ยอดสตรีฉางอิ๋ง
-
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.20 น.
35 ตอน
0 วิจารณ์
28.27K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
24) มื้อค่ำ (1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเว่ยฮ่วนเหน็ดเหนื่อยมาจริงๆ เขาจากบ้านไปเกือบเดือน เพิ่งจะได้กลับมา มื้อค่ำยังไม่ทันจะได้เรียกทานรวม แค่ทานกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งอย่างง่ายๆ เท่านั้น แล้วจึงกล่าวไม่ให้บ้านอื่นไปรบกวน
ทางฝั่งบ้านใหญ่ เพราะเว่ยเจิ้งหงร่างกายอ่อนแอ จึงต้องอยู่ในเรือนหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อรักษาตัว หนึ่งเดือนถึงจะได้พบหน้าภรรยาและบุตรสาวบุตรชายสักครั้ง ปกติแล้วล้วนแต่เป็นฮูหยินซ่งที่ทานอาหารกับบุตรสาวบุตรชาย แม้ว่าตอนนี้บ้านใหญ่จะมีซ่งไจ้สุ่ยมาอาศัยด้วย แต่ว่าซ่งไจ้สุ่ยเติบโตในเมืองหลวงและเจียงหนาน รสชาติอาหารไม่เหมือนกับคนตระกูลเว่ยนัก ซ่งไจ้สุ่ยจากเจียงหนานไปเมืองหลวง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเอ็นดูนางจึงให้ห้องครัวจัดอาหารที่นางคุ้นชินให้โดยเฉพาะ เหมือนว่าเรือนหมิงเซ่อจะมีห้องครัวเล็กอยู่ด้วยห้องหนึ่ง ดังนั้นแม้ว่าจะอยู่มานานแล้วแต่ก็ได้มาทานอาหารร่วมกันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
อย่างเช่นวันนี้ ซ่งไจ้สุ่ยเองก็ไม่ได้มา ฮูหยินซ่งรักเอ็นดูบุตรสาวบุตรชาย เวลาทานอาหารค่ำกันก็ไม่ได้เข้มงวดมากนัก ปล่อยให้บุตรสาวบุตรชายพูดคุยกันไปทานอาหารกันไปได้
บนโต๊ะอาหาร เว่ยฉางอิ๋งถามเว่ยฉางเฟิง "วันนี้ท่านปู่ทดสอบการเรียนเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"
"ท่านปู่กล่าวว่าที่ข้าเรียนไปก่อนหน้านี้ต่างก็ทำได้ดี นับจากพรุ่งนี้ไปอาจารย์สอนบทใหม่ให้ข้าได้แล้ว" เว่ยฉางเฟิงกล่าวด้วยท่าทีสงบ เว่ยฉางอิ๋งนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าดื้อดึงเจ้าเล่ห์ เว่ยฉางเฟิงกลับขึ้นชื่อเรื่องในการทำให้ผู้ใหญ่วางใจ แต่จริงๆ แล้วสองพี่น้องเองก็มีบางส่วนที่เหมือนกันมาก อย่างการมานะบากบั่น เว่ยฉางอิ๋งต้องการฝึกฝนวิชายุทธ์ให้เก่งกาจ เพื่อใช้การเอาชนะสามีเป็นทางออก ในด้านการฝึกฝนวิชายุทธ์แล้วนางอดทนพยายามมาก นับตั้งแต่อายุได้ห้าปี ไม่ว่าจะฤดูร้อนหรือหนาวก็ไม่มีหยุด ไม่ว่าจะฝนตกหรือมีพายุก็ไม่สามารถขวางนางได้ ส่วนเว่ยฉางเฟิงนั้นนับแต่เล็กก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งสั่งสอนมาตลอด ว่าจะต้องรับภาระความก้าวหน้าของตระกูลเว่ย ทำให้เขาพากเพียรเรียนวิชาอย่างไม่ย่อท้อแต่เล็ก พรสวรรค์เขาก็ดี เมื่อเขาตั้งใจแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเรียนได้ไม่ดีแน่นอน
ผู้ที่เรียนวิชาได้ดียังจะกลัวการถูกทดสอบหรือ เขาแทบจะอดใจไม่ไหวให้ถูกทดสอบทุกวันต่างหาก
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวถามอย่างแปลกใจว่า "แล้วเกาชวนล่ะ ให้ท่านลุงจื้อเจี่ยวสอนบทเรียนใหม่ให้เจ้าแล้วค่อยไปสอนบทเรียนเก่าให้เขาหรือ เกรงว่าท่านลุงคงไม่ชอบใจนักสินะ?"
ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวถือตนว่าเป็นตระกูลสายบุ๋นที่รุ่งเรือง มีบัณฑิตทรงความรู้ถือกำเนิดในแต่ละยุคของราชสำนักต้าเว่ยเสมอ แน่นอนว่าการสั่งสอนลูกหลานตระกูลเว่ยจึงไม่จำเป็นต้องรับคนจากภายนอกเข้ามา ตอนนี้ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สั่งสอนเว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนอยู่คือลูกหลานสาขาตระกูลเว่ยที่ห่างไกลออกไปคนหนึ่ง หากพูดถึงศักดิ์ฐานะแล้วเขาอยู่ในรุ่นเดียวกับเว่ยเจิ้งหง คนคนนี้ชื่อ[1]ซือกู่ ชื่อรองหย่งซื่อ และมีฉายาว่าซูฝางจื้อเจี่ยวหรือห้องตำราจื้อเจี่ยว เขามีความรู้มาก คนทั้งแผ่นดินต่างก็ได้ยินชื่อเสียงเขาและยกย่องเขาว่าเป็นเจ้าหอตำราจื้อเจี่ยว
ดังนั้นพวกเว่ยฉางอิ๋งจึงแอบพากันเรียกเขาว่าท่านลุงจื้อเจี่ยว อย่างไรตระกูลเว่ยก็รุ่งเรืองมานานหลายร้อยปีแล้ว มีลูกหลานมากมาย หากนับตามสาขาตระกูลแล้ว แต่ละคนต่างก็มีลำดับการเรียกที่ต่างกันไป จึงเรียกกันง่ายๆ ชัดเจนแบบนี้ไปเลย
"พี่สี่มีบางบทที่ท่องไม่ได้ จึงถูกท่านปู่สั่งลงโทษให้คัดหนึ่งร้อยรอบ" พูดถึงเว่ยเกาชวน เว่ยฉางเฟิงกลับมีท่าทีลังเลแล้วกล่าวว่า "ท่านปู่อยากจะให้พี่สี่ทบทวนความรู้เก่าก่อน หากว่ามีอะไรสงสัยจึงค่อยไปถามอาจารย์ ให้อาจารย์สอนบทเรียนใหม่ให้ข้าก่อน"
ฮูหยินซ่งได้ยินที่บุตรสาวบุตรชายคุยกัน ใบหน้าก็มีท่าทีไม่ใส่ใจแล้วกล่าวว่า "ช่างทำให้อาสะใภ้สามของพวกเจ้าต้องลำบากใจกับการทุ่มเทลงไปเสียจริง ทั้งวันต้องคอยปรนนิบัติเอาใจท่านย่าพวกเจ้า ถึงได้ทำให้ท่านย่าพวกเจ้ายอมให้บุตรคนโตจากอนุภรรยาของบ้านสามคนนี้ได้รับการสั่งสอนจากท่านปู่ของพวกเจ้าได้ คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่กลับไม่เอาไหนอย่างนี้ ฉางเฟิงเจ้าอย่าเอาอย่างเขาเชียว" แล้วกล่าวต่อว่า "ดังนั้นท่านปู่ของพวกเจ้าให้อาจารย์เว่ยหย่งซื่อสอนบทเรียนใหม่ให้เจ้าก่อน เพื่อไม่ให้เจ้าต้องช้าไปด้วย ข้าจะต้องไปคุยกับอาสะใภ้สามของพวกเจ้าเสียหน่อยแล้ว"
นางมีหวังคือบุตรชายคนนี้คนเดียว หากว่าเพราะต้องคอยดูแลเว่ยเกาชวนจนทำให้กระทบกับการก้าวหน้าของเว่ยฉางเฟิง ฮูหยินซ่งจะยอมที่ไหน นอกจากนี้ฮูหยินซ่งเป็นคนเด็ดขาด ท่าทีลังเลไม่เด็ดขาดของเว่ยเกาชวนอย่างนั้นนางไม่ชอบใจเลยจริงๆ
เว่ยฉางเฟิงกลับกล่าวอย่างจริงจังว่า "ท่านแม่ พี่สี่เองก็ไม่ใช่ว่าจงใจเรียนไม่ดี เขาจำไม่ได้จริงๆ ข้าได้ยินคนข้างกายเขากล่าวว่า บทความที่วันนี้เขาท่องไม่ได้ต่อหน้าท่านปู่บทนั้น เขาเริ่มท่องทุกเช้าค่ำมาตั้งแต่เมื่อสิบวันก่อนแล้ว แต่ก็จนใจที่จำไม่ได้จริงๆ ดังนั้นจะบอกว่าพี่สี่ไม่ดีไม่ได้ เกรงว่าเป็นเพราะพรสวรรค์เสียมากกว่า เรื่องนี้มันทำอะไรไม่ได้ จะไปโทษพี่สี่ก็ไม่ได้"
คำกล่าวนี้หากว่าเป็นคนอื่นกล่าวออกมา ฮูหยินซ่งคงได้โมโหจนตบโต๊ะไปนานแล้ว ต่อให้เป็นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวออกมา แต่อย่างไรฮูหยินซ่งก็ต้องมีรู้สึกไม่พอใจบ้างไม่มากก็น้อยแน่ แต่มาตอนนี้ผู้ที่เอ่ยปากกลับเป็นบุตรชายแท้ๆ ของนางเอง ดังนั้นฮูหยินซ่งจึงไม่ได้เก็บเอาคำแย้งของเว่ยฉางเฟิงมาใส่ใจ แล้วกล่าวไปด้วยท่าทีดีใจว่า "บุตรชายข้ารักใคร่พี่น้อง จิตใจกว้างขวาง วันหลังจะต้องประสบความสำเร็จแน่!"
พวกแม่นมซือเห็นจนไม่รู้สึกแปลกแล้ว กระทั่งหันหลังกลับไปหัวเราะยังคร้านจะทำด้วยซ้ำ กลับเป็นเว่ยฉางเฟิงเองที่รู้สึกว่าท่านแม่ตนไร้พิธีการเกินไป แล้วกล่าวอย่างถ่อมตนออกมาว่า "ท่านแม่ต้องดูแลคนในตระกูลมากมาย ไม่รู้ว่าที่พี่สี่เรียนรู้ได้ช้าไม่ใช่เพราะไม่ตั้งใจก็ไม่แปลก เป็นลูกเองที่พูดจาร้อนรนเกินไป หวังว่าท่านแม่จะไม่โกรธเคือง"
ฮูหยินซ่งได้ฟังก็ยิ่งพอใจบุตรชายมากขึ้น "ลูกชายข้า แม่จะโทษเจ้าได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นแม่เองทำไมต้องไปโทษเกาชวนด้วย หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่ใช่ว่าจะทำให้เด็กคนนั้นต้องเสียใจหรือ ยังดีว่าเจ้าบอกเข้า"
เว่ยฉางอิ๋งหมดความอดทนฟังเรื่องของเว่ยเกาชวน แล้วแทรกปากไปว่า "ท่านปู่กับพวกเจ้าพูดถึงเรื่องเมืองเหลียงเฉิงไหม?"
เว่ยฉางเฟิงกล่าวอย่างประหลาดใจว่า "แน่นอนว่าไม่ ท่านปู่เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว พอทดสอบพวกข้าเสร็จก็ให้พวกข้าออกไป แล้วเข้าไปพักในห้อง...ท่านพี่ถามเรื่องนี้ไปทำไมกัน?"
"ทางเหนือของเมืองเหลียวเฉิงคือตงหู คงไม่ใช่ว่าเผ่าหรงบุกเข้ามาในเฟิ่งโจวแล้วหรอกนะ?" ในเมื่อเว่ยฉางอิ๋งชอบวิชายุทธ์ ตำราต่อสู้นางเองก็ได้อ่านมาบ้างสักเล่มสองเล่ม แม้ว่าจะอ่านลวกๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ยังพอจะเข้าใจเล็กน้อย และคิดเรื่องราวจากข่าวด่วนของเมืองเหลียวเฉิงได้มากมาย นางกล่าวว่า "ไม่อย่างนั้นท่านปู่จะรีบร้อนกลับมาทำไม กระทั่งโจรใจกล้าเหล่านั้นของเขาเฟิ่งฉียังไม่กำจัดให้ราบคาบ เขาเฟิ่งฉีใกล้กับเฟิ่งโจวของพวกเราขนาดไหน!"
ฮูหยินซ่งไม่ชอบใจที่สุดก็คือการที่บุตรสาวสนใจเรื่องการทหารเหล่านี้ นางคิดว่าเป็นท่าทางที่ไม่สนใจเรื่องหลัก จึงกล่าวตำหนิเสียงเบาว่า "ตงหูคือฐานที่มั่นของแซ่หลิว ทุกวันนี้ตระกูลหลิวยังไม่มีข่าวอะไรไม่ดีส่งมา เผ่าหรงจะข้ามผ่านตงหูเข้ามาที่เฟิงโจวของพวกเราได้ง่ายขนาดนั้นที่ไหน?"
แล้วกล่าวถึงบุตรสาวต่อว่า "ยิ่งไปกว่านั้น เผ่าหรงจะบุกเข้ามาหรือไม่ก็มีท่านปู่ ท่านอาของเจ้าคอยจัดการ เกี่ยวข้องอะไรกับเด็กสาวอย่างเจ้ากัน หากว่าเจ้ามีเวลาอย่างนี้สู้เอาไปตั้งใจเรียกวิชาการบ้านการเรือนยังดีกว่า!"
เว่ยฉางอิ๋งฟังคำเหล่านี้แบบหูซ้ายทะลุหูขวามาจนชินนานแล้วและกล่าวว่า "ข้าเป็นห่วงท่านปู่กับท่านอาหรอก! ยิ่งไปกว่านั้นการที่เผ่าหรงบุกรุกจากทางตระกูลหลิวเข้ามาในเฟิ่งโจวก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีมาก่อน ข้าได้ยินว่าตอนที่ข้าเพิ่งจะเกิดก็เคยมีมาก่อนครั้งหนึ่ง แม้ว่าตอนนั้นเผ่าหรงที่เข้ามาทั้งสองร้อยคน สุดท้ายจะถูกกองกำลังทหารของเมืองซิ่นเฉิงขวางไว้ที่เมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของเฟิ่งโจว จนสุดท้ายก็ไม่มีใครได้กลับไป แต่ว่าก่อนที่จะถูกล้อมที่เมืองซิ่นเฉิงนั้น เขาไล่ฆ่าฟันมานับตั้งแต่แม่น้ำนู่ เข่นฆ่าเสียจนทางตอนเหนือของเฟิ่งโจวหลายเมืองรกร้างไร้ผู้คน แค่จิงกวน[2]ก็สร้างขึ้นมามากมายหลายแห่งแล้ว แล้วเมืองเหลียวเฉิงจะต้านเอาไว้ได้ไหม!"
………………………
[1] ชื่อของคนจีนสมัยก่อนจะประกอบด้วย เเซ่ (ซิ่ง 姓) ชื่อ (หมิง 名) ชื่อรองหรือฉายา (จื้อ 字)
[2] จิงกวน : ผู้ชนะสงครามใช้แสดงอานุภาพกองทัพของตน ใช้เก็บจำนวนศพของฝ่ายศัตรู กองรวมกันกลายเป็นเนินสูง
ทางฝั่งบ้านใหญ่ เพราะเว่ยเจิ้งหงร่างกายอ่อนแอ จึงต้องอยู่ในเรือนหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อรักษาตัว หนึ่งเดือนถึงจะได้พบหน้าภรรยาและบุตรสาวบุตรชายสักครั้ง ปกติแล้วล้วนแต่เป็นฮูหยินซ่งที่ทานอาหารกับบุตรสาวบุตรชาย แม้ว่าตอนนี้บ้านใหญ่จะมีซ่งไจ้สุ่ยมาอาศัยด้วย แต่ว่าซ่งไจ้สุ่ยเติบโตในเมืองหลวงและเจียงหนาน รสชาติอาหารไม่เหมือนกับคนตระกูลเว่ยนัก ซ่งไจ้สุ่ยจากเจียงหนานไปเมืองหลวง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเอ็นดูนางจึงให้ห้องครัวจัดอาหารที่นางคุ้นชินให้โดยเฉพาะ เหมือนว่าเรือนหมิงเซ่อจะมีห้องครัวเล็กอยู่ด้วยห้องหนึ่ง ดังนั้นแม้ว่าจะอยู่มานานแล้วแต่ก็ได้มาทานอาหารร่วมกันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
อย่างเช่นวันนี้ ซ่งไจ้สุ่ยเองก็ไม่ได้มา ฮูหยินซ่งรักเอ็นดูบุตรสาวบุตรชาย เวลาทานอาหารค่ำกันก็ไม่ได้เข้มงวดมากนัก ปล่อยให้บุตรสาวบุตรชายพูดคุยกันไปทานอาหารกันไปได้
บนโต๊ะอาหาร เว่ยฉางอิ๋งถามเว่ยฉางเฟิง "วันนี้ท่านปู่ทดสอบการเรียนเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"
"ท่านปู่กล่าวว่าที่ข้าเรียนไปก่อนหน้านี้ต่างก็ทำได้ดี นับจากพรุ่งนี้ไปอาจารย์สอนบทใหม่ให้ข้าได้แล้ว" เว่ยฉางเฟิงกล่าวด้วยท่าทีสงบ เว่ยฉางอิ๋งนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าดื้อดึงเจ้าเล่ห์ เว่ยฉางเฟิงกลับขึ้นชื่อเรื่องในการทำให้ผู้ใหญ่วางใจ แต่จริงๆ แล้วสองพี่น้องเองก็มีบางส่วนที่เหมือนกันมาก อย่างการมานะบากบั่น เว่ยฉางอิ๋งต้องการฝึกฝนวิชายุทธ์ให้เก่งกาจ เพื่อใช้การเอาชนะสามีเป็นทางออก ในด้านการฝึกฝนวิชายุทธ์แล้วนางอดทนพยายามมาก นับตั้งแต่อายุได้ห้าปี ไม่ว่าจะฤดูร้อนหรือหนาวก็ไม่มีหยุด ไม่ว่าจะฝนตกหรือมีพายุก็ไม่สามารถขวางนางได้ ส่วนเว่ยฉางเฟิงนั้นนับแต่เล็กก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าซ่งสั่งสอนมาตลอด ว่าจะต้องรับภาระความก้าวหน้าของตระกูลเว่ย ทำให้เขาพากเพียรเรียนวิชาอย่างไม่ย่อท้อแต่เล็ก พรสวรรค์เขาก็ดี เมื่อเขาตั้งใจแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเรียนได้ไม่ดีแน่นอน
ผู้ที่เรียนวิชาได้ดียังจะกลัวการถูกทดสอบหรือ เขาแทบจะอดใจไม่ไหวให้ถูกทดสอบทุกวันต่างหาก
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวถามอย่างแปลกใจว่า "แล้วเกาชวนล่ะ ให้ท่านลุงจื้อเจี่ยวสอนบทเรียนใหม่ให้เจ้าแล้วค่อยไปสอนบทเรียนเก่าให้เขาหรือ เกรงว่าท่านลุงคงไม่ชอบใจนักสินะ?"
ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวถือตนว่าเป็นตระกูลสายบุ๋นที่รุ่งเรือง มีบัณฑิตทรงความรู้ถือกำเนิดในแต่ละยุคของราชสำนักต้าเว่ยเสมอ แน่นอนว่าการสั่งสอนลูกหลานตระกูลเว่ยจึงไม่จำเป็นต้องรับคนจากภายนอกเข้ามา ตอนนี้ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สั่งสอนเว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนอยู่คือลูกหลานสาขาตระกูลเว่ยที่ห่างไกลออกไปคนหนึ่ง หากพูดถึงศักดิ์ฐานะแล้วเขาอยู่ในรุ่นเดียวกับเว่ยเจิ้งหง คนคนนี้ชื่อ[1]ซือกู่ ชื่อรองหย่งซื่อ และมีฉายาว่าซูฝางจื้อเจี่ยวหรือห้องตำราจื้อเจี่ยว เขามีความรู้มาก คนทั้งแผ่นดินต่างก็ได้ยินชื่อเสียงเขาและยกย่องเขาว่าเป็นเจ้าหอตำราจื้อเจี่ยว
ดังนั้นพวกเว่ยฉางอิ๋งจึงแอบพากันเรียกเขาว่าท่านลุงจื้อเจี่ยว อย่างไรตระกูลเว่ยก็รุ่งเรืองมานานหลายร้อยปีแล้ว มีลูกหลานมากมาย หากนับตามสาขาตระกูลแล้ว แต่ละคนต่างก็มีลำดับการเรียกที่ต่างกันไป จึงเรียกกันง่ายๆ ชัดเจนแบบนี้ไปเลย
"พี่สี่มีบางบทที่ท่องไม่ได้ จึงถูกท่านปู่สั่งลงโทษให้คัดหนึ่งร้อยรอบ" พูดถึงเว่ยเกาชวน เว่ยฉางเฟิงกลับมีท่าทีลังเลแล้วกล่าวว่า "ท่านปู่อยากจะให้พี่สี่ทบทวนความรู้เก่าก่อน หากว่ามีอะไรสงสัยจึงค่อยไปถามอาจารย์ ให้อาจารย์สอนบทเรียนใหม่ให้ข้าก่อน"
ฮูหยินซ่งได้ยินที่บุตรสาวบุตรชายคุยกัน ใบหน้าก็มีท่าทีไม่ใส่ใจแล้วกล่าวว่า "ช่างทำให้อาสะใภ้สามของพวกเจ้าต้องลำบากใจกับการทุ่มเทลงไปเสียจริง ทั้งวันต้องคอยปรนนิบัติเอาใจท่านย่าพวกเจ้า ถึงได้ทำให้ท่านย่าพวกเจ้ายอมให้บุตรคนโตจากอนุภรรยาของบ้านสามคนนี้ได้รับการสั่งสอนจากท่านปู่ของพวกเจ้าได้ คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่กลับไม่เอาไหนอย่างนี้ ฉางเฟิงเจ้าอย่าเอาอย่างเขาเชียว" แล้วกล่าวต่อว่า "ดังนั้นท่านปู่ของพวกเจ้าให้อาจารย์เว่ยหย่งซื่อสอนบทเรียนใหม่ให้เจ้าก่อน เพื่อไม่ให้เจ้าต้องช้าไปด้วย ข้าจะต้องไปคุยกับอาสะใภ้สามของพวกเจ้าเสียหน่อยแล้ว"
นางมีหวังคือบุตรชายคนนี้คนเดียว หากว่าเพราะต้องคอยดูแลเว่ยเกาชวนจนทำให้กระทบกับการก้าวหน้าของเว่ยฉางเฟิง ฮูหยินซ่งจะยอมที่ไหน นอกจากนี้ฮูหยินซ่งเป็นคนเด็ดขาด ท่าทีลังเลไม่เด็ดขาดของเว่ยเกาชวนอย่างนั้นนางไม่ชอบใจเลยจริงๆ
เว่ยฉางเฟิงกลับกล่าวอย่างจริงจังว่า "ท่านแม่ พี่สี่เองก็ไม่ใช่ว่าจงใจเรียนไม่ดี เขาจำไม่ได้จริงๆ ข้าได้ยินคนข้างกายเขากล่าวว่า บทความที่วันนี้เขาท่องไม่ได้ต่อหน้าท่านปู่บทนั้น เขาเริ่มท่องทุกเช้าค่ำมาตั้งแต่เมื่อสิบวันก่อนแล้ว แต่ก็จนใจที่จำไม่ได้จริงๆ ดังนั้นจะบอกว่าพี่สี่ไม่ดีไม่ได้ เกรงว่าเป็นเพราะพรสวรรค์เสียมากกว่า เรื่องนี้มันทำอะไรไม่ได้ จะไปโทษพี่สี่ก็ไม่ได้"
คำกล่าวนี้หากว่าเป็นคนอื่นกล่าวออกมา ฮูหยินซ่งคงได้โมโหจนตบโต๊ะไปนานแล้ว ต่อให้เป็นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวออกมา แต่อย่างไรฮูหยินซ่งก็ต้องมีรู้สึกไม่พอใจบ้างไม่มากก็น้อยแน่ แต่มาตอนนี้ผู้ที่เอ่ยปากกลับเป็นบุตรชายแท้ๆ ของนางเอง ดังนั้นฮูหยินซ่งจึงไม่ได้เก็บเอาคำแย้งของเว่ยฉางเฟิงมาใส่ใจ แล้วกล่าวไปด้วยท่าทีดีใจว่า "บุตรชายข้ารักใคร่พี่น้อง จิตใจกว้างขวาง วันหลังจะต้องประสบความสำเร็จแน่!"
พวกแม่นมซือเห็นจนไม่รู้สึกแปลกแล้ว กระทั่งหันหลังกลับไปหัวเราะยังคร้านจะทำด้วยซ้ำ กลับเป็นเว่ยฉางเฟิงเองที่รู้สึกว่าท่านแม่ตนไร้พิธีการเกินไป แล้วกล่าวอย่างถ่อมตนออกมาว่า "ท่านแม่ต้องดูแลคนในตระกูลมากมาย ไม่รู้ว่าที่พี่สี่เรียนรู้ได้ช้าไม่ใช่เพราะไม่ตั้งใจก็ไม่แปลก เป็นลูกเองที่พูดจาร้อนรนเกินไป หวังว่าท่านแม่จะไม่โกรธเคือง"
ฮูหยินซ่งได้ฟังก็ยิ่งพอใจบุตรชายมากขึ้น "ลูกชายข้า แม่จะโทษเจ้าได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นแม่เองทำไมต้องไปโทษเกาชวนด้วย หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่ใช่ว่าจะทำให้เด็กคนนั้นต้องเสียใจหรือ ยังดีว่าเจ้าบอกเข้า"
เว่ยฉางอิ๋งหมดความอดทนฟังเรื่องของเว่ยเกาชวน แล้วแทรกปากไปว่า "ท่านปู่กับพวกเจ้าพูดถึงเรื่องเมืองเหลียงเฉิงไหม?"
เว่ยฉางเฟิงกล่าวอย่างประหลาดใจว่า "แน่นอนว่าไม่ ท่านปู่เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว พอทดสอบพวกข้าเสร็จก็ให้พวกข้าออกไป แล้วเข้าไปพักในห้อง...ท่านพี่ถามเรื่องนี้ไปทำไมกัน?"
"ทางเหนือของเมืองเหลียวเฉิงคือตงหู คงไม่ใช่ว่าเผ่าหรงบุกเข้ามาในเฟิ่งโจวแล้วหรอกนะ?" ในเมื่อเว่ยฉางอิ๋งชอบวิชายุทธ์ ตำราต่อสู้นางเองก็ได้อ่านมาบ้างสักเล่มสองเล่ม แม้ว่าจะอ่านลวกๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ยังพอจะเข้าใจเล็กน้อย และคิดเรื่องราวจากข่าวด่วนของเมืองเหลียวเฉิงได้มากมาย นางกล่าวว่า "ไม่อย่างนั้นท่านปู่จะรีบร้อนกลับมาทำไม กระทั่งโจรใจกล้าเหล่านั้นของเขาเฟิ่งฉียังไม่กำจัดให้ราบคาบ เขาเฟิ่งฉีใกล้กับเฟิ่งโจวของพวกเราขนาดไหน!"
ฮูหยินซ่งไม่ชอบใจที่สุดก็คือการที่บุตรสาวสนใจเรื่องการทหารเหล่านี้ นางคิดว่าเป็นท่าทางที่ไม่สนใจเรื่องหลัก จึงกล่าวตำหนิเสียงเบาว่า "ตงหูคือฐานที่มั่นของแซ่หลิว ทุกวันนี้ตระกูลหลิวยังไม่มีข่าวอะไรไม่ดีส่งมา เผ่าหรงจะข้ามผ่านตงหูเข้ามาที่เฟิงโจวของพวกเราได้ง่ายขนาดนั้นที่ไหน?"
แล้วกล่าวถึงบุตรสาวต่อว่า "ยิ่งไปกว่านั้น เผ่าหรงจะบุกเข้ามาหรือไม่ก็มีท่านปู่ ท่านอาของเจ้าคอยจัดการ เกี่ยวข้องอะไรกับเด็กสาวอย่างเจ้ากัน หากว่าเจ้ามีเวลาอย่างนี้สู้เอาไปตั้งใจเรียกวิชาการบ้านการเรือนยังดีกว่า!"
เว่ยฉางอิ๋งฟังคำเหล่านี้แบบหูซ้ายทะลุหูขวามาจนชินนานแล้วและกล่าวว่า "ข้าเป็นห่วงท่านปู่กับท่านอาหรอก! ยิ่งไปกว่านั้นการที่เผ่าหรงบุกรุกจากทางตระกูลหลิวเข้ามาในเฟิ่งโจวก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีมาก่อน ข้าได้ยินว่าตอนที่ข้าเพิ่งจะเกิดก็เคยมีมาก่อนครั้งหนึ่ง แม้ว่าตอนนั้นเผ่าหรงที่เข้ามาทั้งสองร้อยคน สุดท้ายจะถูกกองกำลังทหารของเมืองซิ่นเฉิงขวางไว้ที่เมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของเฟิ่งโจว จนสุดท้ายก็ไม่มีใครได้กลับไป แต่ว่าก่อนที่จะถูกล้อมที่เมืองซิ่นเฉิงนั้น เขาไล่ฆ่าฟันมานับตั้งแต่แม่น้ำนู่ เข่นฆ่าเสียจนทางตอนเหนือของเฟิ่งโจวหลายเมืองรกร้างไร้ผู้คน แค่จิงกวน[2]ก็สร้างขึ้นมามากมายหลายแห่งแล้ว แล้วเมืองเหลียวเฉิงจะต้านเอาไว้ได้ไหม!"
………………………
[1] ชื่อของคนจีนสมัยก่อนจะประกอบด้วย เเซ่ (ซิ่ง 姓) ชื่อ (หมิง 名) ชื่อรองหรือฉายา (จื้อ 字)
[2] จิงกวน : ผู้ชนะสงครามใช้แสดงอานุภาพกองทัพของตน ใช้เก็บจำนวนศพของฝ่ายศัตรู กองรวมกันกลายเป็นเนินสูง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ