Ask her to be my last​ (to be)#รัก​ไม่เลือกเวลาเกิด

-

เขียนโดย fRONG_UFO

วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 23.35 น.

  14 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.29K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2563 01.10 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

#ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร

 

 

ผมนั่งอยู่ริมระเบียงห้องที่เงาสะท้อนจากท้องฟ้าสีแดงอมส้มสลัวๆที่ไม่เชิงเย็นไม่เชิงค่ำนั้นได้เข้ามากระทบที่บริเวณตัวผม

ในมือข้างขวาได้ถือรูปใบเล็กอยู่หนึ่งใบ บุคคลในรูปใบนี้เป็นคนที่ผมได้แอบชอบมานานมากผมถึงได้ไม่เคยมีแฟนเลยแม้แต่คนเดียว

ต่อให้มีคนมาบอกชอบผมสักกี่คนก็จะปฏิเสธจนหมดทุกคน ผมไม่อาจลืมคนที่อยู่ในความทรงจำช่วงวัยเด็กได้

จากความทรงจำก็เพิ่มเป็นความชอบ จนเป็นความรักที่ผมเก็บไว้ในใจมาตลอด

 

ผมอธิษฐานมาตลอดว่าขอให้ได้พบเขาอีกสักครั้งแล้วผมจะไม่มีวันปล่อยเขาให้หลุดมือไปอีก..

 

 

 

 

“มึงทำไรมืดๆค่ำๆว่ะไอ้ภู ทำไมไม่เปิดไฟว่ะ”

 คิวเอ่ยขึ้นหลังจากเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วก็เปิดไฟ

ทำผมถึงกลับสะดุ้งเพราะแสงไฟเข้ามากระทบดวงตาจนแสบระยิบระยับ

 

 

“กูก็แค่นั่งเล่น วิวมันสวยดี”

 ผมรีบแก้ตัวที่ดูไม่น่าแก้ตัวได้เพราะหลักฐานยังคงคาอยู่ในมือ

 

“นั่งเล่นเชี้*ไรว่ะ มึงนี่แม่ง จะนั่งทำเอ็มวีเหรอว่ะ ไปหมดแล้วเพื่อนกูสมงสมอง บอกเลยครับไม่เนียนๆ”

มันพูดเสร็จก็มาแย่งรูปที่มือผมไปดูด้วยสีหน้าตกใจ

“อะไรว่ะ กูนึกว่าดูผู้หญิงสวยๆ แต่นี่มึงดู..”

 

“เอามา” ผมเอ่ยออกไปเบาๆ

 

“เดี๋ยวสิว่ะ ! กูขอดูหน้าให้ชัดๆหน่อย ทำไมกูคุ้นหน้าคุ้นตาจังว่ะ..”

 

“เดี๋ยวๆๆนะไอ้ภู ครั้งแรกกูคิดว่ากูตาฝาด กูไม่ได้ฝันไปใช่ป่ะ นี่มึงชอบ..หรอว่ะ มึงเล่ามาให้หมดเลยนะๆ”

 

“เออน่า เอารูปมาก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”

 

ผมก็เล่าความทรงจำวัยเด็กของผมให้กับไอ้คิวฟัง ขนาดมันยังตกใจเพราะมันเป็นเพื่อนสนิทผมมาตั้งแต่เด็กด้วยกันมันกลับพึ่งมาได้รู้จักความลับที่ผมไม่เคยบอกใคร เพราะปกติมันจะรู้ทุกเรื่องของผม แต่ตอนนี้มันก็ได้รู้ความลับของผมจนหมดเปลือกแล้ว

 

“เดี๋ยวกูช่วยมึงเอง”

 คิวเอ่ยขึ้นแล้วเอามือมาแตะไหล่ผม

 

“อย่างมึงนะจะมาช่วยกู ตัวมึงเองยังไม่รอด”

 ผมพูดออกไปด้วยสีหน้าไม่เชื่อ

 

“อย่างน้อยกูก็เป็นหูเป็นตาเป็นยายเป็นชวดให้มึงได้ป่ะค้าบบ”

 คิวบอกด้วยน้ำเสียงที่ไปทางอารมณ์กวนๆบวกกับสีหน้ามันตอนนี้ผมนี่ต้องเป็นลูกมือมันอีกยาวแน่ๆเพราะมันถือไพ่เหนือกว่าผมแล้ว

 

 

 

@ ตึกบริหาร

 

“วันวันนี้มึงมาเช้าในรอบแห่งปีเลยว่ะ”

บูมเอ่ยขึ้นพร้อมกับทำสีหน้าท่าทางทะเล้นๆ

 

“มึงอย่ามาเวอร์ เราพึ่งเข้าปี 1 ยังเรียนไม่ถึงปีด้วยซ้ำ”

 

“อะไรของมึงว๊าเพื่อนวัน ขำๆแต่เช้า ไม่เล่นมุกกับกูเล้ยยยย”

บูมแกล้งหน้านอยๆใส่

 

“ทำไมมิกซ์ยังไม่มาว่ะ ช่วงนี้มันไม่เคยไลน์หากูเลย”

 ผมเอ่ยขึ้นกับบูม

 

“มันไม่ว่างเปล่า สงสัยมีนัดกับสาวละมั้ง”

บูมเอ่ยขึ้นแล้วก็เล่นเกมส์ในโทรศัพท์ต่อด้วยอารมณ์ชิวๆ

 

“คิดถึงกูหรอ”

มิกซ์เดินเข้ามาได้จังหวะที่ผมพึ่งจะถามหามันกับบูมไม่ถึง 2 วินาที

 

“ก็กูเห็นมึงหายๆไปเลย ก็คิดว่ามึงจะไม่สบายหรือตายอืดอยู่ในหอซะอีก”

ผมพูดกวนๆประสาทมันไปแต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยสบอารมณ์

 

“มึงเป็นไรเปล่าว่ะช่วงนี้แปลกๆนะ”

ผมถามขึ้นแล้วจ้องหน้ามัน แล้วมองด้วยสายตาขึ้นลงทีซ้ายขวาทีจนมันเบนหน้านี้

 

“ไปเข้าห้องเรียนกันได้แล้วไอ้พวกเชี้*”

มิกซ์เปลี่ยนเรื่องพูดทันที แล้วเราทั้งสามคนก็ลุกเดินไปเข้าห้องเรียน

 

 

 

@เที่ยง

“กินไรกันดีว่ะพวกมึง”

แป้งเอ่ยขึ้นมา

 

“กูอยากกินอะไรที่มันน้ำๆแซ่บๆอ่ะ”

 คิวเอ่ยขึ้นแล้วมองไปทางแป้งด้วยสีหน้าหื่นๆ

 

“ไอ้คิว อย่าบอกนะว่ามึงหมายถึง..”

 

“กูหมายถึงต้มยำกุ้ง มึงคิดไรอ่ะแป้ง หรือว่าคิดอะไรมิดีมิร้ายกับกูห่ะ”

 คิวเอ่ยขึ้นแล้วทำปากจู๋ๆเหมือนจะจูบแป้ง

 

“อี๊ เอาหน้าสกปรกๆของมึงออกไปเลย แป้งเอามือดันหน้าคิวออก”

 

“นี่พวกมึงจะกินข้าวหรือจะกัดกันครับ กูหิวแล้วครับ!”

ผมเอ่ยขึ้นแล้วทำตาขวางๆใส่พวกมันทั้งสองจนแป้งกับคิวหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าอย่าพึ่งโมโหหิวนะอะไรแบบนั้น ผมให้พวกมันไปซื้อข้าวมาให้ในฐานะที่ยืนเถียงกันนานสองนานผมยืนฟังจนหิวข้าวไส้จวนจะขาดเลย

ผมกวาดสายตาที่จะหาโต๊ะนั่งเงียบๆ ที่มีคนนั่งกินข้าวน้อยที่สุดก็เลยไปสะดุดตาเข้ากับโต๊ะฝั่งตรงข้ามที่อยู่ตรงมุมเสา สักพักแป้งกับคิวก็มาได้ทันเวลาพอดี

 

“มาแล้วครับคุณชาย”

 แทนที่มึงจะเป็นคนซื้อให้กูนะไอ้ภู เดี๋ยวกูจะคิดบัญชีทีหลังให้จุกเลยครับ

 

“อะไรจุกว่ะ ?”

 แป้งเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าออกแดงที่มุมแก้มเล็กน้อย

 

“ก็จุกแบบ..”

 คิวทำหน้าฟินๆใส่แป้ง แต่แป้งไม่รู้ตัวว่าโดนแกล้ง

 

“พอได้แล้วพวกมึงสองตัวอ่ะ”

 ผมพูดแล้วเน้นคำว่าตัวใส่หน้ามันสองคน

 

 

“ไอ้วันที่นั่งฝั่งนี้เต็มหมดแล้ว เราจะไปนั่งกินข้าวตรงไหนดีว่ะ”

บูมเอ่ยขึ้น แต่วันนี้มิกซ์ยังคงหน้านิ่งไม่สบอารมณ์เหมือนเดิมราวกับว่าโกรธใครสักคนอยู่

 

“ลองไปดูฝั่งโน้นไหม”

 ผมเอ่ยขึ้นแล้วเดินตรงไปทางมุมเสามิกซ์กับบูมก็เดินตามมาจากข้างหลังติดๆ

 

“เชรดนั่นพี่รหัสมึงนี่หว่าวัน” บูมเอ่ยขึ้น

 

“ไปนั่งด้านนอกก็ได้มั้ง กูว่าไอ้วันคงไม่อยากนั่งแถวนี้หรอก”

 มิกซ์เอ่ยขึ้นแล้วเดินกลับไปทางเดิม ทำให้พวกผมก็ต้องเดินตาม แต่ก้าวออกไปไม่เกิน 2 ก้าวก็มีเสียงเรียกจากด้านหลัง

 

“อ้าวน้องตะวันมานั่งด้วยกันดิ ที่ว่างเยอะเลย” คิวเอ่ยเรียก

 

“มาดิว่ะยืนทำเชี้**ไร ไม่หิวข้าวกันรึไง!” คิวเอ่ยขึ้นเรียกเป็นครั้งที่สอง

 

 

ผมที่กำลังนั่งกินข้าวอย่างหิวและไม่สนใจที่จะหันไปมองว่าคิวเรียกใครมานั่งกินข้าวด้วย

แต่ก็ต้องถึงกับถือช้อนค้างทันที

 

“หวัดดีครับพี่ภูผา”

 

“............”

 

“อืมหวัดดี”

 ผมพูดไปด้วยสีหน้าดูเย็นชาแล้วก็กินข้าวต่อ

 

“ไอ้ภูมันหิวข้าวหน่ะ ก็เลยไม่อยากคุยกับใครตอนนี้ ขนาดพี่มันยังไม่พูดด้วยเลย ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว”

และดูเหมือนว่าคิวกำลังแก้หน้าให้ผมอยู่ ไม่เสียแรงที่คบมันมานาน แค่มองตายังรู้ใจกันได้

 

 

วันนี้พี่ภูดูท่าทีแปลกๆ หรือจะยังไม่หายตกใจเรื่องที่เจอกันตอนกินข้าวที่บ้านเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมเองก็ตกใจไม่แพ้กันแต่จะให้ผมทำยังไงได้ถ้าผมไม่คุยกับพี่เขาสักคำในหนึ่งวันผมต้องเป็นบ้าแน่ๆ

แต่อาทิตย์ที่แล้วผมกลับไปทบทวนคิดดีเเล้วว่า..ยังไงผมก็ยังจะชอบพี่ภูแบบนี้ไปเรื่อยๆ เเละตลอดไปปัญหาแค่นี้ไม่มีทางทำให้ผมเลิกชอบพี่เขาได้

แต่วันนี้ผมต้องถามพี่ภูให้รู้เรื่องว่าพี่เขาโกรธผมหรือเปล่า หรือผมไปทำอะไรให้โกรธ วันนี้หลบสายตาผมตลอดเลยและไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดคุยอะไรเลย

 

 

 

 

@ตอนเย็น

ผมกำลังเดินจะไปโรงรถหลังจากเรียนเสร็จ แล้วแยกกลับกับคิวไปคนละทางเพราะต่อให้อยู่หอเดียวกัน ก็ไม่เคยได้กลับด้วยกันสักที มันก็คงไปส่องสาวที่ไหนสักทีอยู่แหละ และในขณะนี้ท้องฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยเมฆหนามืดครึ้มราวกับว่าฝนจะตกไม่ช้าก็เร็ว

 

“พี่ภูหลบหน้าผมทำไม”

เสียงที่คุ้นหูเอ่ยถามผมขึ้นด้วยสีหน้าที่มีความกังวล

 

“เปล่า”

“......”

“......”

“พี่เป็นไรก็บอกผมดิ ผมว่าเราเคลียร์กันไปทุกเรื่องแล้วนะพี่ภู”

 ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังงงกับท่าทีของอีกฝ่ายว่าคิดอะไรอยู่ข้างในใจ

 

“กูไม่ได้เป็นอะไร วันนี้ก็รีบๆอ่ะ กูกลับหอก่อนนะ”

 

“พี่สัญญาว่าจะเป็นพี่รหัสที่ดีให้ผมไม่ใช่เหรอ”

ผมเอ่ยขึ้นเชิงนัยๆว่าทวงคำสัญญาที่พี่ภูเคยบอกไว้ว่าจะเป็นพี่รหัสที่ดีให้ แล้วในขณะนั้นผมก็ไปยืนขวางประตูรถไว้

 

“กูแค่สับสนอยู่ มึงเลิกยุ่งกับกูสักพักเหอะ แค่นี้ชีวิตกูก็วุ่นวายมากพอแล้ว”

 

“....................”

 

ผมเอ่ยออกไปด้วยสีหน้าหงุดหงิดแล้วพลั้งปากพูดออกไปไม่รู้ตัว และผมเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ด้านหน้าท่าทีมีความกังวลอยู่ไม่น้อย ทำไมกับเรื่องแค่นี้ต้องมากังวลมากมายหรือแคร์คนอย่างผมด้วย

เพราะอะไร..เพราะอะไรมึงถึงแคร์กูขนาดนี้ด้วยตะวัน..กูรู้สึกทำตัวไม่ถูกแล้ว

 

 

“พี่โกรธผมเรื่องที่ผมไม่ได้บอกว่าเราเคยรู้จักกันตอนเด็กใช่ไหมครับ”

 อีกฝ่ายถามผมขึ้นมาด้วยคำถามที่ใช่สิ่งที่ผมคิดไว้ตั้งแต่แรก หรือเรียกว่าคำถามนี้ไม่เคยอยู่ในหัวของผมเลย

 

“.................”

 

“ผมเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่คือพี่ใหญ่ ผมก็พึ่งจำได้ตอนที่พี่มากินข้าวบ้านผม อย่าโกรธผมเลยนะครับ”

อีกฝ่ายพูดขอโทษมาด้วยสีหน้ามีความกังวลมากกว่าเดิม จนผมทนเห็นแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว

“กูกลับก่อนนะ วันหลังค่อยคุย”

ผมรีบตัดบทแล้วดึงตัวอีกฝ่ายออกมาตรงหน้าประตูรถ แล้วก็ขับรถออกไปทันที

“ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกัน”

 ผมเอ่ยกับตัวเองเบาๆขณะขับรถออกไปอย่างช้าๆ

 

ผมยังคงยืนงงกับเหตุการณ์เมื่อกี้ ความรู้สึกแบบนี้ผมไม่เคยคิดจะอยากได้มันเลย ผมรักษามันมาตั้งนานผมต้องเสียมันไปแล้วจริงๆหรอ ถ้าผมไม่ออกมาจากห้องวันนั้นไม่มานั่งกินข้าว ผมอาจจะยังเป็นเหมือนเดิมกับพี่ภูและยังคงเป็นพี่รหัสที่ไปมาหาสู่กันได้เหมือนเดิม ผมพลาดแล้วจริงๆใช่ไหม ..

เสียงเม็ดฝนมากระทบที่หน้าผากเม็ดสองเม็ดว่าเตือนผมว่าอีกหลายๆเม็ดกำลังจะตกลงมาในไม่ช้า แล้วฝนก็ตกลงมาโครตได้จังหวะอารมณ์ในตอนนี้เลย เหมือนกับว่าถ่ายเอ็มวีหนังอะไรแบบนั้น แต่คงจะเป็นหนังเศร้าที่ผิดหวังกับความรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จะเดินกลับตึกเรียนก็ไม่ทันต่อให้วิ่งก็ไม่ทันแน่นอน ตอนนี้เสื้อนักศึกษาเปียกโชกไปด้วยน้ำฝนแล้ว จะกลับบ้านก็คงกลับสภาพนี้ไม่ได้เพราะรถแท็กซี่น่าจะไม่ค่อยมีแล้ว ยิ่งฝนตกหนักแบบนี้คงไม่ค่อยมีรถจอดรับเท่าไร ผมก็ไม่ได้เอารถมาอีกวันนี้รถเสียด้วยเอาไปเข้าอู่ซ่อมคงอีก 2- 3 วันแหละถึงได้ ผมล้วงกระเป๋าจับโทรศัพท์ออกมาจะโทรหาคนที่บ้านแบตก็ดันมาหมดอีก

นี่สินะคงจะเป็นวันผิดหวังของผมจริงๆ

 

 

ผมขับรถออกมาสักแล้วยังคงคิดวนไปวนมาในหัวเพราะอะไรตะวันถึงแคร์ผมมาก แล้วความรู้สึกแบบนี้ที่เกิดขึ้นกับผมมันคืออะไร ก็ยังคงสับสน

เม็ดฝนหยดลงมาที่หน้ากระจกรถ หยดลงมาเรื่อยๆจนเป็นเม็ดฝนที่หนักขึ้นเรื่อยๆ ตกนักถึงขั้นที่คนๆนึงไปยืนไม่เกิน 1 นาทีก็ยังสามารถเปียกโชกได้เลย

 

 

ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมก็คือ เมื่อกี้ผมกับตะวันพึ่งคุยกันไปเอง และโรงจอดรถก็ไกลจากตึกมากด้วย ผมเลยหยุดรถเพื่อรีบกลับไปหาอีกฝ่ายทันที

 ผมวนรถขับกลับไปที่มอด้วยความเร็วอยู่สมควร ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกห่วงใยหรือรู้สึกผิด

 ผมกลับเข้ามาข้างในอีกครั้งผมเห็นอีกฝ่ายจากด้านหลังแล้ว ผมรีบจอดรถแล้วลงไปพร้อมกับร่ม

แต่ภาพที่ผมเห็นด้านหน้าทำให้หัวใจผมเต้นแรงเหมือนถูกบีบรัดโดยไม่รู้ตัว....

 

 

 “มึงโอเคใช่ไหมวัน”

เสียงมิกซ์พูดอยู่ด้านหน้าผมด้วน้ำเสียงเบาๆ ที่ตัวของมิกซ์ก็เปียกน้ำฝนจนโชกไม่ต่างอะไรกับผม

มันยื่นร่มคันใหญ่ให้ผมด้วยสีหน้าที่ห่วงใยไม่น้อย

 

 

 

#ตะวันภูผา 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา