#เพราะรักมันบิดเบี้ยว

10.0

เขียนโดย ViSuthYAMA_

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 10.06 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,611 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 10.13 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) คดีบทที่ ๑ รัก สาม เส้า (2)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ทุกวันต้องตื่นขึ้นมาแต่เช้า ลุกให้ทัน ล้างหน้าแปรงฟันรีบมาให้ไว ผู้คนในซอยเวลาเช้า ๆ ล้วนวุ่นวาย พ่อค้าแม่ขายต้องมาเปิดแผง”

- ตลาดลางรุ่ง โดย The Enchantra Alcazar เปิดม่านมนตรา มายาตลาดสด -

 

ในเช้าวันเสาร์แบบนี้มันสมควรแก่การนอนให้สุดแล้วไปตื่นเอาตอนสายเสียจริง แต่สำหรับผมคงไม่มีโอกาสนั้นเมื่อมีเจ้านายเป็นถึงประธานนักเรียนโรงเรียนวรวลัญชาณีพิทยาคม นนทบุรี

               “ตื่นได้แล้วฟอนด์  เดี๋ยวก็สายกันพอดี” เสียงหญิงวัย กลางคนแวบเข้ามาในหู เปรียบเหมือนกรรไกรที่ตัดฉับทุกอย่างไปในทันที อย่างที่เขาว่านาฬิกาปลุกที่ดีที่สุดในโลกคือแม่ของเรานี่แหละ

“หื้อ กี่โมงแล้วอะแม่” เสียงครวญครางในลำคอของผม พูดพลางยกมือขึ้นก่ายหน้าผากเพื่อปกปิดแสงที่กำลังเข้ามาทักทาย แม่พูดพลางเอามือเท้าเอวมองเขา

“เจ็ดโมงสี่สิบแล้ว” แม่หยิบหมอนข้างที่หล่นจากเตียงขึ้นฟาดผมให้ตื่น แต่ก็นั่นแหละหมอนข้างไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกรู้สาอะไร ซ้ำยังคว้ามันมากอดหน้าตาเฉย

“โถ่แม่ แค่เจ็ดโมงสี่สิบเอง ขออีกห้านาทีนะแม่นะ” เสียงอู้อี้พูดออกไปแล้วพลิกตัวหันหลังใส่เยียดตัวอย่างแสนจะขี้เกียจ

“วันนี้พี่อาทิตย์เขานัดประชุมสภานักเรียนไม่ใช่หรอ ไปสายโดนลงโทษก็เรื่องของแกแล้วกัน” พูดเสร็จแม่ก็หันหลังกลับเดินออกจากห้องไป เมื่อกี้แม่ว่าอะไรนะ ทิด ๆ ใครสึกหรอ เออช่างมัน การนอนสำคัญสุด เราควรนอนให้เพียงพอนะ ผมคิด

 

‘ไลน์!’ 

‘ไลน์!’

‘ไลน์!’

เสียงการแจ้งเตือนดังขึ้นรัวๆ ชวนกวนใจผมเป็นอย่างมาก ใครวะ อย่าให้รู้นะ พ่อจะตบกบาลให้ คิดพลางมือรีบควานหาโทรศัพท์ที่หัวเตียงแล้วเปิดดูข้อความที่ส่งมา

 ‘กูให้เวลามึงแค่ครึ่งชม. ถ้ายังไม่ถึงมึงโดนแน่ไอเตี้ย’

 

“ฉิบหายแล้ว!”

“เชี่ยไรของมึงวะไอฟอนด์ คนจะนอนโว้ย” การดีดตัวอย่างรวดเร็วของผมทำเอาไอตัวขี้เกียจข้าง ๆ สะดุ้งตื่นไปด้วยความตกใจก่อนจะพ่นเสียงอู้อี้นั่นออกมา

“จะเชี่ยไรละ มึงตื่นเดี๋ยวนี้เลยนะไอเก้า กูจะรีบไปโรงเรียน พี่อาทิตย์ตามแล้ว!” พูดไปก็พลางหยิบหมอนข้างมาฟาดมันให้ตื่นเหมือนกับที่แม่ฟาดผมเมื่อกี้ไม่ผิดเพี้ยน

“โถ่ไอปึ้ก กูเสร็จก่อนมึงตั้งนานละ กูแกล้งนอนเฉย ๆ เถอะ” มันพูดพลางยกตัวออกจากเตียงเผยให้เห็นเสื้อยืดลายขวางสีดำสลับขาวที่ใส่ในกางเกงยีนส์สีทึบคาดเอวไว้ด้วยเข็มขัดหัวสีเงินทรงสวย บอกถึงความพร้อมในการออกไปข้างนอก ต่างกับผมที่ยังคงสวมชุดนอนแหกขี้ตาอยู่บนเตียง

“แล้วทำไมไม่ปลุกกูวะไอห่า”

“อ้าว ไม่เคยได้ยินหรอขัดความสุขคนอื่นมันบาป กูไม่อยากทำบาป กูคนดี” ท่าทางของมันยังคงไว้ซึ่งความน่าเอารองเท้าคู่เก่งไปซับที่หน้าเวลาเหงื่อออก เหอะ มึงอะนะคนดี

“คนดีเชี่ยไร เดี๋ยวมึงจะโดนพี่อาทิตย์ป้าบเข้าให้”

“ใครกันแน่ที่จะโดนวะ มึงมากกว่ามั้ง ทั้งตื่นสาย แล้วยังมาบ่นเอาปาว ๆ ไม่รีบไปเตรียมตัว”

“เออว่ะ เชี่ย!”

เช้าวันนี้แม้แต่รถไฟฟ้ายังต้องแพ้ให้กับความเร็วในการอาบน้ำแต่งตัวของผมเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเลยต้องยอมรับแหละว่าผมยังแพ้ให้กับไอเก้าที่ขับรถมอ’ไซค์คันหรูของมันด้วยความเร็วสูงจนให้ความรู้สึกเมื่อถึงที่หมายดังคำที่ว่า เหมือนตายแล้วเกิดใหม่

 

“งานลอยกระทงปีนี้ตรงกับวันที่สิบเอ็ด อย่างที่ทุกคนทราบว่าทางโรงเรียนของเรามีนโยบายในการเกณฑ์นักเรียนไปร่วมช่วยกันทำกระทงถวายวัดเพื่อเป็นกิจกรรมการกุศลที่วัดไทรนครทุกปี และในปีนี้ทางคณะครูได้วางหน้าที่การขายกระทงการกุศลให้กับสภานักเรียนเรา ซึ่งพี่ต้องขอแรงผู้หญิงในการอยู่ขายกระทง ส่วนผู้ชายก็อยู่ฝ่ายแรงงานไป” เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง ดูดีราวรูปปั้นอะพอลโล สุริยเทพแห่งกรีกโบราณสมชื่อนั่น คือประธานนักเรียน ผู้เป็นแบบอย่างที่ดีของเหล่านักเรียนทั้งหลาย นายภานุวัฒน์ สูรทินวงศ์ หรือพี่อาทิตย์

“แต่ก็นั่นแหละ มันไม่ใช่งานใหญ่ของเรา เพราะงานใหญ่ที่รอเราอยู่นั่นก็คืองานวันเปิดบ้านวันที่สิบห้า ซึ่งตรงกับวันศุกร์ ตอนนี้พี่อยากรู้ว่างานที่พี่แบ่งให้ไปถึงไหนกันบ้างแล้ว”

หลังจากนั้นก็ได้มีผู้เข้าร่วมประชุมหลายต่อหลายคนลุกขึ้นรายงานความคืบหน้าของงานที่ตัวเองได้รับรวมถึงเก้าและผมด้วย

ผมได้รับหน้าที่ในการดูแลบัญชีค่าใช้จ่ายของงานทั้งหมด โดยจากข้อมูลทั้งหมดที่ผมมีตอนนี้เราใช้งบประมาณของโรงเรียนไปร่วมกว่าเกือบแสนบาทแล้ว ยังดีที่ทางโรงเรียนไม่ได้จำกัดงบไว้ เพราะหากเป็นอย่างนั้นนักเรียนคงจะได้กินแกลบไปหลายเดือนเลยทีเดียว

ส่วนงานของไอเก้าเป็นสายโปรโมทงาน รายนั้นเขาหน้าตาดี เป็นที่นิยมของเหล่าสาว ๆ ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน หลังจากที่ปล่อยคลิปแรกลงในเพจ Facebook ก็มียอดการดูร่วมแสนครั้ง ชาวเน็ตต่างแสดงความคิดเห็นให้ความสนใจในงานวันเปิดบ้านกันอย่างมากมายเลยทีเดียว

และในความเห็นจำนวนมากนั้นเช่นกัน ได้กล่าวถึงบุคคลพิเศษที่เกี่ยวข้องกับไอเก้าที่มียอดการกดถูกใจมากถึงขนาดกลายเป็นท็อปคอมเมนต์เลยทีเดียว

 

‘สงสารพี่เก้าว่ะ ไม่น่าคบกับอิแหวนเลย’

‘นั่นสิ อีนั่นก็นะ มีผัวดีขนาดนี้ ทำได้ไงอะ’

‘แต่คนที่นางซ้อนอยู่ก็งานดีอยู่นะ ชื่อมาสุปะ’

‘น้องพี่อาทิตย์อะนะ’

‘ใช่ ๆ แต่มาสุแซ่บมากกกกกก ทำไมนางได้แต่งานดี ๆวะ’

 

จากคอมเมนต์เหล่านั้นก็คงจะพอทำให้เดาได้ถึงสาเหตุที่ช่วงนี้ไอเก้ามันมาค้างที่บ้านผมอยู่ทุกวัน ซึ่งผมก็ยินดี ถึงแม้จะบ่นมันไปบ้าง แต่ก็รู้ดีว่ามันคงไม่อยากอยู่คนเดียวให้ฟุ้งซ่าน หรือผมอาจจะคิดผิด เพราะจากที่คลุกคลีอยู่กับมันทั้งวันทั้งคืนมาร่วมอาทิตย์กว่ามันกลับดูปกติมากเกินกว่าคนที่เจอกับเรื่องแบบนี้ เก็บกดงั้นหรอ? แต่เท่าที่ผมรู้จักกับมันมามันไม่ใช่คนแบบนั้นนี่

“โอเค งั้นวันนี้ของพี่พอแค่นี้ พวกเราก็ไปทำตามหน้าที่ของตัวเองนะ ขอบคุณทุกคนมากเลิกประชุมครับ” เอาหล่ะ นั่นคือเสียงสวรรค์ เสียงขององค์พระพุทธเจ้าทรงโปรด ในที่สุดเราก็จะได้กลับบ้านสักที

“ฟอนด์” เสียงของเจ้านายเหนือหัวยังคงลอดเข้ามาในโสตประสาทผมอีกครั้ง

“ว่าไงพี่”

“เดี๋ยววันนี้ฟอนด์กับเก้าไปดูถามพวกชมรมภาษาไทยหน่อยสิ ว่ามีปัญหาอะไรไหม พี่ยังไม่ได้รายละเอียดการจัดงานเลย” เอาล่ะ เรื่องกลับไปนอนที่บ้านคงต้องใช้พรุ่งนี้ให้คุ้มแล้วล่ะนั่น ช่างเถอะ ยังไงวันจันทร์ก็ลาเขาครึ่งวันอยู่ดี

“ได้ครับพี่ เดี๋ยวพวกผมไปดูให้ พี่อาทิตย์มีอะไรอีกไหมครับ”

“ไม่มีแล้วล่ะ พี่ฝากด้วยนะ” นั่นคือคำพูดที่ผมคาดหวังที่จะออกมาจากปากของพี่อาทิตย์

 

“ว่าคนอย่างฉันเหมาะสมยืนตรงนี้ ได้เพียงแค่มองและคอยหวังดีเรื่อยไป”

- เหมาะสม (Perfect Match) โดย MEAN -

 

“พี่ฝากด้วยนะ” พี่จ๋า ประธานชมรมภาษาไทยบอกกับผมอย่างนั้นหลังจากที่พวกผมได้ทำหน้าที่ที่เจ้านายเหนือหัววานให้มาช่วยทำ และสิ่งที่ได้ก็คือหน้าที่ที่เพิ่มขึ้นมาอย่างหาทางเลี่ยงไม่ได้เพียงเพราะคำว่า พี่ฝากด้วยนะ มันค้ำคอผมไว้ ซึ่งหน้าที่นั้นก็คือ ทำโปสเตอร์ละครเวทีชมรมภาษาไทย

ความจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรนักหนาหรอกแต่ประเด็นมันไปอยู่ตรงที่ว่าผมไปติดบุญคุณพี่จ๋าเอาไว้ตอนที่ผมดันไปทำแบบจำลองสื่อการสอนของเพื่อนพี่เขาพัง ถ้าไม่ได้พี่จ๋าที่มีความสามารถพิเศษในการซ่อมมันโดยการเอาไปวางไว้ข้างน้องหมาแสนน่ารักให้มันเล่นแล้วบอกว่าทั้งหมดเป็นความผิดของมันเสียอย่างนั้น

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนที่ได้รับงานหนักกว่าผมเพราะหน้าตามันแท้ ๆ เพราะเพียงแค่พวกเราก้าวเท้าเข้าไปเหยียบที่นั้น พี่จ๋าก็ได้ชี้นิ้วตรงมาที่เก้าด้วยความมั่นใจ “นั่นไง เจ้าชายชัยเสนของพวกเรา”

 

“ฟอนด์ช่วยเก้าซ้อมบทแทนเราด้วยนะ” เสียงใสของน้ำฟ้าดังขึ้นเธอเป็นเพื่อนร่วมห้องของผมที่ได้รับบทเป็นนางมัทนานางเอกของเรื่อง เธอเป็นคนน่ารัก ผู้มีสายตาที่น่าค้นหาราวกับมีเวทมนตร์มากมายพร้อมที่จะสะกดทุกคนไว้ยามที่มองตาเธอ จนบางทีผมยังแอบคิดว่าเธอมีพลังนั่นจริงหรือไม่กันนะ ถึงได้ดูมีออร่าสาดออกมาขนาดนี้

“อยู่แล้วแหละ ไอนี่มันหัวทึบ จำอะไรยาก” พูดพลางเอามือไปรั้งไว้ที่หัวของไอเก้า แต่ไม่รู้ผมคิดมากไปไหมนะ ว่าน้ำฟ้ามองผมด้วยสายตาแปลก ๆ พิกลก่อนจะหันมาคุยกับไอเก้ามัน

“เก้า อย่าลืมนะ”

“ไม่ลืมหรอก จริง ๆ” ผมรู้สึกได้ว่าสิ่งที่ทั้งสองคนนั่นพูดคุยกันอยู่ดูมีนัยยะอะไรแอบแฝงอยู่มากกว่าที่พูด แต่ช่างมันเถอะ ผมคงคิดมากไปเองจริง ๆ มันจะไปมีอะไร หรือมีจริง ๆ นะ

หลังจากที่พวกผมได้โบกมือลาเหล่าชมรมภาษาไทยแล้วเดินออกมาข้างนอก ก็ได้มีเสียงสายเรียกเข้าของโทรศัพท์ไอเก้าขึ้นมาอย่างทันทีราวกับไม่ยอมที่จะให้มันเงียบหายไปไหน

รายชื่อที่ขึ้นแสดงบนจอนั่นคือแหวน เพื่อนสนิทของผม แฟนของไอเก้านั่นเอง

และสิ่งที่ผมเดาไว้คงจะถูก เก้าเลือกที่จะกดวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงไป

“ทำไมไม่รับสายแหวน”

“ขี้เกียจคุย” สีหน้าของมันบ่งบอกอย่างนั้นตามที่ว่า ก่อนความทำเป็นทองไม่รู้ร้อนของมันจะปรากฏตามมาในทันทีเช่นกัน “ไปหาไรยัดปากหน่อยเถอะ หิวว่ะ”

“เก้า”

“จะไปไหม ไม่ไปกูไปละ” พูดเสร็จมันก็เดินออกไปซึ่งผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามมันไปโดยไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

 

“ช่วงนี้ระวังหน่อย เข้าวัดทำบุญบ่อยบ่อย ช่วงนี้ระวังหน่อย บุญเธอที่มีใกล้หมดแล้ว”

- ช่วงนี้ [Another Version] - Atom ชนกันต์ -

 

“มาคนเดียวหรอครับ” เสียงเข้มจากชายหนุ่มร่างสูงที่เดินมายืนเท้าแขนที่เคาเตอร์บาร์ข้างฉัน ลอดแทรกขึ้นมาจากเสียงเพลงที่กระหึ่มไปทั่วผับหรูกลางเมืองกรุงแห่งนี้

“ค่ะ คุณล่ะ”

“มากับเพื่อนครับ แต่โต๊ะผมมันวุ่นวาย เลยขอออกมาข้างนอกดีกว่า” สายตาของหมอนั่นดูท่า น่าจะมาหลอกหาเอาเหยื่อชิ้นดีกลับไปเป็นมื้อดึกอันโอชะของมันเป็นแน่ แต่ฉันบอกได้เลยว่าในงานนี้บทบาทของเราสองคนคงได้สลับกันเสียแล้ว

“ดื่มด้วยกันไหมคะ” เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าเหยื่อน้อยของฉันคงกระดี๊กระด๊าอยู่ในใจที่คิดว่ามันง่าย ความจริงมันง่ายตั้งแต่แกเดินเข้ามาหาฉันแล้วล่ะ พ่อหนุ่มน่าโง่

“ดีเลยครับ ผมคิดว่าจะถามคุณพอดี” พูดพลางก็ยกมือเรียกบาร์เทนเดอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่มที่ทำให้พวกมนุษย์ทั้งหลายต้องจมอยู่กับมันจนขาดสติแล้วไปทำเรื่องผิดบาปอย่างไม่รู้ตัว

แต่มันก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียหรอกนะ ไอของพวกนี้ ถือเป็นยาวิเศษสะท้อนธาตุแท้ของผู้ที่ดื่มมันได้ดีเลยล่ะ อย่างที่ไอพวกมนุษย์เรียกกันว่าเป็นยาบอกความจริง แน่ล่ะ เพราะมันทำให้ไม่มีสติ พวกมนุษย์เลยกล้าที่จะทำอะไรต่อมิอะไรที่ตัวเองตอนมีสติไม่ทำ

“ว่าแต่จบที่นี่ ไปต่อไหนเหรอครับ” ตอนนี้มันเริ่มเฉลยจุดประสงค์ของมันออกมาแล้ว เอาล่ะ ทำอย่างไรดีนะ?

“ไม่รู้สิคะ มีที่แนะนำไหม” เสียงเย้ายั่วเผยออกไปเพื่อจุดประกายให้กับเจ้าเหยื่อของฉันให้มีความน่าอร่อยยิ่งขึ้น

พลังชีวิตที่เต็มไปด้วยตัณหา ราคะ คือรสหวานหาใครเทียมสำหรับพรายน้ำอย่างฉันเป็นที่สุด

“มีครับ ที่นั่นสนุกมาก ผมรับรอง”

“ถ้าเป็นอย่างงั้น ที่นั่นมันจะต้องเป็นที่ที่ทำให้ฉันมีความสุขมากแน่ ๆ” มันจะเป็นความสุขของฉัน แต่จะเป็นความตายของแก!

“งั้นไปเลยไหมครับ”

ใจร้อนเสียจริงเจ้าเหยื่อของฉัน เอาเป็นว่าฉันจะให้โอกาสสักครั้งแล้วกัน “อีกสักพักไหมคะ คุณจะได้มีเวลานานกว่านี้สักหน่อย”

“มีค่าเท่ากันแหละครับ ยังไงผมก็มีเวลาอยู่กับคุณทั้งคืนอยู่แล้ว”

ถึงแม้มันจะดูชะงักกับคำพูดของฉันไปบ้าง แต่มันก็ไม่ลังเลเลยที่จะสนองกิเลสของตัวเองด้วยความกระหายในกาม “เอาอย่างนั้นหรือคะ”

“เอาอย่างนั้นแหละครับ”

“ตามใจคุณค่ะ” ฉันถือว่าฉันได้ให้โอกาสกับแกแล้วนะ เจ้าเหยื่อของฉัน สงสัยคงถึงคราวแล้วที่แกจะลงไปชดใช้กรรม

“ไปกันเถอะ”

มันพูดพลางผายมือไปสู่ทางออกของสถานเริงรมย์ เพื่อไปสู่สถานที่ต่อไปที่ต้องทำให้มันมีความสุขไปตลอดชีวิตอันสั้นของมัน

 

แสงจันทร์สอดแสงเขามากระทบกับเตียงนอนเสมือนเป็นพยานในการคร่าชีวิตเหยื่อของฉันที่ตอนนี้พยายามจู่โจมเข้าหาตัวฉันด้วยแรงตัณหาราคะอันรุนแรงดั่งเดรัจฉาน

และทันทีที่มันเข้าถึงซอกคอขาวนวลเนียนดั่งมะลิซ้อนของฉันนั้นสัญชาตญาณมัจจุราชของฉันก็ทำงานอย่างสมบูรณ์

ฉันลงมือฉีกวงมือบางแต่แข็งกร้าวของฉันกระชากหัวของมันออกด้วยความแรงที่เกินกว่าที่มนุษย์เขามีกัน ก่อนจะยันตัวเองขึ้นวาดวงขาเรียวขึ้นค่อมแล้วกดมันลงแล้วจึงก้มไปดอมดมกลิ่นหอมของอาหารที่ซอกคอหนาอย่างหื่นกระหาย

สีหน้าของมันปรากฏความตื่นตะหนกกับนางพญาพรายตรงหน้า แววตาสั่นระริกด้วยความกลัวอย่างสุดขีดต่างกับแววตาเมื่อครู่ที่แสดงถึงความหื่นกระหายนั่น

ฉันพรมจูบลงไปที่ปากของมันเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายของชีวิตมันก่อนจะสูบเอาพลังงานชีวิตของมันออกมาจนหมดจนมันสลบ ไม่สิตายต่างหากอยู่บนเตียงนอนม่านรูดนิรนามนี้

วันพรุ่งนี้คงจะมีคนมาพบแล้วรีบเอาไปแจ้งตำรวจ และผลสรุปก็จะออกมาว่าเขาได้ไหลตายไปเพราะภาวะร่างกายขาดแร่ธาตุโพแทสเซียม ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงขึ้นและเสียชีวิตในที่สุด

 

“แหม วันนี้เก็บงานไวนะคะ แม่พรายสาว” เสียงแหลมที่มีความถี่สูงราวสัญญาณเตือนภัยนั่นดังขึ้นจากทางด้านหลังของฉัน

“คงไม่เท่าหล่อนหรอกมั้งนั่น ไปกินมากี่ศพล่ะ”ฉันหันไปตอบเจ้าของเสียงนั่นด้วยความคะนองใจ

“อุบาทว์ เก็บปากเน่า ๆ ของหล่อนไปทิ้งเดี๋ยวนี้ กระสือชั้นสูงอย่างฉันไม่ลงไปเกลือกกลั้วกับของพรรค์นั้นให้เรียวปากสวย ๆ ของฉันเหม็นเน่าเหมือนของที่เธอพึ่งยัดใส่ปากมาหรอกนะ” ของที่ว่านั่นคงจะหมายถึงความภาคภูมิใจเดียวของไอมนุษย์นั่นสินะ คิดแล้วขนลุก ถึงที่ผ่านมาเมื่อครู่นั่นจะดูเกินเลยไปไกลแต่ความจริงมันยังไม่ขั้นเปลื้องผ้าเลยเสียด้วยซ้ำแค่เกือบเท่านั้นน่ะ

“นี่ ยายเกศ แกคิดว่าฉันต้องลงทุนลดศักดิ์ศรีไปทำเรื่องอย่างว่าให้ไอพวกเดนนรกนั่นหรือ” แม่นั่นยักไหล่เป็นเชิงไม่รู้เรื่องด้วยกับฉัน นั่นเผยให้รอยข้อต่อระหว่างคอซึ่งขยับเล็กน้อย ดูท่าน่าจะเพิ่งกลับจากกิจวัตรของตัวเองได้ไม่นาน ถึงจะเป็นกระสือชั้นสูงแต่ก็ไม่ค่อยชำนาญในการอำพรางตัวเท่าพวกเหล่านางพญาทั้งหลายที่หมายหัวนางสินะ

“ช่างเถอะ แม่ย่าเรียกหาแกน่ะ” สิ่งที่เกศพูดทำฉันชะงักอยู่สักพักก่อนที่จะพยายามเปล่งเสียงที่สั่นเครือออกมา

“จริงหรอ”

“ใช่น่ะสิ ทำไม ดีใจจนหางควงเป็นใบพัดเลยหรอ ยายหมาหัวเน่า” หมาหัวเน่า เป็นคำที่เกศชอบใช้เรียกฉันเวลาที่กำลังพูดถึงแม่ของฉันที่ดูจะไม่สนใจฉันเอาเสียเลย ความสัมพันธ์ของเราออกดูไปทางเจ้านายกับลูกน้องเสียมากกว่า

“อย่าว่าฉันอย่างนั้นนะ ยายไส้ลาก”

“ก็มันจริงไหมล่ะ เป็นถึงลูกสาวแต่มีอย่างที่ไหน ทำเมินอย่างกับข้าทาสปลายแถว”

“ท่านแม่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าฉันเหนือกว่าคนอื่นหรอกน่า” นั่นเป็นความคิดที่คอยปลอบใจฉันเสมอมาตั้งแต่ยังเด็ก ท่านแม่ของฉันว่าอย่างนั้นในตอนที่ฉันน้อยใจท่านแล้วท่านพูดปลอบ

“จ้า เอาเถอะแม่ คิดสวย ๆ เยอะ ๆ เถอะค่ะ”

“รีบไปกันเถอะ” ไม่รอช้าฉันรีบใช้มนตร์คาถา เพื่อหายตัวไปยังวังของท่านแม่อย่างทันที ทิ้งให้แม่กระสือสาวโวยวายอยู่ตนเดียว

“อ้าวยายนี่ คำว่ารอ สะกดไม่เป็นหรืออย่างไร” ยายเกศพูดก่อนจะร่ายเวทหายตัวตามฉันมาอย่างติด ๆ

 

“โอ้เรา บ สมจิน...ตะนะได้ ฤ ฉันใด...ช้าก่อน! ดนูเห็น...ณ ประตูสิรำไร...ดังหนึ่งจะมีใคร...ดังหนึ่งจะมีใคร?” เก้าเริ่มลืมบทของตัวเองอีกครั้งซึ่งร่วมร้อยกว่าครั้งแล้วตั้งแต่เริ่มซ้อมเมื่อวาน มันทำให้ผมเอือมกับมันมากที่มันไม่ไปถึงไหนเสียที ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นองก์ที่สามหรือครึ่งเรื่องแต่กับบทพระเอกของมันเพิ่งจะเริ่มต้นได้เมื่อกลางองก์ที่สองเอง

“จระจากพระอาศรม!”

“เออใช่ จระจากพระอาศรม...อ้าขอถวายอัญ...ชลิองค์สุโรดม...ขอให้ดนูชม...วธุเลิดเถอะสักที!”

“โอ้ว่าอนาถใจ...ละไฉนนะเปนฉนี้...แต่ไรก็ไม่มี...มะนะนึกระเหระหน...ไม่เคยจะเชื่อว่า...รตินั้นจะสัประดน...มาสู่ ณ ใจตน...และจะต้องระทมระทวย...” เก้ามองผมนิ่ง นั่นคงจะหมายถึงมันอึ้งที่ผมท่องได้ ก็แน่สิ ผมท่องมันมาแล้วร้อยกว่ารอบแล้วนี่ หรือมันจะเคลิ้มไปตามอารมณ์ของตัวละครของผมกันแน่นะ

“ครานี้สิพบชาย...วรรูปวิเศษวิศาล...ใจวาบและหวามปาน...ฤดินั้นจะโลดจะลอย...เธอนั้น ฤ เจียมตัว...กิริยาก็เรียบก็ร้อย...ไม่มีละสักน้อย...จะแสดง ณ ท่วง ณ ที...ว่าเธอประสงค์จะ...อภิรมย์ฤดีระตี...เปนแต่ชำเลืองที่...ดนุบ้าง ณ ครั้ง ณ คราว...”

“ได้ยินเช่นนี้ พี่ก็ชื้นใจที่น้องก็รักพี่เช่นกัน” เก้าค่อย ๆ รวบมือของผมไว้กับตัว สีหน้าของมันปรากฏความเข้าถึงบทอย่างประหลาด ทำเอาผมไม่กล้าที่จะดึงมือของผมกลับมา

“หม่อมฉันเคยได้ยินสุภาษิตกล่าวอ้างว่าผู้ชายเมื่อยามรัก ก็พูดได้ราวกับมีหลายลิ้น”

“หากเป็นเช่นนั้น ทุกลิ้นของพี่คงรุมกันบอกรักแต่น้องนาง”

“หากพระองค์ให้สัตย์ปฏิญาณเช่นนั้น หม่อมฉันก็จะจงรักภักดีต่อพระองค์ ไหนเลยจะแครงใจ”

“ดังนั้นพี่ก็ยินดี” ไม่รู้ด้วยความเข้าถึงบทของมันหรือจงใจแกล้งผมกันแน่ที่มันพยายามชูมือผมขึ้นพร้อมก้มไปพรมจูบ แต่นั่นก็คงไม่แหวกไปเกินกว่าที่แม่ของผมเปิดประตูมาเห็นภาพน่าขนลุกนั่นพอดีราวกับผู้กำกับละครปล่อยคิวนักแสดงเสียอย่างนั้น ทำเอาทุกคนชะงักไปตาม ๆ กัน

“โทษทีลูก คือแม่จะขึ้นมาถามว่าพรุ่งนี้เก้าจะไปทำบุญด้วยกันไหมลูก” แม่พูดอย่างประหม่าเล็กน้อย จนพอจะเดาได้ว่ามาจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ไอบ้าเอ้ย! ผมคิด

“ไปสิครับแม่ ผมไปอยู่แล้วครับ”

“โอเคจ้ะ แม่ไม่กวนละ ตามสบายนะลูก” แม่พูดพลางรีบปิดประตูออกจากห้องไป เอาล่ะ ตั้งสติก่อน!

“เพราะมึงอะ!”

“เออกูขอโทษ ก็มันอินอะ” มันก้มหน้าลงเล็กน้อยเพราะความรู้สึกผิด

“อินห่าไร! จะอินอะไรหัดดูด้วย กูเป็นผู้ชายนะ ขนลุกฉิบหาย” พูดพลางเอามือลูบไปที่แขนถี่ ๆ ก่อนจะพูดต่อ “มา ซ้อมต่อ”

“ไม่ไหวแล้วมึง พรุ่งนี้เหอะ จะนอนแล้ว” เก้าพูดพลางล้มตัวลงนอนกลิ้งกับเตียงอย่างหน่ายเหนื่อย ผมก็เช่นกัน

“เออ ๆ ก็ได้” พูดเสร็จก็เก็บของทุกอย่างไปวางที่โต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะเดินไปปิดไฟแล้วขึ้นเตียงนอนข้าง ๆ มันก่อนที่สติของผมจะเลือนหายไปนั้นเอง แสงจันทร์ที่ลอดผ่านลงมาในความมืดของห้อง

มันทำให้ผมเห็น ‘เธอ’ ในกระจกสูงที่ตั้งข้างตู้เสื้อผ้านั่น

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา