้ถามอะไรมากกว่านั้น หลังจากนั้นอิบูกิก็บอกว่าจะไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อนิดหน่อย มาซามุเนะจึงไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง
มาซามุเนะตัดสินใจหยิบซองจดหมายสีดำขึ้นมาจากบนโต๊ะในห้องของเขา ในนั้นมีกระดาษสีขาวเนื้อดีอยู่ เขาคลี่พับของกระดาษออกอย่างเบามือ มันคือจดหมายที่คุออนเป็นคนให้มา ทั้งเขาและเธอนั้นยังไม่รู้ทั้งเหตุผลที่มันไปอยู่ในตู้จดหมายของบ้านคาวาซากิและเนื้อความข้างในของจดหมาย แต่ตอนนี้เนื้อความข้างในนั้นกำลังจะถูกเปิดออกด้วยมือของเขาแล้ว
[ถึงคุณหนูทั้งสอง ฉันได้ข่าวมาว่าคุณหนูนั้นกลับมายังเมืองเกิดแล้ว และฉันเชื่อใจว่าคุณหนูผู้หญิงต้องส่งจดหมายฉบับนี้ถึงคุณหนูอย่างแน่นอน เนื้อความที่เหลือต่อจากนี้จะเป็นสิ่งที่ดิฉันอยากจะบอกกับคุณหนูค่ะ]
ในย่อหน้าแรกนั้นได้กล่าวถึงมาซามุเนะที่ถูกเรียกว่าคุณหนู และคุออนที่ถูกเรียกว่าคุณหนูผู้หญิง และสิ่งที่รู้ได้ในข้อความนี้ก็คือ คนที่เขียนและส่งมันมาก็คือ แคทเธอรีน ฟรีค ผู้เป็นคนรับใช้ของแคโรไลน์ ฟลอร่า หรือก็คือแม่ของมาซามุเนะนั่นเอง ตอนเด็กๆมาซามุเนะกับคุออนมักจะเล่นอยู่กับเธอเป็นประจำ เธอค่อนข้างเป็นมิตรและใจดีกับพวกเขา ถึงจะได้เล่นกับเธออยู่เป็นประจำ แต่เขาก็ไม่ได้รู้ความเป็นมาเกี่ยวกับเธอเลยแม้แต่น้อย นับว่าเป็นผู้หญิงที่ลึกลับมากสำหรับเขาอีกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
[1 สัปดาห์นับตั้งแต่โรงเรียนของคุณหนูปิดเทอมโดยเริ่มที่วันอาทิตย์ ดิฉันจะรออยู่ที่ปารีสค่ะ จาก คนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์]
ในตอนที่มาซามุเนะอ่านมันเป็นครั้งแรกนั้น เขาติดใจอยู่แค่เรื่องของสถานที่นัดเจอเท่านั้น ที่หมายความว่าเป็นไปตามวันนั้นหมายความว่าอะไร จนถึงตอนนี้เขาเองก็ยังไม่รู้ความหมายที่แท้จริง
วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน เวลา 15.00 นาฬิกา
“เฮ้อ สอบเสร็จสักที”
อลิซาเบธพูดออกมาหลังจากที่คาบสอบคาบสุดท้ายจบลง มาซามุเนะที่นั่งอยู่ข้างๆก็อยู่ในสภาพหลับๆตื่นๆมาได้สักพักแล้ว อลิซาเบธเห็นท่าทางแบบนั้นของเขามาได้สักพักแล้ว เธอจึงเอ่ยปากถามเขาเพื่อปลุกก่อนที่จะหลับไปจริงๆ
“แล้วทางนายเป็นไงบ้างล่ะ”
“...”
ความง่วงของมาซามุเนะนั้นยิ่งกว่าที่เธอคิด ตอนนี้เขาหลับไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ก่อนที่นักเรียนในห้องจะได้กลับบ้าน เสียงเปิดออกดังๆของประตูห้องเรียนก็ดังขึ้นโดยคนที่เปิดมันออกไม่ใช่คนในห้องอย่างแน่นอน อาจารย์มายาซาว่าเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถือซองกระดาษสีน้ำตาลไว้ในมือ ถึงมันจะดูคล้ายแต่ก็ไม่ใช่ซองกระดาษใส่ข้อสอบอย่างแน่นอน
เธอเดินออกมาหน้าห้องพร้อมกับหยิบปากกาเมจิกขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาน อลิซาเบธที่เห็นแบบนั้นจึงเขย่าตัวมาซามุเนะเพื่อปลุก เขาตื่นขึ้นมาในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น อลิซาเบธชี้ไปที่กระดาน มาซามุเนะมองตามอย่างช้าๆ สิ่งที่ตาของเขาเห็นก็คืออาจารย์มายาซาว่าที่กำลังมองเขาด้วยสายตาจิกกัด สิ่งนั้นทำให้ตัวของเขาเองตื่นออกมาอย่างเต็มที่ทันที มายาซาว่าที่เห็นดังนั้นจึงเริ่มออกเสียงพูด
“ทุกคน ฟังให้ดี เนื่องจากทางโรงเรียนเห็นว่าพวกเราเหนื่อยกันมามากแล้ว และต่อจากเทอมนี้ก็จะเข้าสู่ช่วงของการเรียนที่จริงจังมากขึ้น ดังนั้น ในวันอาทิตย์นี้ พวกเราจะได้ไปเที่ยวปารีสกัน!”
นักเรียนที่อยู่ในห้องนั้นตามเรื่องกันไม่ทัน แต่เสียงเฮก็ดังสนั่นห้องภายในไม่กี่นาทีต่อมา มายาซาว่าเริ่มปล่อยนักเรียนกลับบ้านพร้อมกับแจกเอกสารที่อยู่ภายในออกมาให้ มันเป็นเอกสารอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการไปทัศนะศึกษาที่ปารีส มาซามุเนะอ่านมันคร่าวๆระหว่างทางเดินกลับบ้าน
ตั้งแต่เขาได้จดหมายจากแคทเธอรีน ฟรีค ก็ไม่มีมือสังหารบุกมาเล่นงานพวกเขาเลย นับเป็นเรื่องดีและร้ายไปในตัว เพราะมันทำให้เขาไม่ต้องใช้พลังจิตที่พวกอากิโอะกังวลและก็ไม่มีความคืบหน้าในการหาตัวฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่เขาด้วย แต่ในสถานการณ์ที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้ก็คือการที่มีมือสังหารบุกมาแต่ว่าอากิโอะก็ชนะได้ ส่วนตัวเขาก็จะเข้าไปถามในตอนที่จัดการได้แล้ว แต่สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือเรื่องที่มือสังหารที่แข็งแกร่งจริงๆจะปรากฏตัวออกมา แล้วนั้นอาจจะเป็นจุดจบของเขาก็ได้
วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน เวลา 06.30 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่นของประเทศฝรั่งเศส
หลังจากลงมาจากเครื่องบินแล้ว อาจารย์ผู้ดูแลก็บอกให้นักเรียนจับกลุ่มกัน 5 คน พวกมาซามุเนะจึงมีอาจารย์มายาซาว่าอยู่ในกลุ่มด้วยเหตุผลที่ว่าคนไม่ครบ ดังนั้นในกลุ่มจึงประกอบไปด้วย 1.ชินโด มาซามุเนะ 2.โอคาซากิ อากิโอะ 3.คาวาซากิ คุออน 4.อลิซาเบธ อาเธน่า และสุดท้าย 5.อาจารย์มายาซาว่า โดยที่การทำกิจกรรมต่างๆจะทำสามารถทำได้อย่างอิสระแต่ต้องทำเป็นกลุ่ม ที่พักนั้นเป็นโรงแรมที่ถูกจัดไว้ให้แล้ว แต่ก็ต้องนอนเป็นกลุ่ม จากกฎข้างต้นที่กล่าวมา ทำให้มาซามุเนะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
“เอาล่ะทุกคน วันนี้เราไปไหนกันดีล่ะ”
มายาซาว่าพูดกับทั้งสี่คนหลังจากที่ทั้งหมดจัดสัมภาระไว้ในโรงแรมแล้วเปลี่ยนใส่ชุดลำลอง
“เอาเป็นพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ดีไหมครับ ผมอยากไปสักครั้งน่ะ”
“ดีเลย ฉันก็อยากไปอยู่เหมือนกัน”
“งั้นเอาเป็นที่นั่นก็แล้วกันนะ ก่อนอื่นก็ต้อง…”
คุออนมองมาซามุเนะที่พูดตามน้ำอย่างเป็นธรรมชาติด้วยท่าทีกังวล พลางดึงแขนเสื้อของเขาเข้ามาใกล้ๆแล้วกระซิบข้างๆหู
“เรื่องจดหมายนั่นจะไม่เป็นอะไรแน่หรอ? ถ้าไม่ไปเช็คสถานที่ที่มีความเป็นไปได้จะแย่เอาไม่ใช่หรอ?”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเข้าใจความหมายของจดหมายแล้วล่ะ”
มาซามุเนะพูดออกมาด้วยท่าทีที่ไม่มีความกังวลเลยสักนิด นั่นทำให้คุออนทั้งเบาและหนักใจไปตามๆกัน
ในวันอังคารที่ 21 พฤษภาคม หรือก็คือ 1 วันหลังจากที่มาซามุเนะได้รับจดหมายมา คุออนได้ถามมาซามุเนะเกี่ยวกับเรื่องจดหมาย เขาตัดสินใจบอกทุกๆอย่างกับเธอพร้อมกับสิ่งที่รู้และเข้าใจทั้งหมดเกี่ยวกับจดหมาย จากนั้นทั้งคู่ก็ช่วยกันคิดแต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเลย
วันพุธที่ 2 กรกฎาคม เวลา 09.30 นาฬิกา
วันนี้ถือเป็นวันที่ผิดคาดจากกำหนดการทั้งหมด เพราะจู่ๆฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทั้งที่เมื่อหลายวันก่อนยังไม่มีท่าทีว่าจะตกเลย จนคิดได้อย่างเดียวว่าต้องโดนพระเจ้าลงโทษแน่นอน อาจารย์มายาซาว่าจึงเปลี่ยนกำหนดการให้วันนี้อยู่แต่ในห้องจนกว่าฝนจะหยุดตก ดังนั้นทั้งสี่คนจึงได้แต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องของโรงแรม แต่ไม่ใช่กับมาซามุเนะ
ก๊อกๆ
“อาจารย์มายาซาว่าครับ ผมขอออกไปข้างนอกสัก 1 ชั่วโมงได้ไหมครับ”
มาซามุเนะซึ่งอยู่ในชุดเสื้อโค้ดสีดำทับเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนสีกรมท่า ในมือซ้ายถือร่มอยู่คันหนึ่ง กำลังเคาะห้องของอาจารย์มายาซาว่า ในห้องนั้นยังมีอลิซาเบธกับคุออนพักอยู่ด้วย หลังจากที่มาซามุเนะพูดไปได้ไม่ถึง 5 วินาที ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างเบามือ เผยให้เห็นมายาซาว่าที่อยู่ในชุดนอนยืนทำหน้าไร้อารมณ์อยู่หน้าประตู
“ก็ได้ แต่ต้องกลับมาภายใน 1 ชั่วโมงนะ”
“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากครับ”
มาซามุเนะปิดประตูห้องแล้วเดินจากไป มายาซาว่าหันกลับไปที่ห้องของตัวเอง ก็เจอกับคุออนที่ทำหน้าเป็นห่วงมาซามุเนะที่พึ่งเดินออกไปอยู่ เธอต่างกับมายาซาว่าตรงที่ตื่นเช้าและอยู่ในชุดเอี๊ยมสีน้ำเงินกับเสื้อสีขาวพร้อมออกไปเที่ยว
“เอ่อ อาจารย์คะ หนูขอตามมาซามุเนะคุงออกไปด้วยได้ไหมคะ?”
คุออนพูดด้วยน้ำสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่มายาซาว่าก็ตอบออกไปโดยไม่ต้องการเวลาในการคิด
“ก็เอาสิ ร่มของเจ้านั่นก็น่าจะใหญ่เกินไปสำหรับคนเดียวซะด้วย”
“ขอบคุณค่ะ”
คุออนตอบออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มขึ้นมาจนเห็นได้ชัดว่ากำลังดีใจอยู่ เธอเดินออกไปจากห้องทันทีหลังพูดเสร็จ
“มาซามุเนะคุง รอกันก่อนสิ”
คุออนตะโกนเรียกมาซามุเนะที่กำลังเดินออกไปจากโรงแรม เขาหันมาด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย คุออนวิ่งไปถึงตัวมาซามุเนะแล้วแตะที่ไหนพลางหอบนิดหน่อย
“เธอตามฉันมาทำไมเนี่ย”
“ฉันก็อยากเจอคุณแคทเธอรีนเหมือนกันนะ แล้วนายก็คิดจะทิ้งฉันไว้ที่โรงแรมน่าเบื่อๆเนี่ยหรอ?”
“ฉันก็ยังไม่แน่ใจสักหน่อยว่าจะได้เจอน่ะ”
“แต่คนที่พกร่มมาเที่ยวด้วยเนี่ยมันแปลกอยู่นะ”
คุออนพูดออกมาพร้อมกับยิ้มด้วยสีหน้าที่ดูแล้วน่ากลัวอยู่นิดหน่อย
“ก็ได้ๆ แต่อย่าอยู่ห่างฉันนะ”
มาซามุเนะพูดด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอาหน่อยๆ แต่เมื่อเห็นคุออนพยักหน้าด้วยหน้าที่จริงจังก็เลยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย
มาซามุเนะกางร่มที่มือของตัวเองออกมา คุออนเดินเข้าไปข้างใต้ร่มอย่างไม่รอช้า ทั้งคู่เดินออกจากโรงแรมไปตามถนนซึ่งเคยมีคนพลุกพล่าน ระหว่างทางนั้นมีอะไรบางอย่างอยู่ปกคลุมอยู่ในอากาศนอกจากน้ำฝน มันคือสิ่งที่แม้แต่คุออนเองก็สัมผัสได้ แต่มาซามุเนะน่าจะรู้ว่ามันคืออะไร เขาเดินเข้าไปใกล้มันเรื่อยโดยใช้มือซ้ายจับไหล่คุออนไว้แน่นขึ้นเรื่อยๆ คุออนรู้สึกได้ว่าข้างหน้ามีอะไรบางอย่างอยู่ และเมื่อเดินไปตามถนนได้สักพักหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าก็คือ โบสถ์ที่เหมือนถูกสร้างขึ้นมาตามแบบของยุคสมัยเก่า มาซามุเนะปล่อยมือจากไหล่ซ้ายของคุออนพร้อมกับถอนหายใจยาวๆครั้งหนึ่ง
“เข้าไปกันเถอะ”
“อะ...อืม”
ถึงคุออนจะยังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่มาซามุเนะก็ไม่มีท่าทีลังเลที่จะเดินเข้าไปในที่ๆน่าสงสัยแบบนั้น พอทั้งคู่เดินไปถึงหน้าประตูแล้ว ประตูที่ดูท่าจะหนักมากก็เปิดออกจากด้านนอก เชื้อเชิญให้ทั้งคู่เข้าไป
คุออนเดินเข้าไปก่อน ส่วนมาซามุเนะหุบร่มเก็บไว้ที่ทางเข้า ข้างในนั้นค่อนข้างมืด แต่ไฟก็ส่องสว่างขึ้นมาจากโคมระย้าที่อยู่ด้านบน เผยให้เห็นเก้าอี้ไม้สีดำสำหรับนั่งในการทำพิธีอยู่หลายแถว ทางซ้ายขวาถูกปิดไว้ด้วยม่านสีดำผืนใหญ่ ด้านในสุดมีกระจกสีที่มีลวดลายต่างๆถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม และด้านหน้าสุดของแถวเก้าอี้นั่งก็มีคนนั่งอยู่ เมื่อดูจากด้านหลังแล้วก็รู้แค่ว่าเป็นผู้หญิงที่ใส่เดรสเหลือง ผมยาวสีขาว เธอค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างไร้เสียงแล้วหันหน้ามาทางทั้งสองคน เผยให้เห็นใบหน้าไว้หน้าม้าสวมแว่นตาที่ทั้งคู่คุ้นเคย
“ยินดีต้อนรับคะ คุณหนู”
วันพุธที่ 2 กรกฎาคม เวลา 09.35 นาฬิกา
“อาจารย์คะ หนูขอไปตามอากิโอะคุงได้ไหมคะ เห็นว่าเขาออกไปซื้อของ แล้วฝนก็ตกระหว่างที่กำลังกลับ เขาคงไม่ได้พกร่มไปด้วย หมอกก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆแล้วด้วย”
อลิซาเบธที่นั่งอยู่บนตียงของตัวเองตลอด ลุกขึ้นมาขอกับมายาซาว่าที่กำลังนอนอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง
“แต่เธอก็อาจจะมีอันตรายไปอีกคนนะ ถ้าเธอเป็นอะไรไปฉันก็ลำบากแย่ เอาเป็นว่าถ้าจะไปจริงๆ เอานี่ไปด้วยก็แล้วกัน”
มายาซาว่าโยนสิ่งที่คล้ายกับโทรศัพท์ให้กับอลิซาเบธ เมื่อดูดีๆแล้วมันก็คือGPSซึ่งบอกตำแหน่งของทุกๆคนในกลุ่มเอาไว้ มายาซาว่ายังบอกอีกว่าให้เธอไปยืมร่มกับไฟฉายที่เคาน์เตอร์ของโรมแรม อลิซาเบธพยักหน้ารับพร้อมกับวิ่งออกไปจากห้อง ปล่อยให้มายาซาว่าต้องนอนอยู่ในห้องคนเดียวอีกตามเคย
อลิซาเบธออกมาจากโรงแรมโดยที่มือขวาถือร่มและมือซ้ายถือไฟฉาย ก่อนหน้านี้เธอเช็คที่อยู่ของอากิโอะแล้วเอามาเปรียบเทียบกับแผนที่ของโรมแรมแล้ว ทำให้เธอได้รู้ความจริงที่ว่าอากิโอะนั้นอยู่ที่หอไอเฟลซึ่งเดิมทีเขาน่าจะอยู่ที่น่าจะอยู่ที่ร้านค้าที่ไหนสักแห่ง แต่เธอก็คิดว่ารีบหาให้เจอแล้วถามกับเจ้าตัวเลยน่าจะง่ายกว่า
ท่ามกลางหมอกที่เปลี่ยนทัศวิสัยโดยรอบให้ขาวโผลนนั้น อลิซเบธยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง จนในที่สุดเธอก็ถึงจุดที่GPSบอกว่ามีอากิโอะอยู่ ซึ่งเขาก็อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว แต่ว่าเขากำลังนั่งอยู่บนหอไอเฟล มองดูปารีสที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นอลิซาเบธอยู่เหมือนกัน จึงโบกมือให้นิดหน่อย
อากิโอะค่อยลอยลงมาหาอลิซาเบธอย่างช้าๆ พร้อมกับกระชากมือซ้ายของเธอพร้อมกับลอยขึ้นไปอีกครั้งโดยที่เธอนั้นยังไม่ทันที่จะตั้งตัว และในตอนที่เธอรู้สึกตัวอีกครั้ง ร่าวงของเธอกับกำลังนั่งห้อยขาอยู่ขนหอไอเฟลแล้ว ข้างๆมีอากิโอะที่กำลังนั่งดูเมืองอยู่อย่างเงียบสงบ
“ตะ...ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่คะ?”
อลิซาเบธร้องเสียงหลง อากิโอะหันหน้ามายิ้มให้นิดหน่อย แต่เธอก็สังเกตได้ว่าที่ใบหน้าของเขามีหยดน้ำที่ไม่ได้เกิดจากน้ำฝนอยู่ มันคือน้ำตาของเขานั่นเอง อากิโอะหันหน้ากลับไปใช้มือขวาปัดมันทิ้งไปแล้วค่อยหันกลับมาหาเธอ อลิซาเบธทำหน้าเป็นห่วงปนสงสัยเหมือนเป็นการถามทางอ้อม เขาสายหน้าครั้งหนึ่งก่อนแล้วจึงพูดออกมา
“ขอโทษทีนะครับที่ต้องมาให้เห็นอะไรแบบนี้ ผมนี่จริงๆเลย”
อลิซาเบธยังคงทำหน้าเป็นห่วงอยู่
“เกิดอะไรขึ้นหรอคะ?”
เธอใช้มือขวาเช็ดน้ำตาที่กำลังหลั่งไหลอย่างไม่หยุดยั้งของอากิโอะ ดูเหมือนอากิโอะเองก็พึ่งจะรู้ตัวว่าน้ำตานั้นไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงใช้มือทั้งสองข้างมาปิดที่ใบหน้าของตัวเอง มีเสียงร้องหายโฮดังขึ้นมาจากปากของเขาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่เขาจะรวบรวมสติของตัวเองอีกครั้ง
“มาซามุเนะเป็นคนที่ทำให้ตัวผมเป็นตัวผมได้ ตอนเด็กก็เป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดของผม เมื่อ 2 เดือนก่อนก็ทำให้ตัวผมเป็นตัวผมที่ควรจะเป็น แล้วก็ช่วยสอนเรื่องต่างๆให้ผมตลอดมา แต่ตอนนี้ ตอนที่หมอนั่นทุกข์ใจอยู่ ผมกลับช่วยอะไรไม่ได้ แล้วยังซ้ำเติมด้วยการเสนอหนทางที่ทำให้หมอนั่นต้องทุกข์ใจยิ่งกว่าเดิมอีก ผมมัน...”
“ถ้าอากิโอะคุงพูดแบบนั้นล่ะก็ มาซามุเนะเองก็ช่วยฉันให้หลุดผลจากโซ่ตรวนที่ตัวฉันสร้างขึ้น โซ่ตรวนที่เรียกว่าความงมงาย...”
“หมายความว่าอะไรหรอครับ?”
อากิโอะหันหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตากลับไปหาอลิซาเบธที่กำลังก้มหน้าอยู่ เธอไม่ได้ตอบรับต่อคำพูดของเธอโดยทันที แต่ก็พูดต่อไปโดยไม่ได้ปล่อยให้ขาดช่วง
“ก่อนหน้านี้มีคนจากตระกูลของฉันที่ต้องการคัมภีร์มหาเวทย์ซึ่งตระกูลของฉันฝากไว้ แต่มาซามุเนะน่ะมาบอกความจริงกับฉันเกี่ยวกับตระกูลค่ะ เขาบอกว่าตระกูลอาเธน่าคือตระกูลที่ถูกขับไล่จากประเทศบ้านเกิดจริงๆ แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นตระกูลที่บังอาจชื่อของเทพมาเป็นชื่อตระกูล เขาบอกอีกว่ามันเป็นความลับสูงสุดของตระกูล และลูกหลานทุกคนก็เชื่อว่าตระกูลของตนนั้นได้รับพลังมาจริงๆ ตัวฉันที่เกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษก็ถูกมองว่าเป็นหลักฐานที่ช่วยสนับสนุนได้ดีด้วย แต่เขาก็บอกความจริงที่ว่าตระกูลของฉันไม่ได้ต่างจากคนปกติ และเวทมนตร์ที่ฉันมีก็คือพลังจิต ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้ที่มาที่ไปที่แน่ชัด แต่ซักวันหนึ่งเขาจะมาบอกฉันเกี่ยวกับความจริงในข้อนั้นค่ะ”
อลิซาเบธพูดความจริงที่มีเพียงแค่มาซามุเนะกับเธอเท่านั้นที่รู้ อากิโอะที่นั่งฟังมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรแทรกซักคำ เธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอากิโอะอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มพูดต่อไปอีก
“ทั้งที่มาซามุเนะช่วยฉันไว้แท้ๆ แต่ในตอนนี้ฉันกลับช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยอากิโอะคุงเองก็เหมือนกัน คุณก็คิดหาทางออกให้เขาอย่างเต็มกำลัง แต่ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นแล้ว ฉันต่างหากค่ะที่ผิด คุรอย่าคิดโทษตัวเองเลย”
อลิซาเบธที่อากิโอะคิดว่าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง แต่ตอนนี้เธอก็ร้องไห้ออกมาไม่ต่างอะไรกับตัวเขาก่อนหน้านี้พูดให้ถูกก็คือ ทั้งคู่ร้องไห้ออกมาไม่ต่างอะไรจากคนที่กำลังทุกข์ใจหรือเสียใจตามปกติเลย
คราวนี้อากิโอะจึงใช้มือขวาของตัวเองเช็ดน้ำตาของอลิซาเบธบ้าง เขายิ้มขึ้นมาด้วยสีหน้าที่สดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“งั้น... เอาแบบนี้ไหมครับ ต่อจากนี้ ถ้ามาซามุเนะเรื่องจำเป็นต้องใช้พลังจิตล่ะก็ พวกเราจะจัดการเอง ถึงแม้ผมจะไม่ได้เก่งมาก แต่ถ้าเป็นกำลังให้ได้ผมก็จะยอมทำเต็มที่เลยครับ”
“ค่ะ!”
อลิซเบธยิ้มอย่างเต็มที่พร้อมกับตอบรับความรู้สึกของอากิโอะ ดูเหมือนว่าเธอจะเหนื่อยมาก เพราะตอนนี้เธอได้ฟุบหลับลงบนตักของอากิโอะ ในระหว่าที่เขารอให้เธอตื่น ก็มองดูทิวทัศน์ของปารีสที่ฝนตกหนักอย่างกับว่าฟ้ารั่ว
“แต่เรื่องที่มาซามุเนะหาความจริงเกี่ยวกับตระกูลของเธอได้นี่ก็สมกับเป็นหมอนั่นดีนะ ฉันเองก็อยากทำตัวเท่แบบนั้นมั่งจังเลยน้า-----”
ในขณะที่ฝนที่ตกค่อยซาลงเรื่อยๆ อากิโอะก็พูดพร้อมกับถอนหายใจอย่างเบาๆโดยเก็บเสียงไว้ไม่ให้อลิซาเบธที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ตื่นขึ้นมา รอให้ฝนหยุดตกก่อนแล้วค่อยปลุก เขาคิดไว้แบบนั้น แต่เมื่อมองลงใบหน้าสุดแสนจะยั้วยวนของเธอ ก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“คนแบบนั้นก็เท่อยู่หรอกค่ะ แต่ฉันชอบคนที่เข้ามาช่วยคนอื่นโดยไม่ได้คิดเรื่องของตัวเองมากกว่านะ”
บนหัวของอากิโอะมีเครื่องหมายคำถามปรากฏอยู่ ตัวเขาที่กำลังจะอ้าปากถามถึงสิ่งที่อลิซาเบธพูด แต่เธอก็ใช้นิ้วชี้แตะที่ปากเหมือนเป็นการห้ามไว้ พร้อมกับลุกขึ้นมา
“งั้นพวกเรากลับกันเลยดีไหมคะ?”
อากิโอะปัดความรู้สึกสงสัยทิ้งไปพร้อมกับมองไปรอบๆ ถึงหมอกจะยังคงเหลืออยู่เยอะ แต่ก็พอที่จะเดินกลับไปได้แล้ว เขาจึงพยักหน้าตอบกลับไปครั้งหนึ่ง อลิซาเบธจึงกางแขนทั้งสองข้างออกไปด้านข้าง
“ทะ...ทำอะไรหรอครับ”
อลิซาเบธหันหน้ากลับมาหาเขาแล้วทำหน้าไม่พอใจอยู่นิดหน่อย ก่อนจะตอบคำถามของเขา
“ฉันลงจากที่นี่เองไม่ได้หรอกนะคะ! คุณพาฉันขึ้นมาก็ต้องพาลงไปด้วยสิ”
“อะ...อ๋อ เข้าใจแล้วๆ”
อลิซาเบธหันกลับมาทั้งตัวแล้วกอดตัวอากิโอะไว้ เขาเองก็กอดเธอด้วยเช่นกัน ทั้งคู่ค่อยๆลอยลงมาจากหอไอเฟลอย่างช้าๆ ที่พื้นนั้นมีร่มตกอยู่คันหนึ่ง แน่นอนว่านั่นเป็นคันเดียวกับที่อลิซาเบธเอามา ทั้งคู่ลงมาถึงพื้นอย่างนุ่มนวล
“เออ ลืมตาได้แล้วครับ”
อากิโอะพึ่งสังเกตว่าอลิซาเบธหลับตาตอนลอยอยู่ตลอด เธอค่อยๆลืมตาขึ้นมา พบว่าตัวเองกำลังกอดอากิโอะแน่น จึงรีบปล่อยมือออกมาพร้อมกับวิ่งไปหยิบร่มที่ตกอยู่ที่พื้นพร้อมกับหน้าที่แดงขึ้นอย่างชัดเจน อากิโอะยืนคอยรอให้เธอโดยยิ้มอยู่ในใจ
“เดี๋ยวผมถือร่มให้นะครับ”
“คะ...ค่ะ”
อากิโอะใช้มือขวาหยิบร่มจากมือของอลิซาเบธ จากนั้นทั้งคู่ก็ค่อยๆเดินกลับโรงแรมไปอย่างช้าๆ อลิซาเบธหาเรื่องคุยกับอากิโอะเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“จะว่าไปแล้ว ทั้งที่ฝนก็เริ่มซาลงแล้ว แต่ก็ไม่มีคนอยู่เลยนะคะ อย่างกับว่าอยู่ในอาณาเขตโลกเสมือนยังไงยังงั้นเลย เนอะ”
อลิซาเบธพูดพร้อมกับยิ้มอย่างแห้งๆให้อากิโอะ แต่เขาที่ได้ยินอย่างนั้นก็เกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาในหัว เขายัดร่มที่ถืออยู่ในมือให้กับอลิซาเบธพร้อมกับวิ่งออกไปข้างหน้า
.......ถ้าจำไม่ผิด ข้างหน้านี่ก็คือร้านสะดวกซื้อที่เราจะมาซื้อของ ถ้าเป็นจริงล่ะก็…
อลิซาเบธถือร่มวิ่งตามไปโดยคิดว่าตัวเองน่าจะวิ่งตามไปติดๆแล้ว แต่สิ่งที่เขาเห็นก็คืออากิโอะที่เดินก้มหน้ากลับมาหาเธอ โดยข้างหลังนั้นมีร้านสะดวกซื้อที่เปิดไฟสว่างอยู่ เขาเดินกลับมาหาพร้อมกับคำพูดที่คาดไม่ถึง
“คุณอลิซาเบธ ลองมองดูข้างในให้ดีๆสิ”
อลิซาเบธทำตามที่เขาบอกทันที เธอเพ่งสายตาไปที่ร้านสะดวกซื้อ และสิ่งที่พบก็คือ ไม่มีคนอยู่ในร้านสักคน ร่มที่อยู่ในมือของเธอหล่นลงพื้นอย่างกะทันหัน
“ในที่สุดก็รู้ตัวสินะ เอาล่ะ ทีนี้ก็บอกมาได้แล้ว เด็กหนุ่มอายุ 15 ที่ชื่อ ชินโดมาซามุเนะ ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
มีเสียงดังมาจากข้างหลังของอลิซาเบธ เมื่อทั้งสองลองมองตามเสียงไป ก็เจอกับชายคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดตึกที่อยู่ด้านหลัง สิ่งที่พอจะรู้ก็คือ เขาเป็นผู้ชายที่สวมผ้าคลุมจนมองไม่เห็นร่างกายส่วนอื่น ที่ใบหน้าก็ถูกผันด้วยผ้าพันแผล สวมแว่นตาสีดำ สวมหมวกคาวบอยไว้บนหัว และแผ่ออร่าที่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจากก้นบึงของจิตใจ อากิโอะและอลิซาเบธเริ่มปล่อยออร่าออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“โฮ่ คิดสู้หรอ? งั้นฉันจะเป็นเพื่อนเล่นให้ก็แล้วกัน”
[จบ]
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ