Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ

-

เขียนโดย MoMoGa

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.

  26 บท
  4 วิจารณ์
  20.89K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) ตอนที่ 8 การจู่โจมของจตุรเทพ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          วันพุธที่ 2 กรกฎาคม เวลา 10.00 นาฬิกา (ก่อนเกิดการกางอาณาเขตโลกเสมือน 10 นาที และหลังจากที่มาซามุเนะและคุออนเข้ามาในโบสถ์ 1 นาทีกว่าๆ)

          “นะ...นั่นเธอเหรอ แคทเธอรีน?”

          มาซามุเนะพูดพร้อมกับไหล่ที่สั่นเทิ้ม แต่เขาไม่ใช่คนเดียวที่สั่น คุออนที่อยู่ข้างๆกำมือมาซามุเนะแน่นยิ่งขึ้น หญิงปริศนาพยักหน้าครั้งหนึ่ง นั่นคือการยืนยันว่าหญิงที่สวมเดรสสีเหลืองลายลูกไม้ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาก็คือ แคทเธอรีน ฟรีค หญิงสาวผู้เคยเป็นคนรับใช้ให้กับแคโรไลน์ ฟลอร่า หรือก็คือแม่ของมาซามุเนะ

          สิ่งที่ทำให้มาซามุเนะและคุออนตัวสั่นกันอยู่ ก็คือความเปลี่ยนแปลงของแคทเธอรีน ทั้งสีผมที่เคยเป็นสีดำ ความสูงที่เมื่อก่อนน่าจะสูงสัก 180 เซนติเมตร แต่ตอนนี้เธอน่าจะสูง 2 เมตรกว่าๆ รวมไปถึงขนาดหน้าอกที่ใหญ่ขึ้นมาก

          “คุณหนูค้าาาาาาาาา!”

          “อะ...อะไรเนี่ย”

          “วะ...เหวอ”

          แคทเธอรีนวิ่งมากระโดดกอดทั้งสองคนเอาไว้แน่นจนทั้งคู่แทบจะหายใจไม่ออก บวกด้วยความตกใจในท่าทางของเธอไปอีก จนทำให้ทั้งคู่คิดได้อย่างเดียวว่า ถึงรูปร่างภายนอกจะเปลี่ยนไปมาก แต่นิสัยใจคอข้างในก็เหมือนเดิม

          “ดิฉัน...ดิฉันคิดถึงคุณหนูทั้งสองคนมากเลยนะคะ ฮือ----------”

          แคทเธอรีนกอดทั้งคู่ไว้แน่น ทั้งน้ำตาและน้ำมูกก็ไหลออกมาอย่างกับว่าอัดอั้นไว้นาน มาซามุเนะและคุออนดิ้นจนไม่มีแรงเหลือ จึงปล่อยตัวไปตามคามรู้สึกที่อยู่ในใจ ทั้งคู่กอดเธอด้วยแขนทั้งสองข้างของตัวเอง น้ำตาก็ไหลออกมาพร้อมๆกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

          ““กลับมาแล้วนะ””

          หลังจากนั้นทั้งสามคนก็พากันไปนั่งที่เก้าอี้ซึ่งอยู่ข้างๆ มาซามุเนะเช็คเวลา เห็นว่าเลย 10 โมงเช้ามาได้ 7 นาทีกว่าๆแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรในนี้เป็นพิเศษ เว้นเสียแต่สิ่งที่นำทางพวกเขาให้มาถึงโบสถ์แห่งนี้เท่านั้น

          คุออนหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาให้แคทเธอรีนที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุดร้องไห้ แต่มาซามุเนะก็ไม่รอที่จะถามสิ่งที่ตนอยากรู้ออกไป

          “นี่แคทเธอรีน ทำไมเธอถึงไม่ส่งจดหมายมาให้ฉันตรงๆเลยล่ะ”

          มาซามุเนะหันหน้ามาหาแคทเธอรีนแล้วถามคำถาม เธอหยุดร้องไห้แล้วหันหน้ามามองเขาด้วยสายตาที่ดูจริงจังขึ้น

          “ดิฉันรู้แค่ว่าคุณหนูย้ายกลับมาแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ดิฉันก็เลยส่งไปที่บ้านของคุณหนูคุออนแทนค่ะ”

          “อ๋อ งั้นเองหรอกเหรอเนี่ย”

          คุออนร้องขึ้นมากับคำตอบสุดแสนธรรมดาของแคทเธอรีน แต่มาซามุเนะก็ยังไม่หยุดถาม

          “แล้วที่เธอเรียกฉันมานี่ตั้งใจเรียกคุออนมาด้วยเหรอ แล้วเธอเรียกพวกเรามาทำไมล่ะ”

          แคทเธอรีนคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะตอบเขาออกมา

          “ดิฉันมีเรื่องอยากจะพูดกับคุณหนูทั้งสองค่ะ มันเป็นความลับอยู่ก็เลย...”

          จู่ๆในจังหวะเดี๋ยวกัน มาซามุเนะก็รู้สึกบางอย่าง มันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย เหมือนกับถูกดูดเข้าไปที่ไหนสักแห่ง และเขาก็รู้ตัว มันคือการเคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตโลกเสมือนนั่นเอง หรือก็คือ เมื่อกี้นี้มีคนกางอาณาเขตขึ้นมา แต่ที่หน้าแปลกใจก็คือ แคทเธอรีนนั้นไม่ได้หายไป

          เมื่อมาซามุเนะมองไปที่แคทเธอรีน ก็เห็นเธอกำลังชะงักอยู่เหมือนกัน อย่างกับว่าเธอรู้ตัวว่าอาณาเขตถูกกางออกมาเช่นกัน เขาจ้องมองเธอด้วยสีหน้าที่ตึงเครียดขึ้น

          “แคทเธอรีน ปีนี้เธออายุเท่าไหร่”

          “ยะ...ยี่สิบสี่...ค่ะ”

 

 

 

 

 

          วันพุธที่ 2 กรกฎาคม เวลา 10.16 นาฬิกา (หลังจากกางอาณาเขตโลกเสมือน 6 นาทีและ 3 นาทีหลังจากที่อากิโอะและอลิซาเบธพบว่าตนนั้นอยู่ในอาณาเขต)

          “<แฟนแทสติก เฟลม (Fantastic Flame)>”

          เปลวเพลิงอันร้อนอันร้อนแรงซึ่งต่อมากลายเป็นลูกไฟรัศมี 50 เซนติเมตร ถูกปล่อยออกมาจากปลายสุดของคทาสีเพลิงโปร่งใส ตรงปลายสุดมีรูปร่างเหมือนหอยขดตัว ระหว่างลูกไฟและคทามีวงเวทย์ที่มีลวดลายสวยงามขั้นอยู่ ปลายทางของที่ที่ลูกไฟพุ่งไปนั้นมีชายปริศนาสวมผ้าคลุมที่ปิดบังใบหน้าไว้ด้วยผ้าพันแผลและแว่นตา สวมหมวกคาวบอย และที่มือทั้งสองข้างก็กำลังถือดาบเคลย์มอร์ ซึ่งแต่เดิมทีมันเป็นดาบที่ต้องใช้สองมือถือ แต่เขากลับถือมันไว้ด้วยมือทั้งสองข้างอย่างละเล่ม ความยาวของดาบก็ประมาณ 120 เซนติเมตร

          และผู้ที่ถือคทาอยู่ก็คือ อลิซาเบธ อาเธน่า ซึ่งตอนนี้กำลังลอยอยู่กลางอากาศโดยที่ต่างจากปกติตรงที่ผมของเธอไม่ใช่สีแดงเพลิง และก็มีหมวกที่คล้ายกับของแม่มดและผ้าคลุมสีแดงเพลิงสวมอยู่แทน

          ชายปริศนาซึ่งยืนอยู่บนตึกกระโดดหลบลูกไฟที่พุ่งมาทางเขาอย่างพลิ้วไหวอย่างกับว่าดาบหนักๆที่อยู่ในมือเป็นปุยฝ้าย แต่ลูกไฟก็ไม่ได้มีอยู่แค่นั้น ลูกที่สองและสามและต่อๆมายังคงพุ่งเข้าใส่เขาอย่างไม่ปราณี แต่ชายปริศนาก็กระโดดไปยังตึกซึ่งอยู่ข้างๆได้อย่างรวดเร็ว

          “<สตอร์ม บลาส (Storm Blast)>”

          มีพายุลูกหนึ่งพุ่งตรงมาหาชายปริศนาที่เท้ายังไม่แตะพื้น เจ้าของการโจมตีนั้นก็โอคาซากิ อากิโอะ ซึ่งลอยอยู่กลางอากาศห่างจากตัวเขาไปประมาณ 3 เมตร อากิโอะนั้นลอยอยู่กลางอากาศเพื่อรอโอกาสโจมตี และในช่วงที่ชายปริศนานั้นกระโดดมายังตึกข้างๆซึ่งเขาเห็นว่ามันเป็นจังหวะเดียวที่เท้าของคนๆนั้นจะไม่แตะพื้นเป็นเวลานานที่สุด เขาจึงโจมตีใส่ด้วยความเร็วสูง

          แต่การโจมตีของเขาก็ถูกสกัดไว้ด้วยดาบคู่ที่อยู่ในมือ ชายปริศนาใช้ดาบทั้งสองเล่มดีดการโจมตีทิ้งไปอย่างง่ายดาย และในเสี้ยววินาทีต่อมาที่เท้าทั้งสองข้างของเขานั้นแตะพื้น เขาก็ได้ทำการพุ่งตัวโดยกระโดดอีกครั้ง และเป้าหมายก็คืออลิซาเบธที่กำลังลอยตัวเข้ามาหาเขานั่นเอง เธอเบรกโดยอัตโนมัติพร้อมทั้งใช้มือทั้งสองข้างกำไปที่คทา ดาบคู่ของชายปริศนาและคทาสีเพลิงของอลิซาเบธปะทะกันอย่างจัง ในแว็บแรกของอากิโอะมองว่านั่นเป็นการปะทะกันที่ดูสูสี แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมาก็ความคิดนั้นก็ต้องพังทลายลง เมื่อชายปริศนาคนนั้นปัดตัวอลิซาเบธและคทาให้กระเด็นได้ในการสะบัดดาบทั้งสองเล่มที่ไขว้กันออก

          อากิโอะรีบพุ่งตัวไปรับอลิซาเบธที่กระเด็นออกไป ทั้งสองคนกระเด็นทะลุตึกที่อยู่แถวนั้นไปสองถึงสามหลัง ชายปริศนายืนดูผลงานของตัวเองอยู่บนหลังคาของตึกที่อยู่ข้างๆ

          “เอาล่ะ ทีนี้ก็บอกที่อยู่ของชินโด มาซามุเนะมาซะ ฉันเบื่อที่...”

          “<แอร์ ช๊อท (Air Shot)>!!!”

          ก่อนที่ชายปริศนาจะพูดจบประโยค ก็มีเสียงตะโกนดังๆสายหนึ่งดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง พร้อมกับการสั่นสะเทือนอากาศโดยรอบ มีอะไรบางอย่างแหวกกลุ่มควันที่คละคลุ้งซึ่งเกิดจากการกระเด็นของอากิโอะและอลิซาเบธขึ้นมา พุ่งตรงไปยังชายปริศนาที่ยืนอยู่ แต่เขาก็โยกตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด

          เมื่อควันเริ่มจางลงแล้ว ก็เผยให้เห็นถึงอากิโอะที่กำลังอุ้มร่างของอลิซาเบธที่ดูคล้ายกลับกำลังหมดสติอยู่ และไฟสีส้มที่กำลังลุกท่วมตัวของทั้งสองคนอยู่

          “แม่มดเพลิงศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ ฉันคิดว่าน่าจะกำจัดยัยนั่นไปแล้วนี่นา เป็นรุ่นสองเหรอ?”

          ไม่มีเสียงตอบกลับมา อากิโอะที่กำลังมองไปทางชายปริศนาอยู่ก็กระซิบที่ข้างหูของอลิซาเบธ

          “คุณอลิซาเบธ ผมคิดว่าคงต้องสู้กันแบบระยะประชิดซะแล้วล่ะ ในระหว่างนั้น คุณรีหนีไปก่อนก็แล้วกัน”

          ไม่มีเสียงตอบกลับมาเช่นเคย มีเพียงมือซ้ายของอลิซาเบธที่กำลังยืนไปที่ใบหน้าของอากิโอะ แต่ก่อนที่มันจะได้สัมผัส อากิโอะก็วางร่างของเธอลงบนพื้นอย่างเบามือ พร้อมกับลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศในระดับที่สูงยิ่งกว่าเดิม

          “ฉัน โอคาซากิ อากิโอะ แล้วนายล่ะ”

          ชายปริศนาถอดหมวกออกพร้อมกับกำหัวนิดหน่อย ก่อนจะทาบหมวกลงบนหน้าอกแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูสุภาพแต่ก็จริงจัง

          “พึ่งจะมาอยากรู้เอาตอนนี้เนี่ยนะ ฉันชื่อเคียวสุเกะ เป็นสมาชิกของกลุ่ม [SEVEN STAR] และเป็นจตุรเทพด้วย”

          นั่นถือเป็นการแนะนำตัวที่ไม่ได้พิเศษอะไรมาก แต่สำหรับอากิโอะที่รู้ดีอยู่แล้วว่าศัตรูคนนี้ไม่ใช่ระดับเดียวกับฮายาโตะหรือเร็นที่เคยสู้ด้วย ก็ทำให้รู้ว่าในกลุ่ม [SEVEN STAR] นั้นมีตตำแหน่งหรืออะไรแบบนี้อยู่ด้วย

          “เคียวสุเกะสินะ ดูแล้วนายน่าจะมีอายุมากกว่าฉันอยู่ คุณเคียวสุเกะ ทำไมคุณถึงต้องการตัวมาซามมุเนะขนาดนั้นด้วย”

          “ฉันก็แค่มาทำตามหน้าที่เท่านั้นแหละ อีกอย่าง งานนี้ฉันก็ถูกยัดเยียดมาด้วย ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยว่าฉันไม่ชอบฆ่าคนนักหรอกนะ แต่ถ้ามันต้องทำฉันก็ไม่เกี่ยง”

          “เข้าใจแล้วครับ ดูเหมือนว่าจุดยืนของพวกเรามันจะต่างกัน การที่จะต้องมีใครหลีกทางให้อีกคนก็เป็นเรื่องปกติด้วย งั้นผมจะหยุดคุณเองครับ!”

          “โฮ่ เป็นน้ำเสียงที่หนักแน่นและเตรียมใจน่าดูเลยนิ งั้นฉันก็คงต้องตอบแทนความรู้สึกนั้นแล้วสินะ”

          เคียวสุเกะชีดาบที่อยู่ในมือขวามาทางอากิโอะ ส่วนอากิโอะก็ย่อตัวเตรียมพร้อมต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เคียวสุเกะใช้ดาบอีกเล่มมาทาบบนดาบที่ชี้มาทางอากิโอะ แล้วเสียงซึ่งเกิดจากการเสียดสีกันของดาบก็ดังขึ้นหลังจากที่เขาทาบดาบทั้งสองเล่มเพียงเสี้ยววินาที มีแสงสีชาดเปล่งประกายขึ้นมาพร้อมๆกับการกระทำนั้น มันคือออร่าพลังจิตของเคียวสุเกะนั่นเอง

          “<เวอร์มิลเลี่ยน สแลช (Vermillion Slash)>!”

          “<แฟลช วินด์ (Flash Wind)>”

          ดาบมือซ้ายของเคียวเกะฟันออกไปทางอากิโอะ แต่ในจังหวะเดียวกันอากิโอะก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงขึ้นไปบนตึกทางขวามือของตัวเอง เคียวสุเกะมองเรื่องนั่นออกอยู่แล้ว <เวอร์มิลเลี่ยน สแลช (Vermillion Slash)> คือท่าที่เพิ่มได้ทั้งระยะในการฟันและอานุภาพ ดังนั้นการโจมตีตีของเขาจึงไม่ได้มีแค่นั้น ดาบมือซ้ายของเขาฟันกวาดไปทางซ้ายมือของตัวเองด้วยแรงส่งจากการบิดตัวอย่างฉับพัน ออร่าสีชาดโจมตีใส่ตึกที่อยู่ทางซ้ายมือของเขาจนไม่เหลือตึกที่ยังคงตั้งอยู่ได้

          ด้วยโชคช่วยหรืออะไรบางอย่าง ทำให้อากิโอะรอดจากการโจมตีแบบกวาดล้างมาได้อย่างหวุดหวิด ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่บนซากตึกซึ่งกำลังจะถล่ม ทำให้เขาต้องลอยขึ้นเพื่อที่จะย้ายจุดตั้งรับ ส่วนเคียวสุเกะก็กำลังกระโดดตามเขามาอย่างติดๆ และจุดหมายที่อากิโอะต้องการให้เป็นสถานที่ในการต่อสู้ก็คือหอไอเฟลนั่นเอง มันคือที่ๆเข้ากับท่าโจมตีที่เขานับว่ามันเป็นท่าไม้ตายได้ดีที่สุด

          หลังจากที่อากิโอะหนีการไล่ตามของเคียวสุเกะมาพร้อมๆกับพยายามล่อให้เขามายังหอไอเฟล สุดท้ายก็มาถึงได้ เขาลอยขึ้นไปยังจุดที่ตัวเองกับอลิซาเบธเคยนั่งอยู่โดยมีเคียวสุเกะยืนมองอยู่ที่พื้น ดูเหมือนว่าเคียวสุเกะเองก็มองออกว่าอากิโอะพยายามล่อเขามายังที่แห่งนี้ เขาจึงวิ่งตามขึ้นไปโดยคิดว่าจะเล่นด้วยสักหน่อย

          ทำให้ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่ที่แต่ละฝั่งของหอคอย อากิโอะยืนอยู่นิ่งๆสักพักก่อนที่เขาจะทำการรวบรวมออร่าพลังจิตของตัวเอง ปริมาณนั้นดูแล้วมากกว่าที่เคยซะอีก เขารวมมันไว้จนออร่าหลอมรวมกันเป็นสีเขียเข้ม

          “งั้นฉันก็เอามั่งซี่”

          “…”

          เคียวสุเกะเองก็รวบรวมออร่าสีชาดของตัวเองบาง เขารวมมันเอาไว้ที่ดาบทั้งสองเล่มพร้อมกับตั้งท่าเตรียมโจมตีโดยการย่อตัวลง ทั้งสองคนตั้งท่าเดิมเตรียมโจมตีเกินกว่า 3 นาทีแล้ว อากิโอะนั้นเตรียมที่จะโจมตีจริงจึงไม่ได้ขยับตัวเลย ซึ่งต่างจากเคียวสุเกะที่ตั้งใจจะโจมตีสวนกลับไปจึงทำเป็นนิ่งอยู่ตลอด และในที่สุด การโจมตีที่คิดได้ว่าเป็นไม้ตายของอากิโอะก็พร้อมแก่การใช้งาน

          “<ทอร์นาโด โอเวอร์สตอร์ม (Tornado Overstorm)>!!!”

          “<เวอร์มิลเลี่ยน สแลช (Vermillion Slash)>!”

          ทั้งคู่ปล่อยท่าโจมตีออกมาด้วยความเร็วจนสายตาไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวเหล่านั้นไว้ได้ แต่ผลลัพธ์ของการรวบรวมออร่าเป็นเวลานานของอากิโอะ ก็คือพายุขนาดใหญ่ที่กำลังหมุนอยู่ที่ใจกลางของหอไอเฟล มันบดบังทัศนะวิสัยของทั้งสองคนไปจนหมดสิ้น แต่พายุลูกนั้นก็ถูกการโจมตีของเคียวสุเกะตัดออกเป็นสองส่วนในแนวนอนได้อย่างง่ายดาย ทว่าสิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าของเขา นั่นก็คือพายุลูกที่สองที่พุ่งเข้ามาหาเข้าด้วยความเร็วที่มากกว่าลูกแรก แต่เคียวสุเกะก็เหวี่ยงดาบมือซ้ายออกไปในแนวนอนอีกครั้ง ออร่าสีชาดของดาบพุ่งเข้าไปปะทะกันกับพายุลูกนั้น แต่ออร่าสีชาดก็แตกออกเพราะว่าพายุลูกนั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากกระแสลมเพียงอย่างเดียว แต่มันแฝงออร่าของอากิโอะเข้าไปด้วย

          “น่าสนุกดีนี่ งั้นฉันก็ขอเอาจริงบางล่ะกัน”

          เคียวสุเกะกระโจนเข้าไปหาพายุลูกใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า แต่เขาไม่ได้กระโจนเข้าไปเฉยๆ แต่เป็นการพุ่งเข้าหาด้วยดาบทั้งสองข้างที่อยู่ในมือ เขาฟันดาบลงบนผิวของพายุในแนวตั้ง เกิดการปะทะกันของออร่า ทำให้เกิดรอยราวขึ้นบนผิวหน้าของพายุ ในท้ายที่สุดมันก็แตกออก คงเหลือไว้เพียงกระแสลมหมุนแรงๆที่ทำให้รู้สึกถึงฤดูหนาวเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้เคียวสุเกะประหลาดใจก็คือ ตัวของอากิโอะที่หายไปจากจุดที่เขาเคยยืนอยู่

          “เจ้าหมอนั่นไม่น่าจะมีแรงเหลือแล้วนี่ ก็แปลว่าหนีไปแล้วงั้นหรอ?”

          “ทางนี้!”

          มีเสียงตะโกนที่ทำให้นึกถึงเด็กหนุ่มดังมาจากบนหัวของเคียวสุเกะ แต่เมื่อเขาหันหน้าตามไป ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากโครงเหล็กของหอไอเฟล และในวินาทีต่อมา กระแสลมที่พัดอย่างรุนแรงก็ผ่านตัวเขาไป พร้อมๆกับทำให้เกิดรอยแผลถูกเฉือนขนาดไม่ใหญ่มากที่บริเวณไหล่ขวาของเขา

          ระหว่างที่เคียวสุเกะกำลังร่วงหล่นสู้พื้นนั้น สายลมแบบเดียวกันพัดมาหาเขาพร้อมกับทำให้เกิดรอยแผลอีกกว่าร้อยครั้ง มันเป็นความเร็วที่ไม่สามารถที่จะมองตามได้ทัน แต่สิ่งที่เคียวสุเกะทำนั้นไม่ใช่การมอง แต่เป็นการสัมผัสถึงออร่าพลังจิต

          เคียวสุเกะฟันดาบมือขวาออกไปข้างหน้าตัวเองตรงๆ และสิ่งที่กระทบกับดาบก็คือร่างของอากิโอะที่กำลังพุ่งเข้ามานั่นเอง ร่างของเขาจากระเด็นออกไปทั้งๆอย่างนั้นพร้อมกับรอยถูกดาบฟันขนาดใหญ่ที่ท้อง เคียวสุเกะตั้งใจที่จะใช้ร่างของอากิโอะเป็นฐานเพื่อพุ่งตัวไปที่โครงเหล็กของหอไอเฟล นั่นจะทำให้เขามีจุดยืนและเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระอีกครั้ง แต่เสียงตะโกนที่คาดไม่ถึงซึ่งดังมาจากที่ไหนสักแห่งก็ทำให้การกระทำทั้งหมดของทุกคนหยุดลง

          “<ดราก้อน ไดรฟ์ (Dragon Drive)>!”

          สิ่งสุดท้ายที่อากิโอะเห็นก็คือหอไอเฟลที่กำลังถล่มลงมาพร้อมๆความมืดที่เข้าครอบครองพื้นที่การมองเห็นของเขาไปจนหมดสิ้น

 

 

 

 

 

          วันพุธที่ 2 กรกฎาคม เวลา 11.00 นาฬิกา

          “ตื่นซี่ ตื่นซีสิคะ ฮือ-------”

          มีเสียงของใครบางคนดังก้องขึ้นมาในหัวของอากิโอะพร้อมกับขาดช่วงไป เหมือนว่าตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในภวังค์ อยู่ๆเขาก็ค่อยๆได้รับแรงสั่นสะเทือนที่อาจจะทำให้แผนดินแยกออกจากกันได้เลย แต่สิ่งที่เขาเห็นก็ยังคงมีเพียงความมืดเท่านั้น

          “ฮือ-----------”

          เสียงร้องไห้ยังคงดังก้องอยู่อย่างไม่ขาดช่วง อากิโอะรู้สึกได้ว่าของเหลวบางอย่างหยดลงที่หน้าอกของตัวเอง เขาพยายามขยับตัวอยู่นาน จนในที่สุดเขาก็รู้สึกได้ว่าได้รับสิทธิ์ในการควบคุมนิ้วชี้มาแล้ว ความรู้สึกนั้นค่อยๆลามไปอย่างรวกเร็ว จากนิ้วชี้ไปที่มือ แขนแล้วก็ทั่วทั้งร่าง

          “เดี๋ยวก่อน! ดูสิ นิ้วชี้เขาขยับอยู่”

          คราวนี้เป็นเสียงของผู้ชายที่เขาคิดว่าน่าจะมีอายุไล่เลี่ยกับตนเองดังขึ้นมา เสียงร้องไห้เงียบไป เขาค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกก็คือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรจะมีอยู่บนโลกใบนี้ มังกรนั่นเอง แค่อากิโอะมองดูก็รู้ได้ในทันทีว่ามันก็คือเทมเปสต์ มังกรที่เกิดขึ้นมาจากพลังจิตของเพื่อนสนิทของมาซามุเนะ เซย์ริว อิบูกินั่นเอง และตอนนี้อิบูกิและเขาก็เป็นเพื่อนกันผ่านมาซามุเนะแล้วด้วย

          “ยัยหนู เลิกร้องไห้ฟูมฟายได้แล้วมั้ง พ่อหนุ่มนี่เขายังไม่ตายสักหน่อย ดูสิ ตื่นขึ้นมาแล้วนี่ไง”

          สิ้นสุดคำพูดนั้น เสียงร้องไห้ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานก็เงียบลงไป แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยเงาดำที่มาบังระหว่างใบหน้าของเขาและแสงอาทิตย์ สิ่งนั้นก็คือใบหน้าที่ยับยู่ยี่เพราะคราบน้ำตาและน้ำมูก ผมสีทองห้อยลงมาสัมผัสที่ใบหน้าของอากิโอะ เจ้าของของมันก็คืออาเธน่า อลิซาเบธ หญิงสาวที่อากิโอะคิดว่าไม่น่าจะร้องไห้แบบนี้ออกมาได้ เธอกระพริบตาอยู่หลายครั้ง อากิโอะกริบตาตอบกลับไป แล้วแก้มทั้งสองข้างก็ค่อยๆแดงขึ้นมาอย่างช้าๆ และเมื่อลิมิตเตอร์ความเขินอายของอลิซาเบธถึงขีดสุด เธอก็ขยับทั้งใบหน้าและร่างกายที่เคยอยู่บนร่างของอากิโอะออกมาอย่างรวดเร็ว เขาจึงใช้แขนยันพื้นเพื่อลุกขึ้นมา สิ่งที่เขาสังเกตเห็นเป็นอย่างแรกก็คือสภาพของเมืองปารีสที่เคยสวยงามได้พังพินาศลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี และตัวการที่เขาคิดว่าเป็นคนทำก็คือชายที่ยืนอยู่ทางด้านข้างของเขา อิบูกินั่นเอง

          “ขอโทษสำหรับสภาพของเมืองด้วยก็แล้วกัน แต่ถึงจะทำไปขนาดนี้หมอนั่นก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลยล่ะนะ”

          “หมายความว่าอะไรหรอครับ”

          อากิโอะถามพลางลูบท้องที่เคยมีแผลของตัวเองซึ่งตอนนี้มันได้หายไปแล้ว

          “ก็หลังจากที่ช่วยนายเสร็จ ฉันก็เข้าไปสู้แบบซึ่งๆกับหมอนั่นน่ะสิ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ยอมรับเลยว่าแกร่งจริงๆ”

          อากิโอะพยักหน้าเห็นด้วย ตั้งแต่ที่เขาเคยสู้มา เคียวสุเกะถือว่าเป็นคนที่เก่งที่สุดแล้ว ทั้งเรื่องพละกำลังแล้วก็พลังจิต คิดได้อย่างเดียวไม่สามารถที่จะสู้กันแบบตัวต่อตัวแล้วชนะได้แน่ อากิโอะยังคิดต่อไปอีกว่านั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดที่เคียวสุเกะมีแน่

          “ว่าแต่ อิบูกิ พอจะรู้ไหมครับว่าจตุรเทพคืออะไร เห็นเขาคนนั้นบอกว่าเป็นคนของ [SEVEN STAR] ด้วย”

          อากิโอะพูดขึ้นมาทำลายบรรยากาศที่เงียบงัน อิบูกิยืนนิ่งอยู่สักพักก่อนจะนั่งลงบนซากปรักหักพังของเมือง

          “ถ้าจะให้อธิบายล่ะก็ คงจะประมาณยศหรือไม่ก็ตำแหน่ง ใช่ มันเป็นตำแหน่งที่อยู่เหนือพวกฉัน ถ้าจะเรียกให้ถูกก็ [4 จตุรเทพแห่ง SEVEN STAR] ล่ะมั้งนะ ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็ เป็นกลุ่มของคน 4 คนที่อยู่ในกลุ่ม SEVEN STAR อีกที เป็น 4 คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม มีอำนาจมากกว่าพวกฉัน และก็แทบจะเรียกได้ว่ามีอิสระในการทำงานสุดๆเลยก็ว่าได้ ถ้าหมอนั่นเป็นจตุรเทพจริงล่ะก็ คงอยู่สักที่ 3 ไม่ก็ 2 แน่ๆ”

          อากิโอะและอลิซาเบธยืนฟังอิบูกิอธิบายอย่างตั้งใจ ทั้งสองคนทำความเข้าใจอยู่สักพัก ก่อนที่อากิโอะจะพูดสิ่งที่ตัวเองรับรู้มาให้ทุกคนฟัง

          “เคียวสุเกะบอกฉันมาว่าเขามาที่นี่เพราะได้รับคำสั่งมาอีกที”

          “ว่าไงนะ งั้นนายจะบอกว่ายังมีคนที่อยู่เหนือกว่านั้นอีกงั้นเหรอ”

          “ไม่รู้สิ ที่แน่ๆตอนนี้เราต้องหาทางไล่ให้เขากลับไปก่อนล่ะนะ เพราะคนที่เขาต้องการจริงๆก็คือมาซามุเนะ”

          ทั้งสามคนพยายามคิดกันอย่างสุดชีวิต เพราะการต่อสู้ในครั้งนี้ อากิโอะและอลิซาเบธตกลงกันแล้วว่าจะไม่ให้มาซามุเนะเข้ามาเกี่ยวเด็ดขาด เพราะมันถือเป็นสิ่งที่จะบ่งบอกว่าทุกคนจะสามารถปกป้องมาซามุเนะได้ไหมนั่นเอง

          “ฉันมีไอเดียดีๆแล้วล่ะค่ะ”

          อลิซาเบธพูดขึ้นมา อิบูกิกับอากิโอะเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่อลิซาเบธ เธอยิ้มพร้อมกับอธิบายแผนการให้ทุกุคนฟัง

 

 

 

         

          วันพุธที่ 2 กรกฎาคม เวลา 11.15 นาฬิกา

          “ชินโด มาซามุเนะสินะ ต้องรีบจัดการให้จบก่อนที่จะเที่ยงซะแล้ว ข้าวเช้าก็ไม่ได้กินซะด้วย”

          ในระหว่างที่เคียวสุเกะกำลังวิ่งไปตามถนนก็หยิบรูปถ่ายใบหน้าของมาซามุเนะขึ้นมาดู เขาวิ่งหาต่อไปทั้งๆอย่างนั้น ถึงตอนนี้ฝนจะยังตกอยู่นิดหน่อยก็ตาม เขามองหาสิ่งปลูกสร้างที่น่าจะมีคนอยู่แล้วไปหามาแล้วทุกที่ แต่ก็ไม่มีที่ไหนที่มีคนอยู่เลย ดังนั้นเขาจึงต้องวิ่งหาเอาเองอย่างช่วยไม่ได้

          “ฉันมาสะสางแล้วนะ เคียวสุเกะ”

          มีเสียงของใครบางคนดังขึ้นมาจากข้างหลังของเคียวสุเกะ เขาหันไปมองทั้งๆที่ยังคงวิ่งอยู่ แล้วสิ่งที่รู้สึกได้ก็คือแรงลมที่พัดมาทางตัวของเขา สิ่งที่เห็นนั่นก็คือพายุที่กำลังหมุนไล่หลังเขาอยู่นั่นเอง เขากระโดดขึ้นไปกลางอากาศพร้อมกับมองหาคนที่โจมตีเข้ามา อากิโอะกำลังไล่ตามเขามานั่นเอง เขาชี้นิ้วชี้มาทางเคียวสุเกะพร้อมกับพูดชื่อท่าเบาๆ

          “<แอร์ ช๊อท (Air Shot)>”

          เคียวสุเกะหยิบดาบที่อยู่กลางหลังขึ้นมาสองเล่มพร้อมกับฟันไปที่อากาศแรงๆ เขารู้สึกได้เลยว่ามีอะไรบางอย่างปะทะกับดาบของเขา

          “<ดราก้อน เบิร์ส (Dragon Burst)>”

          คราวนี้มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากทางขวาของเคียวสุเกะ พอหันไปก็เจอกับลำแสงสีฟ้าที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหา เท้าเขาแตะพื้นพอดี จึงทำให้เคียวสุเกะกระโดดออกด้านข้างเพื่อหลบได้อย่างหวุดหวิด

          “ทางนี้!”

          เคียวสุเกะหันหน้าไปตามเสียงนั้นทันทีโดยที่เขาไม่สนแล้วว่ามันจะมาจางทางไหน พอหันไปก็พบเข้ากับอิบูกิที่ฟาดกระบี่เข้าใส่ทันที เคียวสุเกะใช้ดาบทั้งสองมือมาป้องกันตัวไว้ได้ทัน แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือแรงมหาศาลที่ใช้ฟาดใส่เขานั่นเอง มันทำให้เขากระเด็นลงพื้นดินทันที แต่ก่อนที่จะถึงพื้นดิน เขาก็สัมผัสถึงความร้อนปริศนาที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

          “<เรจจิ้ง เฟลม (Raging Flame)>!”

          มีเปลวเพลิงสีแดงดำปะทุขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้าใส่เคียวสุเกะ

          “<เวอร์มิลเลี่ยน สแลช (Vermillion Slash)>!”

          เคียวสุเกะเหวี่ยงดาบที่มีออร่าสีชาดหุ้มอยูออกไปหวังจะโจมตีทั้งเปลวนั้นให้หายไปพร้อมๆกับคนที่เป็นคนใช้มันโจมตี แต่เมื่อเปลวเพลิงถูกดาบโจมตีใส่แล้วก็ไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย

          “<ไวลด วินด์ (Wild Wind)>”

          มีลมเย็นพัดอยู่ข้างใต้เปลวไฟที่กำลังมอดลง ทำให้เฟลวไฟโหมกระหน่ำยิ่งกว่าเดิม มันลุกขึ้นมาอีกครั้งและเคียวสุเกะไม่สามารถป้องกันได้ในทันที ทำให้เข้าถูกเปลวไฟนั้นเผาไหม้ผิวหนังบางส่วนอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่เขาจะแกว่งดาบเพื่อปัดมันให้หายไป แต่ไม่ทันที่ตัวของเขาจะถึงพื้น ก็ถูกปากใหญ่ๆของเทมเปสต์งับตัวของเขาเข้าไปทั้งตัว มันทะยานขึ้นฟ้าไปทั้งๆอย่างนั้น ก่อนที่จะปล่อยตัวเขาลงในความสูง 1,000 เมตรจากพื้นดิน

          “อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าคนคนนั้นมีความสามารถที่รุนแรงมาก แต่มีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสียใช่ไหมคะ!”

          อลิซาเบธอธิบายออกมาอย่างมั่นใจ เธอกอดอกพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูมั่นใจจนน่ากังวล อากิโอะ อิบูกิและเทมเปสต์ฟังด้วยสีหน้าที่ทำท่าจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่อลิซาเบธก็อธิบายต่อไปโดยที่ไม่มีท่าทีสนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

          “ข้อเสียที่ฉันเดาไว้ก็คือ เวลาที่เขาจะโจมตีก็ต้องใช้ดาบขนาดใหญ่ของตัวเองค่ะ แต่เพราะเป็นดาบเล่มใหญ่ การโจมตีที่แม้แต่พายุหมุนของอากิโอะคุงก็ไม่ได้ผล”

          “คือหนูจะบอกว่าแต่ละการโจมตีของมันจะไม่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นก็จะให้พวกเราจู่โจมเป็นระลอกคลื่นอย่างนั้นหรอ?”

          “ถูกแค่ครึ่งเดียวค่ะ! เราจะใช้การโจมตีเป็นระอกคลื่น แล้วปิดฉากด้วยการโจมตีผสานค่ะ!”

          “การโจมตีผสาน?”

          “ใช่แล้วค่ะ! การโจมตีที่ผสมระหว่างพลังจิตของตัวฉันกับอากิโอะคุงยังไงล่ะคะ!”

          อลิซาเบธพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปที่อากิโอะ ซึ่งตอนนี้แม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไง

          หลังจากนั้นอลิซาเบธก็อธิบายแผนการที่ตัวเองนั้นคิดขึ้นมา ซึ่งมันก็มีความเสี่ยงอยู่พอสมควร หลังจากนัดแนะกันเสร็จแล้ว อลิซาเบธก็ขอไปคุยกับอากิโอะเรื่องการโจมตีผสาน ถึงแม้จะไม่เคยมีใครทำในก็ตาม แต่เธอก็ยังคงเชื่อว่ามันจะต้องทำได้อย่างแน่นอน

          “เอาล่ะนะ คุณอลิซาเบธ พร้อมแล้วใช่ไหมครับ”

          อลิซาเบธที่ตอนนี้มีผ้าคลุมและหมวกที่ให้อารมณ์คล้ายกับแม่มดมาก ร่อนลงมายืนข้างๆอากิโอะ ต่อหน้าของทั้งสองคนมีเคียวสุเกะที่กำลังลงสู่พื้นโลกด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อลิซาเบธใช้มือขวากุมมือซ้ายของอากิโอะ ทำให้เขารู้สึกถึงแรงสั่นที่เกิดจากความกลัวของเธอ

          “เออ...”

          “อะ...นี่น่ะ สั่นสู้ค่ะ! สั่นสู้”

          “แฮะๆ”

          อากิโอะยิ้มแห้งตอยกลับคำพูดกลบเกลื่อนของเธอ เขาจึงกำมือเธอไว้แน่นยิ่งขึ้น

          “ถ้าเป็นคุณล่ะก็ ผมคิดว่าต้องทำได้อย่างแน่นอนครับ! งั้นไปกันเถอะครับ”

          “ค่ะ!”

          ถึงจะแค่นิดเดียว แต่ก่อนที่เขาจะปล่อยมือเธอไปนั้น เขารู้สึกได้เลยว่าแรงสั่นในตอนแรกนั้นหายไปเป็นปลิดทิ้งแล้ว แต่ถ้ารวมกับน้ำเสียงของเธอเข้าไปด้วย คำพูดให้กำลังใจปนภาวนาของเขาต้องเป็นจริงได้อย่างแน่นอน

          อากิโอะลอยข้างใต้ของเคียวสุเกะ พร้อมกับทำตามแผนของตัวเอง

          “<โอเวอร์ เดอะ สตอร์ม (Over The Storm)>!”

          พายุลูกหนึ่งก่อตัวขึ้นข้างใต้ร่างของเคียวสุเกะ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาเกรงกลัวเลยสักนิด

          “แค่นั้นเผด็จศึกฉันไม่ได้หรอกน่า! เดี๋ยวจะฝ่าไปให้ดู!”

          เคียวสุเกะตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่สั่นคลอน เขาคิดว่าอากิโอะคงไม่ได้ยินแน่นอน แต่ก็มีเสียงตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

          “อย่ามาดูถูกอากิโอะคุงนะคะ!”

          มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา นั่นคือเสียงของอลิซาเบธที่ลอยอยู่ต่ำกว่าตัวเขาอยู่มาก

          “อากิโอะคุงน่ะ เขาเป็นคนที่เข้าใจทุกคนอยู่เสมอ เป็นคนที่คิดถึงเรื่องของคนอื่นก่อนตัวเอง และก็เป็น...” 

          “…”

          ในระหว่างที่อลิซาเบธพูดอยู่ วงเวทย์สีแดงชานก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นข้างบนของพายุ แต่เคียวสุเกะก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันเลย เพราะตอนนี้เขากำลังจดจ่ออยู่กับคำพูดของอลิซาเบธ

          “และก็เป็น คนที่ฉันชอบด้วยค่ะ!!!”

          .....ความรู้สึกนี้มัน ไม่สิ ถ้าเป็นตอนนี้ ต้องทำได้แน่ค่ะ

          อลิซาเบธทำสมาธิ วงเวทย์ที่ก่อตัวมาตั้งแต่เมื่อกี้ก็เริ่มเปล่งแสงสีแดงออกมาอย่างเปล่งประกาย ลวดลายที่อ่อนช้อยค่อยปรากฏขึ้นมา

          “มาเลย แม่มดเพลิงศักดิ์สิทธ์รุ่นที่สองเอ๋ย แสดงพลังของเธอให้ฉันดูหน่อย!”

          “<แกรนด เมจิก : เบิร์ส ออฟ เฟลม (Grand Magic : Burst of Flame)>!!!”

          อลิซาเบธยกไม้เท้าในมือขวาขึ้นสูงๆ ทันใดนั้น วงเวทย์ที่เป็นเหมือนวงกลมซ้อนกันหลายๆชั้น ก็ถูกดึกขึ้นมาเหมือนกับเค้ก มีแสงสีแดงกระพริบอยู่ชั่วครู่ แล้วเปลวเพลิงสีแดงชานก็ปะทุขึ้นมา คล้ายกับการระเบิดของภูเขาไฟ พายุที่อยู่ด้านล่างก็ทำให้ไฟนั้นยิ่งลามไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ สิ่งที่อากิโอะ อิบูกิ อลิซาเบธและเคียวสุเกะเห็นในตอนนี้มีแต่เปลวเพลิงล้างผลาญที่ทำให้คิดว่ามันสามารถทำลายได้ทุกๆอย่าง

 

 

 

          หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที เปลวไฟที่ลุกอย่างโชติช่วงก็ดับมอดลง อลิซาเบธที่หมดแรงไปกับการโจมตีก็กำลังร่วงหล่นสู่พื้นโลกด้วยความเร็วสูง แต่เทมเปสต์ก็มารับได้ทัน ทั้งสามคนกับอีกหนึ่งตัวมารวมตัวกันอีกครั้ง อากิโอะกับอิบูกิรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของอลิซาเบธ

          “พวกเรา ชะ นะ แล้ว ใช่ ไหมคะ?”

          อากิโอะพยักหน้าตอบรับเสียงที่สั่นๆของอลิซาเบธ แล้วค่อยๆอุ้มเธอลงจากเทมเปสต์ อิบูกิยืนสำรวจดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าเคียวสุเกะไม่รอดแล้ว แต่คำตอบของเขาก็มาปรากฏอยู่ข้างหน้าโดยที่เขาไม่ต้องเรียกหาเลย

          “ยอดจริงๆ จตุรเทพอย่างฉันขอยอมรับจากใจจริงเลย”

          อากิโอะหันหน้าไปตามเสียง ก็พบกับเคียวสุเกะที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าอิบูกิ เคียวสุเกะในตอนนี้มีแค่รอยไหม้ที่ภาพคลุมกับผ้าพันแผลเท่านั้น ดูแล้วก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร นั่นทำให้ออร่าของอากิโอะและอิบูกิพุ่งขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ออกแรงเลยด้วยซ้ำ แต่เคียวสุเกะก็ยกมือขึ้นแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะต่อสู้

          “ใจเย็นๆก่อน เชื่อสิ ตอนนี้ทั้งฉันและคงไม่อยากสู้หรอก เอาเป็นว่าฉันจะยอมพวกนายไปก่อนก็แล้วกัน อากิโอะคุงสินะ เอ้านี่ รางวัลไงล่ะ”

          เคียวสุเกะโยนเทปบันทึกเสียงเก่าๆมาให้อากิโอะอันหนึ่ง แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ถามอะไร เคียวสุเกะก็หายตัวไปแล้ว

          “ลองเปิดดูสิ”

          อิบูกิพูดขึ้นมา อากิโอะพยักหน้าตอบกลับเบาๆก่อนจะกดฟังเสียง

          ในช่วงแรกของมันก็มีแค่เสียงเท่านั้น แต่ทุกคนตั้งใจฟังอยู่ จนนี่สุดก็มีเสียงลมแรงๆดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงของผู้หญิงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน

          {อากิโอะคุงน่ะ เขาเป็นคนที่เข้าใจทุกคนอยู่เสมอ เป็นคนที่คิดถึงเรื่องของคนอื่นก่อนตัวเอง และก็เป็น.................และก็เป็น คนที่ฉันชอบด้วยค่ะ!!!}

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา