Psychic พลังกายสิทธิ์ ลิขิตมรณะ

-

เขียนโดย MoMoGa

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.06 น.

  26 บท
  4 วิจารณ์
  20.89K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 11.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) ตอนที่ 5 เปลวเพลิงหวนคืน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            วันอังคารที่ 30 เมษายน เวลา 07.08 นาฬิกา

            “เฮ้อ ช่างเป็นเช้าที่วุ่นวายจริงๆน้า”

            มาซามุเนะตัดพ้อที่สี่แยกทางม้าลายระหว่างทางไปโรงเรียน เมื่อเช้านี้ เพราะมี เซย์ริว อิบูกิ ที่พึ่งจะมาอยู่ด้วย ทำให้วุ่นวายเรื่องต่างๆอยู่มาก ทั้งนากิสะที่จู่ๆก็อาละวาดไม่พอใจอะไรสักอย่าง อิบูกิก็ทำอะไรไม่ค่อยเป็นเพราะพึ่งจะเคยมาอยู่กับคนอื่น?! สุดท้ายมาซามุเนะก็ต้องออกมาทั้งที่ยังไม่ได้กินข้าวเช้า ช่างเป็นนวันที่น่ากังวลจริงๆ

            “มา-ซา-มุ-เนะ คูงงงงง”

            มีแขนสองข้างอันอ่อนโยนสอดมาระหว่างแขนทั้งสองข้างของมาซามุเนะพร้อมกับเสียงนั้น จากนั้นมือทั้งสองข้างก็ประกบเข้าหากัน ที่หลังของเขาก็สัมผัวได้ถึงออะไรบางอย่างนุ่มๆนูนออกมา กลายเป็นการโอบกอดจากข้างหลัง รู้สึกว่าเจ้าตัวจะเอาแก้มข้างหนึ่งของตัวเองเข้ามาแนบที่หลังของมาซามุเนะด้วย

            มาซามุเนะหันหน้ากลับไปข้างหลังและมองดูจนแน่ใจว่าเป็นคนๆนั้น คาวาซากิ คุออน นั่นเอง สี่แยกทางม้าลายที่มาซามุเนะยืนอยู่ ก็คือจุดนัดพบที่คุออนเป็นคนบอกให้มาเจอกันนั่นเอง พอถามหาเหตุผล เธอก็ยิ้มแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่เธอก็มักจะเข้ามากอดเขาจากด้านหลังแบบนี้เสมอ นี่คงจะเป้นเหตุผลจริงๆล่ะมั้ง

            “เธอนี่ชอบทำอะไรแปลกยู่เรื่อยเลยนะ ปล่อยซะทีสิจะได้ไปโรงเรียนกันไง”

            เขาพยายามดึงแขนของคุออนออกจากตัวเอง แต่เธอก็ยิ่งกอดแน่นยิ่งขึ้น

            “ไม่เอาหรอก วันนี้โดดเรียนกันเถอะ อยากอยู่แบบนี้ตลอดไปเลยอ้า”

            “ไม่คิดเลยว่าเธอจะบอกให้ฉันโดดเรียน เดี๋ยวก็โดนพ่อแม่เธอดุหรอก”

            เมื่อคุออนได้ยินอย่างนั้น เธอก็สะดุ้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ก็ยังกอดต่อไปทั้งๆที่ขนลุกทั้งตัวอย่างเห็นได้ชัด จู่ๆก็มีเสียงบางดังอย่างขึ้นมาจากตัวของมาซามุเนะ มันฟังเป็นเสียงที่ยืดยาน เสียงท้องร้องนั่นเอง

            คุออนยืนหัวมาไว้ที่ไหล่ของมาซามุเนะ และหันหน้ามาหามาซามุเนะ ดูจากสีหน้าแล้ว คงจะกำลังถามเขาว่า“ไม่ได้กินข้าวเช้ามาหรอ?” เขาจึงพยักหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะพูดออกมา

            “วันนี้มีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยน่ะ นากิสะเลยทำข้าวเช้าให้ไม่ได้”

            “งี้เอง งั้นเราไปกินข้าวกลางวันที่ฉันทำมาให้ที่โรงเรียนเถอะ ยังพอมีเวลาอยู่ก่อนถึงคาบโฮมรูม”

            มาซามุเนะดึงแขนของคุออนออกจากตัว แล้วจูงมือเธอเดินข้ามถนนก่อนที่ไฟจราจรที่รออยู่จะเปลี่ยนสี ดูเหมือนว่าเขากำลังคิดทบทวนข้อเสนอของคุออนอยู่ระหว่างที่เดิน แล้วก็หันหน้ากลับมาหาเธอตอนที่ถึงอีกฝั่งถนนแล้ว

            “ไม่ล่ะ ข้าวกลางวันก็ต้องกินตอนกลางวันซี่”

            “นั้นสินะ”

            คุออนตอบไปโดยให้ความรู้สึกว่าผิดหวังกับอะไรบางอย่างอยู่ แต่ทั้งสองคนก็เดินไปโรงเรียนเหมือนเคย นั่นคงจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเป็นแน่ เพราะตอนที่แยกกันเข้าห้องเรียนตามปกติ เธอก็เดินไปด้วยท่าทีที่ดูร่าเริงกว่าทุกที

            ส่วนมาซามุเนะก็เข้าห้องเรียนของตัวเอง พร้อมกับหยิบหนังสือเรียนมาวางไว้เตรียมเรียน แต่ในระหว่างที่เขากำลังหยิบของอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินอะไรเข้า เสียงซุบซิบพูดคุยของผู้หญิงในห้องเขานั่นเอง ตอนนี้พวกเธอกำลังพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เพื่อนของพวกเธอเห็นตอนที่เดินผ่านห้องพักครูของอาจารย์มายาซาว่า เธอบอกว่าเห็นเด็กผู้หญิงที่ไม่รู้จักเดินเข้าไปในห้องของอาจารย์ แต่ก็ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้

            มาซามุเนะไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นเท่าไหร่ เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้น อาจารย์มายาซาว่าก็คงจะมาแจ้งให้พวกเขาฟังก่อนหน้านี้แล้วในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาของ[ชมรมวิจัยพลังงานเชิงจิตภาพ] แต่ที่ยังไม่ได้บอกอะไรก็แปลว่าไม่เกี่ยวข้องกับพลังจิตนั่นเอง

            ส่วนอีกเหตุผลที่เขาไม่ได้สนใจก็คือ มันจะทำให้เขาใช้สมองอย่างสิ้นเปลืองพลังงานนั่นเอง นี่คงจะเป็นเหตุผลหลักมากกว่าอันแรกก็ได้

            อยู่ๆก็มีเสียงสัญญาณเริ่มคาบเรียนดังขึ้น ทั้งที่เขาคิดว่าน่าจะเหลือเวลามากกว่า 20 นาทีแท้ๆ แต่เมื่อเขาตั้งสติดีๆ ก็พบว่าตัวเองนั้นเผลอฟุบโต๊ะเรียนหลับไป ดูเหมือนว่าความเพลียจากการต่อสู้เมื่อคืนนี้เมื่อรวมกับการที่ไม่ได้กินข้านเช้าแล้ว จะส่งผลอย่างรุนแรงเช่นนี้กับตัวเขาเอง แต่ยังไงเขาก็ต้องประคองสติไว้ให้ได้ เพราะคาบโฮมรูมที่มีอาจารย์มายาซาว่าเป็นผู้สอนนั้นจะหนักหนาน่าดูเลย

            จากนั้นเขาก็ได้เห็นอาจารย์มายาซาว่าเดินเข้ามาในห้องเรียน แต่ก็มาพร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เธอเป็นคนที่เขารู้จักอยู่แล้ว เธอสวมชุดนักเรียนสีขาวทับด้วยเสื้อเบลเซอร์พร้อมผูกโบว์สีแดง กระโปรงสีกรมท่าและสวมถุงน่องสีดำ ซึ่งนั่นเป็นเครื่องแบบนักเรียนที่โรงเรียนอนุญาต โดยเธอนั้นมีผมสีทองเป็นจุดเด่นเลยก็ว่าได้ นั่นทำให้นักเรียนทั้งห้องดูตั้งใจฟังเป็นพิเศษ แต่ที่มาซามุเนะสงสัยก็คือการที่เธอคนนั้นใส่ชุดนักเรียนของโรงเรียนตนนั่นเอง แทนที่จะเป็นเครื่องแบบโรงเรียนเดิมที่เธอเคยใส่ แต่ข้อสงสัยของมาซามุเนะก็กระจางแจ้งด้วยคำพูดของผู้หญิงทั้งสองคนที่ยืนอยู่หน้าห้องเรียน

            “นักเรียนทุกคน วันนี้เราจะมานักเรียนใหม่ย้ายมาเรียนกับห้องเรานะ”

            “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ อลิซาเบะ อาเธน่า จะย้ายมาเรียนที่ห้องนี้ค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

            ทันใดนั้นก็มีเสียงตบมือของนักเรียนในห้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเหมือนการตอบรับของอลิซาเบธเลยก็ว่าได้

            ส่วนมาซามุเนะที่รู้สึกแปลกใจก็เอาหลังพิงเก้าอี้พลางใช้ความคิดทบทวน แต่เขาก็คิดว่าถามเอาเลยน่าจะง่ายกว่าหลายร้อยเท่า

            “เอ่อ อาจารย์ครับ โรงเรียนนี้ก็ไม่ใช่โรงเรียนปกติ การจะย้ายเข้ามาเรียนอย่างกะทันหันขนาดนี้มันเป็นไปได้ด้วยหรอครับ”

            การที่มาซามุเนะพูดว่า “อย่างกะทันหัน” นั้น ดูเหมือนจะทำให้นักเรียนในห้องเกิดข้อสงสัยว่า “นายรู้จักเธอหรอ” หรือไม่ก็ “รู้ได้ไงกัน” ทุกคนเลยหันสายตาที่เคยจับจ้องอลิซาเบธมาทางมาซามุเนะแทน นั่นทำให้เขารู้ตัวว่าทำพลาดซะแล้ว

            “ฉันมีเกรดเฉลี่ยรับรองจากโรงเรียนเก่าซึ่งเป็นโรงเรียนประจำประเทศอังกฤษน่ะ มีปัญหาอะไรรึเปล่าล่ะ มาซามุเนะ”

            คำตอบนั้นถูกตอบโดยเจ้าตัวเอง พร้อมทำสีหน้าที่บ่งบอกเป็นคำพูดได้ว่า “มีปัญหานักหรือไงกัน” คำพูดของเธอนั้น ทำให้นักเรียนในห้องคิดได้อย่างเดียวว่าทั้งคู่รู้จักกันแถมยังสนิทกันเป็นอย่างดีด้วย นั่นจึงทำให้สายตาพิฆาตที่ปล่อยออกมาจากผู้ชายในห้องนั้นรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ส่วนผู้หญิงก็ทำท่าที่บ่งบอกว่า “เข้าใจรึยังล่ะ”

            “เฮ้อ ทำไมฉันต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ด้วยน้า”

            มีเสียงกระแอมดังมาจากอาจารย์มายาซาว่าที่ยืนอยู่หน้าห้อง ทำให้สายตสพิฆาตนั้นหายไป มาซามุเนะรู้สึกขอบคุณเธอมาก แล้วเธอก็พูดออกมาว่า

            “งั้นคุณอาเธน่าไปนั่งตรงนั้นนะคะ”

            อาจารย์มายาซาว่าชี้ไปยังที่นั่งริมหน้าต่างแถวที่ 3 ซึ่งเป็นที่นั่งที่ยังว่างอยู่ อลิซาเบธมองไปตามนั้น แล้วทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ชี้ไปที่นั่งของผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆที่นั่งของมาซามุเนะ

            “เธอคนนั้น ชื่ออะไรหรอค่ะ”

            “ฉะ... ฉันชื่อ สุเมรางิค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ”

            “เธอช่วยย้ายไปนั่งตรงนั้นได้ไหม”

            คุณสุเมรางิที่นั่งอยู่ข้างๆมาซามุเนะเป้นคนหัวดีและอ่านสถานการณ์เป็น เธอคงจะรู้ว่าถ้าไม่ย้ายให้คงจะถูกผู้ชายในห้องเกลียดขี้หน้าเอาก็ได้ เธอจึงยอมลุกให้แต่โดยดี อลิซาเบธจึงได้มานั่งที่ของเธอแทนนั่นเอง

            หลังจากนั้น มาซามุเนะก้พยายามหาจังหวะในการถามความเป้นมาต่างๆกับอลิซาเบธ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้สนใจมาซามุเนะเลย พูดให้ถูกก็คือสนใจแต่เรื่องเรียนนั่นเอง สมแล้วที่เป็นนักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ยสูง

            “เป็นงี้เองหรอ เธอย้ายเข้ามาโดยที่อาจารย์มายาซาว่าไม่ได้บอกอะไร ก็คงไม่เกี่ยวข้องกับพลังจิตหรอก”

            “ผมเองก็คิดแบบนั้นครับ แต่มันก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆนี่”

            ในระหว่างช่วงพักกลางวัน คุออนก็ได้เอาข้าวกล่องที่เตรียมไว้ให้แล้วให้กับมาซามุเนะ ส่วนเธอก็ไปกินข้าวกลางวันกับเพื่อนคนอื่นที่โรงอาหาร มาซามุเนะจึงมากินข้าวในที่ประจำขอเขา ดาดฟ้านั่นเอง แต่ อิโนะอุเอะ ซาโยโกะ ที่เป็นรุ่นพี่ซึ่งอยู่ปี 2 ที่เป็นคนเดียวที่รู้ที่กินข้าวกลางวันของเขาก็ได้เข้ามาขัดจังหวะการกินอาหราด้วยสาเหตุอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาก็มัวแต่เล่าเรื่องของอลิซาเบธจนลืมถามไปเสียสนิท

            “เอาเถอะ ถ้าฝ่ายนั้นไม่ได้พูดอะไร แค่จับตาดูไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่”

            “นั่นสินะครับ ถ้าเธอเป็นพวกเดียวกับรัฐบาลจริงก็อันตรายอยู่พอสมควรเลยล่ะ แล้ว รุ่นพี่มาหาผมมีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”

            “แค่มาอยู่กับเธอตามลำพังน่ะ ไม่ได้หรอ”

            มาซามุเนะอยู่ในสภาพอึ้งอยู่ชั่วครู่กับคำพูดที่ฟังดูแปลกๆของเธอ

            “รุ่นพี่นอนไม่พอสินะครับ ผมบอกให้ไปนอนต่อที่ห้องพยาบาลก็ไม่เชื่อ”

            “อะไรกัน ฉันก็แค่พูดความจริงเองนี่”

            ถึงตรงนั้น มาซามุเนะก็ไม่ได้ฟังที่ซาโยโกะพูดต่อแล้ว เขากำลังคิดเรื่องการย้ายบ้านในตอนเย็นแล้วก็เรื่องที่อาจจะมีมือสังหารบุกมาที่เมืองนี้เพิ่มขึ้นด้วย

            “งั้นฉันกลับก่อนนะ”

            “ครับ รุ่นพี่ครับ วันนี้ผมจะไม่เข้าไปที่ชมรมนะครับ มีธุระส่วนตัวนิดหน่อย”

            ซาโยโกะเดินกลับไปโดยไม่ได้พยักหน้าหรือทำอะไรที่บ่งบอกว่ารู้เรื่องแล้วเลย แต่มาซามุเนะก็คิดว่าเธอนั้นต้องได้รับรู้แล้วอย่างแน่นอน

            “เวลาในตอนนี้คือ 12.22 นาฬิกา ยังพอมีเวลาแฮะ”

            มาซามุเนะนั่งที่ม้านั่งซึ่งเป็นที่ประจำของเขาแล้วก็เปิดข้าวกล่องที่คุออนทำมาให้อย่างใจจดใจจ่อ เขาคิดว่ากว่าจะได้กินข้าวก็ต้องใช้พลังงานไปมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบเปิดข้าวกล่องด้วยความเร็วสูง ข้างในนั้นมีข้าวปั้นจัดเรียงอย่างสวยงามอยู่ทั้งหมด 6 ก้อน ถ้าเขากินหมดก็น่าจะพออยู่ท้องสำหรับการเรียนคาบบ่ายก็ได้ แต่เมื่อเขากินเข้าไปถึงก้อนที่สาม ก็มีเสียงบางอย่างมารบกวนการทานอาหารกลางวันที่เขารอคอย

            “มาซามุเนะ อยู่ที่นี่นี่เอง ตามหาซะแทบแย่”

            นั่นคือเสียงเปิดประตูดาดฟ้านั่นเอง มันมพร้อมกับเสียงพูดที่ได้ยินในคาบโฮมรูมเมื่อเช้านี้ อลิซาเบธนั่นเอง

            “มีอะไรล่ะ ฉันกำลังกินข้าวอยู่นะ”

            “งั้นหรอ งั้นฉันกลับก่อนก็ได้”

            คำพูดนั้นทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องที่ต้องถามอยู่ แล้วถ้าไม่รีบถามตั้งแต่ตอนนี้ก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ถามแล้วก็เป็นได้

            “ดะ...เดี๋ยวก่อนสิ ถามๆ ฉันมีเรื่องอยากจะถามดธออยู่”

            อลิซาเบธยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ แล้วเดินมานั่งที่มานั่งเดียวกับมาซามุเนะ เขากินข้าวปั้นก่อนที่สามให้หมดก่อนแล้วจึงเริ่มต้นบทสนทนา

            “เธอย้ายมาทำไมล่ะ”

            “ก็ฉันเริ่มถูกใจโรงเรียนนี้แล้วน่ะสิ”

            “แล้วทำไมต้องมานั่งใกล้ฉันด้วย”

            “ก็นั่งอยู่กับคนที่รู้จักมันจะทำอะไรง่ายกว่านี่ จริงไหมล่ะ?”

            “แต่นั่นก็เกินเหตุไปแล้ว ผู้หญิงทั้งห้องเริ่มเกลียดเธอแล้วนะ”

            “เห นี่นายเป็นห่วงฉันด้วยหรอเนี่ย?”

            “ก็รู้จักกันนี่ ฉันคิดว่าเธอก็เป็นเพื่อนนะ แล้วเธอคิดว่าฉันเป็นแค่คนรู้จักใช่ไหมล่ะ”

            “นายคิดว่าฉันย้ายมาที่โรงเรียนนี้เพราะเหตุผลแค่นั้นหรือไงกัน นายนี่ไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงเลยจริงๆสินะ”

            ประโยคนั้นแทงเข้าไปกลางอกของมาซามุเนะเต็มๆ เขาเริ่มนั่งคิดทบทวนอีกครั้ง แต่อลิซาเบธก็กลับไปก่อนแล้ว แต่มาซามุเนะก้ไม่ทันได้สังเกตเพราะเขากำลังคิดทบทวนสิ่งที่เธอพยายามจะสื่อออกมานั่นเอง แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้อยู่ดี

             หลังจากนั้น มาซามุเนะก็เริ่มกินข้าวปั้นต่อจนหมด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกของเธอได้เลย เหมือนกับว่ามีอะไรมาขวางกั้นความคิดของเขาอยู่

             แต่เนื่องจกใกล้ได้เวลาเริ่มเรียนแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะกลับไปที่ห้องเรียนก่อนแล้วค่อยไปทำความเข้าใจต่อในภายหลัง แต่เมื่อเขากลับไปที่ห้องเรียน ก็เห็นว่าที่โต๊ะของตัวเองนั้นมีจดหมายวางอยู่ มันไม่ได้เขียนบอกว่าใครส่งมา แต่ลองอ่านดูก็รู้ว่าอลิซาเบธเป็นคนเขียนโดยไม่ต้อสงสัยเลย

             [ถ้ายังไม่เข้าใจล่ะก็ หลังเลิกเรียนมาเจอกันที่ร้านขนมปังฝรั่งเศสที่อยู่ใกล้ๆกับสวนสาธารณะด้วย]

             มาซามุเนะรู้สึกแปลกประหลาดใจ แต่เมื่อเขาจะหันไปถาม อาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามาในห้องก่อนที่เขาจะทันได้ถามเสียอีก

             คาบเรียนช่วงบ่ายผ่านไปได้อย่างราบรื่นอย่างหน้าประหลาดใจ นั่นคงจะเป็นเพราะเขาตั้งใจที่จะคุยกับอลิซาเบธให้รู้เรื่องตอนหลังเลิกเรียนแทนที่จะไปหาที่ร้านขนมปัง แต่เมื่อคาบสุดท้ายเลิกแล้ว อลิซาเบธก็กลับไปด้วยความรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเธอจะรีบไปทำอะไรสักอย่าง ดังนั้นทางเลือกของมาซามุเนะจึงเหลืออยู่แค่การไปพบเธอเท่านั้นเอง

             มาซามุเนะส่งเมลไปบอกอิบูกิกับนากิสะให้เริ่มขนของได้เลย ไม่ต้องรอ เดี๋ยวเขาจะไปจัดห้องทีหลัง อิบูกิส่งเมลกลับมาบอกว่าเข้าใจแล้ว ส่วนทางนากิสะนั้นจะโกรธน่าดูเลย แต่เขาก็ไม่ได้เขียนอะไรตอบกลับไป

             วันเดียวกัน เวลา 15.40 นาฬิกา

             เนื่องจากในจดหมายนั้นไม่ได้ระบุเวลาที่แน่นอนเอาไว้ เขียนไว้แค่ให้ไปพบกันหลังเลิกเรียน มาซามุเนะจึงแวะร้านสะดวกซื้อก่อนแล้วจึงมาตามนัด เพราะร้านสะดวกซื้อนั้นอยู่ระหว่างทางพอดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ใช้เวลาเยอะไปอยู่ดี ซึ่งเขาก็คิดว่ามันเป้นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ

             เขาคิดว่าที่เธอนั้นไว้ที่ร้านขนมปังก็เพราะอยากจะคุยไปด้วยกินไปด้วย ซึ่งที่ร้านก็มีขนมปังฝรั่งเศสแบบแท้ๆอยู่ด้วย แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องเป็นขนปังฝรั่งเศสทั้งที่เป็นคนอังกฤษแท้ๆ

             แต่เมื่อมาซามุเนะมาถึง ก็เห็นอลิซเบธกำลังนั่งกินขนมปังอยู่อย่างเอร็ดอร่อยซึ่งดูไม่เหมือนคนที่นัดคนมาเจอเลย เขาเดินเข้าไปหาแต่ทั้งที่ยังไม่ได้เรียก เธอก็หันมามองแล้ว อย่างกับว่ามีคนบอกให้รู้ เธอมองเขาด้วยสีหน้าที่ดูหงุดหงิดอะไรสักอย่างแล้วขยับปากเหมือนกับพูดอะไร แต่ทันใดนั้น รอบข้างที่น่าจะมีคนอยู่อย่างหนาแน่นเพราะเป็นช่วงหลังเลิกเรียนใหม่ๆแท้ๆ แต่จู่ผู้คนโดยรอบก็หายไป ใช่แล้ว การที่เธอขยับปากเมื่อกี้คงเป็นสวิตซ์ในการสั่งกางอาณาเขตโลกเสมือนนั่นเอง

             ผมสีทองของอลิซาเบธเปล่งประกายแล้วเปลี่ยนเป็นสีเพลิงพร้อมกับสีตา เธอวางขนมปังไว้บนโต๊ะแล้วเดินมาหามาซามุเนะที่กำลังสับสนอยู่

             “นายมาช้านะ มาซามุเนะ”

             “เฮ้ๆ เธอเรียกฉันมาคุยเรื่องอะไรล่ะเนี่ย”

             “ในจดหมายไม่ได้เขียนไว้ว่าจะคุยด้วยสักหน่อย ทำไมอ่านแล้วตีความเป็นเองเนี่ย”

             “นี่เธอไม่ได้จะเอาจริงใช่...”

             คำถามของมาซามุเนะนั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเมื่อในมือขวาของอลิซาเบธนั้นมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา เธอกำเปลวเพิงเหล่านั้นไว้ในมือ มันกลายสภาพเป็นดาบแบบตะวันตกที่เขาเคยเห็นมาแล้ว และเธอก็วิ่งเข้ามาหามาซามุเนะพร้อมกับพูดต่อไปว่า

             “ตระกูลฉันสอนมาว่า ถ้าไม่เข้าใจอะไรกันก็ต้องสู้กันน่ะ”

             “กฎแบบนั้นมันบ้าบอเกินไปแล้ว!!”

             “ฉันเองก็คิดแบบเดี๋ยวกับนายนั่นแหละ จนถึงเมื่อกลางวันนี้อ่ะนะ”

             “ก็ฉันไม่ได้อยู่ตระกูลเดียวกับเธอสักหน่อยนี่”

             “หนวกหู!”

             .......นี่มันพาลกันชัดๆเลยนี่น่า

             มาซามุเนะได้แต่คิดแบบนั้นอยู่ในใจ เพราะว่าตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงหยุดอลิซาเบธไม่ได้ เธอพุ่งเข้ามาโดยที่มีดาบเพลิงอยู่ในมือ ดูยังไงก็เป็นพฤติกรรมของผู้หญิงที่มีอาการอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้สิ่งที่มาซามุเนะต้องคิดก็มีแต่การหลบการโจมตีที่พุ่งเข้ามาอย่างมั่วๆของเธอ

             อลิซาเบธฟันดาบไปในแนวนอนจากซ้ายไปขวา แต่มาซามุเนะก็กระโดดหลบไปด้านหลัง เขากระโดดหลบไปค่อนข้างไกลแต่ก็ได้รับคลื่นความร้อนที่แผ่ออกมาอยู่ น่าจะเป็นเพราะยังอยู่ในพื้นที่ที่การโจมตีส่งไปถึงอยู่ ถึงจะเป็นแค่คลื่นความร้อนแต่เขาก็รับรู้ได้เลยว่าเป็นความร้อนที่สามารถตัดเหล็กกล้าได้ในการโจมตีเพียงตวัดดาบแน่นอน

             จากนั้นเธอก็ยังโจมตีใส่เขา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งที่มาซามุเนะทำได้ก็มีเพียงการออกจาดาเมจโซนให้ได้เท่านั้น แต่ก็มีอยู่หลายครั้งที่รู้สึกได้ว่าเกือบจะโดนคลื่นความร้อนนั้นเผาไป

             -------ถ้าไม่ตั้งใจหลบก็คงจะไม่รอด คงมีแต่ต้องหลบการโจมตีจนเธอหมดไปเอง

             “เอ้า ทำอะไรอยู่น่ะมาซามุเนะ ที่แล้วๆมาฉันยังไม่ได้เอาจริงเลยนะ ถ้านายไม่ตอบโต้ต้องโดนเผาจนไหมเกรียมก่อนแน่”

             หลังจากนั้น การโจมตีของเธอก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น เขารู้สึกได้เลยว่าคลื่นความร้อนนั้นเพิ่มรัศมีการโจมตีขึ้น แต่มาซามุเนะก็ฝึกรับรู้ถึงออร่าของพลังจิตมาอย่างดี ถึงขนาดที่ว่าสามารถรับรู้ขอบเขตการโจมตีได้ระหว่างที่ศัตรูกำลังจะโจมตีเลย แต่ถึงอย่างนั้นการรับรู้ขอเขาก็มีขีดจำกัด นั่นก็คือต้องมีจิตที่แน่วแน่กับการจับออร่าแล้วก็การกระโดดหลบเท่านั้น ไม่อย่างนั้นการสัมผัสถึงออร่าที่เบาบางก็คงทำไม่ได้ แต่ออร่าของอลิซาเบธที่แผ่ออกมาอย่างรุนแรงนั้นคงจะสามารถรับรู้ได้โดยไม่ต้องคงสติไว้ให้ครบก็อาจจะทำได้

             “นะ...นี่มันอะไรน่ะ”

             ขณะที่เขากำลังหลบการโจมตีอยู่นั้น จู่ๆออร่าของอลิซาเบธที่เป็นตัวบ่งบอกถึงขอบเขตการโจจมตีนั้นก็แผ่ออกมาเป็นเส้นตรงที่ลากผ่านตัวเขาออกไปอีกหลายเมตร และแม้แต่รอบข้างเองก็มีออร่าแผ่ออกไปอย่างกว้างขว้าง มาซามุเนะที่หลบหลีกการฟันดาบในหลากหลายรูปแบบนั้นก็ยังมองไม่ออกว่ามันเป็นการโจมตีแบบไหน และแน่นอนว่ามาซามุเนะคงจะหลบได้ไม่พ้นอย่างแน่นอน

             “เอ้า จะใช้พลังจิตได้รึยังล่ะ”

             อลิซาเบธพูดท้าทายให้มาซามุเนะใช้พลังจิตที่เขาไม่ได้ใช้มาตลอดในการหลบการโจมตีครั้งที่ผ่านๆมา อีกอย่าง เธอก็คงจะมองออกว่ามาซามุเนะนั้นสามารถคาดเดาการโจมตีล่วงหน้าได้ เหมือนกับผู้ที่ทำนายอนาคตได้ แต่ผู้ที่ทำนายอนาคตได้นั้นจะเสียสติเมื่อล่วงรู้ว่ากำลังจะเกิดภัยพิบัติที่ไม่มีใครสามารถยับยั้งได้ นั่นก็เท่ากับแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

             มาซามุเนะได้ตัดสินใจในสิ่งที่แตกต่างออก เขาถอยหลังออกไปนิดหน่อยแต่ก็ยังอยู่ภายในระยะของการฟัน เขาเอาเท้าทั้งสองข้างยันไว้ที่พื้นหลังแล้วโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วในมือขวาก็มีบางอย่างส่องแสงอยู่ มันเริ่มก่อรูปขึ้นด้วยแสงที่ปล่อยออกมา กำเนิดเป็นดาบคาตานะเล่มหนึ่งอยู่ในฝักดาบ ดาบแห่งดวงดาวนับพัน [STARDUST] นั่นเอง

             มาซามุเนะใช้มือซ้ายกำฝักดาบไว้แน่น ส่วนมือขวาจับด้ามดาบไว้พร้อมชักออกมารับการโจมตีของอลิซาเบธ เขาชักออกมาเพียงแค่ 20 เซนติเมตรเท่านั้น โดยที่ดาบส่วนใหญ่ยังถูกเก็บไว้ในฝัก ส่วนที่โผล่ออกมานั้นมีออร่าสีดำเคลือบอยู่ นั่นจึงทำให้ดาบไม่หลอมไปก่อนและยังสามารถต้านแรงได้เป็นอย่างดี

             มาซามุเนะนั้นรู้ตัวดีว่ายังคงอยู่ในรัศมีโจมตีของคลื่นความร้อน แต่เขาก็ได้แผ่ออร่าสีดำออกมาคลุมตัวก่อนแล้ว

             “ยอดจริงๆ สมแล้วที่เป็นนาย”

             “ไม่ขนาดหรอก อีกอย่าง ยังไม่รู้ตัวจริงของการโจมตีที่เหลือเลยเนี่ยสิ”

             “เป็นงั้นเองหรอกหรอ นายรู้แค่ระยะของโจมตีแล้วก็คาดเดาวิธีการพร้อมกับคำนวณระยะหลบหลีกที่เหมาะสมพร้อมกับเคลื่อนตัวสินะ ถ้าเป็นนายเอาจริงก็จะเอาวิธีการโจมตีสวนเข้าไปใส่ในการคำนวณระยะทางหลบหลีกด้วยสินะ”

             “มองออกขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย แต่ถ้าเธอเอาจริงฉันก็คงจะโจมตีสวน ไม่สิ แม้แต่หลบการโจมตีก็คงจะยากน่าดูเลยล่ะนะ”

             “นั่นฉันถือเป็นคำชมก็แล้วกันนะ งั้นจะให้คำขอบคุณเป็นคำตอบของการโจมตีที่เหลือก็แล้วกันนะ”

             ทันใดนั้น อลิซาเบธก็ปรับเปลี่ยนการยืนให้มั่นคงขึ้น ใส่พลังโจมตีและพลังจิตไปที่ดาบมากขึ้นจนเกิดเป็นประกายแสงของเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นมาที่ดาบมากกว่าเดิม แล้วการต้านกันของดาบทั้งสองแบบก็หยุดลงตรงนั้น นั่นเป็นเพราะว่าเธอกดดาบเหมือนกับจงใจโจมตีใส่พื้น ทำให้ดาบเกิดแฉลบจนฟันลงไปที่พื้นแต่เธอก็หยุดมันไว้ได้ แต่ก็ยังไม่เห็นเข้าโครงของการโจมตีในแนวเส้นตรงเลยแม้แต่น้อย

             “<แฟลร์ สไตรค์ (Flare Strike)>!!!”

             อลิซาเบธตะโกนออกมาพร้อมกับที่ดาบนั้นแฉลบลงพื้น ที่เส้นโค้งกลางอากาศซึ่งเกิดจากการเปลวเพลิงของดาบที่ฟัน(แฉลบ)ของดาบนั้นเกิดประกายไฟที่ลุกโชนขึ้นมาพร้อมกับก่อตัวเป็นลูกศรของธนูแล้วพุ่งออกไปทั้งๆอย่างนั้น

             มาซามุเนะใช้เท้าซ้ายก้าวออกมาข้างหน้าทั้งๆอย่างนั้นเพื่อพยุงร่างที่เสียสมดุลจากการหายไปอย่างกะทันหันหารต้านกันที่ช่วยพยุงน้ำหนักมาตลอด เขานั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เนื่องจากรอรับการโจมตีที่เห็นเป็นแนวเส้นตรง ทำให้ไม่สามารถหลบการโจมตีของลูกศรเพลิงได้ จึงต้องใช้แขนทั้งสองข้างที่มีออร่าอ่อนๆปกคลุมอยู่ป้องกันไว้

             “ศรเพลิงไม่ใช่ของที่การป้องกันลวกๆนั่นจะรับไหวหรอกนะ!”

             “รู้แล้วน่า หนวกหูจริง”

             มาซามุเนะไม่สามารถพูดตอบออกไปได้ ตัวเขากระเด็นไปข้างหลังกว่า 1 เมตร ออร่าสีดำนั้นแตกกระจายออกอย่างแหลกละเอียด เขาลงไปนอนกองกับพื้นด้วยการโจมตีเพียงคอมโบเดียวของอลิซาเบธ ประสาทสัมผัสทั้งห้าค่อยหยุดการทำงานเนื่องจากความเจ็บปวดจากความร้องของศรเพลิง

             ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมอลิซาเบะถึงให้มาต่อสู้กัน นั่นเป็นเพราะพลังจิตนั้นเกิดจากการแปลงความรู้สึกภายในใจออกมาเป็นพลังโดยใช้หลักการอะไรบางอย่าง ทำให้การต่อสู้ในครั้งนี้เหมือนเป็นการเปิดใจคุยกันแบบอ่อมๆ ทุกครั้งที่อลิซาเบธโจมตีมา เขาจะรับรู้ได้ถึงออร่าของเธอที่แฝงความรู้สึกภายในใจเอาไว้

             “ฉันนี่มัน โง่จริงๆ เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่รู้”

 

 

             “ตื่นแล้วหรอ”

             มาซามุเนะกระพริบตาเพื่อปรับโฟกัสของการมองเห็น สิ่งที่เขาเห็นนั้นมันมืดไปหมดจนไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามันคืออะไร แต่เขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่แตะอยู่ที่แก้มของเขา เมื่อลองใช้มือขวาสัมผัสก็รู้สึกว่ามันเรียวยาวและนุ่มลื่น และที่หัวของเขาก็กำลังหนุนอะไรบางอย่างที่นุ่มมากอยู่ สายตาของเขาค่อยๆปรับโฟกัสได้ทีละนิด และสิ่งที่เขาเห็นก็คือใบหน้าของอลิซาเบธที่กำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่ ดูเหมือนว่าประสาทรับรู้ของเขาจะยังกลับมาไม่สมบูรณ์

             “อ่า...เอ่อ คือ เอ่อ คือว่า”

             “นายจะพูดอะไรกันแน่เนี่ย”

             “ที่นี่คือ”

             “ที่เดิมนั่นแหละ หลังจากนายโดนฉันอัดก็สลบไปเลยนี่ แต่ก็ยังกางอาณาเขตอยู่น่ะ”

             “แล้ว...ทำไมพื้นมัน...นุ่มจัง”

             อลิซาเบธมีปฏิกิริยาต่อคำพูดนั้นของมาซามุเนะอย่างเห็นได้ชัด แก้มของเธอมีสีแดงขึ้นมาอย่างกะทันหัน สิ่งที่เขาพอจะนึกขี้มมาได้ต่อปฏิกิริยาของเธอนั้นมีอยู่แค่อย่างเดียว นั้นก็คืออาการเขินนั่นเอง

             มาซามุเนะนั้นไม่เชื่อความคิดของตัวเอง อลิซาเบธที่ปกติจะเป็นคนที่โหดร้ายทารุณ(ในความคิดของมาซามุเนะ)นั้นไม่น่าจะแสดงอาการอะไรแบบนี้ออกมา

             “นะ...นี่เธอ”

             “หนวกหู!”

             จู่เขาก็เห็นอลิซาเบธตัวใหญ่ขี้นอย่างกะทันหัน นี่ไม่ใช่ความสามารถขยายร่างหรือย่อส่วนตัวเขา แต่เธอลุกขึ้นยืนต่างหาก ก่อนหน้านี้เธอให้เขาหนุนตักนั่นเอง แต่เมื่อเขารู้สึกตัวก็สายไปแล้ว หัวของเขากระแทกกับพื้นอย่างจัง

             “โอ๊ย ทำอะไรของเธอเนี่ย”

             “หนวกหู”

             “นี่เธอพูดเป็นอยู่คำเดียวรึไงกัน เอ๊ะ”

             เมื่อมาซามุเนะเอามือลูบหัวที่กระแทกกับพื้น ก็รู้สึกได้ทันทีว่าแขนของเขานั้นไม่หลงเหลืออาการบาดเจ็บจากการโดนศรเพลิงของอลิซาเบธแล้วและเมื่อเขามองดูที่แขนของตัวเอง ก็หลงเหลือแค่รอยไหม้ที่แขนเสื้อเท่านั้น ส่วนรอยไหม้ที่แขนนั้นเหมือนกับว่ามันไม่มีเลยก็ว่าได้

             “นะ...นี่มัน เป็นไปได้ยังไงกัน”

             .....การโจมตีนั้นเป็นของจริงแน่ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดก็ยังเหลืออยู่นิดหน่อย ร้อยไหม้ที่แขนเสียก็ยังร้อนๆอยู่ด้วย แต่ทำไมถึงไม่มีรอยแผลเลยล่ะ

             อลิซาเบธที่เห็นมาซามุเนะทำหน้าตกตะลึงกับสิ่งที่เขาไม่เข้าใจอยู่ เธอยิ้มออกมาก่อนจะตอบข้อสงสัยของเขาออกมา

             “<เปลวเพลิงแห่งการรักษา>ยังไงล่ะ พลังอีกแบบของฉันน่ะนะ”

             “ของแบบนั้นเป็นได้ด้วยหรอ? การจะรักษาได้จำเป็นต้องมีอิมเมจที่มั่นคงและก็ความรู้ด้านการแพทย์ด้วยนิ”

             “ก็ใช่แหละ ตอนรักษาแผลนายนี่ยากมากเลยนะ กระดูกถูกศรเพลิงหลอมเกือบจะหายไปอยู่แล้วด้วย ไม่ไหวเลยนะนายเนี่ย หัดป้องกันให้มันดีหน่อยสิ คนรักษาเขาลำบากแย่เลยนะ”

             “ก็เธอเป็นคนที่เกือบจะเอาชีวิตฉันไปเองไม่ใช้รึไงเล่า แล้วนี่กี่โมงแล้วเนี่ย”

             อลิซาเบธดูนาฬิกาที่มือซ้ายของตัวเองก่อนที่จะตอบมาซามุเนะ

             “ก็ ตอนนี้ 6 โมงครึ่ง ใช่ 6 โมงครึ่งแล้ว”

             “ว่าไงนะ!”

             “ทำไมหรอ?”

             “ก็วันนี้ฉันมีย้ายบ้านน่ะสิ ฉันไปก่อนล่ะกัน”

             มาซามุเนะลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบของที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ แล้วก็มุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรีบร้อน อลิซาเบธยืนนิ่งอยู่ที่เดิมสักพักก่อนจะปลดอาณาเขตแล้วพูดขึ้นมา

             “เดี๋ยวก่อนสิมาซามุเนะ”

             “อะไรกันอีกเล่า ฉันกำลังรีบนะ”

             “นายย้ายบ้านไปบ้านใหม่หรอ? หลังใหญ่ไหมล่ะ”

             “ใหญ่มากเลยล่ะ ก็ต้องอยู่กับนากิสะด้วย แต่มันก็เป็นบ้านที่ใหญ่เกินไปสำหรับสองคน ประมาณ 7 คนก็ยังได้เลยล่ะนะ”

             “งั้นหรอ นายสู้แพ้ฉันใช่ไหมล่ะ แล้วก็รวมกับค่ารักษาด้วย ขอไปอยู่ที่นั่นด้วยคนเป็นการตอบแทนสิ”

             “หา???? พูดบ้าๆ”

             “นายไปสายใช่ไหมล่ะ ถ้ามีฉันไปด้วยนากิสะจังอาจจะให่อภัยนายก็ได้นะ”

             มาซามุเนะเผลอคิดถึงเวลาที่นากิสะโกรธตอนที่เป็นเด็ก ตอนนั้นทั้งสองคนนัดว่าจะไปเล่นด้วยกัน แต่เขาติดธุระก็เลยไปเล่นด้วยไม่ได้ เมื่อเจอกันอีกครั้งเธอก็บ่นให้มาซามุเนะถึงขนาดที่ว่าห้องเก็บเสียงเอาไม่อยู่เลยทีเดียว แถมในครั้งนี้ มาซามุเนะก็ไม่ได้บกว่าจะกลับช้าขนาดนี้ด้วย แต่ถ้ามีอลิซาเบธไปด้วยก็อาจจะดีขึ้นก็ได้ แต่เรื่องที่จะไปอยู่ด้วยมันก็ยังไงๆอยู่

             “ก็ได้ๆ แต่มาอยู่ที่บ้านคนอื่นแบบนี้มันจะดีหรอ?”

             “ไม่เป็นไรหรอกน่า อย่ากังวลเลย”

             .......ก็เธอนั่นแหละที่น่ากังวลที่สุดน่ะ

             “อ๊ะ จะไปไหนน่ะ ทางนี้ต่างหาก”

             “หา?”

             เมื่อมาซามุเนะทำท่าจะเดินไปยังฝั่งตะวันออกของตัวเมือง ซึ่งมีบ้านของเขาตั้งอยู่ อลิซาเบธก็พูดห้ามขึ้นมาซะงั้น

               “ก็บ้านมันอยู่ทางนี้นี่ เธอจะไปทำไมทางนั้นล่ะ”

               “ก็ไปเก็บของออกแล้วก็เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมที่พักอยู่จนถึงเมื่อคืนไง ก็จะไปอยู่ที่ใหม่แล้วนี่”

               “ฉันยังไม่รู้เลยนะว่านากิสะจะให้อยู่รึเปล่าน่ะ”

               “ไม่เป็นไรหรอก นากิสะน่ะให้อยู่แล้วล่ะน่า”

               “เฮ้อ จริงๆเลย”

               ด้วยคำพูดของเธอนั้น ทำให้มาซามุเนะต้องตามเธอไปอย่างช่วยไม่ได้ โร

แรมที่เธออยู่นั้นห่างจากร้านขนมปังในตอนแรกแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่เพราะเป็นย่านการค้าจึงทำให้ไม่ค่อยมีคนมาพักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นโรงแรมที่หรูหราสมกับที่เป็นคุณหนูจากอังกฤษ คงจะเป็นเพราะข้างในโรงแรมนั้นให้บรรยากาศเหมือนกับอยู่ประเทศอังกฤษล่ะมั้ง อลิซาเบธถึงได้เรียกที่จะมาอยู่ที่นี่

               หลังจากอลิซาเบธเช็คเอาท์เสร็จ ทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปยังบ้านใหม่ทที่มาซามุเนะจะย้ายไปอยู่ ซึ่งเป็นบ้านที่ใหญ่กว่าห้องเช่าที่มาซามุเนะเคยอยู่ทั้งหลังเลยก็ว่าได้ มันเป็นบ้านที่พ่อแม่ของนากิสะซื้อไว้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของทั้งคู่โดยเฉพาะ แต่มาซามุเนะที่ไปอยู่ที่ห้องเช่าก่อนที่จะย้ายเข้ามา มันเป็นเหตุผลทางความรู้สึก เพราะบ้านหลังนั้นใหญ่เกินไปนั่นเอง ในตอนที่เขาย้ายกลับมาที่เมืองนี้ พ่อของนากิสะก็ได้เสนอให้เข้าไปอยู่เลย แต่เมื่อเขาลองไปอยู่ได้เพียงแค่วันเดียว เขาก็รู้สึกว่าควรจะรอให้นากิสะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยก่อนถึงจะอยู่ได้

               การที่ได้อิบูกิมาอยู่ด้วยก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี และถ้าอลิซาเบธย้ายเข้ามาเพิ่ม มันก็น่าจะทำให้นากิสะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น แต่ปกติ ถ้าเธอได้อยู่กับมาซามุเนะเธอก็ผ่อนคลายมากแล้ว แต่มันก็ส่งผลดีต่อเขาด้วยเช่นกัน เพราะว่าห้องเช่าหลังเก่ากับบ้านที่เขาย้ายไปอยู่นั้น ทางไปโรงเรียนในตอนเช้ามันต่างกันอยู่นิดหน่อย เขาคิดว่าถ้ามอลิซาเบธไปด้วยก็จะสบายขึ้น

               เมื่อทั้งคู่เดินไปได้ประมาณ 20 นาที ก็เห็นบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ที่หน้าบ้านมีป้ายไม้แขวนที่เขียนว่า[ฮันโซ]แขวนไว้อยู่ แต่เมื่อดูจากขนาดภายนอกแล้ว มันก็ใหญ่เกินไปที่จะอยู่กันแค่ 3 คนจริงๆนั้นแหละ

               “ถึงแล้ว นี่แหละบ้านของฉัน”

               “ขนาดก็พอๆกับคฤหาสน์ของตระกูลฉันที่อังกฤษนั่นแหละน่า”

               “งั้นนี่ก็ไม่ใช่บ้านแต่เป็นคฤหาสน์งั้นหรอ”

               “ถ้าขนาดนี้เรียกบ้านแล้วและคฤหาสน์จะขนาดไหนกันเล่า”

               “งั้นก็เข้าไปกันเลยเถอะ”

               ทางเข้าหน้าบ้านนั้นเป็นทางออกสำหรับรถยนต์(แต่ในบ้านไม่มีทั้งรถยนต์และคนที่ขับได้)และก็ประตูบ้านหนึ่งที่อยู่ข้างๆเท่านั้น แน่นอนว่าทั้งสองทางต้องให้คนข้างในอนุญาตก่อนถึงจะเปิดออก หรือไม่ก็ต้องมีกุญแจที่มีไว้สำหรับเข้าบ้านเท่านั้น มาซามุเนะนั้นมีกุญแจอยู่จึงเข้าไปได้โดยไม่ต้องให้คนในบ้านหรือก็คือนากิสะรู้ตัว แต่ของจริงมันอยู่ที่ประตูเข้าบ้านต่างหาก ถึงจะมีกุญแจยังไงเวลาที่ประตูเปิดออกก็จะมีเสียงสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีคนเปิดประตูออก

               มาซามุเนะนั้นเตรียมใจสำหรับโดนดุอย่างเต็มที่เหมือนกับลุยเข้าไปในดันเจี้ยนแล้วถูกบังคับให้สู้กับบอสนั้นแหละ แต่ดูเหมือนอลิซาเบธจะไม่ได้กังวลอะไรเลยล่ะนะ คงเป็นเพราะมีไม้ตายอะไรสักอย่างซ่อนอยู่ก็ได้

               “เธอแน่ใจนะ?”

               ในตอนที่มาซามุเนะอยู่ที่หน้าประตูบ้านแล้ว เขาถามย้ำอลิซาเบธก่อนจะเปิดประตูด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูเป็นกังวลยิ่งกว่าตอนต่อสู้กับเธอเมื่อตอนบ่ายตั้งหลายสิบเท่า

               “แน่นอน มาถึงที่นี่แล้วยังไงก็ถอยไม่ได้ล่ะนะ”

               น้ำเสียงที่ดูมั่งลนใจจนเกินเหตุของเธอทำให้มาซามุเนะเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิม

               “งั้นก็ จะเปิดล่ะนะ”

               มาซามุเนะพูดออกมาพร้อมกับยื่นมือที่กำลังสั่นไปจับที่ลูกบิดประตู แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น จู่ลูกบิดที่แม้แต่มาซามุเนะก็ยังไม่ได้แตะต้องก็ถูกหมุน มันคือเปิดประตูจากข้างในบ้านนั่นเอง

               “ทะ...ทำไมล่ะ ก็เรายังไม่ได้แตะเลยนี่”

               ประตูถูกแง้มออกมาพร้อมกับสายลมที่เย็นยะเยือกที่พัดออกมาพร้อมกัน ถึงประตูจะยังเปิดออกมาไม่สุด แต่ก็ได้เห็นแล้ว สีหน้าที่ดูเย็นชาของนากิสะนั่นเอง เธอออกมาพร้อมกับชุดกิโมโนสีม่วงอ่อนซึ่งเป็นชุดประจำของเธอ มาซามุเนะสัมผัสได้ถึงลมเย็นที่มาโดนที่ตัวเขาจนขนลุกไปทั่วทั้งร่าง แต่อลิซาเบธก็ยังคงยื่นนิ่งอยู่ด้วยสีหน้าทีดูสงสัยอะไรบางอย่าง นั่นก็เพราะประตูนั้นเปิดออกมาไม่พ้นตัวเธอที่ยืนอยู่ด้านขวาของมาซามุเนะนั้นเอง

               “ทะทะทะท่านพะพี่ค่ะ ทำไมกะกะกลับมาช้าจะจะจังเลย”

               เธอขยับปากอย่างตะกุกตะกัก และมาซามุเนะก็พึ่งจะสังเกตเห็นว่าไม่ใช่การตะกุกตะกักแบบธรรมดา แต่เธอกำลังตัวสั่นอยู่นั่นเอง

               “มีธุระนิดหน่อยน่ะ แล้วทำไมถึงสั่นแบบ โอ๊ย”

               “นา------กิ------สะ ฉันมาแล้วนะ อุ๊ย ทำไมหนาวจังล่ะ”

               อลิซาเบธที่รู้ว่าคนที่เปิดประตูออกมาคือนากิสะ ก็กระโดดเข้ามาแทนที่มาซามุเนะที่กำลังพูดอยู่พร้อมกับอุ้มตัวนากิสะขึ้นมากอด แต่ก็พึ่งจะรู้ตัวว่ามันเย็นแปลกๆ

               “พะพะพอดีอะอะแอร์เสียน่ะ มะมะไม่น่าทำตะตะตามที่เจ้ามะมะมังกรบอกเลย”

               เจ้ามังกรที่นากิสะพูดถึงคงจะหมายถึงเทมเปสต์ มังกรที่เกิดขึ้นมาจากพลังจิตของอิบูกิ เป็นมังกรที่ทำตัวเหมือนรู้ทุกอย่างแต่จริงๆแล้วแทบจะไม่มีความรู้อะไรเลย

               “มังกรหรอ?”

               “เทมเปสต์ของอิบูกิน่ะ แต่ก่อนอื่นนะ ทำไมนากิสะถึงรู้ล่ะว่าพี่กลับมาน่ะ”

               “ก็นะนะหนูใช้พะพะพลังจิตนะนะน่ะสิค่ะ”

               “มันจำเป็นต้องใช้ไหมล่ะนั่นน่ะ”

               “นะนะนิดหน่อยค่ะ”

               ดูเหมือนอากาศในบ้านนั้นจะหนาวจริงๆ นั่นแหละ จากนั้นมาซามุเนะก็เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับพูดกระซิบเบาๆว่า “ขออนุญาตนะครับ” แล้วก็ถอดรองเก็บใส่ชั้นวางรองเท้าพร้อมกับเปลี่ยนไปใส่รองเท้าสลิปเปอร์ซึ่งมีอยู่ในชั้นวางรองเท้าตั้ง 10 คู่ มาซามุเนะคิดว่าบางทีนากิสะอาจจะไปซื้อมาเพิ่มหรือไม่พ่อของเธอก็ส่งมาให้พร้อมกับดาบ[STARDUST]ที่ถูกเก็บไว้ในรูปของการ์ดก็ได้

               อลิซาเบธกับนากิสะก็เดินตามเข้ามา อลิซาเบธวางกระเป๋าลากที่ใส่ของใช้กับเสื้อผ้าเอาไว้ลงแล้วเปลี่ยนรองเท้าเช่นกัน มาซามุเนะที่สังเกตเห็นกระเป๋าลากของอลิซาเบธจึงงพูดสิ่งที่ลืมพูดออกมา

               “เอ่อ นากิสะ อลิซาเบธจะย้ายมาอยู่กับเราด้วยนะ น้องโอเครึเปล่า?”

               นากิสะแสดลสีหน้าสงสัยอยู่สักพัก ก่อนจะหันไปคุยกับอลิซาเบธ

               “นี่คุณอลิซแกล้งอะไรท่านพี่หรือคะ?”

               “นิดหน่อยเอง ไม่ต้องใส่ใจหรอก”

               มาซามุเนะได้แต่ยืนงงต่อคำพูดของทั้งสองคน มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างปิดบังเขาไว้ ทั้งคู่เดินคุยกันเลยเขาไปตามทางเดินที่มีขนาดเล็กกว่าที่คิดเมื่อเทียบกับที่เห็นข้างนอกบ้านแบบไม่ได้สนใจเขาเลย ปล่อยให้มาซามุเนะยืนงงอยู่คนเดียว ก่อนที่เขาจะรู้ตัวทั้งสองคนก็เดินไปจนจะถึงห้องนั่งเล่นแล้ว

               “ดะ เดี๋ยวก่อน อลิซาเบธ นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่เนี่ย”

               “ก็หมายความว่า หนูเป็นคนชวนคุณอลิซให้มาอยู่ที่บ้านไงค่ะ ท่านพี่นี่ทึ่มจริงๆเลย”

               “ทะ ทึ่มหรอ”

               นากิสะเป็นคนหันกลับมาตอบแทนอลิซาเบธ มาซามุเนะที่โดนน้องสาวของตัวเองว่าว่าทึ่มก็ได้แต่ยืนไหล่ตกอยู่ที่เดิม ก่อนจะมองไปข้างหน้า ก็เห็นอลิซาเบธหันมาขยิบตาให้เขาครั้งหนึ่งก่อนจะเดินไปยังห้องนั่งเล่น

               มาซามุเนะเดินตามทั้งสองคนไปที่ห้องนั่งเล่น แต่เมื่อพวกเธอเข้าไปได้แค่เสี้บววินาที ก็มีเสียงกรี๊ดดังๆออกมาจากห้อง ตามที่คาดก็คงจะเป็นเสียงของอลิซาเบธล่ะมั้ง

               “ทะ...ทำไมมีสัตว์ที่ไม่ควรมีตัวตนอยู่ได้ล่ะเนี่ย อธิบายมาหน่อยสินากิสะ”

               มาซามุเนะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเมื่อได้ยินเสียงนั้น เมื่อรีบวิ่งตามไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งมีขนาดกว้างกว่าห้องเช่าเก่าของมาซามุเนะอยู่มาก ก็เจอกับเทมเปสต์ที่ขนาดตัวเพียง 20 เซนติเมตร กำลังโดนอลิซาเบธขว้างหมอนที่มีรูปร่างต่างๆนาๆที่นากิสะเป็นเลือกมา

               “ชัดเจนเลย”

               “ดะ...เดี๋ยวสิ คุณหนู ใจเย็นๆก่อนสิ มาซามุเนะ นายก็อธิบายอะไรหน่อยได้ไหมเล่า”

               “เฮ้อ จริงๆเลยน้า พวกนายก็มีพลังจิตเหมือนกันไม่ใช่หรือไง”

              

 

 

 

 

 

               หลังจากนั้นมาซามุเนะกับนากิสะก็อธิบายสถานการณ์ให้ทั้งสองคนเข้าใจตรงกันว่า อิบูกิเป็นเพื่อนของมาซามุเนะที่กำลังถูกตามล่าตัวอยู่ แล้วมาซามุเนะก็พูดกับอลิซาเบธด้วยน้ำเสียงอวดเบ่งว่า “ถ้ากลัวก็กลับไปอยู่ที่โรงแรมสิ” หลังจากพูดจบก็โดนนากิสะเตะขาไปหนึ่งที แต่อลิซาเบธก็พูดตอกหน้ามาซามุเนะว่า “คราวก่อนหนักกว่านี้ ฉันยังอยู่คนเดียวเลย” ส่วนอลิซาเบธก็อธิบายว่าตัวเองเป็นผู้ใช้พลังจิตเช่นกัน แต่จะมาอยู่ด้วยเพราะไม่มีที่อยู่ ซึ่งมาซามุเนะคิดว่าเหตุผลในการมาอยู่ที่นี่ของทั้งสองคนนั้น เมื่อเอามาเทียบกันแล้ว ของอิบูกิดูหนักกว่าของอลิซาเบธหลายเท่าตัว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องเหตุผล แต่ที่เขาสนใจก็คือเรื่องห้องนอนนั่นเอง

               มาซามุเนะที่สำรวจบ้านหลังนี้มาแล้วพอสมควร อธิบายว่าในบ้านนั้นมี 2 ชั้น มีห้องนอนส่วนตัวอยู่ทั้งหมด 8 ห้อง อยู่ทางทิศตะวันออกและตะวันตกของบ้านอย่างละ 4 ห้อง อยู่ชั้นละ 4 ห้อง มีห้องอาน้ำขนาดใหญ่อยู่อย่างละห้องของทั้งสองทิศ มีห้องอาหารสำหรับ 10 คนอยู่กลางบ้านพอดี ที่มีโรงฝึกซึ่งแยกตัวออกเป็นเอกเทศจากตัวบ้านอยู่ทางทิศใต้ของบ้านและมี มีห้องนั่งเล่นอยู่ต่อจากห้องอาหราอีกที

               อลิซาเบธที่ได้ฟังมาซามุเนะอธิบายเสร็จก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงเรียกสิ่งปลูกสร้างหลังนี้ว่า [บ้าน] ไม่ใช่ [คฤหาสน์]

               อิบูกิจึงเสนอว่าให้ผู้ชายอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนผู้หญิงอยู่ทิศตะวันตก ข้อเสนอนี้นากิสะคัดค้าน แต่ว่าก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถึงเธอจะไม่พอใจแต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ “การที่ชายหญิงไม่มีสายเลือดเดียวกันมาอยู่ที่บ้านหลังเดียวกันมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรเท่าไหร่ ดังนั้นการแยกกันไว้ก่อนจึงเป็นการดีที่สุด” นี่คือเหตุผลที่อิบูกิให้ไว้

               หลังจากนั้นทุกคนก็แยกกันเข้าห้องนอนเพื่อไปจัดห้อง มาซามุเนะนั้นอยู่ในห้องจนถึงเวลา 3 ทุ่ม จากนั้นเขาก็เข้าไปห้องอาบน้ำที่อยู่ฝั่งของตัวเอง ข้างในมีฝักบัวอยู่ 3 อัน และมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่อยู่ ดูๆไปแล้วเหมือนเป็นโรงอาน้ำขนาดย่อมๆเลยก็ว่าได้

               เขาแช่อยู่ในอ่างอยู่นาน คิดทบทวนเรื่องราวตั้งแต่ย้ายเข้ากลับมาที่เมือง มันเป็นช่วงเวลาที่ดูยาวนานมาก แต่มันก็แค่ 1 เดือนเท่านั้น หลังจากที่เขาแช่ตัวอยู่นาน แต่ก็ไม่เห็นว่าอิบูกิจะเข้ามา เขาจึงกลับไปที่ห้องแล้วจึงส่งเมลล์ไปบอกกับคุออนว่าพรุ่งนี้ไปโรงเรียนด้วยกันไม่ได้ ส่วนรายละเอียดจะอธิบายตอนกลางวัน เขารออยู่นานแต่เธอก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มาซามุเนะจึงนึกได้ว่าเธอจะหลับตั้งแต่หัวค่ำ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ภาวนาให้เธอตื่นขึ้นมาอ่านเท่านั้น ไม่งั้นคงจะโดนโกรธแน่ๆ

               เมื่อมาซามุเนะนอนลงบนเตียง ในหัวของเขามันก็ขาวโผลนไปหมด คงจะเป็นเพราะเตียงนั้นนุ่มมาก พอรวมกับความผ่อนคลายตอนที่แช่น้ำแล้ว จึงทำให้สติของเขาแทบจะหลุดลอยไปในพริบตา แต่ถ้าลองคิดดูแล้ว การต่อสู้โดยใช้พลังจิตและสมาธิสูงนั้นก็ทำให้เหนื่อยอยู่แล้ว และการที่ต้องทำแบบนั้น 2 วันติดกันด้วย การได้รับการผ่อนคลายขนาดนี้จึงเป็นสิ่งที่หน้ายินดีมากสำหรับเขา ดังนั้นการปล่อยให้สติของตัวเองหลุดลอยไปสักครั้งก็คงจะไม่ใช่สิ่งที่น่าอายสักเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วเขาก็หลับไปก่อนที่จะรู้ตัวว่าตัวเองง่วงนอนซะอีก

 

 

 

 

 

 

 

 

               วันพุธที่ 1 มิถุนายน

               โดยปกติแล้ว นากิสะจะเป็นคนปลุกมาซามุเนะ เพราะว่าเขานั้นมักจะตื่นสายอยู่เป็นประจำ แต่ก็เฉพาะวันนี้เท่านั้นที่เขาตื่นเองได้ มาซามุเนะตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า นากิสะที่ปกติจะมาปลุกเขาตอน 6 โมงครึ่ง แต่วันนี้เมื่อเธอไปที่ห้องของพี่ชาย ก็เห็นว่าเขานั้นสวมเครื่องแบบโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว เธอจึงบอกให้เขาไปกินข้าวเช้าที่ห้องอาหาร

               เมื่อมาซามุเนะไปถึงก็เห็นอิบูกิและอลิซาเบธกำลังกินข้าวเช้าที่นากิสะเป็นคนทำอยู่ แต่จากที่เห็นแล้ว มีแต่อิบุกิคนเดียวที่ยังคงอยู่ในชุดนอน อลิซาเบธและนากิสะนั้นอยู่ในเครื่องแบบโรงเรียนและกระเป๋าพร้อมไปเรียนแล้ว นั่นเป็นเพราะว่ามีแค่อิบูกิเท่านั้นที่ไม่ได้ไปโรงเรียน

               ----------ก็เขาถูกส่งไปอยู่กับรัฐบาลตั้งแต่ตอน 10 ขวบนี่นา

               มาซามุเนะคิดแบบนั้นไปพร้อมกับตักอาหารเช้าเข้าปาก

               เนื่องจากเขาถูกส่งให้ไปอยู่กับรัฐบาล เซย์ริว อิบูกินั้นจึงไม่ถือว่ามีตัวตน แน่นอนว่าในทะเบียนบ้านของบ้านหลังนี้นั้นมีแค่ชื่อของมาซามุเนะกับนากิสะเท่านั้น แม้แต่ในทะเบียนบ้านของบ้านตระกูลเซย์ริวนั้นก็ไม่มีชื่อของเขาอยู่เลย หลังจากที่ถูกส่งตัวไป รัฐบาลก็คงจะลบทุกสิ่งที่เขามีความเกี่ยวข้องทิ้งไป แถมเขาก็ไม่ใช่คนที่มีเพื่อนอยู่แล้วด้วย นั่นจึงทำให้ตัวตนของเขาหายไปจากสังคมอย่างสมบูรณ์แบบ และการที่เขาซึ่งเป็นผู้ที่ควรจะหายไปอยู่ที่บ้านหลังนี้ก็คงเป็นการประกาศว่าพวกเขาที่อยู่ด้วยกันจะเป็นศัตรูกับรัฐบาล

               ดังนั้นการที่มีอิบูกิอยู่ด้วยนั้น จะทำให้มาซามุเนะต้องพบเจอกับผู้ใช้พลังจิตที่เป็นมือสังหารอีกมากมาย ซึ่งนั้นคือสิ่งที่เขาหวังไว้ การที่ได้พบเจอมือสังหารมากมายและได้เค้นถามคงจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้มาซามุเนะได้เจอกับเกี่ยวกับฆาตกรผู้ใช้พลังจิตที่ฆ่าพ่อแม่เขา ตลอด 5 ปีที่เขาได้ไปอยู่อาศัยกับตระกูลฮันโซซึ่งทำธุรกิจนักฆ่า เขาได้ค้นหานักฆ่าที่ฆ่าพ่อแม่เขาด้วยข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่โดยอาศัยข้อมูลที่ตระกูลมีอยู่ทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรเพิ่มเติมเลยสักนิด

               มาซามุเนะนั้น จนถึงตอนนี้ก็นึกอยู่ในใจเสมอว่าเขามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

               “ท่านพี่จะไปเรียนโดยที่ไม่กินข้าวใช่ไหมคะ”

               เสียงของน้องสาวผู้เป็นที่รักดังเข้ามาในหูของเขา นั่นจึงทำให้สติของเขากลับมาจากความคิดชั่วแล่นที่ทั้งอันตรายและโหดร้าย มาซามุเนะจึงกินข้าวเช้าต่อจนหมดโดยใช้เวลาแค่นิดเดียว

               “ไปกันเถอะ”

               “เอ๊ะ?”

               มาซามุเนะพึ่งจะรู้สึกตัวว่าอลิซาเบธนั้นกินข้าวเช้าเสร็จก่อนมาซามุเนะอยู่นานแล้ว และเธอก็มองดูมาซามุเนะกินข้าวตั้งแต่เริ่มจนกินเสร็จ ดูเหมือนว่าเธอจะรอมาซามุเนะอยู่

               “หมายความว่าอะไรหรอ?”

               ถึงเขาจะตื่นเต็มที่แล้ว แต่สติกว่าครึ่งก็ยังคงติดอยู่กับเรื่องที่เขาคิดอยู่ก่อนหน้านี้ อลิซาเบธทำหน้าตามไม่พอใจก่อนจะพูดกับมาซามุเนะ

               “ก็หมายความว่าเราจะไปโรงเรียนด้วยกันยังไงล่ะ ถามอะไรแปลกๆ บ้านก็อยู่หลังเดียวกัน โรงเรียนก็ที่เดียวกัน ไปด้วยกันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง”

               “หา?”

               -----------สิ่งที่อลิซาเบธพูดก็ถูก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปพร้อมกันเลยนิ

               มาซามุเนะคิดอยู่แบบนั้นพร้อมกับจ้องดวงตาของอลิซาเบธที่เหมือนกำลังบอกว่า “ถ้าเข้าใจแล้วก็รีบๆลุกขึ้นได้แล้ว” นากิสะที่นั่งอยู่ข้างๆมาซามุเนะก็กระซิบที่ข้างหูเข้าว่า “ท่านพี่นี่ทึ่มจริงๆสินะคะ”

               มาซามุเนะก็ส่งสายตาประมาณว่า “เข้าใจแล้ว” พร้อมกับยืนขึ้นแล้วหยิบกระเป๋านักเรียนที่วางอยู่ข้างๆตัว อลิซาเบธก็หยิบกระเป๋าแล้วเดินนำมาซามุเนะไปที่ประตูบ้าน มาซามุเนะหันหน้ามาหาอิบูกิก่อนจะพูดว่า

               “ถ้ามีอะไรโทรมาหาฉันได้เลยนะ แล้วก็ฝากเฝ้าบ้านกับล้างจานด้วย”

               “เข้าใจแล้ว”

               อิบูกิพูดพร้อมกับพยักหน้า

               มาซามุเนะเดินตามอลิซาเบธไปที่ประตูบ้าน ก่อนจะใส่รองเท้าแล้วออกจากบ้าน

               เรื่องระยะทางจากบ้านไปถึงโรงเรียนนั้นไกลกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ถ้าดูจากเส้นทางแล้วก็คงจะบอกได้ว่าสามารถใช้เส้นทางเดิมได้แต่ก็จะมีระยะทางเพิ่มขึ้นไปอีก วันนี้มาซามุเนะจึงลองเดินเส้นทางใหม่ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย ดูเหมือนว่าทางใหม่นั้นจะต้องเดินผ่านร้านสะดวกซื้อด้วย แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาคิดว่าตอนนี้อลิซาเบธก็คงจะกำลังจำเส้นทางอยู่เหมือนกัน เพราะเขาคิดว่าการที่เธอรอเขาด้วยก็เพราะว่าไม่รู้ทางไปโรงเรียนนั่นเอง แต่มาซามุเนะก็หายกังวลใจเรื่องนั้น นั่นก็เพราะทางนี้มีทางเลี้ยวน้อยกว่าทางเก่าและยังมีร้านขายของที่เป็นเอกลักษณ์อยู่(พวกร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า)นั่นจึงน่าจะทำให้เธอจดทางได้ง่าย แต่ความคิดของเขาก็ถูกลบทิ้งไปเมื่อได้ยินเสียงของอลิซาเบธ

               “จะเป็นเขาวงกตหรือว่าทางซับซ้อนแค่ไหน แต่ถ้ามีคนนำทางก็ผ่านได้แบบสบายๆล่ะนะ”

               “เฮ้ๆ นี่เธอจะให้ฉันไปโรงเรียนกับเธอทุกวันเลยหรือไงกัน”

               “ของมันแน่นอนอยู่แล้ว”

               “เป็นงั้นไป”

               ถึงมาซามุเนะจะพูดอะไรก็คิดว่าอลิซาเบธคงไม่เปลี่ยนความคิดของเธอง่ายๆแน่ แน่นอนว่าเขารู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว ถึงตอนนี้จะบอกให้จำทางก็คงไร้ประโยชน์ การเดินต่อไปเงียบๆจนถึงโรงเรียนจึงเป็นการดีที่สุด

               แต่เมื่อมาถึงห้องเรียน ก็กลายเป็นว่าการมาโรงเรียนกับอลิซาเบธนั้นถูกนักเรียนในห้องเห็นจนกลายเป็นหัวข้อซุบซิบของผู้หญิงในห้องไปซะได้ แม้แต่พวกผู้ชายเองก็คุยกันเรื่องนี้ด้วย สายตาที่จับจ้องมาทางมาซามุเนะนั้นมีมากเกินกว่าที่เขาจะสงบสติได้ แต่ทางอลิซาเบธที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกลับอ่านหนังสือได้อย่างหน้าตาเฉย จะบอกว่าสมแล้วก็ไม่เชิง แต่คำพูดที่เธอถามเขาก็เป็นตัวบอกเหตุผลนั้นทันที

               “นี่ๆมาซามุเนะ นายเป็นนักฆ่าสินะ คงจะมีความสามารถจำพวกแอบฟังชาวบ้านใช่ไหมล่ะ”

               “อ๋อ ถ้าจะเรียกให้ถูกก็ต้องแอบฟังสิ ทำไมหรอ”

               “บอกหน่อยสิว่าพวกผู้หญิงเขาคุยเรื่องอะไรกันน่ะ”

               …..งี้เอง

               การดักฟังนับเป็นอีกหนึ่งความสามารถที่นักฆ่าไม่จำเป็นต้องมี นั่นคือความเป็นจริง เพราะเนื่องด้วยกฎของนักฆ่าที่มีหน้าที่ฆ่าเป้าหมายให้ได้ก็พอ แต่สำหรับมาซามุเนะนั้น เรียกได้ว่าการดักฟังถือเป็นเรื่องปกติของเขาเลยทีเดียว เพราะประสาทรับเสียงของเขานั้นดีพอๆกับคนตาบอดเลยก็ว่าได้ และการที่ตระกูลฮันโซฝึกให้แค่นิดหน่อย ความสามารถในการได้ยินของเขาก็อยู่ในขั้นที่ว่าสามารถรับรู้สิ่งรอบๆตัวได้ด้วยการได้ยินเสียงโดยที่ไม่ต้องใช้พลังสมาธิด้วย แต่นั่นก็กลายเป็นข้อเสียไปซะแล้ว เพราะว่าเขาต้องทนฟังเสียงการคุยกันของเพื่อนร่วมห้องโดยที่เขาไม่ต้องการ จนถึงขนาดไม่มีสมาธิทำอย่างอื่นนอกจากฟังเพลง

               แต่การที่อลิซาเบธมาถามเขาอย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเธออยากมีเพื่อนก็ได้ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะขัดขวางอะไรด้วย แต่การบอกไปว่า “พวกนั้นกำลังคุยเรื่องพวกเราอยู่น่ะ” ก็ไม่ใช่สิ่งที่มาซามุเนะอยากที่จะพูดสักเท่าไหร่ ในสถานการณ์แบบนี้ก็คงต้องบอกว่าไม่รู้เท่านั้น แต่ว่า
               “พวกนั้นกำลังคุยเรื่องคุณอยู่ไงครับ”

               แต่ว่าก็มีเสียงของผู้ชายที่เขาไม่รู้จัก(ปกติก็ไม่เคยจะสนหรือว่ารู้จักใครอยู่แล้ว)ดังขึ้นมาแทรกจากข้างหลังโต๊ะเรียน ทั้งสองคนหันหน้ากลับไปพร้อมกัน สิ่งที่เห็นก็คือผู้ชายที่คาดว่าอยู่ห้องเดียวกันคนหนึ่งยื่นหน้าออกมาจากโต๊ะเรียนของตัวเอง ต่อจากนั้นเขาก็ยังพูดต่ออย่างไม่คาดช่วง

               “มีคนเห็นว่าทั้งสองคนมาโรงเรียนด้วยกันครับ เขาก็เลยคุยกันว่าทั้งสองคนกำลังคบกันอยู่ แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ ใช่รึเปล่าครับ?”

               ถึงอลิซาเบธจะไม่รู้ตัวแต่หน้าเธอก็แดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ถึงมาซามุเนะจะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่แต่สิ่งที่เขาคิดก็คือเรื่องของชายคนนี้ เขาเคยเห็นคนๆนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เขาก็คือ คิคุกะ ฮายาโตะ เป็นคนใน.<ชมรมตรวจสอบและวิจัยวิจัยพลังงานเชิงจิตภาพ>เหมือนกับมาซามุเนะ แต่ทั้งที่มาซามุเนะนั้นไปชมรมค่อนข้างบ่อยแต่ก็ไม่เคยเจอหน้าเขาแบบจังๆสักครั้งเลย

               ทั้งที่เป็นอย่างนั้น แต่เขากลับเข้ามาทักอลิซาเบธแทนที่จะเป็นมาซามุเนะ คงคิดได้แค่ว่าอยากจะทำความรู้จักกับเธอเท่านั้นล่ะนะ

               “อ๋อ ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ ผมชื่อว่า คิคุกะ ฮายาโตะ ครับ”

               ฮายาโตะคงเห็นว่าอลิซาเบธทำหน้าตาสงสัยจึงแนะนำตัว

               “แล้ว คำตอบล่ะครับ”

               “คำตอบหรอ?”

               คงเป็นเพราะว่ามาซามุเนะมั่วแต่คิดหาคำตอบเกี่ยวกับการกระทำของฮายาโตะ จึงทำให้เขาลืมคำถามของฮายาโตะไปสนิทเลย แต่ทางอลิซาเบธนั้นกลับหน้าแดงยิ่งขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เธอโบกมือพัลวันก่อนจะตอบออกไปอย่างตะกุกตะกัก

               “อะอะเอ่อ คือพวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้นนั่นแหละค่ะ”

               “งั้นคุณก็ยังโสดอย่างนั้นสินะครับ”

               จนถึงตอนนี้มาซามุเนะก็ยังคงคิดเรื่องอื่นอยู่ และไม่สนใจสิ่งที่ฮายาโตะพูดสักนิดเลยด้วย เขาหันกลับมาที่โต๊ะเรียนของตัวเองพร้อมกับหยิบหังกับโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แต่อลิซาเบธที่ได้ยินอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่อยู่ๆเธอก็จับแขนซ้ายของมาซามุเนะมากอดไว้กับตัว

               “เอ่อ จะเรียกว่าโสดได้รึเปล่าก็ไม่รู้นะคะแต่ว่าเราสองคนกำลังดูใจกันอยู่คะ”

               “เอ๋!!!”

               นั่นไม่ใช่แค่เสียงของมาซามุเนะคนเดียว แต่เป็นเสียงของนักเรียนทั้งห้อง มาซามุเนะพึ่งจะรู้ตัวว่านักเรียนที่เอาแต่คุยกันเสียงดังเมื่อกี้กำลังจับตาดูการสนทนาของทั้งสามคน(ถึงจะบอกว่า 3 คนแต่มาซามุเนะก็ไม่ได้พูดอะไรเลย)อยู่ นั่นเป็นเพราะว่าเขากำลังจดจ่ออยู่กับความคิดของตัวเองนั่นเอง แต่จากท่าทางของอลิซาเบธแล้ว คิดว่าเธอคงรู้อยู่แล้วแน่

               “เอ๋〜〜〜〜 เป็นงั้นเองหรอกหรอครับเนี่ย ผมคิดว่าการสนทนาตอนแนะนำตัวเมื่อวานนี้มันไม่ได้ให้ความรู้สึกของคนที่มีความรักต่อกันและกันเลยน่ะครับ”

               “คงจะเป็นเพราะว่า มาซามุเนะเขาเขินล่ะมั้งค่ะ”

               “เฮ้ยๆ ไม่ใช่แล้วๆ คำอธิบายน้ำขุ่นแบบนั้นใครจะเชื่อกันเล่า”

               “ฮาๆ อย่างงี้นี่เอง”

               บทสนทนาที่ต่อเนื่องของทั้งคู่ทำให้มาซามุเนะหาช่องแทรกเพื่อแก้ตัวไม่ได้เลย แต่พอทั้งคู่พูดจบ ด้วยสายตาของนักเรียนที่อยู่ในห้องก็ไม่สามารถจะพูดอะไรได้แล้ว ส่วนอลิซเบธก็มองหน้ามาซามุเนะด้วยสายตาที่บอกว่า “รักษาชื่อเสียงฉันไว้หน่อยเถอะ” ถึงตอนนั้นเธอก็ปล่อยแขนของเขาออกจาอ้อมอกอันแสนนุ่มนวลของเธอแล้ว พร้อมเสียงออดที่บ่งบอกเวลาเรียนก็มาถึง

              

 

 

 

 

 

 

                วันพุธที่ 1 พฤษภาคม เวลา 12.25 นาฬิกา

                วันนี้มาซามุเนะก็ยังคงมากินข้าวที่ดาดฟ้าเช่นเคย เขากินขนมปังกับนมกล่องที่ซื้อมาจากโรงอาหารพร้อมกับถอนหายใจอย่างแรงพล่างคิดว่าคงช่วยไม่ไดล่ะนะ

                แต่เขาลืมไปว่าสิ่งที่แพร่เร็วกว่าไวรัสและอันตรายพอๆกันก็คือข่าวลือนั่นเอง จนถึงตอนนี้ ข่างที่ว่ามาซามุเนะกับอลิซาเบธกำลังรักกันอยู่คงแพร่กระจายไปทั้งชั้นปีแล้ว นั่นจึงทำให้การปรากฏตัวของใครบางคงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่น้อย

                “หมายความว่ายังไงน่ะมาซามุเนะคุง”

                มีเสียงที่ปกติแล้วจะฟังดูสดใสกว่านี้ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงเปิดประตูชั้นดาดฟ้า คาวาซากิ คุออน นั่นเอง

                เมื่อเขาหันหน้าไปตามเสียงก็เห็นเธอยืนพิงประตูอยู่ในสภาพเหนื่อยหอบ แต่ว่าหน้าตาที่เธอแสดงนั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกอันแรงกล้า

                คุออนค่อยๆเดินมาเข้ามาหามาซามุเนะที่ยืนพิงระเบียงของชั้นดาดฟ้าอยู่ เขาที่เห็นสีหน้าของเธอแล้วก็รู้สึกได้เลยว่าศพไม่สวยแน่นอน

                “ไอ้เรื่องที่ว่านายกำลังคบอยู่กับคุณอลิซาเบธนี่มันคืออะไรน่ะ!”

                “ใจร่มๆก่อนเถอะ ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเลย”

                “ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย!”

                “โอ๊ย”

                คุออนพูดออกมาพร้อมกับใช้มือซ้ายอันบอบบางเขกเข้าที่กลางของมาซามุเนะอย่างจัง แต่เธอก็ยังคงทำท่าว่าจะเขกหัวต่อไปเรื่อยๆ

                “เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อน ฉันอธิบายก่อน”

                “ก็ได้”

                “โอ๊ย”

                ถึงมาซามุเนะจะร้องห้ามแต่เธอก็ยังเขกหัวเขาๆปอีกครั้งอยู่ดี

                เรื่องที่ว่าเขาต้องย้ายบ้านใหม่จนทำให้ไปโรงเรียนด้วยไม่ได้ เรื่องการย้ายมาอย่างกะทันหันของอลิซาเบธจนทำให้เธอต้องย้ายมาอยู่ที่บ้านใหม่ของเขา รวมถึงเรื่องที่ว่าเธอต้องกลบเกลื่อนว่าเขาและเธอกำลังดูใจกันอยู่เพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง มาซามุเนะอธิบายทั้งหมดอย่างละเอียดเท่าที่เขาจะทำได้ และดูเหมือนว่าคุออนจะเข้าใจทุกอย่าง เข้าใจดีกว่ามาซามุเนะเสียอีก

                “เป็นอย่างนี้นี่เอง”

                “ใช่ไหมล่ะ มันเป็นเหตุสุดวิ…”

                “เงียบก่อนได้ไหมเล่า!”

                “โอ๊ย”

                ดูเหมือนว่านี่จะเป็นช่วงเวลาในการเรียบเรียงข้อมูลเก็บเป็นความทรงจำของคุออน ถึงเธอจะความจำดีแค่ไหน แต่ถ้าแค่จำไว้ได้แต่ไม่เรียบเรียงให้เรียบร้อยก็จะไม่สามารถนำมาใช้ได้ ทั้งยังจะทำให้ความทรงจำส่วนอื่นนั้นพลอยได้รับความเสียหายไปด้วย ดังนั้นขั้นตอนในการเรียบเรียงข้อมูลให้เป็นความทรงจำของเธอนั้นจะสำคัญที่สุด

                “อ๋อ เป็นงี้นี่เอง”

                “เข้าใจแล้วใช่ไหมล่ะ”

                “ก็นะ แล้วก็ ทางไปโรงเรียนจากบ้านมาซามุเนะน่ะมันยังมีทางอื่นอีกนะ ก็ตรงทางแยกที่มีร้านขายขนมญี่ปุ่นไง ถ้าเดินแยกอีกทางก็จะไปโผล่ตรงย่านบ้านพัก ถึงแม้จะไกลกว่านิดหน่อยแต่ถ้าเดินผ่านทางนั้นมาก็จะไปโผล่ที่สี่แยกทางม้าลายที่เป็นจุดนัดพบของเรา แค่นี้ก็ไปโรงเรียนด้วยกันได้แล้วล่ะนะ”

                “เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วล่ะ”

                “อะไรนะ ถ้ารู้อยู่แล้วก็น่าจะมาทางเดิมสิ”

                “ก็นะ”

                “งอนแล้ว”

                “ฮะ!”

                จู่ๆคุออนก็พูดแบบนั้นออกมาพร้อมกับหันหน้าหนี มาซามุเนะที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้จึงได้แต่สงสัยว่าต้องทำยังไง

                “โทษทีแล้วกันนะ”

                .....แล้วเราผิดเรื่องอะไรล่ะเนี่ย

                ถึงเขาจะพูดแบบนั้นออกไป แต่คุออนก็ไม่มีท่าทีว่าจะตอบอะไรกลับมาเลย มิหน้ำซ้ำยังหยิบเอานมกล่องที่เขาซื้อมาเป็นอาหรากลางวันไปดื่มหน้าตาเฉย

                “ก็ได้ๆ ฉันยอมแล้ว”

                “พูดแล้วนะ”

                ทันใดนั้นใบหน้าที่แสดงถึงการหลอกลวงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคุออน เธอยิ้มออกมาพลางคิดว่าจะทำอะไรดี

                “งั้นเอาเป็นว่า พรุ่งนี้แล้วก็วันข้างหน้า มาซามุเนะต้องไปโรงเรียนกับฉันนะ ทุกวันเลย แล้วก็ แล้วก็อย่างพึ่งมีแฟนเด็ดขาดเลยนะ มีฉันคนเดียวเท่านั้น เข้าใจไหม”

                คุออนพูดออกมาด้วยใบหน้าที่ดูเขินอายอย่างบอกไม่ถูก มาซามุเนะที่ได้ยินอย่างนั้นก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน แต่ในเวลาแบบนี้สิ่งที่เขาควรจะพูดก็คงจะมีแค่อย่างเดียว

                “เข้าใจแล้ว แต่ว่าเธอต้องมาทำอาหารเช้าให้ฉันด้วยนะ แน่นอนว่าหมายถึงในอนาคตล่ะนะ”

                “อืม”

                คุออนตอบออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเห็นได้ชัด มาซามุเนะเองก็คิดว่าตัวเขานั้นชอบใบหน้านั้นของเธอเป็นที่สุดเหมือนกัน

               

 

 

 

 

 

 

                วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม เวลา 09.35 นาฬิกา

                ในตอนกลางวันของวันที่ 1 นั้น คำพูดของมาซามุเนะและคุออนเป็นเหมือนคำสารภาพรักจากทั้งสองฝ่าย ถ้าเป็นนิยายแนวโรแมนติกล่ะก็ ทั้งสองคนคงจะกอดกันไปแล้ว แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็คือ

                “แต่ฉันก็ยังโกรธอยู่นะ”

                “หา?”

                “ดังนั้น วันอาทิตย์ของอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ไปเที่ยวสวนสนุกกันเถอะ”

                คุออนที่บอกว่าตัวเองยังโกรธอยู่ แต่กลับพูดออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างชัดเจนได้หน้าตาเฉย

                มาซามุเนะที่ไม่มีทางเลือกก็ได้แต่ตอบตกลง ทำให้ตอนนี้เขาต้องมารอคุออนอยู่ที่สี่แยกทางม้าลายซึ่งเป็นจุดนัดพบ

                ....ว่าแต่ทำไมไม่ไปเจอกันที่สวนสนุกเลยนะ

                “ก็เพราะว่าฉันอยากจดจำช่วงเวลาตอนเดินทางกับมาซามุเนะคุงไง”

                มีเสียงที่มาซามุเนะคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง ต่อจากนั้นก็มีมืออันบอบบางมาขวามือซ้ายของเขา เมื่อเขาหันหน้าไปก็เจอกับคุออนที่อยู่ในชุดยาวลายดอกสีครีม และมีกระเป๋าสะพายไหล่ใบเล็กๆพาดอยู่

                “อ๋อ ก็แค่คิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่มาซามุเนะคุงจะสงสัยอยู่ว่า ทำไมไม่ไปเจอกันที่สวนสนุกเลย น่ะ สวนชุดนี้คุณแม่เป็นเลือกให้น่ะ เป็นไง”

                คุออนคงจะเห็นมาซามุเนะทำหน้าตาตกใจอยู่ เธอพูดออกมาโดยเลียนเสียงมาซามุเนะ แต่การที่เธอทำเสียงให้เล็กลงเฉพาะสวนสุดท้ายก็ทำให้มาซามุเนะหน้าแดงเล็กน้อย

                “อะ...อา ก็ดูดีอยู่หรอก”

                มาซามุเนะพูดออกมาพร้อมกับหันหน้าหลบสายตาที่ดูออดอ้อนของคุออน ตัวเขานั้นคิดว่านั่นเป็นสายตาที่น่ารักมากสำหรับเธอ

                “เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

                “อืม”

                ถึงจุดเริ่มต้นจะเหมือนกัน แต่ว่าเส้นทางที่ใช้เดินนั่นแตกต่างไปจากทุกที ช่วง 2 สัปดาห์มานี้ มาซามุเนะ คุออนและอลิซาเบธนั้นไปโรงเรียนในตอนเช้าโดยใช้ส้นทางนี้ แต่ว่าวันนี้มีแค่มาซามุเนะกับคุออนเท่านั้นที่มา แต่ก็ไม่ได้ใช้เส้นทางเดิม แต่พวกเขานั้นก็เดินไปขึ้นรถโดยสารประจำทางเพื่อที่จะไปให้ถึงสวนสนุกเร็วที่สุด

                เนื่องจาวันนี้เป็นวันหยุด ทำให้ไม่ค่อยมีคนอยู่บนรถมากนัก ถึงมันจะดูเหมือนเป็นเรื่องดีแต่ว่ามาซามุเนะในตอนนี้อยู่ในสภาพเขินจัดจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว คุออนก็ดูเหมือนจะไม่ได้คิดอะไรมาก

                แต่สิ่งที่มากำจัดความเขินอายที่ทำให้สติของมาซามุเนะหลุดลอยไปก็คือชายหญิงคู่หนึ่งที่นั่งอยู่ท้ายสุดของคันรถ สิ่งที่ปกติแล้วคู่รักจะทำกันนั่นก็คือการคุย ซึ่งสิ่งที่จำเป็นต่อเขาในตอนนี้มากที่สุด ก็คือหัวข้อสนทนาที่จะทำให้คุออนรู้สึกประทับใจนั่นเอง เธอเป็นคนบอกเองว่าอยากจะจดจำช่วงเวลาเดินทางถึงได้นัดเขาให้มาเจอกันที่สี่แยกทางม้าลาย

                มาซามุเนะคิดว่าถึงจะเสียมารยาทแต่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับเขามาก ดังนั้นเชาจึงตัดสินใจที่จะแอบฟังการสนทนาของคู่รักนั่นเอง

                แต่เขาก็ไม่ได้ยินบทสนทนาแบบไหนเลย และเมื่อลองหันไปดูก็ต้องตกใจกับปฏิกิริยาของทั้งสองคนที่ทำท่าตกใจที่เขาหันไปดูด้วยซ้ำ เรื่องนี้ชักจะทะแม่งๆแล้วสิ

                การมาเที่ยวสวนสนุกในครั้งนี้ คุออนเป็นคนบอกกับมาซามุเนะเองว่าห้ามบอกใคร เขาจึงกลบเกลื่อนกับคนในบ้านไปว่าจะออกไปซื้อของใช้ส่วนตัว แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าใครจะใส่ใจอะไร ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่าทั้งสองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังอาจจะเป็นมือสังหารของรัฐบาลก็ได้ แต่มันก็เป็นการลงมือที่ไม่เป็นธรรมชาติเหมือนที่พวกมันทำทุกที เพราะอิบูกินั้นอธิบายว่าการทำงานของพวกมันจะทำโดยไม่ให้เหลือร่องรอยอยู่โดยการกางอาณาเขตทันที หรือไม่ก็จะจู่โจมโดยที่ไม่ให้พวกเขาทันได้ระวังตัว ถ้าเป็นอย่างแรกล่ะก็ คงไม่มานั่งอยู่บนรถโดยสารประจำทางหรอก หรือถ้าเป็นอย่างที่สอง การกางอาณาเขตเพื่อที่จะตรวจสอบสองคนนั้นก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงโดนโจมตีจากทางอื่นในกรณีที่ไม่ใช่ก็ได้ ดังนั้นการอยู่เฉยเข้าไว้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดนั่นเอง

                “มาแล้วๆ มาถึงสวนสนุกแล้ว”

                “โตขนาดนี้ยังจะอยากมาอีกนะ”

               “ก็มันทำให้คิดว่ากลายเป็นเด็กนี่นา”

               หลังจากที่มาซามุเนะและคุออนลงมาจารถโดยสารประจำทางแล้วก็เดินต่ออีก 10 นาทีก็ถึงสวนสนุกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นสองคนบนรถก็ยังเดินตามเขามาอยู่ดี มันจึงทำให้เขาสงสัยมากกว่าเดิมเสียอีก

               เพราะเป็นวันหยุดทำให้มีคนมาเยอะน่าดู ถ้าเกิดว่าทั้งสองคนหลงกันล่ะก็จะตามตัวได้ยากแน่นอน แต่นั่นอาจจะเป็นข้อดีก็ได้ ถ้ามาซามุเนะทำเป็นหลงกับคุออนก็จะได้เข้าไปหาตัวของบุคคลปริศนาที่ตามเขามาได้

               “นี่ คุออน เธอไปซื้อตั๋วเครื่องเล่นรอก่อนได้ไหมล่ะ เดี๋ยวฉันจะไปเข้าห้องน้ำแป็บนึงนะ”

               “อ่าว เดี๋ยวก็หลงกันหรอก”

               “ถ้ากลัวว่าจะหลงก็ไปต่อแถวเครื่องเล่นที่มีคนน้อยก็ได้ เดี๋ยวเสร็จแล้วฉันจะโทรไปนะ”

               “โธ่ ใครเขาให้ผู้หญิงต่อแถวให้กันบ้างล่ะเนี่ย”

               มาซามุเนะบอกกับคุออนโดยไม่รอฟังคำพูดตัดพ้อที่เหลือ เขาวิ่งออกไปทำท่าว่าจะไปเข้าห้องน้ำแล้วค่อยหายตัวเข้าไปในกลุ่มคนที่มาเที่ยวซึ่งอยู่ระหว่างทาง แล้วเขาก็อ้อมไปทางอื่น แล้วค่อยวนกลับไปที่ห้องน้ำชายอีกรอบ

               แผนของเขาได้ผล มีหนึ่งในสองคนที่ตามเขามายืนอยู่หน้าห้องน้ำ ดูเหมือนจะคิดว่าเขารีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำก็เลยวิ่งตามมา เสร็จแล้วก็ให้คนหนึ่งเข้าไปหาดูในห้องน้ำล่ะมั้ง ส่วนอีกคนหนึ่งก็ดูอยู่นอกห้องน้ำ

               มาซามุเนะแอบเข้าไปใกล้คนที่รออยู่หน้าห้องน้ำโดยระวังไม่ให้ถูกเห็น ก่อนที่จะเขาไปแตะไหล่ซ้ายของคนคนนั้น

               “นี่ นายน่ะ ตามฉันมาทำไม”

               “เอ๋!!”

               ดูเหมือน<คนคนนั้น>จะตกใจน่าดูจนแว่นกันแดดกับหมวกที่ใส่อยู่ตลอดจะหล่น จนทำให้ใบหน้าจริงๆพร้อมกับเส้นผมสีทองอันเป็นเอกลักษณ์ถูกเปิดเผยออกมา

               “อลิซาเบธ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่กันล่ะเนี่ย”

               “อลิซาเบธ ดูเหมือนว่ามาซามุเนะจะไม่ได้อยู่ทึ่นี่นะ เอ๋”

               ผู้ชายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกับอลิซาเบธก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี เขาก็คือ โอคาซากิ อากิโอะ นั่นเอง ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะแอบตามมาซามุเนะมาจนถึงสวนสนุกเลยล่ะนะ

               “อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลยนะ อลิซาเบธ อากิโอะ”

               “ฉันโดนเธอลากมาด้วยน่ะ”

               “โยนความผิดกันเฉยเลยนะคะ!”

               แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้อธิบาย เสียงระฆังที่ไม่คุ้นหูก็ดังขึ้นพร้อมกับ ผู้คนแถวนั้นที่ค่อยแตกตัวเป็นกระจกแล้วก็หายตัวไป มันคือปรากฏการณ์ที่จะให้ดูอีกสักกี่ครั้งก็ไม่คุ้นตาสักที การกางอาณาเขตโลกเสมือนั่นเอง แต่ก่อนที่ทั้งสามคนจะหาคนที่กางมันออกมา ต่อจากนั้น จู่ๆก็มีรากไม้สีเขียวชอุ่มงอกออกมาเต็มบริเวณพื้นที่โดยรอบอย่างรวดเร็ว เถาวัลย์ก็งอกออกมาเกาะตามเครื่องเล่นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ภายในเวลาไม่กี่วินาที สวนสนุกก็ถูกปกคลุมด้วยสีเขียวของบพืชจนดูคล้ายกับป่าดงดิบไปซะแล้ว แล้วคนที่คาดว่าจะเป็นคนกางก็โผล่ออกมาเองโดยที่ไม่ต้องหาเลย

               “ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนแห่งการต่อสู้ที่แสนวิเศษครับ/ค่ะทุกๆท่าน”

               “ผม คิคุกะ ฮายาโตะ วันนี้จะขอรับหน้าที่เป็นผู้ล่าสังหารล่ะนะครับ”

               “ดิฉัน คิคุกะ เร็น วันนี้รับหน้าที่เป็นผู้สรรค์สร้างและควบคุมฟิลด์แสนวิเศษนี้ <สวนแห่งการล่มสลายชั่วนิรันดร์>”

               เมื่อหันหน้าไปตามเสียงที่ดังขึ้นมากลางอากาศ ก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่บนแผนวงกลอันราบเรียบซึ่งถูกวาดด้วยลวดลายต่างๆ หนึ่งในนั้นคือผู้ชายที่มาซามุเนะรู้จักหน้าตากับชื่ออยู่แล้ว แต่เหมือนว่าอากิโอะที่อยู่ข้างจะรู้จักดีกว่า แต่สิ่งที่น่าห่วงที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่ตัวพวกเขา แต่เป็นคุออนต่างหาก

               “นั่น ฮะยาโตะ เจ้านั่นเป็นศัตรูจริงๆหรอเนี่ย”

               “ฉันก็ไม่อยากจะคิดอย่างนั่นหรอกค่ะ แต่ว่า…”

               “ใช่แล้ว แต่ว่า แต่ว่าตอนนี้คุออนอยู่ไหนล่ะเนี่ย!!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา