#เพราะรักมันบิดเบี้ยว
10.0
เขียนโดย ViSuthYAMA_
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 10.06 น.
4 ตอน
0 วิจารณ์
4,637 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 10.13 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) คดีบทที่ ๑ รัก สาม เส้า (3)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความภายในรถเก๋งสี่ประตูสีบรอนซ์ทองคันเดิมได้เคลื่อนที่ไปยังถนนสายเดิมที่มุ่งหน้าไปยังวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดอยุธยา มีหญิงสาววัยกลางคนเป็นผู้รับหน้าที่เป็นคนขับรถ โดยมีลูกชายวัยสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ในวันนี้นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ และเพื่อนของลูกชายนั่งอยู่ข้างหลังที่กำลังนั่งเล่นเกมออนไลน์ในโทรศัพท์อย่างเมามันโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่น้อย
“ไอเก้า เล่นแต่เกมอยู่นั่นแหละ ไหนบอกจะท่องบท”
“ท่องแล้ว พักแป๊บสิ” นั่นเรียกพักหรอวะ ผมคิดซึ่งนั่นทำให้ผมหงุดหงิดอยู่มากว่าทำไมจะต้องมาตามกวดตามขันมันขนาดนี้
“แล้วเมื่อไหร่มึงจะจำได้วะ”
“เอาหน่าลูก ให้เก้าเขาพักแป๊บเดียวก็ได้นี่ ไม่เป็นไรหรอก” แม่หันมาเปรยกับผมซึ่งสร้างความถูกอกถูกใจให้กับคนข้างหลังอย่างมาก
“ใช่ครับแม่” มันละสายตาจากจอโทรศัพท์เพื่อมาทำท่ายกนิ้วถูกใจให้แม่ของผมก่อนจะก้มหน้าก้มตาเล่นเกมต่ออย่างอารมณ์ดี
“อะไรอะ? เข้ากันดีจริง ฟอนด์เป็นลูกแม่จริงไหมเนี่ย” ผมทำท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจอย่างต้องการให้แม่เห็นอย่างชัดเจนซึ่งท่านก็ยิ้มและมองผมด้วยความเอ็นดูก่อนจะเอื้อมมือบาง ๆ มาลูบที่หน้าผม
“โอ๋ ๆ ไม่งอนแม่นะลูก ก็ลูกแม่ทั้งสองคนแหละ”
“ไม่ ฟอนด์เป็นลูกคนเดียว” นี่แม่คิดว่าไอเก้าเป็นลูกจริง ๆ หรอเนี่ย อะไรกันแม่นะแม่
“ลูกคนเดียวก็ลูกคนเดียวจ้ะ” แม่ละสายตามายิ้มตลกให้ผมอีกครั้งก่อนใบหน้าของท่านจะปรากฎความตกใจสุดขีด
“ว้าย!!!” เสียงตกใจของแม่ตามมาด้วยการเบรกรถอย่างกะทันหัน โชคดีที่ไม่มีรถวิ่งตามมา แต่อาการของแม่ก็ไม่สู้ดีนัก เพราะตอนนี้ร่างกายของแม่ถูกครอบงำไปด้วยความตกใจกลัวอย่างสุดขีด ซึ่งทีท่าของผมกับไอเก้าก็มีอาการอย่างนั้นไม่แพ้กัน แต่ตอนนี้เราต้องมีสติให้ได้ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นไปมากกว่านี้
“มีอะไรแม่!” ผมเข้าสวมกอดแม่อย่างพยายามปลอบโอน ก่อนที่แม่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้าน ซึ่งผมไม่ชอบที่แม่เป็นแบบนี้เลย มันทำให้ผมตกใจมาก และไม่รู้จะหาทางช่วยแม่ยังไง
“งู! งู! เมื่อกี้มีงูเลื้อยตัดหน้ารถ!”
“แม่ไหวไหมครับ” ผมถามออกไปอย่างนั้นเพียงหวังจะให้อาการแม่ดีขึ้น ถึงแม้ผมจะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าตอนนี้แม่ไม่ไหวจริง ๆ
“ฟอนด์ พาแม่มานั่งข้างหลัง เดี๋ยวกูขับเอง” เก้าที่ตอนนี้ดูมีสติและมีความจริงจังปรากฏขึ้นมายื่นข้อเสนอในการขับรถแทนให้
ไวเท่าที่พูดมันเปิดประตูรถออกไปข้างนอกเพื่อที่จะมาเปิดประตูฝั่งคนขับเพื่อพยุงแม่ขึ้น
“ขับได้หรอ”
“ได้ ๆ มึงมาแม่ดูแลมา” มันออกคำสั่งที่ทำให้ผมต้องทำตามโดยง่าย เพราะตอนนี้มีแค่มันที่พึ่งพาได้
ในขณะที่ผมเข้ามาดูอาการแม่ที่ที่นั่งข้างหลังอย่างร้อนใจ เก้าก็ขึ้นรถตรงที่นั่งคนขับก่อนจะปรับสภาพให้เหมาะสมกับการขับรถแล้วขับออกไปอย่างระแวดระวัง
ในที่สุดก็ถึงปลายทาง
“ถึงวัดแล้วครับแม่” ผมบอกกับแม่ที่นอนสลบไสลมาตลอดทาง ไม่รู้ว่าผมมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่แม่ต้องรับมือกับความตกใจที่ไม่อาจหาสาเหตุนั่นได้โดยที่ผมไม่สามารถช่วยอะไรท่านได้เลย
“แม่ไหวนะครับ” เก้าพูดสมทบหลังจากที่จอดรถเสร็จแล้วลงจากรถมาเปิดประตูเพื่อเตรียมรับแม่จากผม
“ไหวลูก แม่ไหว ไปกันเถอะ” แม่ตอบอย่างเหนื่อยอ่อน
“มึงพยุงแม่ไปก่อนเลย เดี๋ยวกูหิ้วของไปให้” เก้าพูดก่อนจะเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเอาเครื่องสังฆทานออกมา
บรรยากาศที่วัดนี้ดูเงียบสงบพิกล ราวกับว่าเพิ่งเกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้มันเงียบได้ขนาดนี้
ในขณะที่พวกเราพากันเดินหาทางเข้าโบสถ์อยู่นั้นก็ปรากฎพระภิกษุวัยชรารูปหนึ่งยืนรอพวกเราอยู่ที่หน้าโบสถ์นั่น
ท่านดูแข็งแรง สุขภาพดีผิดกับวัยของท่านที่น่าจะมีอายุราวแปดถึงเก้าสิบปีแล้ว ท่าทางสุขุมน่าเลื่อมใสนั่นดึงดูดพวกเราให้เดินตามท่านเข้าไปภายในโบสถ์นั่นเป็นอย่างมาก
“สิบเจ็ดปีแล้วหรือ” หลวงตาท่านถามหลังจากที่เราถวายสังฆทานแก่ท่านเสร็จ ท่าทีของท่านราวกับรู้จักแม่กับผมเป็นอย่างดี
“ค่ะท่าน วันนี้เจ้าค่ะ” แม่ผมกล่าวสมทบ
“บุญรักษานะโยม ขอให้โยมตั้งใจทำคุณความดีให้มาก ๆ จะได้ไปในที่ทางดี ๆ” ท่านพูดด้วยน้ำเสียงของความเอ็นดูในตัวผมมาก
“ขอบพระคุณครับหลวงตา” ท่านมองผมนิ่งอยู่หนึ่งก่อนจะหลับตาคิดถึงอะไรสักอย่างก่อนจะเอ่ย
“เอาล่ะ ตั้งใจกรวดน้ำ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ญาติสนิทมิตรสหาย และเจ้ากรรมนายเวร”
ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าหลวงตาท่านเน้นไปที่คำว่าเจ้ากรรมนายเวรไปสักหน่อย แต่ก็คงไม่มีอะไรหรอก เราทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวรเป็นของตัวเองทั้งนั้น อย่าคิดมากสิ ตั้งใจกรวดน้ำเถอะ
‘กูไม่เอา!’
‘เอาของมึงคืนไป!’
‘กูจะเอาชีวิตมึง!’
เสียงนั่นอีกแล้ว ใครกัน? เสียงปริศนานั่นมันกลับมาหลอกหลอนผมอีกแล้ว เกิดอะขึ้น ผมไม่ได้คิดลบกับตัวเองเสียหน่อย
‘มีสติโยม ตั้งใจแผ่ส่วนบุญไปให้เขา’
หลวงตาได้ยินด้วยหรอ แต่หลวงตาไม่ได้ปริปากพูดออกมาเลยนี่ แล้วเมื่อกี้เราได้ยินท่านได้อย่างไร ผมคิด แต่ช่างมันก่อน เราควรตั้งใจมีสติแบบท่านว่า และมันได้ผล ผมไม่ได้ยินเสียงนั่นอีก
หลังกรวดน้ำเสร็จพวกเราต่างคุยสัพเพเหระกับหลวงตาอีกครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจว่าจะพากันกลับบ้านหลวงตาท่านก็มีเมตตาเดินออกมาส่งพวกเราที่หน้าโบสถ์
“โยมฟอนด์” ถ้าได้ยินไม่ผิดเสียงนั่นออกจะดูหนุ่มขึ้นมาราวสักห้าสิบปีเป็นแน่
“ครับหลวงตา”
“เอานี่ไปไว้เจริญสติ มันจะคุ้มครองไม่ให้เกิดเรื่องร้าย” ท่านยื่นกำไลที่ทำจากสายสิญจน์สีแดงและหินมงคลให้กับผมแต่รั้งนี้ดูเหมือนเสียงท่านจะกลับมาเป็นปกติแล้ว หูแว่วอีกแล้ว?
“ขอบพระคุณครับ”
“จะเกิดเรื่องไม่ดีกับฟอนด์หรือเจ้าคะ?” แม่ทักขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก หลวงตาท่านจึงชี้แจงต่อเพื่อคลายความกังวลให้แม่
“ทุกคนย่อมมีกรรมที่เกิดจากการกระทำของตนในอดีตทั้งนั้น โยมวางใจเถิด” ถึงจะกล่าวเช่นนั้น แม่ก็ยังดูอดที่จะหวั่นใจไม่ได้
“เจ้าค่ะ”
“ดูแลรักษาตัวดี ๆ มีสติมั่น หากมีอะไรมาผจญต้องปล่อยวางและมีเมตตานะโยม” ท่านกล่าวซ้ำกับผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงของความเป็นห่วงอยู่มาก ผมสัมผัสถึงมันได้
“ครับหลวงตา”
“ลาแล้วนะเจ้าคะหลวงตา” แม่กล่าวเมื่อผมละจากท่านมาพยุงกอดอย่างหลวมที่ตัวแม่
“เจริญพรโยม”
ภาพของหญิงวัยกลางคนและเด็กหนุ่มทั้งสองเดินห่างออกไปจนไม่อาจสังเกตได้ว่าตอนนี้หลวงตาท่านที่ยืนสนทนากันนั้นได้กลายร่างเป็นชายรูปร่างสูง ดูสุขุมวัยสามสิบต้น ๆ คนหนึ่ง
“พ่อช่วยได้เท่านี้นะลูก พ่อต้องไปแล้ว” น้ำตาน้อย ๆ หลั่งออกมาจากความรู้สึกของเขา วินวรุฒยังคงติดตามดูแลช่วยเหลือภรรยาและลูก ของเขาเสมอมา แม้ในตอนนี้ถึงเวลาของเขาแล้วที่จะไปอยู่ในที่ในทางของตนเอง เขาจึงอยากจะออกมาเตือนลูกของเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากกัน ถึงแม้เขาอยากจะอยู่ต่ออีกสักหน่อยเพื่อดูลูกเขาได้ประสบความสำเร็จในชีวิตที่เขาบรรจงเลี้ยงดูในเวลาอันสั้นนั้น
“ฝากลูกด้วยนะแม่ ครั้งนี้พ่อไปจริงแล้วนะ”
ไม่นานดวงวิญญาณผู้เป็นพ่อก็ดับสลายจากโลกนี้ไป
“วัดนี่ดูเงียบสงบดีนะครับแม่” เก้าที่ยังรับหน้าที่ขับรถ พูดขึ้นขัดกับความเงียบในรถเมื่อครู่
“ใช่ลูก วัดชานเมืองก็อย่างนี้แหละ แต่ปกติจะมีคนเยอะกว่านี้นะ แม่กับพ่อฟอนด์เขาพากันมาประจำ หลวงตาท่านก็อยู่มานานพ่อกับแม่ศรัทธาท่านมาก ตอนนั้นถ้าไม่ได้ท่าน...” แม่ลอบสายตาลงต่ำด้วยความเศร้านั่นอีกครั้ง นั่นทำให้ผมไม่ชอบเลย
“ทำไมหรอแม่”
“ไม่มีอะไรหรอกลูก” แม่โกหก แต่ผมไม่อยากจะคาดคั้นท่านแล้ว
“แต่ท่านดูแข็งแรงมากเลยนะแม่ อายุขนาดนั้นแล้ว” เก้าพูดตัดจูงบทสนทนาไปทางอื่น
“นั่นสิ แม่ก็ว่า แต่ครั้งล่าสุดที่มาเห็นว่าท่านมีโรคประจำตัวอยู่นี่นะ ครั้งนี้กลับดูแข็งแรงพิกล”
“ท่านแข็งแรงก็ดีแล้วนี่แม่” ผมกล่าวตอบ
“ก็จริงนะ” แม่พูดก่อนจะนิ่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แต่คราวนี้ไม่มีแววเศร้าแล้ว เรื่องอะไรอีกนะ? “เออเก้า!”
“ครับแม่”
“เดี๋ยวลูกแวะไปทางซอยข้างหน้านี่ให้แม่หน่อยนะ” แม่พูดพลางชี้นิ้วไปยังทางตัดเข้าซอยข้างหน้านั่น
“ไปทำไมหรอแม่” ผมถามตามความสงสัยของผม แม่หันมายิ้มให้กับผมพร้อมกับรวบมือผมไว้ที่หน้าตัก
“แม่อยากให้ลูกไปไหว้ท่านสักหน่อย”
“ใครครับ?”
“คนที่ทำให้หนูได้ลืมตาดูโลกจ้ะ”
“ไม่ใช่พ่อกับแม่หรอครับ?” ผมไม่ได้กวนนะ แต่พูดจริง ๆ จะมีใครทำให้เราเกิดมาได้นอกจากพ่อแม่ได้ด้วยหรอ
“ใช่สิ แต่ถ้าไม่ได้ท่าน ลูกแท้งไปแล้วนะ”
“ขนาดนั้นเลยหรอแม่”
ท่านพยักหน้าแทนคำตอบ ซึ่งผมก็ทำได้แค่มองตากันกับเก้าผ่านกระจกมองหลังอย่างงวยงง
ไม่นานก็ถึงที่หมายอีกครั้ง สถานที่นี่ดูเป็นศาลของเทพอะไรสักอย่างที่ดูออกจะร้างเอามากกว่า แม่จะมาที่นี่ทำไม แล้วคนนั้นที่ว่าอยู่ในที่แบบนี้อย่างงั้นหรอ หรือจะไม่ใช่คนนะ?
เป็นไปตามคาดคนที่แม่พาผมมาเพื่อเคารพเขานั้นไม่ใช่คนแต่เทวรูปผู้หญิงนั่งอุ้มลูกที่ดูเหมือนจะเป็นพญานาคตัวน้อยอยู่
“มาขอลูกกันหรอ พระแม่ท่านเด่นเรื่องให้ลูกนะ”
หญิงชราอายุราวเจ็ดสิบกว่าปีหรือมากกว่าสวมเสื้อผ้าฝ้ายแขนสั้นคอกลมสีแดงเลือดหมูคู่กับกระโปรงผ้าไหมสีดำยาวเดินเข้ามาทักทาย มีคนอยู่จริง ๆ หรอ
“เปล่าจ้ะยาย ฉันพาลูกมาไหว้ท่านน่ะ” แม่ชี้แจง
“อ๋อ นี่ใช่คนที่หมอบอกว่ามีสิทธิ์แท้งเมื่อสิบกว่าปีก่อนใช่ไหม” ยายเขาพูดด้วยเสียงที่ตื่นเต้นนั่นทำให้ผมกับเก้าต่างมองกันอย่างตกใจ
“ใช่จ้ะ ยาย” แต่แม่กับไม่รู้สึกอะไร นั่นทำให้ผมสงสัย นี่แม่เป็นนักจิตวิทยาจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย
“โห บุญรักษา ๆ คนไหนล่ะหนู” ยายเดินเข้ามารวบที่มือแม่ด้วยความยินดี แม่ยิ้มก่อนจะเอื้อมมืออีกข้างมาโอบผมให้เข้าไปใกล้
“หน้าตาดีใช่นี่ คงได้พ่อเขามาเยอะสิ สาวเยอะสิเราน่ะ” ยายกับพูดคุยกันราวสนิทสนมอยู่นาน ทิ้งให้ผมกับเก้านั่งรอกันเปื่อยนี่ก็เกือบเที่ยงแล้วมั้งนั่น คงไม่ได้กินข้าวแล้วล่ะ
จะว่าไปเทวรูปนี่ก็ทำให้รู้สึกสบายใจดีเหมือนกันนะ พอมองแล้วผมรู้สึกได้ถึงพลังงานชีวิตที่หลั่งไหลเข้ามาผ่านลมหายใจเลยล่ะ
ผมลุกขึ้นมายืนมองที่หน้าเทวรูป นั่นทำให้เก้าตกใจและมีท่าทีงงเล็กน้อย แต่มันก็เลือกที่จะเงียบไป
สายตาของผมสอดประสานกันกับเทวรูปนั่นจนมีภาพที่แวบเข้ามาในหัวผมเลยว่าผม ตาเราช่างเหมือนกันเหลือเกิน บางทีความคิดของเธอคงจะเหมือนกันกับผม เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ
ภวังค์ของผมเกิดขึ้นอีกครั้ง
“หลานสาวอย่างนั้นหรือ?” ท้าววิรูปักโขนาคราชเจ้านครฝั่งตะวันตกในจตุมาหาราชิกานี้ ทรงตรัสถามเมื่อรับเอาเด็กทารกที่ท่านเรียกว่าหลานสาวจากมือเปมิภัสสราลูกสะใภ้จากแดนยามาของท่าน
“เจ้าค่ะ” นางฟ้าสาวรับคำอย่างนอบน้อมโดยที่มีวัชรนาเคณทร์ ผู้เป็นสามีประคองข้างอย่างอ่อนโยน
“โอ น่ารักเสียจริง” ท่านท้าวฯ ทรงตรัสพรางหยอกล้อกับทารกน้อยอย่างเอ็นดู หากทรงโดนขัดขึ้นโดยพระราณีของพระองค์
“คุณพี่! ใครเขาชมลูกชมหลานอย่างนั้นเจ้าคะ เดี๋ยวแม่ซื้อมาลักเอาจะทำอย่างไร” นั่นทำให้ทุกคนมีสีหน้าแย้มยิ้มกันไปตาม ๆกัน
“อะไรกัน เป็นถึงพระแม่อยู่หัวเมืองปัจฉิมมหานครเทียว กลัวพวกสางภูตินางพรายนั้นหรือ”
“หม่อมฉันพูดไปอย่างนั้นแลเจ้าค่ะ หาได้กลัวจริงไม่” พระแม่กล่าวพรางยื่นมือไปโอบหลานสาวยกมาไว้ในอ้อมอกแก้อาการเขินอาย
“แล้วเป็นนาคหรือเป็นเทพเล่าลูก” ท่านท้าวฯ ตรัสถาม
“ลูกครึ่งเจ้าค่ะ แต่เชื้อเจ้าพี่คงแรงไปสักนิด เจ้าหญิงน้อยเลยแสดงผลทางนาคเอาเสียมากกว่า” เธอพูดพลางพยักพเยิดไปทางสามี
“แต่สวยเหมือนแม่เขานะ” เขาพูดพร้อมมองเจ้าหลอนอย่างอบอุ่น นั่นทำให้เธอเป็นฝ่ายหลบสายตาอย่างน่าเอ็นดู
“ฟอนด์”
แม่เป็นคนที่ตัดภวังค์นั่นของผม ซึ่งนั่นทำให้ผมแสดงท่าทางมึนงงออกมาเล็กน้อย “ไปเถอะลูก รีบกลับกัน เดี๋ยวจะไม่ทันคาบบ่ายเอา”
แม่พูดขึ้นต่อด้วยแววตาที่ดูมีความสุขกว่าตอนมานั้นมากหลังจากที่ได้คุยปรับทุกข์กับยายนั้น ซึ่งมันทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“รอบนี้แม่ขับเอง” แม่พูดหลังจากที่เดินมาถึงรถ
“ไหวหรอแม่” เก้าถาม แม่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากเลย
หลังจากนั้นไม่นานเราก็เดินทางมาถึงโรงเรียน ผมและเก้าต่างเปิดประตูเพื่อลงมาจากรถ
“ตั้งใจเรียนนะลูก แม่ไปละ เดี๋ยวจะแวะไปที่คลินิกหน่อย แล้วเดี๋ยวจะซื้อกับข้าวของโปรดทั้งสองคนไว้รอนะ”
“ครับแม่” ผมตอบแม่
“สวัสดีครับ” เก้าสมทบ
แม่ยิ้มรับก่อนจะปิดกระจกแล้วขับรถออกไปเพื่อไปคลินิกต่ออย่างที่ว่า ผมมองตามท่านไปจนสุดสายตาก่อนจะหันกลับมาเดินเข้าโรงเรียนพร้อมกับไอเก้า
“เรียนไรวะต่อไป”
“เคมีไง”
“โหไอเชี่ย! ไม่เรียนได้ปะ ไปซ้อมบทต่อดีกว่า” สีหน้าเหยเกของมันทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกิน
“เรื่องของมึงนะ แต่กูจะไปเรียน เพราะกูยังเรียนไม่รู้เรื่องเลย”
“อ้าว! ทิ้งกูอะ ไปเรียนก็ได้วะ”
“ก็ไปดิ” ผมพูดก่อนจะชิงเดินเร็วนำไปก่อน แต่มันกลับวิ่งนำผมพร้อมส่งสายตาเป็นเชิงว่าใครถึงก่อนคนนั้นชนะ ก็มาดิวะ ผมคิดก่อนจะออกตัววิ่งตามมันไปจนถึงห้องเรียน
“เห้ยไอเก้า ไอฟอนด์ มาพอดี มีเด็กใหม่มาสองคนว่ะ อย่างได้” ไอบาสพูดขึ้นทันทีที่พวกผมถึงหน้าประตูห้องราวกับมีลางบอกเหตุว่าผมจะมาถึง ณ ตอนนั้น แต่คงจะเป็นเพราะฟุ้งซ่านคิดถึงน้องที่มันชอบเสียมากกว่าเลยมองมาทางประตูเผื่อน้องจะเดินผ่านมาพอดี
“ใครวะ” ผมถามออกไปก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านหลังห้องโต๊ะเดียวกับมันพร้อมกับไอเก้า
“ชื่อดาวกับเกศ ย้ายมาจากที่เดียวกัน น่าจะสนิทกันมาก ตอนนี้ไปห้องน้ำกับพวกผู้หญิง” มันว่าต่อ
“มีงี้ด้วยหรอวะ ย้ายมากับเพื่อน กลางเทอมแบบนี้ไม่แปลกไปหรอวะมึง” เก้าพูดขึ้นอย่างสงสัย ซึ่งผมก็สงสัยนะแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“กูก็ไม่รู้ นั่นไง มากันแล้ว” พูดพลางชี้นิ้วไปทางหน้าห้อง ปรากฏภาพกลุ่มพวกผู้หญิงที่คุ้นตากับอีกสองคนที่มาใหม่และหนึ่งในนั้นต้องทำให้ผมอึ้งยืนมองเธอคนนั้นอย่างตกตะลึง คนที่พุ่งออกมาจากกระจกนี่!
“เธอ!” พูดเผลอพูดออกไปเสียงดังนั่นทำให้เด็กสาวผู้มาใหม่ทั้งสองคนได้ยินแล้วค่อย ๆ เดินเข้ามาหาพวกผมด้วยสายตาที่ดูไม่เป็นมิตรนักสำหรับผม หรือผมอคติกันแน่นะ?
“รู้จักหรอวะ?” เก้าแอบกระซิบข้างหลังผม แต่ผมก็ไม่ได้ตอบกลับไป ได้แต่ทำหน้านิ่งอึ้งตอบ
“มีอะไรหรือเปล่าถึงเรียกฉัน อ่อ ฉันชื่อดาวนะ สมุทรดารา วริณธร์ปุตตะ พึ่งย้ายมาใหม่” เธอคนนั้นพูดกับผม คราวนี้ผมเห็นหน้าตาเธอได้อย่างชัดถนัด ดูเหมือนจะมีรอยแดงบาง ๆ ที่ดวงแก้มนั่น
“ฉันเกศ เกศรินทร์ สายสุวาท ยินดีที่ได้รู้จักนะ” อีกคนพูดพลางยื่นมือขึ้นมาทักทาย
“เช่นกันเราเก้านะ นี่ฟอนด์หัวหน้าห้อง” เก้าเป็นฝ่ายรับการทักทายนั่นด้วยความเป็นมิตรผิดกับวันแรกของมันเสียจริง
“มีอะไรหรือเปล่าฟอนด์ มองเราแปลก ๆ นะ” ดาวพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจแต่แน่ล่ะ สายตานั่นไม่ได้บอกอย่างนั้นเลย
“ไม่มีอะไร” ผมพูดเสียงเรียบ
“ครูมาแล้วพวกมึง!” ไอบาสพูดขัดบทสนทนาอันน่าอึดอัดสำหรับผมได้อย่างพอดี นั่นทำให้พวกเราและเพื่อนในห้องต่างแยกย้ายกันไปนั่งที่นั่งกันอย่างเรียบร้อย แต่ก่อนที่ดาวจะเดินไป เธอได้หันกลับมามองผมอีกครั้งด้วยหางตาก่อนที่จะหันกลับไปอีกครั้ง
“นักเรียนเคารพ!”
“สวัสดีครับ/ค่ะคุณครู”
“สวัสดีคะนักเรียน ฟังเรียกชื่อนะคะ ชินราช!”
“มาครับ!”
ในขณะที่คุณครูกำลังเรียกชื่อนักเรียนอยู่นั้น ในหัวของผมกลับคิดเรื่องของดาวเต็มไปหมด เรื่องของเมื่อคืนที่ผมคิดว่าแค่ฝันไป
“ณชา”
ย้อนกลับไปเมื่อคืน หลังจากที่ผมปิดไฟแล้วเดินมาขึ้นเตียงเพื่อเตรียมตัวนอนนั้น สายตาของผมมันดันไปตกเอาเข้ากับบานกระจกที่ตั้งอยู่ข้างตู้เสื้อผ้าที่ตั้งเยื้องกับปลายเตียงผม
“มาครับ!”
เธออยู่ในนั้น ก่อนที่จะกระโจนตัวออกมาจากกระจกเข้าหาผม
“ปิยะ”
ผมต้องบอกเลยว่าผมไม่ได้บ้า แต่ผมเห็นเธอออกมาจากกระจกนั่นจริง ๆ ซึ่งตอนนั้นมันทำให้ผมอึ้งชะงัก
“มาครับ!”
“พัชรพล”
เธอกระโจนขึ้นคร่อมผมโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ในเวลาเดียวกันนั้น แสงสว่างก็เกิดขึ้นตัดภาพเหตุการณ์นั่นหายไปทั้งหมด ฝันหรือ?
“มาครับ!”
เพราะเมื่อผมตื่นขึ้นเหตุการณ์ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนปกติอย่างในทุก ๆ เช้าที่ผมตื่นขึ้น ซึ่งผมคงคิดอย่างนั้นหากไม่ได้มาเจอเธอที่นี่
“วิพัชร”
ถึงแม้ในเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนนั่นจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แต่ผมจำไม่ผิดแน่นอน เธอเป็นคนเดียวกันกับดาว!
“มาครับ!”
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ พวกเธอเป็นผีอย่างนั้นหรือ
“สันติภาพ”
แต่ผีทนแสงอาทิตย์ได้จริง ๆ หรอ ไหนจะเรื่องปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชนขนาดนี้อีกล่ะ มันมีอะไรที่สอดคล้องกันได้เลย
“มาครับ!”
หรือไม่แน่ว่า ทฤษฎีที่ว่านั่นทั้งหลายอาจเป็นเรื่องที่มนุษย์เราติต่างกันขึ้นมาเองเพื่อหลอกตัวเองให้สบายใจ
“สุภเวชร”
แล้วถ้าผีมันไม่มีจริงล่ะ? นั่นก็แปลว่าเรื่องที่ผมคิดมามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่คนที่ไหนจะทะลุออกมาจากกระจกได้
“สุภเวชร!”
เธอเป็นอะไรกันแน่? สัตว์ประหลาด? แล้วเธอต้องการอะไรจากผม? ฆ่าแกงอย่างนั่นหรือ? ทำไมล่ะ?
“ฟอนด์”
เก้าดึงผมออกมาจากเรื่องฟุ้งซ่านนั่น ก่อนจะชี้นิ้วไปทางหน้าห้องที่มีครูกำลังจ้องมองมาที่ผมอย่างดุดันผ่านกรอบแว่นหนานั่น
“มาครับ!”
ครูส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะก้มลงขีดเขียนลงสมุดใบรายชื่อนั่น เอาล่ะ! ตั้งสติ! ไม่มีอะไรสำคัญมากเท่าเรื่องเรียน
“อดุลย์วิทย์”
ถึงจะคิดอย่างนั้น สายตาของผมก็ยังคงจับจ้องไปยังหญิงสาวผู้มาใหม่ทั้งสองคนนั่นอยู่ตลอดคาบเรียน
“มาครับ!”
ไม่ว่าเธอจะเป็นอะไร เธอไม่คิดดีกับผมแน่!
“ไอเก้า เล่นแต่เกมอยู่นั่นแหละ ไหนบอกจะท่องบท”
“ท่องแล้ว พักแป๊บสิ” นั่นเรียกพักหรอวะ ผมคิดซึ่งนั่นทำให้ผมหงุดหงิดอยู่มากว่าทำไมจะต้องมาตามกวดตามขันมันขนาดนี้
“แล้วเมื่อไหร่มึงจะจำได้วะ”
“เอาหน่าลูก ให้เก้าเขาพักแป๊บเดียวก็ได้นี่ ไม่เป็นไรหรอก” แม่หันมาเปรยกับผมซึ่งสร้างความถูกอกถูกใจให้กับคนข้างหลังอย่างมาก
“ใช่ครับแม่” มันละสายตาจากจอโทรศัพท์เพื่อมาทำท่ายกนิ้วถูกใจให้แม่ของผมก่อนจะก้มหน้าก้มตาเล่นเกมต่ออย่างอารมณ์ดี
“อะไรอะ? เข้ากันดีจริง ฟอนด์เป็นลูกแม่จริงไหมเนี่ย” ผมทำท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจอย่างต้องการให้แม่เห็นอย่างชัดเจนซึ่งท่านก็ยิ้มและมองผมด้วยความเอ็นดูก่อนจะเอื้อมมือบาง ๆ มาลูบที่หน้าผม
“โอ๋ ๆ ไม่งอนแม่นะลูก ก็ลูกแม่ทั้งสองคนแหละ”
“ไม่ ฟอนด์เป็นลูกคนเดียว” นี่แม่คิดว่าไอเก้าเป็นลูกจริง ๆ หรอเนี่ย อะไรกันแม่นะแม่
“ลูกคนเดียวก็ลูกคนเดียวจ้ะ” แม่ละสายตามายิ้มตลกให้ผมอีกครั้งก่อนใบหน้าของท่านจะปรากฎความตกใจสุดขีด
“ว้าย!!!” เสียงตกใจของแม่ตามมาด้วยการเบรกรถอย่างกะทันหัน โชคดีที่ไม่มีรถวิ่งตามมา แต่อาการของแม่ก็ไม่สู้ดีนัก เพราะตอนนี้ร่างกายของแม่ถูกครอบงำไปด้วยความตกใจกลัวอย่างสุดขีด ซึ่งทีท่าของผมกับไอเก้าก็มีอาการอย่างนั้นไม่แพ้กัน แต่ตอนนี้เราต้องมีสติให้ได้ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นไปมากกว่านี้
“มีอะไรแม่!” ผมเข้าสวมกอดแม่อย่างพยายามปลอบโอน ก่อนที่แม่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้าน ซึ่งผมไม่ชอบที่แม่เป็นแบบนี้เลย มันทำให้ผมตกใจมาก และไม่รู้จะหาทางช่วยแม่ยังไง
“งู! งู! เมื่อกี้มีงูเลื้อยตัดหน้ารถ!”
“แม่ไหวไหมครับ” ผมถามออกไปอย่างนั้นเพียงหวังจะให้อาการแม่ดีขึ้น ถึงแม้ผมจะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าตอนนี้แม่ไม่ไหวจริง ๆ
“ฟอนด์ พาแม่มานั่งข้างหลัง เดี๋ยวกูขับเอง” เก้าที่ตอนนี้ดูมีสติและมีความจริงจังปรากฏขึ้นมายื่นข้อเสนอในการขับรถแทนให้
ไวเท่าที่พูดมันเปิดประตูรถออกไปข้างนอกเพื่อที่จะมาเปิดประตูฝั่งคนขับเพื่อพยุงแม่ขึ้น
“ขับได้หรอ”
“ได้ ๆ มึงมาแม่ดูแลมา” มันออกคำสั่งที่ทำให้ผมต้องทำตามโดยง่าย เพราะตอนนี้มีแค่มันที่พึ่งพาได้
ในขณะที่ผมเข้ามาดูอาการแม่ที่ที่นั่งข้างหลังอย่างร้อนใจ เก้าก็ขึ้นรถตรงที่นั่งคนขับก่อนจะปรับสภาพให้เหมาะสมกับการขับรถแล้วขับออกไปอย่างระแวดระวัง
ในที่สุดก็ถึงปลายทาง
“ถึงวัดแล้วครับแม่” ผมบอกกับแม่ที่นอนสลบไสลมาตลอดทาง ไม่รู้ว่าผมมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่แม่ต้องรับมือกับความตกใจที่ไม่อาจหาสาเหตุนั่นได้โดยที่ผมไม่สามารถช่วยอะไรท่านได้เลย
“แม่ไหวนะครับ” เก้าพูดสมทบหลังจากที่จอดรถเสร็จแล้วลงจากรถมาเปิดประตูเพื่อเตรียมรับแม่จากผม
“ไหวลูก แม่ไหว ไปกันเถอะ” แม่ตอบอย่างเหนื่อยอ่อน
“มึงพยุงแม่ไปก่อนเลย เดี๋ยวกูหิ้วของไปให้” เก้าพูดก่อนจะเดินไปเปิดท้ายรถเพื่อเอาเครื่องสังฆทานออกมา
บรรยากาศที่วัดนี้ดูเงียบสงบพิกล ราวกับว่าเพิ่งเกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้มันเงียบได้ขนาดนี้
ในขณะที่พวกเราพากันเดินหาทางเข้าโบสถ์อยู่นั้นก็ปรากฎพระภิกษุวัยชรารูปหนึ่งยืนรอพวกเราอยู่ที่หน้าโบสถ์นั่น
ท่านดูแข็งแรง สุขภาพดีผิดกับวัยของท่านที่น่าจะมีอายุราวแปดถึงเก้าสิบปีแล้ว ท่าทางสุขุมน่าเลื่อมใสนั่นดึงดูดพวกเราให้เดินตามท่านเข้าไปภายในโบสถ์นั่นเป็นอย่างมาก
“สิบเจ็ดปีแล้วหรือ” หลวงตาท่านถามหลังจากที่เราถวายสังฆทานแก่ท่านเสร็จ ท่าทีของท่านราวกับรู้จักแม่กับผมเป็นอย่างดี
“ค่ะท่าน วันนี้เจ้าค่ะ” แม่ผมกล่าวสมทบ
“บุญรักษานะโยม ขอให้โยมตั้งใจทำคุณความดีให้มาก ๆ จะได้ไปในที่ทางดี ๆ” ท่านพูดด้วยน้ำเสียงของความเอ็นดูในตัวผมมาก
“ขอบพระคุณครับหลวงตา” ท่านมองผมนิ่งอยู่หนึ่งก่อนจะหลับตาคิดถึงอะไรสักอย่างก่อนจะเอ่ย
“เอาล่ะ ตั้งใจกรวดน้ำ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ญาติสนิทมิตรสหาย และเจ้ากรรมนายเวร”
ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าหลวงตาท่านเน้นไปที่คำว่าเจ้ากรรมนายเวรไปสักหน่อย แต่ก็คงไม่มีอะไรหรอก เราทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวรเป็นของตัวเองทั้งนั้น อย่าคิดมากสิ ตั้งใจกรวดน้ำเถอะ
‘กูไม่เอา!’
‘เอาของมึงคืนไป!’
‘กูจะเอาชีวิตมึง!’
เสียงนั่นอีกแล้ว ใครกัน? เสียงปริศนานั่นมันกลับมาหลอกหลอนผมอีกแล้ว เกิดอะขึ้น ผมไม่ได้คิดลบกับตัวเองเสียหน่อย
‘มีสติโยม ตั้งใจแผ่ส่วนบุญไปให้เขา’
หลวงตาได้ยินด้วยหรอ แต่หลวงตาไม่ได้ปริปากพูดออกมาเลยนี่ แล้วเมื่อกี้เราได้ยินท่านได้อย่างไร ผมคิด แต่ช่างมันก่อน เราควรตั้งใจมีสติแบบท่านว่า และมันได้ผล ผมไม่ได้ยินเสียงนั่นอีก
หลังกรวดน้ำเสร็จพวกเราต่างคุยสัพเพเหระกับหลวงตาอีกครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจว่าจะพากันกลับบ้านหลวงตาท่านก็มีเมตตาเดินออกมาส่งพวกเราที่หน้าโบสถ์
“โยมฟอนด์” ถ้าได้ยินไม่ผิดเสียงนั่นออกจะดูหนุ่มขึ้นมาราวสักห้าสิบปีเป็นแน่
“ครับหลวงตา”
“เอานี่ไปไว้เจริญสติ มันจะคุ้มครองไม่ให้เกิดเรื่องร้าย” ท่านยื่นกำไลที่ทำจากสายสิญจน์สีแดงและหินมงคลให้กับผมแต่รั้งนี้ดูเหมือนเสียงท่านจะกลับมาเป็นปกติแล้ว หูแว่วอีกแล้ว?
“ขอบพระคุณครับ”
“จะเกิดเรื่องไม่ดีกับฟอนด์หรือเจ้าคะ?” แม่ทักขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก หลวงตาท่านจึงชี้แจงต่อเพื่อคลายความกังวลให้แม่
“ทุกคนย่อมมีกรรมที่เกิดจากการกระทำของตนในอดีตทั้งนั้น โยมวางใจเถิด” ถึงจะกล่าวเช่นนั้น แม่ก็ยังดูอดที่จะหวั่นใจไม่ได้
“เจ้าค่ะ”
“ดูแลรักษาตัวดี ๆ มีสติมั่น หากมีอะไรมาผจญต้องปล่อยวางและมีเมตตานะโยม” ท่านกล่าวซ้ำกับผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงของความเป็นห่วงอยู่มาก ผมสัมผัสถึงมันได้
“ครับหลวงตา”
“ลาแล้วนะเจ้าคะหลวงตา” แม่กล่าวเมื่อผมละจากท่านมาพยุงกอดอย่างหลวมที่ตัวแม่
“เจริญพรโยม”
ภาพของหญิงวัยกลางคนและเด็กหนุ่มทั้งสองเดินห่างออกไปจนไม่อาจสังเกตได้ว่าตอนนี้หลวงตาท่านที่ยืนสนทนากันนั้นได้กลายร่างเป็นชายรูปร่างสูง ดูสุขุมวัยสามสิบต้น ๆ คนหนึ่ง
“พ่อช่วยได้เท่านี้นะลูก พ่อต้องไปแล้ว” น้ำตาน้อย ๆ หลั่งออกมาจากความรู้สึกของเขา วินวรุฒยังคงติดตามดูแลช่วยเหลือภรรยาและลูก ของเขาเสมอมา แม้ในตอนนี้ถึงเวลาของเขาแล้วที่จะไปอยู่ในที่ในทางของตนเอง เขาจึงอยากจะออกมาเตือนลูกของเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากกัน ถึงแม้เขาอยากจะอยู่ต่ออีกสักหน่อยเพื่อดูลูกเขาได้ประสบความสำเร็จในชีวิตที่เขาบรรจงเลี้ยงดูในเวลาอันสั้นนั้น
“ฝากลูกด้วยนะแม่ ครั้งนี้พ่อไปจริงแล้วนะ”
ไม่นานดวงวิญญาณผู้เป็นพ่อก็ดับสลายจากโลกนี้ไป
“วัดนี่ดูเงียบสงบดีนะครับแม่” เก้าที่ยังรับหน้าที่ขับรถ พูดขึ้นขัดกับความเงียบในรถเมื่อครู่
“ใช่ลูก วัดชานเมืองก็อย่างนี้แหละ แต่ปกติจะมีคนเยอะกว่านี้นะ แม่กับพ่อฟอนด์เขาพากันมาประจำ หลวงตาท่านก็อยู่มานานพ่อกับแม่ศรัทธาท่านมาก ตอนนั้นถ้าไม่ได้ท่าน...” แม่ลอบสายตาลงต่ำด้วยความเศร้านั่นอีกครั้ง นั่นทำให้ผมไม่ชอบเลย
“ทำไมหรอแม่”
“ไม่มีอะไรหรอกลูก” แม่โกหก แต่ผมไม่อยากจะคาดคั้นท่านแล้ว
“แต่ท่านดูแข็งแรงมากเลยนะแม่ อายุขนาดนั้นแล้ว” เก้าพูดตัดจูงบทสนทนาไปทางอื่น
“นั่นสิ แม่ก็ว่า แต่ครั้งล่าสุดที่มาเห็นว่าท่านมีโรคประจำตัวอยู่นี่นะ ครั้งนี้กลับดูแข็งแรงพิกล”
“ท่านแข็งแรงก็ดีแล้วนี่แม่” ผมกล่าวตอบ
“ก็จริงนะ” แม่พูดก่อนจะนิ่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แต่คราวนี้ไม่มีแววเศร้าแล้ว เรื่องอะไรอีกนะ? “เออเก้า!”
“ครับแม่”
“เดี๋ยวลูกแวะไปทางซอยข้างหน้านี่ให้แม่หน่อยนะ” แม่พูดพลางชี้นิ้วไปยังทางตัดเข้าซอยข้างหน้านั่น
“ไปทำไมหรอแม่” ผมถามตามความสงสัยของผม แม่หันมายิ้มให้กับผมพร้อมกับรวบมือผมไว้ที่หน้าตัก
“แม่อยากให้ลูกไปไหว้ท่านสักหน่อย”
“ใครครับ?”
“คนที่ทำให้หนูได้ลืมตาดูโลกจ้ะ”
“ไม่ใช่พ่อกับแม่หรอครับ?” ผมไม่ได้กวนนะ แต่พูดจริง ๆ จะมีใครทำให้เราเกิดมาได้นอกจากพ่อแม่ได้ด้วยหรอ
“ใช่สิ แต่ถ้าไม่ได้ท่าน ลูกแท้งไปแล้วนะ”
“ขนาดนั้นเลยหรอแม่”
ท่านพยักหน้าแทนคำตอบ ซึ่งผมก็ทำได้แค่มองตากันกับเก้าผ่านกระจกมองหลังอย่างงวยงง
ไม่นานก็ถึงที่หมายอีกครั้ง สถานที่นี่ดูเป็นศาลของเทพอะไรสักอย่างที่ดูออกจะร้างเอามากกว่า แม่จะมาที่นี่ทำไม แล้วคนนั้นที่ว่าอยู่ในที่แบบนี้อย่างงั้นหรอ หรือจะไม่ใช่คนนะ?
เป็นไปตามคาดคนที่แม่พาผมมาเพื่อเคารพเขานั้นไม่ใช่คนแต่เทวรูปผู้หญิงนั่งอุ้มลูกที่ดูเหมือนจะเป็นพญานาคตัวน้อยอยู่
“มาขอลูกกันหรอ พระแม่ท่านเด่นเรื่องให้ลูกนะ”
หญิงชราอายุราวเจ็ดสิบกว่าปีหรือมากกว่าสวมเสื้อผ้าฝ้ายแขนสั้นคอกลมสีแดงเลือดหมูคู่กับกระโปรงผ้าไหมสีดำยาวเดินเข้ามาทักทาย มีคนอยู่จริง ๆ หรอ
“เปล่าจ้ะยาย ฉันพาลูกมาไหว้ท่านน่ะ” แม่ชี้แจง
“อ๋อ นี่ใช่คนที่หมอบอกว่ามีสิทธิ์แท้งเมื่อสิบกว่าปีก่อนใช่ไหม” ยายเขาพูดด้วยเสียงที่ตื่นเต้นนั่นทำให้ผมกับเก้าต่างมองกันอย่างตกใจ
“ใช่จ้ะ ยาย” แต่แม่กับไม่รู้สึกอะไร นั่นทำให้ผมสงสัย นี่แม่เป็นนักจิตวิทยาจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย
“โห บุญรักษา ๆ คนไหนล่ะหนู” ยายเดินเข้ามารวบที่มือแม่ด้วยความยินดี แม่ยิ้มก่อนจะเอื้อมมืออีกข้างมาโอบผมให้เข้าไปใกล้
“หน้าตาดีใช่นี่ คงได้พ่อเขามาเยอะสิ สาวเยอะสิเราน่ะ” ยายกับพูดคุยกันราวสนิทสนมอยู่นาน ทิ้งให้ผมกับเก้านั่งรอกันเปื่อยนี่ก็เกือบเที่ยงแล้วมั้งนั่น คงไม่ได้กินข้าวแล้วล่ะ
จะว่าไปเทวรูปนี่ก็ทำให้รู้สึกสบายใจดีเหมือนกันนะ พอมองแล้วผมรู้สึกได้ถึงพลังงานชีวิตที่หลั่งไหลเข้ามาผ่านลมหายใจเลยล่ะ
ผมลุกขึ้นมายืนมองที่หน้าเทวรูป นั่นทำให้เก้าตกใจและมีท่าทีงงเล็กน้อย แต่มันก็เลือกที่จะเงียบไป
สายตาของผมสอดประสานกันกับเทวรูปนั่นจนมีภาพที่แวบเข้ามาในหัวผมเลยว่าผม ตาเราช่างเหมือนกันเหลือเกิน บางทีความคิดของเธอคงจะเหมือนกันกับผม เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ
ภวังค์ของผมเกิดขึ้นอีกครั้ง
“หลานสาวอย่างนั้นหรือ?” ท้าววิรูปักโขนาคราชเจ้านครฝั่งตะวันตกในจตุมาหาราชิกานี้ ทรงตรัสถามเมื่อรับเอาเด็กทารกที่ท่านเรียกว่าหลานสาวจากมือเปมิภัสสราลูกสะใภ้จากแดนยามาของท่าน
“เจ้าค่ะ” นางฟ้าสาวรับคำอย่างนอบน้อมโดยที่มีวัชรนาเคณทร์ ผู้เป็นสามีประคองข้างอย่างอ่อนโยน
“โอ น่ารักเสียจริง” ท่านท้าวฯ ทรงตรัสพรางหยอกล้อกับทารกน้อยอย่างเอ็นดู หากทรงโดนขัดขึ้นโดยพระราณีของพระองค์
“คุณพี่! ใครเขาชมลูกชมหลานอย่างนั้นเจ้าคะ เดี๋ยวแม่ซื้อมาลักเอาจะทำอย่างไร” นั่นทำให้ทุกคนมีสีหน้าแย้มยิ้มกันไปตาม ๆกัน
“อะไรกัน เป็นถึงพระแม่อยู่หัวเมืองปัจฉิมมหานครเทียว กลัวพวกสางภูตินางพรายนั้นหรือ”
“หม่อมฉันพูดไปอย่างนั้นแลเจ้าค่ะ หาได้กลัวจริงไม่” พระแม่กล่าวพรางยื่นมือไปโอบหลานสาวยกมาไว้ในอ้อมอกแก้อาการเขินอาย
“แล้วเป็นนาคหรือเป็นเทพเล่าลูก” ท่านท้าวฯ ตรัสถาม
“ลูกครึ่งเจ้าค่ะ แต่เชื้อเจ้าพี่คงแรงไปสักนิด เจ้าหญิงน้อยเลยแสดงผลทางนาคเอาเสียมากกว่า” เธอพูดพลางพยักพเยิดไปทางสามี
“แต่สวยเหมือนแม่เขานะ” เขาพูดพร้อมมองเจ้าหลอนอย่างอบอุ่น นั่นทำให้เธอเป็นฝ่ายหลบสายตาอย่างน่าเอ็นดู
“ฟอนด์”
แม่เป็นคนที่ตัดภวังค์นั่นของผม ซึ่งนั่นทำให้ผมแสดงท่าทางมึนงงออกมาเล็กน้อย “ไปเถอะลูก รีบกลับกัน เดี๋ยวจะไม่ทันคาบบ่ายเอา”
แม่พูดขึ้นต่อด้วยแววตาที่ดูมีความสุขกว่าตอนมานั้นมากหลังจากที่ได้คุยปรับทุกข์กับยายนั้น ซึ่งมันทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“รอบนี้แม่ขับเอง” แม่พูดหลังจากที่เดินมาถึงรถ
“ไหวหรอแม่” เก้าถาม แม่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากเลย
หลังจากนั้นไม่นานเราก็เดินทางมาถึงโรงเรียน ผมและเก้าต่างเปิดประตูเพื่อลงมาจากรถ
“ตั้งใจเรียนนะลูก แม่ไปละ เดี๋ยวจะแวะไปที่คลินิกหน่อย แล้วเดี๋ยวจะซื้อกับข้าวของโปรดทั้งสองคนไว้รอนะ”
“ครับแม่” ผมตอบแม่
“สวัสดีครับ” เก้าสมทบ
แม่ยิ้มรับก่อนจะปิดกระจกแล้วขับรถออกไปเพื่อไปคลินิกต่ออย่างที่ว่า ผมมองตามท่านไปจนสุดสายตาก่อนจะหันกลับมาเดินเข้าโรงเรียนพร้อมกับไอเก้า
“เรียนไรวะต่อไป”
“เคมีไง”
“โหไอเชี่ย! ไม่เรียนได้ปะ ไปซ้อมบทต่อดีกว่า” สีหน้าเหยเกของมันทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกิน
“เรื่องของมึงนะ แต่กูจะไปเรียน เพราะกูยังเรียนไม่รู้เรื่องเลย”
“อ้าว! ทิ้งกูอะ ไปเรียนก็ได้วะ”
“ก็ไปดิ” ผมพูดก่อนจะชิงเดินเร็วนำไปก่อน แต่มันกลับวิ่งนำผมพร้อมส่งสายตาเป็นเชิงว่าใครถึงก่อนคนนั้นชนะ ก็มาดิวะ ผมคิดก่อนจะออกตัววิ่งตามมันไปจนถึงห้องเรียน
“เห้ยไอเก้า ไอฟอนด์ มาพอดี มีเด็กใหม่มาสองคนว่ะ อย่างได้” ไอบาสพูดขึ้นทันทีที่พวกผมถึงหน้าประตูห้องราวกับมีลางบอกเหตุว่าผมจะมาถึง ณ ตอนนั้น แต่คงจะเป็นเพราะฟุ้งซ่านคิดถึงน้องที่มันชอบเสียมากกว่าเลยมองมาทางประตูเผื่อน้องจะเดินผ่านมาพอดี
“ใครวะ” ผมถามออกไปก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านหลังห้องโต๊ะเดียวกับมันพร้อมกับไอเก้า
“ชื่อดาวกับเกศ ย้ายมาจากที่เดียวกัน น่าจะสนิทกันมาก ตอนนี้ไปห้องน้ำกับพวกผู้หญิง” มันว่าต่อ
“มีงี้ด้วยหรอวะ ย้ายมากับเพื่อน กลางเทอมแบบนี้ไม่แปลกไปหรอวะมึง” เก้าพูดขึ้นอย่างสงสัย ซึ่งผมก็สงสัยนะแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“กูก็ไม่รู้ นั่นไง มากันแล้ว” พูดพลางชี้นิ้วไปทางหน้าห้อง ปรากฏภาพกลุ่มพวกผู้หญิงที่คุ้นตากับอีกสองคนที่มาใหม่และหนึ่งในนั้นต้องทำให้ผมอึ้งยืนมองเธอคนนั้นอย่างตกตะลึง คนที่พุ่งออกมาจากกระจกนี่!
“เธอ!” พูดเผลอพูดออกไปเสียงดังนั่นทำให้เด็กสาวผู้มาใหม่ทั้งสองคนได้ยินแล้วค่อย ๆ เดินเข้ามาหาพวกผมด้วยสายตาที่ดูไม่เป็นมิตรนักสำหรับผม หรือผมอคติกันแน่นะ?
“รู้จักหรอวะ?” เก้าแอบกระซิบข้างหลังผม แต่ผมก็ไม่ได้ตอบกลับไป ได้แต่ทำหน้านิ่งอึ้งตอบ
“มีอะไรหรือเปล่าถึงเรียกฉัน อ่อ ฉันชื่อดาวนะ สมุทรดารา วริณธร์ปุตตะ พึ่งย้ายมาใหม่” เธอคนนั้นพูดกับผม คราวนี้ผมเห็นหน้าตาเธอได้อย่างชัดถนัด ดูเหมือนจะมีรอยแดงบาง ๆ ที่ดวงแก้มนั่น
“ฉันเกศ เกศรินทร์ สายสุวาท ยินดีที่ได้รู้จักนะ” อีกคนพูดพลางยื่นมือขึ้นมาทักทาย
“เช่นกันเราเก้านะ นี่ฟอนด์หัวหน้าห้อง” เก้าเป็นฝ่ายรับการทักทายนั่นด้วยความเป็นมิตรผิดกับวันแรกของมันเสียจริง
“มีอะไรหรือเปล่าฟอนด์ มองเราแปลก ๆ นะ” ดาวพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจแต่แน่ล่ะ สายตานั่นไม่ได้บอกอย่างนั้นเลย
“ไม่มีอะไร” ผมพูดเสียงเรียบ
“ครูมาแล้วพวกมึง!” ไอบาสพูดขัดบทสนทนาอันน่าอึดอัดสำหรับผมได้อย่างพอดี นั่นทำให้พวกเราและเพื่อนในห้องต่างแยกย้ายกันไปนั่งที่นั่งกันอย่างเรียบร้อย แต่ก่อนที่ดาวจะเดินไป เธอได้หันกลับมามองผมอีกครั้งด้วยหางตาก่อนที่จะหันกลับไปอีกครั้ง
“นักเรียนเคารพ!”
“สวัสดีครับ/ค่ะคุณครู”
“สวัสดีคะนักเรียน ฟังเรียกชื่อนะคะ ชินราช!”
“มาครับ!”
ในขณะที่คุณครูกำลังเรียกชื่อนักเรียนอยู่นั้น ในหัวของผมกลับคิดเรื่องของดาวเต็มไปหมด เรื่องของเมื่อคืนที่ผมคิดว่าแค่ฝันไป
“ณชา”
ย้อนกลับไปเมื่อคืน หลังจากที่ผมปิดไฟแล้วเดินมาขึ้นเตียงเพื่อเตรียมตัวนอนนั้น สายตาของผมมันดันไปตกเอาเข้ากับบานกระจกที่ตั้งอยู่ข้างตู้เสื้อผ้าที่ตั้งเยื้องกับปลายเตียงผม
“มาครับ!”
เธออยู่ในนั้น ก่อนที่จะกระโจนตัวออกมาจากกระจกเข้าหาผม
“ปิยะ”
ผมต้องบอกเลยว่าผมไม่ได้บ้า แต่ผมเห็นเธอออกมาจากกระจกนั่นจริง ๆ ซึ่งตอนนั้นมันทำให้ผมอึ้งชะงัก
“มาครับ!”
“พัชรพล”
เธอกระโจนขึ้นคร่อมผมโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ในเวลาเดียวกันนั้น แสงสว่างก็เกิดขึ้นตัดภาพเหตุการณ์นั่นหายไปทั้งหมด ฝันหรือ?
“มาครับ!”
เพราะเมื่อผมตื่นขึ้นเหตุการณ์ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนปกติอย่างในทุก ๆ เช้าที่ผมตื่นขึ้น ซึ่งผมคงคิดอย่างนั้นหากไม่ได้มาเจอเธอที่นี่
“วิพัชร”
ถึงแม้ในเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนนั่นจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แต่ผมจำไม่ผิดแน่นอน เธอเป็นคนเดียวกันกับดาว!
“มาครับ!”
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ พวกเธอเป็นผีอย่างนั้นหรือ
“สันติภาพ”
แต่ผีทนแสงอาทิตย์ได้จริง ๆ หรอ ไหนจะเรื่องปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชนขนาดนี้อีกล่ะ มันมีอะไรที่สอดคล้องกันได้เลย
“มาครับ!”
หรือไม่แน่ว่า ทฤษฎีที่ว่านั่นทั้งหลายอาจเป็นเรื่องที่มนุษย์เราติต่างกันขึ้นมาเองเพื่อหลอกตัวเองให้สบายใจ
“สุภเวชร”
แล้วถ้าผีมันไม่มีจริงล่ะ? นั่นก็แปลว่าเรื่องที่ผมคิดมามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่คนที่ไหนจะทะลุออกมาจากกระจกได้
“สุภเวชร!”
เธอเป็นอะไรกันแน่? สัตว์ประหลาด? แล้วเธอต้องการอะไรจากผม? ฆ่าแกงอย่างนั่นหรือ? ทำไมล่ะ?
“ฟอนด์”
เก้าดึงผมออกมาจากเรื่องฟุ้งซ่านนั่น ก่อนจะชี้นิ้วไปทางหน้าห้องที่มีครูกำลังจ้องมองมาที่ผมอย่างดุดันผ่านกรอบแว่นหนานั่น
“มาครับ!”
ครูส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะก้มลงขีดเขียนลงสมุดใบรายชื่อนั่น เอาล่ะ! ตั้งสติ! ไม่มีอะไรสำคัญมากเท่าเรื่องเรียน
“อดุลย์วิทย์”
ถึงจะคิดอย่างนั้น สายตาของผมก็ยังคงจับจ้องไปยังหญิงสาวผู้มาใหม่ทั้งสองคนนั่นอยู่ตลอดคาบเรียน
“มาครับ!”
ไม่ว่าเธอจะเป็นอะไร เธอไม่คิดดีกับผมแน่!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ