#เพราะรักมันบิดเบี้ยว
10.0
เขียนโดย ViSuthYAMA_
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 10.06 น.
4 ตอน
0 วิจารณ์
4,541 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 10.13 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) คดีบทที่ ๑ รัก สาม เส้า (1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ทุกคืนเราจ้องดูเดือนดาว ทุกคราวเราฝัน เห็นกันเนือง ๆ ถึงสุดมุมเมือง ไม่ไกล”
- คิดถึงพี่ไหม (COVER) โดย Atom ชนกันต์ -
“วันนี้กูนอนบ้านมึงนะ” เก้าพูดขึ้นหลังจากที่ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างมันไม่นาน
“โห เดี๋ยวนี้นี่มึงคิดว่าบ้านกูเป็นวัดหรอ มาขออยู่อาศัยแทบทุกวันแล้วนะ บ้านไม่มีอยู่แล้วหรือไง หรือขายทิ้งใช้หนี้หมดแล้ว?” ผมพูดแกมประชดหลังจากที่มันมาขอนอนบ้านผมตั้งแต่อาทิตย์ก่อน
“มึงกล้าหือกับลูกรักแม่มึงหรอ” มันหันมาทำเขม่นใส่ผม รูปปากของผมปรากฏความเหยเก สายตาลอบมองบนด้วยความเอือม
“ลูกรักเชี่ยไรของมึง แม่กูมีลูกคนเดียว”
“มึงจำไม่ได้หรอที่แม่มึงพูดอะ ถ้ามึงเป็นผู้หญิงนะ ป่านนี้แม่กูยกให้พร้อมมรดกละ”
คำพูดของมันชวนให้ผมนึกถึงเรื่องราววันนั้นอย่างทันควัน นี่แม่รักมันมากกว่ากูอีกนะ น่าน้อยใจนัก ใช่สิเราลูกเก็บมาเลี้ยงสินะ ฟอนด์ผิดเองแหละ
“แต่กูเป็นผู้ชายไง แล้วกูก็ไม่ยอมเป็นของมึงด้วย”
“แต่ถึงอย่างนั้นกูก็เป็นลูกรักแม่มึงอยู่ดีเปล่าวะ เรามันคนละชั้นกันไอน้อง” มันยังคงทำท่างทางกวน ๆ อย่างต่อเนื่องทำเอาผมอยากจะลุกขึ้นตบฉาบเน้นที่หัวไอลูกรักของแม่ผมเสียจริง
จะว่าไปแล้วผมกับเก้าก็สนิทกันมากพอ พอที่จะทำให้ผมมีความรู้สึกแปลก ๆ กับมัน
“เธอคือใครคนนั้นรึเปล่า บอกฉันทีว่าไม่ใช่ ดูเธอไปก็คล้ายทุกอย่าง แต่ยังไม่แน่ใจ”
- เกือบ โดย บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ –
“ไป กลับบ้านกัน”
เก้าพูดพร้อมกับเหยียดตัวลุกขึ้นก่อนจะส่งมือมาหาผมเป็นเชิงช่วยให้ผมลุกขึ้น ผมมองมันนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปรั้งที่มือมันเพื่อยันตัวขึ้นตาม
“เออ ไปดิ”
พระนครศรีอยุธยา 2548
รถเก๋งสี่ประตูสีบรอนซ์ทองเคลื่อนตัวอยู่บนถนนเส้นหนึ่งเป็นถนนเทปูนสูงขนาบข้างด้วยป่ารกทึบในเวลาบ่ายสี่โมงกว่า ๆ ภายในรถมีคู่สามีภรรยานั่งด้านหน้าโดยฝ่ายสามีเป็นคนขับ ทั้งสองต่างคุยกับเรื่องสรรพเพเหระตามประสาคนรักกัน
ท่ามกลางการพูดคุยของทั้งสองก็ยังมีเสียงเล็ก ๆ ของเด็กชายวัยสามขวบหน้าตาน่ารักที่กำลังสนุกกับการนั่งเล่นของเล่นอยู่ที่นั่งด้านหลังโดยไม่สนใจโลกภายนอก ใจจดจ่ออยู่แต่กับของเล่นที่เป็นของขวัญวันเกิดปีที่สามของเขา เป็นภาพของครอบครัวที่ดูมีความสุขมาก แต่ความสุขมักอยู่กับเราไม่นานเท่าไร
บรรยากาศภายนอกรถเริ่มเปลี่ยนแปลง ความมืดเริ่มเดินทางตามพวกเขามาติด ๆ ลมนิ่งสนิท ทั้งถนนยังเปลี่ยวเกินที่จะไม่สงสัยว่าจุดหมายปลายทางถูกต้องหรือไม่ และคนร่วมเส้นทางก็เห็นจะไม่มี เห็นจะมีแค่รถของพวกเขาเท่านั้น
เช่นกันบรรยากาศภายในรถก็ถูกความเงียบเข้าครอบงำ เมื่อฝ่ายภรรยาไม่ต่อบทสนทนากับสามี
‘กรรณ เป็นอะไรรึเปล่า จู่ ๆ ก็เงียบไป’
‘กรรณรู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้’ สาววัยยี่สิบปลายๆผู้เป็นภรรยาพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
‘แปลก แปลกยังไงหรอ’ ชายหนุ่มพูดขึ้นโดยสายตายังคงจดจ้องอยู่กับเส้นทางข้างหน้า
‘กรรณว่า มันดูเปลี่ยวๆ วังเวง น่ากลัว ทั้งตั้งแต่ออกจากตัวเมืองมายังไม่เห็นรถสวนหรือตามมาสักคัน เราไม่ได้กำลังหลงทางอยู่ใช่ไหมวิน’
‘ทางชนบทก็งี้แหละ อีกอย่างนี่ก็เย็นแล้วคนเขาคงไม่ค่อยออกจากบ้านกันเท่าไรหรอก ผีมันชุม’
‘นี่! พูดอะไรออกมาน่ะ คนยิ่งกลัว ๆ อยู่’ กรรณพูดพลางตีที่แขนของวินเบา ๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง วินยิ้มแล้วละมือซ้ายจากพวงมาลัยรถยนต์ มารวบมือกรรณไว้อย่างเบามือ
‘กลัวทำไมล่ะ มีวินทั้งคน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นวินจะปกป้องกรรณกับลูกเอง’ กรรณยิ้มอย่างเขินอาย
‘ให้มันจริงเถอะ ทำเป็นพูดดี ถ้าเห็นว่าวิ่งคนแรกนะจะตะบันหน้าให้’ วินยิ้มทะเล้นหันมาหากรรณ
‘ตะบันหน้า? ใช้คำพูดสมัยแกะสลักมะม่วงหรอแม่หญิงกรรณิการ์ ฮ่า ๆ’
‘เขาเรียกอนุรักษ์ความเป็นไทยย่ะ ชิ’ พูดแล้วสะบัดหน้าออกเล็กน้อย วินมองท่าทางอันน่ารักของภรรยาอย่างมีความสุข
‘เห้ย!’ วินอุทานดังลั่นพร้อมกับรถที่เหวี่ยงเข้าข้างทางไถลตกตีลังกาเข้าป่าไป ด้วยแรงกระแทกที่รุนแรงจนกระจกแตกทำให้เด็กชายวัยสามขวบพุ่งหลุดออกจากรถไปกระแทกกับต้นไม้จนสลบไป วินได้สติหันหาภรรยาที่ตอนนี้นั่งร้องโอดโอยตามตัวมีรอยแผลจากเศษกระจกมากมาย ‘ฟอนด์ลูก...’ ชายหนุ่มมองหาลูกชายของตนเอง
‘เห้ย!’
วินเห็นลูกชายตัวเองนั่งคอพับใต้ต้นไม้ก็รีบกระแทกประตูรถที่พังแล้วออกรีบวิ่งปรี่ไปหาลูก ทันทีที่ถึงตัวลูก วินเอามืออังที่จมูก ตรวจจับชีพจรของเด็กชายอย่างใจเย็นด้วยความชำนาญวิชาชีพนายแพทย์และโชคดีของเด็กที่ยังมีชีวิตรอด วินจึงสำรวจรร่างกายของลูกเพื่อหารอยบาดเจ็บ
“แม่งเอ้ย! ไองูเวรนี่ หายไปไหนแล้ววะ”
‘กูอยู่นี่!’ เสียงชวนหลอนหูปริศนาดังขึ้น วินมองหาที่มาของเสียงซึ่งมันไม่ได้ไกลเลยเพราะเสียงนั้นอยู่ห่างจากเขาเพียงระยะลมหายใจ
‘อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!’
นั่นเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา
ภาพเหตุการณ์นั้นถูกฉายขึ้นในภวังค์ของกรรณิการ์ ในขณะที่เธอกำลังนั่งชมรายการโทรทัศน์ในเวลาบ่ายสี่โมง น้ำตาน้อย ๆ ถูกระบายออกมาจากความรู้สึกมากมายของเธอ สิบสี่ปี แล้วสินะ เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ
“กลับมาแล้วครับแม่”
“สวัสดีครับแม่”
เสียงของเด็กหนุ่มทั้งสองดังขึ้นทำให้กรรณรีบยกมือบางขึ้นปาดคราบน้ำตาที่ดวงแก้ม หันไปปั้นหน้ายิ้มอย่างใจดีให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองด้วยความเอ็นดู
“มา ๆ แม่กำลังจะทำกับข้าวพอดี ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน แล้วลงมากินข้าวกัน”
กรรณพูดอย่างคุ้นชินและลุกขึ้นไปทางหลังบ้านเพื่อไปทำกับข้าวด้วยท่าทางดูอ่อนโอน จนเด็กหนุ่มทั้งสองที่ไล่มองตามแผ่นหลังบางของกรรณสังเกตได้ ก่อนลูกชายของเธอจะพูดขึ้น “งั้นเดี๋ยวฟอนด์รีบลงมาช่วยแม่นะ”
“โอเค รีบลงมานะ” กรรณร้องตอบพลางเปิดตู้เย็นหาวัตถุดิบในการเตรียมอาหาร
ฟอนด์มองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไล่หลังเก้าขึ้นไปที่ห้องนอนของตน
“วันนี้แม่มึงดูซึมไปนะ มีอะไรเปล่าวะ” เก้าพูดขึ้นหลังจากที่กระโดดขึ้นเตียงผมอย่างกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ผมลอบมองมันพลางวางกระเป๋านักเรียนที่โต๊ะเขียนหนังสือ
“คงเพราะใกล้วันเกิดกูแล้วละมั้ง” เก้ามองผมที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความสงสัย
“แล้วยังไงต่อ วันเกิดมึงแล้วทำไมอะ เขาเสียใจที่มีมึงหรอ” คราวนี้นอกจากความสงสัยของมันยังมีความน่าจับไปโยนให้อีแร้งรุมกระชากที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเอามาก ๆ
“อ้าว! ไอสันขวานหนิ” ผมทิ้งตัวลงบนเตียงข้าง ๆ มันสักพักก่อนจะหันไปบอกกับมัน “มึงจำเรื่องพ่อกูที่กูเล่าให้ฟังได้เปล่าละ”
มันนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง “อ๋อ จำได้! อ้าว! เออว่ะ”
“อะไรของมึงวะ”
“ก็จำได้ไง แค่คิดไม่ถึง แต่ตอนนี้คิดถึงละ” มันเอียงคอขึ้นมองผม สายตาของมันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดมัน แต่ผมก็เลือกที่จะตัดมันทิ้งแล้วลุกขึ้นเตรียมลงไปช่วยแม่ทำกับข้าว
“เออ ๆ มึงรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป กูจะลงไปช่วยแม่ละ”
“เห้ย รอก่อนดิ กูจะไปทำหน้าที่ลูกชายสุดรักของแม่มึง” มันดีดตัวขึ้นจากเตียงนอนของผมก่อนจะรีบวิ่งไปเปิดตู้เสื้อผ้าของผมที่ตอนนี้แทบจะเป็นของมันไปแล้วเพื่อหาเสื้อผ้าเปลี่ยน
“ไม่รอโว้ย ชักช้า” ความเอือมระอาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผม ก่อนที่ผมจะตรงไปที่ประตูเพื่อเปิดออกแล้วเดินลงไปข้างล่าง เสียงตะโกนของมันยังคงดังไล่หลังตามมา แต่ผมกลับได้ยินมันไม่ชัดเท่าไหร่ ผมติดอยู่ในภวังค์อีกครั้งเมื่อเดินลงมาถึงข้างล่าง
ถ้าวันนั้นเขาไม่ปกป้องเราไว้ เขาคงไม่ตายสินะ ผมนิ่งคิด
ใช่! มึงมันตัวซวย! มึงทำให้พ่อของมึงตาย! เสียงปริศนาลอยลอดผ่านโสตประสาทของผม มันคุ้นหูแต่กลับบอกไม่ได้ว่าเป็นเสียงใคร หากแต่มันจะมาในทุกครั้งที่ผมคิดลบกับตัวเอง
ความกังวลเข้าครอบงำจิตใจผม มันทำให้ผมระแวงอยู่ตลอดทุกครั้งที่ได้ยิน พอ ๆ กับความฝันบ้านั่นในทุกค่ำคืน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมเคยคุยกับแม่ในหลายๆครั้ง และแม่ก็มักจะปลอบโยนผมเสมอว่า อย่างน้อยมันก็เป็นเครื่องเตือนไม่ให้ผมคิดลบกับตัวเอง ซึ่งมันก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“วันนี้ทำอะไรกินบ้างแม่”
“วันนี้มีหมูหวาน แล้วก็แกงมัสมั่นไก่ของลูกอันนี้แม่ออกไปซื้อเมื่อบ่ายที่ร้านเจ๊ปอร้านโปรดลูกมาเลยนะ แล้วก็มีซุปกระดูกหมูของเจ้าเก้าที่กำลังเดือดได้ที่อยู่เลยนั่น”
“โห เหลืออะไรให้ผมทำบ้างเนี่ย”
“ยกเอาไปวางบนโต๊ะเลยลูก” แม่ยกแกงมัสมั่นไก่ที่ถูกจัดใส่จานท้องลึกให้ผม กลิ่นของมันลอยหอม เมื่อกว่าจะรู้ตัวกลิ่นของมันก็เข้าไปอยู่ในถุงลมฝอยของผมเพื่อแลกเปลี่ยนแก๊สเสียแล้ว
“โอเคครับ” รอยยิ้มที่มาจากความอารมณ์ดีของผมปรากฏขึ้นเมื่อผมวางแกงนั่นลง แต่แล้วมันก็มีสิ่งหนึ่งที่แทรกซึมเข้ามาพร้อมกับกลิ่นอันหอมฉุยของมัน รอยยิ้มของแม่
“แม่”
“ว่าไง” แม่เดินตามออกมาพร้อมกับซุปกระดูกหมูของโปรดของไอเก้ามัน แน่นอนแหละว่าความจริงแล้วมันคือของโปรดของพ่อผม เก้านิสัยเหมือนพ่อผมหลายอย่าง เพราะแบบนี้แหละมั้ง แม่ถึงเอ็นดูมันเป็นพิเศษ
“วันจันทร์เราไปทำบุญให้พ่อกัน” แม่นิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูดก่อนที่จะวางถ้วยซุปลงแล้วหันมาคุยกับผมด้วยความรู้สึกที่ดูหนักขึ้นสักหน่อย
“ไม่มีเรียนหรอ” แววตาแม่สั่นระริกด้วยความรู้สึกบางอย่างมากมายแต่ผมรับรู้ได้ว่าแม่หวังไว้อยู่มากที่อยากจะไปทำบุญให้พ่อในวันที่เราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
“ฟอนด์ขอเขาลาครึ่งวันได้ ฟอนด์อยากทำบุญให้พ่อ อยากไปกินข้าวนอกบ้านฉลองวันเกิดกับแม่ด้วย”
“งั้นก็ตามใจฟอนด์เถอะลูก” คำพูดที่ดูเรียบเฉยมันแฝงไปด้วยความดีใจของแม่ แต่แม่พยายามกลบเกลื่อนมันเอาไว้ก่อนจะพยายามเดินกลับเข้าไปในครัว
“ฟอนด์รักแม่นะครับ” ไม่ทันที่แม่จะตั้งตัว ก็ได้มีลูกชายคนเดียวของเขาโผเข้ากอดด้วยความรักอย่างอบอุ่น ที่พูดไปนั้นเพราะผมรักแม่จริง ๆ
“เก้าก็รักแม่นะครับ” วงแขนหนาเข้าสวมเราสองแม่ลูกอีกชั้นหนึ่งโดยเก้า
“อะไรของมึง ออกไปเลย แม่ลูกเขาจะกอดกัน”
ผมดิ้นตัวพยายามสลัดเอามันออก “แม่ดูฟอนด์ดิแม่ มันไล่ผม” ใบหน้าบูดบึ้งของมันแลดูตลก พลางส่งเสียงออดอ้อนฟ้องแม่ผม
“ลูกแม่ทั้งนั้นแหละ ไป ๆ กินข้าวกัน” แม่หันมาพูดด้วยความเอ็นดู ก่อนจะใช้แรงน้อย ๆ ผลักเอาพวกเราไปที่โต๊ะทานข้าว แล้วเดินไปหยิบกับข้าวในครัวมาวางไว้ที่โต๊ะต่อ
เราทั้งสามต่างพากันทานข้าวเย็นมื้อนั้นอย่างมีความสุข ไอเก้ามันปากรั่วเอาเรื่องที่ผมชอบแอบหลับในห้องเรียนมาฟ้องแม่ ในใจนึกอยากจะเอาซุปตรงหน้าราดมันเสียแต่ตอนนั้นแต่มีแม่อยู่เลยไม่กล้า บุญของมันนะคราวนี้ แต่ครั้งหน้าอย่าหวังว่าจะรอด!
“กับสิ่งที่คิดในเงากระจก มันอาจสะท้อนความจริงบางอย่างที่มองไม่เห็น”
- กระจกวิเศษ โดย ไม้หมอน วชิรวิทย์ –
“มึง กูไปอาบน้ำก่อนนะ”
“เรื่องของมึงดิ บ้านมึง จะไปไหนต้องขอกูด้วยหรอ” เก้าพูดในขณะที่ตัวเองนอนเอกเขนกเล่นเกมวิ่งเก็บเหรียญอย่างเมามัน แต่ก็ยังไม่ทิ้งความกวนที่คงฝังลึกถึงเซลล์ประสาทแล้ว “อ่อลืม แม่มึงยกให้กูแล้วนี่หว่า”
“พ่อมึง! กูไปละ” ผมพูดพรางเอามือคว้าผ้าขนหนูสีเรียบที่แขวนไว้ตรงราวตากผ้าขนาดย่อมแล้วรีบเข้าห้องน้ำที่มีอยู่ส่วนตัวในห้องไป
ด้วยความที่รีบไปสักหน่อยแต่ก็ไม่เร็วเกินที่จะไม่ทันสังเกตความผิดปกติของเงาผมที่เดินผ่านบานกระจกที่ติดอยู่ตรงอ่างล้างหน้านี่ มันดูเหมือนอะไรสักอย่างที่บอกได้แน่ชัดอย่างเดียว ผู้หญิง? ด้วยความสงสัย ผมหันกลับไปดูมันอีกรอบ ถึงแม้เงาของผมตรงงหน้าจะไม่ได้มีผมที่ยาวสยาย หรือความผ่องดุจเดือนเพ็ญของผิวเนื้อเมื่อกี้ มันยังคงเป็นผมคนเดิม แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างรอบตัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึก ไวเกินกว่าที่จะคิดทันนั้น ปลายนิ้วของผมก็ได้สัมผัสมันเอาเสียแล้ว
“แล้วมีใครบอกไว้ ข้างบนนั้นมีโลกทั้งใบ อาจจะมีใครสักคน รออยู่บนโลกนั้น”
- โลกอีกใบ โดย ส้ม มารี Feat. โอ๊ต ปราโมทย์ -
ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มถูกแต้มด้วยสีม่วงจากทางด้านล่างที่สูงขึ้นมาจากรัศมีดวงอาทิตย์อันเป็นศูนย์กลางของโลกมนุษย์ทั้งสี่ ป่าหิมพานต์ และจาตุมหาราชิกาพจร มีสิ่งปลูกสร้างมากมายลอยอยู่บนอวกาศล้วนมีรัศมีอยู่ในตัวเอง รวมไปถึงมหาวิทยาลัยเทวชุมนุมแห่งนี้ที่ตั้งสูงเด่นเป็นสง่าเกิดจาการสรรสร้างโดยเหล่าผู้ปกครองเมืองสวรรค์ทั้งหกชั้น มีจุดประสงค์ในการส่งเสริมศักยภาพของเหล่าเทพเทวีทั้งหลายอันนำไปสู่ตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ ในโลกกามาพจรแห่งนี้
ภายในห้องสมุดขนาดใหญ่มีหนังสือมากมายในศาสตร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น วิทยาศาสตร์ วิทยาการสื่อสาร สังคมศาสตร์ ศิลปะศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รวมไปถึงสัตววิทยาศาสตร์ที่กำลังถูกเปิดและบรรจงอ่านโดยนางฟ้าสาวนางนี้
โอย อ่านยากเสียจริงภาษาพวกนี้ ควรมีฉบับแปลเป็นภาษาของชาวยามาเสียบ้างนะ เธอคิดหลังจากพยายามอ่านบทความในหนังสืออยู่นานวัน และในที่สุดเธอก็ค้นพบวิธีอ่านที่ง่ายสำหรับเธอ
เธอมองไปรอบ ๆ ห้องไม่พบนักศึกษาผู้อื่นจึงตั้งจิตร่ายเวทย์ผนึกประตูบานใหญ่เอาไว้ไม่ให้ใครได้เข้ามา ก่อนจะนำหนังสือหนาเตอะไปวางไว้กลางห้อง
“เอาล่ะ มาอ่านมันกัน” เธอตั้งจิตอีกครั้ง ฟองเวทย์มากมายเริ่มหลั่งไหลออกมาจากตัวของเธอไปยังหนังสือหนาเตอะนั่น เธอใช้พลังในการยกมันขึ้นลอยเหนือพื้นก่อนจะระเบิดมันออกมากลายเป็นภาพของสัตว์ต่าง ๆ ในจักรวาลขึ้นโลดแล่นไปทั่วห้อง เธอปราดมองไปรอบ ๆ อย่างถี่ถ้วนจนเจอในสิ่งที่เธอต้องการ
‘เทพนาคา’
ภาพชายรูปร่างสูงสวมศิราภรณ์กษัตริย์ที่มีพญานาคราชงอกออกมาจากทางด้านหลังแผ่พังพานเหนือศีรษะของเขา มีลำหางงอกออกมาทางเดียวกันม้วนขดเป็นแท่นยืนให้กับเทพนาคาผู้นี้ ‘ท้าววิรูปักษ์มหาราช’
“เพื่อนของท่านลุงนี่ ต้องไปขอความช่วยเหลือกับท่านลุงแล้วล่ะ” เธอยิ้มก่อนจะร่ายเวทย์คืนสภาพให้แก่ห้องก่อนจะเก็บของแล้วเดินออกไปอย่างร่าเริง
ดุลยภาพของจักรวาลมีทุกข์ต้องมีสุข มีขาวต้องมีดำ เช่นกันมีสวรรค์ก็ต้องมีนรก
ดิ่งลงไปสู่ใต้โลกมนุษย์ทั้งสี่ทางทิศใต้เป็นที่ตั้งของสถานที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่ต้องทุกข์ทรมานจากการลงโทษตามกฎแห่งกรรมที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้กระทำไว้ในครั้งอดีต บทลงโทษต่าง ๆ ถูกแบ่งออกไปตามความสมควรแก่โทษของความผิดเหล่านั้น เหมือนกันกับเมืองสวรรค์ที่เธออาศัยอยู่ที่จะแบ่งกลุ่มสิ่งมีชีวิตไปตามกำลังกุศลที่ได้สร้างมาในรูปแบบต่าง ๆ เช่นกัน
นางฟ้าสาวได้กรีดกรายไปตามทางเดินสีดำอันเป็นหนทางไปสู่มหานรกทั้งแปดขุม ทุกย่างก้าวจะมีเหล่าสัตว์นรกที่ผลักดันตัวขึ้นมาเหนือแม่น้ำที่ขนาบข้างทางเดินของเธอหวังจะให้เธอได้ช่วยปลดปล่อยมันจากทุกข์ที่พวกมันได้รับ หากแต่กลับมองอย่างนิ่งเฉยพรางนึกถึงคำพูดที่ท่านลุงของเธอเคยพูดไว้เมื่อเธอมาช่วยงานเป็นเจ้าหน้าที่นิรยภูมิเมื่อสามร้อยปีที่แล้ว
“นรกมันร้อนสำหรับคนที่มีจิตอกุศลเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นหลานคงมอดมลายเป็นจุนไปแล้ว หากมันผู้ใดชำระบาปของมันได้ จิตมันจะเป็นอิสระไม่มีใครสามารถเหนี่ยวรั้งมันได้อีกต่อไป”
เมื่อคิดได้อย่างนั้นเธอจึงได้แต่อธิษฐานให้สัตว์นรกเหล่านี้พ้นทุกข์เร็วขึ้นเท่านั้น เธอจึงรีบปราดเดินต่อไปจนถึงสถานที่พิพากษาโทษของสัตว์เหล่านี้เพื่อจะได้พบกับท่านลุงของเธอ
“อ้าว ว่างอย่างไรยายเปมิภัสสรา ถึงคราวของเจ้าแล้วรึที่จะได้รับโทษ” เสียงเข้มกังวานดังลอบออกมานอกปราสาทสีเลือดตรงหน้า
“โธ่ ท่านลุง ล้อข้าแรงนักนะ” เธอพูดตอบกลับไปพรางเดินเข้าไปในปราสาทนั่นด้วยความเคยชิน
“ไม่ให้ข้าล้อเจ้าแล้วจะให้ข้าล้อใคร เจ้าเป็นหลานรักของข้า แต่ข้าก็ไม่เว้นหากเจ้าทำผิดคิดชั่วมา ไฟนรกของข้าก็พร้อมจะแผดเผาเจ้าเช่นกัน” เทวดาศักดิ์ใหญ่ตรงหน้าผู้ได้ชื่อว่า ท้าวพระยายมราช ประมุขของเจ้าหน้าที่นิรยบาลทั้งหลายในมหานรกนี้
“ข้าไม่โดนไฟของท่านเผาโดยง่ายหรอก ถึงอย่างไรข้าก็ได้ชื่อว่าเป็นพระราชธิดาของเสด็จพ่อสุยามาน้องชายของท่านลุง ซ้ำยังดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่นิรยบาล สังกัดสัญชีวนรก มหานรกขุมแรกเทียวนะเจ้าคะ” เธออวดอึงด้วยภูมิในในตำแหน่งที่ได้รับมา เทวดาใหญ่ตรงหน้ามองเธอด้วยความเอ็นดู
“อย่ามั่นใจไปเชียว นรกของข้ามีตั้งแปดมหาขุม ไหนจะนรกบ่าวอีกสิบหกขุมอีก เจ้าอย่าลืมสิ”
“ข้าจำได้น่าท่านลุง ให้ข้าภูมิใจหน่อยไม่ได้หรือเจ้าคะ” ท่าทางราวกับเด็กไร้เดียงสาของหลานสาวยังคงปรากฏภายในตาของท่านท้าวอยู่เสมอ
“ว่าแต่เจ้าเถิด มาหาข้าถึงที่ มีอะไรให้ข้าช่วยล่ะ” แววตาไร้เดียงสานั่นถูกกระชากโดยความสงสัยของเธอที่เป็นจุดประสงค์ในการมาเยือนนรกครั้งนี้
“ข้ากำลังศึกษาเกี่ยวกับเทพนาคาอยู่เจ้าค่ะ แล้วรู้มาว่าท่านลุงเป็นพระสหายของท่านท้าววิรูปักษ์เทพนาคาผู้ให้กำเนิดตระกูลนาควิรูปักษ์ ข้าเลยอยากจะให้ท่านลุงช่วยพาข้าไปหาท่านท้าวฯได้หรือไม่เจ้าคะ”
เธอส่งสายตาอ้อนวอนไปหาท่านลุงของเธอ เขามองเธอด้วยความเอ็นดูก่อนจะเรียกหัวหน้านิรยบาลขึ้นมาทำหน้าที่รักษาการแทน ก่อนจะค่อย ๆ ย่างกรายลงมาโอบไหล่หลานสาวด้วยความเอ็นดูพากันเดินออกไป น่าแปลกที่หลานลุงคู่นี้เหมือนพ่อลูกกันมากกว่าคู่จริงเสียอีก “แล้วเรียนถึงไหนแล้วล่ะ”
“ศกหน้าก็ได้ใบประกอบวิชาชีพแล้วเจ้าค่ะ” หลานสาวที่อยู่ภายใต้วงแขนของความเอ็นดูยกหน้าขึ้นเล็กน้อยตอบลุงของเธอ
“เก่งนี่ รู้สึกเหมือนเพิ่งไปส่งเมื่อศกก่อนเองกระมัง” ท่านท้าวฯนึกคิดถึงตอนที่ไปส่งหลานสาวในวันแรกที่เธอเป็นนักศึกษาของมหาลัยแห่งนั้น
“อย่าลืมสิเจ้าคะ เวลาบนดาวดึงส์เร็วกว่าที่นี่นะเจ้าคะ”
“จริงสินะ ตั้งแต่ไปส่งเจ้าเข้าวิทยาลัยข้าก็งานยุ่ง นรกนับวันยิ่งคับแคบ ไม่รู้จะทำชั่วกันทำไมนักหนา”
“ความต้องการของสัตว์ก็อย่างนี้แหละเจ้าค่ะ ยิ่งแล้วไม่มีพุทธองค์คอยโปรด ก็หาคนเข้าถึงธรรมได้ยากขึ้น คิด ๆ แล้วก็อดอยากให้มีพุทธองค์หลาย ๆ พระองค์ไม่ได้” ทัศนคติของหลานสาวเป็นที่ชื่นชมของท่านท้าวตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอมักมองถึงปัญหาโดยเหตุผลที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่ด้วยความที่มักแก้ปัญหาที่ดูอ่อนกว่าผู้อื่นเขามากจึงทำให้พาลลำบากผู้อื่นมาช่วยพยุงอยู่หลายครั้งทำให้ท่านท้าวทรงเป็นห่วงและรักหลานสาวของท่านมาก
“ถ้าอยากให้มีเยอะนัก เจ้าก็บำเพ็ญเพียรไปเป็นเองสิ” ถึงนั่นจะเป็นคำตอบที่ฟังดูตลกแต่นั่นก็เป็นหนทางเดียวเช่นกันที่จะทำให้ความประสงค์ของนางฟ้าสาวเป็นจริง
“โถท่านลุง อย่างข้ามีบุญสูติมาทันพบพุทธองค์ ข้าคงใช้บุญหมดแล้วกระมังนั่น”
“จริงอย่างเจ้าว่า ดำรงตนถึงตอนนี้ได้คงเป็นกรรมล้วน ๆ”
“ท่านลุง!”
ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนั่นได้ถูกฉายในดวงตาของฟอนด์ที่ดูจะทะลุมิติมาในสถานที่นี้ด้วยอะไรสักอย่างหลังจากที่สัมผัสกับกระจกนั่น
“ไปไหนกันนะ” ผมที่ตอนนี้กำลังเดินตามบุคคลทั้งสองไปในที่ไหนสักที่แต่เหมือนเวลาของผมจะหมดลงเสียแล้ว เมื่อมีมือหนาร้อนขนาดใหญ่มารั้งแขนของผมไว้
“มึงไม่ใช่คนของที่นี่ ออกไปเดี๋ยวนี้!”
ชายหนุ่มร่างสูงที่มีส่วนหัวคล้ายควายกระแทกคำพูดนั่นใส่ผมก่อนจะยกตัวผมขึ้นสูงแล้วเหวี่ยงออกนอกอาณาเขตที่เต็มไปด้วยกองไฟและทะเลกรดนั่น
- คิดถึงพี่ไหม (COVER) โดย Atom ชนกันต์ -
“วันนี้กูนอนบ้านมึงนะ” เก้าพูดขึ้นหลังจากที่ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างมันไม่นาน
“โห เดี๋ยวนี้นี่มึงคิดว่าบ้านกูเป็นวัดหรอ มาขออยู่อาศัยแทบทุกวันแล้วนะ บ้านไม่มีอยู่แล้วหรือไง หรือขายทิ้งใช้หนี้หมดแล้ว?” ผมพูดแกมประชดหลังจากที่มันมาขอนอนบ้านผมตั้งแต่อาทิตย์ก่อน
“มึงกล้าหือกับลูกรักแม่มึงหรอ” มันหันมาทำเขม่นใส่ผม รูปปากของผมปรากฏความเหยเก สายตาลอบมองบนด้วยความเอือม
“ลูกรักเชี่ยไรของมึง แม่กูมีลูกคนเดียว”
“มึงจำไม่ได้หรอที่แม่มึงพูดอะ ถ้ามึงเป็นผู้หญิงนะ ป่านนี้แม่กูยกให้พร้อมมรดกละ”
คำพูดของมันชวนให้ผมนึกถึงเรื่องราววันนั้นอย่างทันควัน นี่แม่รักมันมากกว่ากูอีกนะ น่าน้อยใจนัก ใช่สิเราลูกเก็บมาเลี้ยงสินะ ฟอนด์ผิดเองแหละ
“แต่กูเป็นผู้ชายไง แล้วกูก็ไม่ยอมเป็นของมึงด้วย”
“แต่ถึงอย่างนั้นกูก็เป็นลูกรักแม่มึงอยู่ดีเปล่าวะ เรามันคนละชั้นกันไอน้อง” มันยังคงทำท่างทางกวน ๆ อย่างต่อเนื่องทำเอาผมอยากจะลุกขึ้นตบฉาบเน้นที่หัวไอลูกรักของแม่ผมเสียจริง
จะว่าไปแล้วผมกับเก้าก็สนิทกันมากพอ พอที่จะทำให้ผมมีความรู้สึกแปลก ๆ กับมัน
“เธอคือใครคนนั้นรึเปล่า บอกฉันทีว่าไม่ใช่ ดูเธอไปก็คล้ายทุกอย่าง แต่ยังไม่แน่ใจ”
- เกือบ โดย บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ –
“ไป กลับบ้านกัน”
เก้าพูดพร้อมกับเหยียดตัวลุกขึ้นก่อนจะส่งมือมาหาผมเป็นเชิงช่วยให้ผมลุกขึ้น ผมมองมันนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปรั้งที่มือมันเพื่อยันตัวขึ้นตาม
“เออ ไปดิ”
พระนครศรีอยุธยา 2548
รถเก๋งสี่ประตูสีบรอนซ์ทองเคลื่อนตัวอยู่บนถนนเส้นหนึ่งเป็นถนนเทปูนสูงขนาบข้างด้วยป่ารกทึบในเวลาบ่ายสี่โมงกว่า ๆ ภายในรถมีคู่สามีภรรยานั่งด้านหน้าโดยฝ่ายสามีเป็นคนขับ ทั้งสองต่างคุยกับเรื่องสรรพเพเหระตามประสาคนรักกัน
ท่ามกลางการพูดคุยของทั้งสองก็ยังมีเสียงเล็ก ๆ ของเด็กชายวัยสามขวบหน้าตาน่ารักที่กำลังสนุกกับการนั่งเล่นของเล่นอยู่ที่นั่งด้านหลังโดยไม่สนใจโลกภายนอก ใจจดจ่ออยู่แต่กับของเล่นที่เป็นของขวัญวันเกิดปีที่สามของเขา เป็นภาพของครอบครัวที่ดูมีความสุขมาก แต่ความสุขมักอยู่กับเราไม่นานเท่าไร
บรรยากาศภายนอกรถเริ่มเปลี่ยนแปลง ความมืดเริ่มเดินทางตามพวกเขามาติด ๆ ลมนิ่งสนิท ทั้งถนนยังเปลี่ยวเกินที่จะไม่สงสัยว่าจุดหมายปลายทางถูกต้องหรือไม่ และคนร่วมเส้นทางก็เห็นจะไม่มี เห็นจะมีแค่รถของพวกเขาเท่านั้น
เช่นกันบรรยากาศภายในรถก็ถูกความเงียบเข้าครอบงำ เมื่อฝ่ายภรรยาไม่ต่อบทสนทนากับสามี
‘กรรณ เป็นอะไรรึเปล่า จู่ ๆ ก็เงียบไป’
‘กรรณรู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้’ สาววัยยี่สิบปลายๆผู้เป็นภรรยาพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
‘แปลก แปลกยังไงหรอ’ ชายหนุ่มพูดขึ้นโดยสายตายังคงจดจ้องอยู่กับเส้นทางข้างหน้า
‘กรรณว่า มันดูเปลี่ยวๆ วังเวง น่ากลัว ทั้งตั้งแต่ออกจากตัวเมืองมายังไม่เห็นรถสวนหรือตามมาสักคัน เราไม่ได้กำลังหลงทางอยู่ใช่ไหมวิน’
‘ทางชนบทก็งี้แหละ อีกอย่างนี่ก็เย็นแล้วคนเขาคงไม่ค่อยออกจากบ้านกันเท่าไรหรอก ผีมันชุม’
‘นี่! พูดอะไรออกมาน่ะ คนยิ่งกลัว ๆ อยู่’ กรรณพูดพลางตีที่แขนของวินเบา ๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง วินยิ้มแล้วละมือซ้ายจากพวงมาลัยรถยนต์ มารวบมือกรรณไว้อย่างเบามือ
‘กลัวทำไมล่ะ มีวินทั้งคน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นวินจะปกป้องกรรณกับลูกเอง’ กรรณยิ้มอย่างเขินอาย
‘ให้มันจริงเถอะ ทำเป็นพูดดี ถ้าเห็นว่าวิ่งคนแรกนะจะตะบันหน้าให้’ วินยิ้มทะเล้นหันมาหากรรณ
‘ตะบันหน้า? ใช้คำพูดสมัยแกะสลักมะม่วงหรอแม่หญิงกรรณิการ์ ฮ่า ๆ’
‘เขาเรียกอนุรักษ์ความเป็นไทยย่ะ ชิ’ พูดแล้วสะบัดหน้าออกเล็กน้อย วินมองท่าทางอันน่ารักของภรรยาอย่างมีความสุข
‘เห้ย!’ วินอุทานดังลั่นพร้อมกับรถที่เหวี่ยงเข้าข้างทางไถลตกตีลังกาเข้าป่าไป ด้วยแรงกระแทกที่รุนแรงจนกระจกแตกทำให้เด็กชายวัยสามขวบพุ่งหลุดออกจากรถไปกระแทกกับต้นไม้จนสลบไป วินได้สติหันหาภรรยาที่ตอนนี้นั่งร้องโอดโอยตามตัวมีรอยแผลจากเศษกระจกมากมาย ‘ฟอนด์ลูก...’ ชายหนุ่มมองหาลูกชายของตนเอง
‘เห้ย!’
วินเห็นลูกชายตัวเองนั่งคอพับใต้ต้นไม้ก็รีบกระแทกประตูรถที่พังแล้วออกรีบวิ่งปรี่ไปหาลูก ทันทีที่ถึงตัวลูก วินเอามืออังที่จมูก ตรวจจับชีพจรของเด็กชายอย่างใจเย็นด้วยความชำนาญวิชาชีพนายแพทย์และโชคดีของเด็กที่ยังมีชีวิตรอด วินจึงสำรวจรร่างกายของลูกเพื่อหารอยบาดเจ็บ
“แม่งเอ้ย! ไองูเวรนี่ หายไปไหนแล้ววะ”
‘กูอยู่นี่!’ เสียงชวนหลอนหูปริศนาดังขึ้น วินมองหาที่มาของเสียงซึ่งมันไม่ได้ไกลเลยเพราะเสียงนั้นอยู่ห่างจากเขาเพียงระยะลมหายใจ
‘อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!’
นั่นเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา
ภาพเหตุการณ์นั้นถูกฉายขึ้นในภวังค์ของกรรณิการ์ ในขณะที่เธอกำลังนั่งชมรายการโทรทัศน์ในเวลาบ่ายสี่โมง น้ำตาน้อย ๆ ถูกระบายออกมาจากความรู้สึกมากมายของเธอ สิบสี่ปี แล้วสินะ เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ
“กลับมาแล้วครับแม่”
“สวัสดีครับแม่”
เสียงของเด็กหนุ่มทั้งสองดังขึ้นทำให้กรรณรีบยกมือบางขึ้นปาดคราบน้ำตาที่ดวงแก้ม หันไปปั้นหน้ายิ้มอย่างใจดีให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองด้วยความเอ็นดู
“มา ๆ แม่กำลังจะทำกับข้าวพอดี ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน แล้วลงมากินข้าวกัน”
กรรณพูดอย่างคุ้นชินและลุกขึ้นไปทางหลังบ้านเพื่อไปทำกับข้าวด้วยท่าทางดูอ่อนโอน จนเด็กหนุ่มทั้งสองที่ไล่มองตามแผ่นหลังบางของกรรณสังเกตได้ ก่อนลูกชายของเธอจะพูดขึ้น “งั้นเดี๋ยวฟอนด์รีบลงมาช่วยแม่นะ”
“โอเค รีบลงมานะ” กรรณร้องตอบพลางเปิดตู้เย็นหาวัตถุดิบในการเตรียมอาหาร
ฟอนด์มองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไล่หลังเก้าขึ้นไปที่ห้องนอนของตน
“วันนี้แม่มึงดูซึมไปนะ มีอะไรเปล่าวะ” เก้าพูดขึ้นหลังจากที่กระโดดขึ้นเตียงผมอย่างกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ผมลอบมองมันพลางวางกระเป๋านักเรียนที่โต๊ะเขียนหนังสือ
“คงเพราะใกล้วันเกิดกูแล้วละมั้ง” เก้ามองผมที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความสงสัย
“แล้วยังไงต่อ วันเกิดมึงแล้วทำไมอะ เขาเสียใจที่มีมึงหรอ” คราวนี้นอกจากความสงสัยของมันยังมีความน่าจับไปโยนให้อีแร้งรุมกระชากที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเอามาก ๆ
“อ้าว! ไอสันขวานหนิ” ผมทิ้งตัวลงบนเตียงข้าง ๆ มันสักพักก่อนจะหันไปบอกกับมัน “มึงจำเรื่องพ่อกูที่กูเล่าให้ฟังได้เปล่าละ”
มันนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง “อ๋อ จำได้! อ้าว! เออว่ะ”
“อะไรของมึงวะ”
“ก็จำได้ไง แค่คิดไม่ถึง แต่ตอนนี้คิดถึงละ” มันเอียงคอขึ้นมองผม สายตาของมันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดมัน แต่ผมก็เลือกที่จะตัดมันทิ้งแล้วลุกขึ้นเตรียมลงไปช่วยแม่ทำกับข้าว
“เออ ๆ มึงรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป กูจะลงไปช่วยแม่ละ”
“เห้ย รอก่อนดิ กูจะไปทำหน้าที่ลูกชายสุดรักของแม่มึง” มันดีดตัวขึ้นจากเตียงนอนของผมก่อนจะรีบวิ่งไปเปิดตู้เสื้อผ้าของผมที่ตอนนี้แทบจะเป็นของมันไปแล้วเพื่อหาเสื้อผ้าเปลี่ยน
“ไม่รอโว้ย ชักช้า” ความเอือมระอาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผม ก่อนที่ผมจะตรงไปที่ประตูเพื่อเปิดออกแล้วเดินลงไปข้างล่าง เสียงตะโกนของมันยังคงดังไล่หลังตามมา แต่ผมกลับได้ยินมันไม่ชัดเท่าไหร่ ผมติดอยู่ในภวังค์อีกครั้งเมื่อเดินลงมาถึงข้างล่าง
ถ้าวันนั้นเขาไม่ปกป้องเราไว้ เขาคงไม่ตายสินะ ผมนิ่งคิด
ใช่! มึงมันตัวซวย! มึงทำให้พ่อของมึงตาย! เสียงปริศนาลอยลอดผ่านโสตประสาทของผม มันคุ้นหูแต่กลับบอกไม่ได้ว่าเป็นเสียงใคร หากแต่มันจะมาในทุกครั้งที่ผมคิดลบกับตัวเอง
ความกังวลเข้าครอบงำจิตใจผม มันทำให้ผมระแวงอยู่ตลอดทุกครั้งที่ได้ยิน พอ ๆ กับความฝันบ้านั่นในทุกค่ำคืน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมเคยคุยกับแม่ในหลายๆครั้ง และแม่ก็มักจะปลอบโยนผมเสมอว่า อย่างน้อยมันก็เป็นเครื่องเตือนไม่ให้ผมคิดลบกับตัวเอง ซึ่งมันก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“วันนี้ทำอะไรกินบ้างแม่”
“วันนี้มีหมูหวาน แล้วก็แกงมัสมั่นไก่ของลูกอันนี้แม่ออกไปซื้อเมื่อบ่ายที่ร้านเจ๊ปอร้านโปรดลูกมาเลยนะ แล้วก็มีซุปกระดูกหมูของเจ้าเก้าที่กำลังเดือดได้ที่อยู่เลยนั่น”
“โห เหลืออะไรให้ผมทำบ้างเนี่ย”
“ยกเอาไปวางบนโต๊ะเลยลูก” แม่ยกแกงมัสมั่นไก่ที่ถูกจัดใส่จานท้องลึกให้ผม กลิ่นของมันลอยหอม เมื่อกว่าจะรู้ตัวกลิ่นของมันก็เข้าไปอยู่ในถุงลมฝอยของผมเพื่อแลกเปลี่ยนแก๊สเสียแล้ว
“โอเคครับ” รอยยิ้มที่มาจากความอารมณ์ดีของผมปรากฏขึ้นเมื่อผมวางแกงนั่นลง แต่แล้วมันก็มีสิ่งหนึ่งที่แทรกซึมเข้ามาพร้อมกับกลิ่นอันหอมฉุยของมัน รอยยิ้มของแม่
“แม่”
“ว่าไง” แม่เดินตามออกมาพร้อมกับซุปกระดูกหมูของโปรดของไอเก้ามัน แน่นอนแหละว่าความจริงแล้วมันคือของโปรดของพ่อผม เก้านิสัยเหมือนพ่อผมหลายอย่าง เพราะแบบนี้แหละมั้ง แม่ถึงเอ็นดูมันเป็นพิเศษ
“วันจันทร์เราไปทำบุญให้พ่อกัน” แม่นิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูดก่อนที่จะวางถ้วยซุปลงแล้วหันมาคุยกับผมด้วยความรู้สึกที่ดูหนักขึ้นสักหน่อย
“ไม่มีเรียนหรอ” แววตาแม่สั่นระริกด้วยความรู้สึกบางอย่างมากมายแต่ผมรับรู้ได้ว่าแม่หวังไว้อยู่มากที่อยากจะไปทำบุญให้พ่อในวันที่เราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
“ฟอนด์ขอเขาลาครึ่งวันได้ ฟอนด์อยากทำบุญให้พ่อ อยากไปกินข้าวนอกบ้านฉลองวันเกิดกับแม่ด้วย”
“งั้นก็ตามใจฟอนด์เถอะลูก” คำพูดที่ดูเรียบเฉยมันแฝงไปด้วยความดีใจของแม่ แต่แม่พยายามกลบเกลื่อนมันเอาไว้ก่อนจะพยายามเดินกลับเข้าไปในครัว
“ฟอนด์รักแม่นะครับ” ไม่ทันที่แม่จะตั้งตัว ก็ได้มีลูกชายคนเดียวของเขาโผเข้ากอดด้วยความรักอย่างอบอุ่น ที่พูดไปนั้นเพราะผมรักแม่จริง ๆ
“เก้าก็รักแม่นะครับ” วงแขนหนาเข้าสวมเราสองแม่ลูกอีกชั้นหนึ่งโดยเก้า
“อะไรของมึง ออกไปเลย แม่ลูกเขาจะกอดกัน”
ผมดิ้นตัวพยายามสลัดเอามันออก “แม่ดูฟอนด์ดิแม่ มันไล่ผม” ใบหน้าบูดบึ้งของมันแลดูตลก พลางส่งเสียงออดอ้อนฟ้องแม่ผม
“ลูกแม่ทั้งนั้นแหละ ไป ๆ กินข้าวกัน” แม่หันมาพูดด้วยความเอ็นดู ก่อนจะใช้แรงน้อย ๆ ผลักเอาพวกเราไปที่โต๊ะทานข้าว แล้วเดินไปหยิบกับข้าวในครัวมาวางไว้ที่โต๊ะต่อ
เราทั้งสามต่างพากันทานข้าวเย็นมื้อนั้นอย่างมีความสุข ไอเก้ามันปากรั่วเอาเรื่องที่ผมชอบแอบหลับในห้องเรียนมาฟ้องแม่ ในใจนึกอยากจะเอาซุปตรงหน้าราดมันเสียแต่ตอนนั้นแต่มีแม่อยู่เลยไม่กล้า บุญของมันนะคราวนี้ แต่ครั้งหน้าอย่าหวังว่าจะรอด!
“กับสิ่งที่คิดในเงากระจก มันอาจสะท้อนความจริงบางอย่างที่มองไม่เห็น”
- กระจกวิเศษ โดย ไม้หมอน วชิรวิทย์ –
“มึง กูไปอาบน้ำก่อนนะ”
“เรื่องของมึงดิ บ้านมึง จะไปไหนต้องขอกูด้วยหรอ” เก้าพูดในขณะที่ตัวเองนอนเอกเขนกเล่นเกมวิ่งเก็บเหรียญอย่างเมามัน แต่ก็ยังไม่ทิ้งความกวนที่คงฝังลึกถึงเซลล์ประสาทแล้ว “อ่อลืม แม่มึงยกให้กูแล้วนี่หว่า”
“พ่อมึง! กูไปละ” ผมพูดพรางเอามือคว้าผ้าขนหนูสีเรียบที่แขวนไว้ตรงราวตากผ้าขนาดย่อมแล้วรีบเข้าห้องน้ำที่มีอยู่ส่วนตัวในห้องไป
ด้วยความที่รีบไปสักหน่อยแต่ก็ไม่เร็วเกินที่จะไม่ทันสังเกตความผิดปกติของเงาผมที่เดินผ่านบานกระจกที่ติดอยู่ตรงอ่างล้างหน้านี่ มันดูเหมือนอะไรสักอย่างที่บอกได้แน่ชัดอย่างเดียว ผู้หญิง? ด้วยความสงสัย ผมหันกลับไปดูมันอีกรอบ ถึงแม้เงาของผมตรงงหน้าจะไม่ได้มีผมที่ยาวสยาย หรือความผ่องดุจเดือนเพ็ญของผิวเนื้อเมื่อกี้ มันยังคงเป็นผมคนเดิม แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างรอบตัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึก ไวเกินกว่าที่จะคิดทันนั้น ปลายนิ้วของผมก็ได้สัมผัสมันเอาเสียแล้ว
“แล้วมีใครบอกไว้ ข้างบนนั้นมีโลกทั้งใบ อาจจะมีใครสักคน รออยู่บนโลกนั้น”
- โลกอีกใบ โดย ส้ม มารี Feat. โอ๊ต ปราโมทย์ -
ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มถูกแต้มด้วยสีม่วงจากทางด้านล่างที่สูงขึ้นมาจากรัศมีดวงอาทิตย์อันเป็นศูนย์กลางของโลกมนุษย์ทั้งสี่ ป่าหิมพานต์ และจาตุมหาราชิกาพจร มีสิ่งปลูกสร้างมากมายลอยอยู่บนอวกาศล้วนมีรัศมีอยู่ในตัวเอง รวมไปถึงมหาวิทยาลัยเทวชุมนุมแห่งนี้ที่ตั้งสูงเด่นเป็นสง่าเกิดจาการสรรสร้างโดยเหล่าผู้ปกครองเมืองสวรรค์ทั้งหกชั้น มีจุดประสงค์ในการส่งเสริมศักยภาพของเหล่าเทพเทวีทั้งหลายอันนำไปสู่ตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ ในโลกกามาพจรแห่งนี้
ภายในห้องสมุดขนาดใหญ่มีหนังสือมากมายในศาสตร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น วิทยาศาสตร์ วิทยาการสื่อสาร สังคมศาสตร์ ศิลปะศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รวมไปถึงสัตววิทยาศาสตร์ที่กำลังถูกเปิดและบรรจงอ่านโดยนางฟ้าสาวนางนี้
โอย อ่านยากเสียจริงภาษาพวกนี้ ควรมีฉบับแปลเป็นภาษาของชาวยามาเสียบ้างนะ เธอคิดหลังจากพยายามอ่านบทความในหนังสืออยู่นานวัน และในที่สุดเธอก็ค้นพบวิธีอ่านที่ง่ายสำหรับเธอ
เธอมองไปรอบ ๆ ห้องไม่พบนักศึกษาผู้อื่นจึงตั้งจิตร่ายเวทย์ผนึกประตูบานใหญ่เอาไว้ไม่ให้ใครได้เข้ามา ก่อนจะนำหนังสือหนาเตอะไปวางไว้กลางห้อง
“เอาล่ะ มาอ่านมันกัน” เธอตั้งจิตอีกครั้ง ฟองเวทย์มากมายเริ่มหลั่งไหลออกมาจากตัวของเธอไปยังหนังสือหนาเตอะนั่น เธอใช้พลังในการยกมันขึ้นลอยเหนือพื้นก่อนจะระเบิดมันออกมากลายเป็นภาพของสัตว์ต่าง ๆ ในจักรวาลขึ้นโลดแล่นไปทั่วห้อง เธอปราดมองไปรอบ ๆ อย่างถี่ถ้วนจนเจอในสิ่งที่เธอต้องการ
‘เทพนาคา’
ภาพชายรูปร่างสูงสวมศิราภรณ์กษัตริย์ที่มีพญานาคราชงอกออกมาจากทางด้านหลังแผ่พังพานเหนือศีรษะของเขา มีลำหางงอกออกมาทางเดียวกันม้วนขดเป็นแท่นยืนให้กับเทพนาคาผู้นี้ ‘ท้าววิรูปักษ์มหาราช’
“เพื่อนของท่านลุงนี่ ต้องไปขอความช่วยเหลือกับท่านลุงแล้วล่ะ” เธอยิ้มก่อนจะร่ายเวทย์คืนสภาพให้แก่ห้องก่อนจะเก็บของแล้วเดินออกไปอย่างร่าเริง
ดุลยภาพของจักรวาลมีทุกข์ต้องมีสุข มีขาวต้องมีดำ เช่นกันมีสวรรค์ก็ต้องมีนรก
ดิ่งลงไปสู่ใต้โลกมนุษย์ทั้งสี่ทางทิศใต้เป็นที่ตั้งของสถานที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่ต้องทุกข์ทรมานจากการลงโทษตามกฎแห่งกรรมที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้กระทำไว้ในครั้งอดีต บทลงโทษต่าง ๆ ถูกแบ่งออกไปตามความสมควรแก่โทษของความผิดเหล่านั้น เหมือนกันกับเมืองสวรรค์ที่เธออาศัยอยู่ที่จะแบ่งกลุ่มสิ่งมีชีวิตไปตามกำลังกุศลที่ได้สร้างมาในรูปแบบต่าง ๆ เช่นกัน
นางฟ้าสาวได้กรีดกรายไปตามทางเดินสีดำอันเป็นหนทางไปสู่มหานรกทั้งแปดขุม ทุกย่างก้าวจะมีเหล่าสัตว์นรกที่ผลักดันตัวขึ้นมาเหนือแม่น้ำที่ขนาบข้างทางเดินของเธอหวังจะให้เธอได้ช่วยปลดปล่อยมันจากทุกข์ที่พวกมันได้รับ หากแต่กลับมองอย่างนิ่งเฉยพรางนึกถึงคำพูดที่ท่านลุงของเธอเคยพูดไว้เมื่อเธอมาช่วยงานเป็นเจ้าหน้าที่นิรยภูมิเมื่อสามร้อยปีที่แล้ว
“นรกมันร้อนสำหรับคนที่มีจิตอกุศลเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นหลานคงมอดมลายเป็นจุนไปแล้ว หากมันผู้ใดชำระบาปของมันได้ จิตมันจะเป็นอิสระไม่มีใครสามารถเหนี่ยวรั้งมันได้อีกต่อไป”
เมื่อคิดได้อย่างนั้นเธอจึงได้แต่อธิษฐานให้สัตว์นรกเหล่านี้พ้นทุกข์เร็วขึ้นเท่านั้น เธอจึงรีบปราดเดินต่อไปจนถึงสถานที่พิพากษาโทษของสัตว์เหล่านี้เพื่อจะได้พบกับท่านลุงของเธอ
“อ้าว ว่างอย่างไรยายเปมิภัสสรา ถึงคราวของเจ้าแล้วรึที่จะได้รับโทษ” เสียงเข้มกังวานดังลอบออกมานอกปราสาทสีเลือดตรงหน้า
“โธ่ ท่านลุง ล้อข้าแรงนักนะ” เธอพูดตอบกลับไปพรางเดินเข้าไปในปราสาทนั่นด้วยความเคยชิน
“ไม่ให้ข้าล้อเจ้าแล้วจะให้ข้าล้อใคร เจ้าเป็นหลานรักของข้า แต่ข้าก็ไม่เว้นหากเจ้าทำผิดคิดชั่วมา ไฟนรกของข้าก็พร้อมจะแผดเผาเจ้าเช่นกัน” เทวดาศักดิ์ใหญ่ตรงหน้าผู้ได้ชื่อว่า ท้าวพระยายมราช ประมุขของเจ้าหน้าที่นิรยบาลทั้งหลายในมหานรกนี้
“ข้าไม่โดนไฟของท่านเผาโดยง่ายหรอก ถึงอย่างไรข้าก็ได้ชื่อว่าเป็นพระราชธิดาของเสด็จพ่อสุยามาน้องชายของท่านลุง ซ้ำยังดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่นิรยบาล สังกัดสัญชีวนรก มหานรกขุมแรกเทียวนะเจ้าคะ” เธออวดอึงด้วยภูมิในในตำแหน่งที่ได้รับมา เทวดาใหญ่ตรงหน้ามองเธอด้วยความเอ็นดู
“อย่ามั่นใจไปเชียว นรกของข้ามีตั้งแปดมหาขุม ไหนจะนรกบ่าวอีกสิบหกขุมอีก เจ้าอย่าลืมสิ”
“ข้าจำได้น่าท่านลุง ให้ข้าภูมิใจหน่อยไม่ได้หรือเจ้าคะ” ท่าทางราวกับเด็กไร้เดียงสาของหลานสาวยังคงปรากฏภายในตาของท่านท้าวอยู่เสมอ
“ว่าแต่เจ้าเถิด มาหาข้าถึงที่ มีอะไรให้ข้าช่วยล่ะ” แววตาไร้เดียงสานั่นถูกกระชากโดยความสงสัยของเธอที่เป็นจุดประสงค์ในการมาเยือนนรกครั้งนี้
“ข้ากำลังศึกษาเกี่ยวกับเทพนาคาอยู่เจ้าค่ะ แล้วรู้มาว่าท่านลุงเป็นพระสหายของท่านท้าววิรูปักษ์เทพนาคาผู้ให้กำเนิดตระกูลนาควิรูปักษ์ ข้าเลยอยากจะให้ท่านลุงช่วยพาข้าไปหาท่านท้าวฯได้หรือไม่เจ้าคะ”
เธอส่งสายตาอ้อนวอนไปหาท่านลุงของเธอ เขามองเธอด้วยความเอ็นดูก่อนจะเรียกหัวหน้านิรยบาลขึ้นมาทำหน้าที่รักษาการแทน ก่อนจะค่อย ๆ ย่างกรายลงมาโอบไหล่หลานสาวด้วยความเอ็นดูพากันเดินออกไป น่าแปลกที่หลานลุงคู่นี้เหมือนพ่อลูกกันมากกว่าคู่จริงเสียอีก “แล้วเรียนถึงไหนแล้วล่ะ”
“ศกหน้าก็ได้ใบประกอบวิชาชีพแล้วเจ้าค่ะ” หลานสาวที่อยู่ภายใต้วงแขนของความเอ็นดูยกหน้าขึ้นเล็กน้อยตอบลุงของเธอ
“เก่งนี่ รู้สึกเหมือนเพิ่งไปส่งเมื่อศกก่อนเองกระมัง” ท่านท้าวฯนึกคิดถึงตอนที่ไปส่งหลานสาวในวันแรกที่เธอเป็นนักศึกษาของมหาลัยแห่งนั้น
“อย่าลืมสิเจ้าคะ เวลาบนดาวดึงส์เร็วกว่าที่นี่นะเจ้าคะ”
“จริงสินะ ตั้งแต่ไปส่งเจ้าเข้าวิทยาลัยข้าก็งานยุ่ง นรกนับวันยิ่งคับแคบ ไม่รู้จะทำชั่วกันทำไมนักหนา”
“ความต้องการของสัตว์ก็อย่างนี้แหละเจ้าค่ะ ยิ่งแล้วไม่มีพุทธองค์คอยโปรด ก็หาคนเข้าถึงธรรมได้ยากขึ้น คิด ๆ แล้วก็อดอยากให้มีพุทธองค์หลาย ๆ พระองค์ไม่ได้” ทัศนคติของหลานสาวเป็นที่ชื่นชมของท่านท้าวตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอมักมองถึงปัญหาโดยเหตุผลที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่ด้วยความที่มักแก้ปัญหาที่ดูอ่อนกว่าผู้อื่นเขามากจึงทำให้พาลลำบากผู้อื่นมาช่วยพยุงอยู่หลายครั้งทำให้ท่านท้าวทรงเป็นห่วงและรักหลานสาวของท่านมาก
“ถ้าอยากให้มีเยอะนัก เจ้าก็บำเพ็ญเพียรไปเป็นเองสิ” ถึงนั่นจะเป็นคำตอบที่ฟังดูตลกแต่นั่นก็เป็นหนทางเดียวเช่นกันที่จะทำให้ความประสงค์ของนางฟ้าสาวเป็นจริง
“โถท่านลุง อย่างข้ามีบุญสูติมาทันพบพุทธองค์ ข้าคงใช้บุญหมดแล้วกระมังนั่น”
“จริงอย่างเจ้าว่า ดำรงตนถึงตอนนี้ได้คงเป็นกรรมล้วน ๆ”
“ท่านลุง!”
ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนั่นได้ถูกฉายในดวงตาของฟอนด์ที่ดูจะทะลุมิติมาในสถานที่นี้ด้วยอะไรสักอย่างหลังจากที่สัมผัสกับกระจกนั่น
“ไปไหนกันนะ” ผมที่ตอนนี้กำลังเดินตามบุคคลทั้งสองไปในที่ไหนสักที่แต่เหมือนเวลาของผมจะหมดลงเสียแล้ว เมื่อมีมือหนาร้อนขนาดใหญ่มารั้งแขนของผมไว้
“มึงไม่ใช่คนของที่นี่ ออกไปเดี๋ยวนี้!”
ชายหนุ่มร่างสูงที่มีส่วนหัวคล้ายควายกระแทกคำพูดนั่นใส่ผมก่อนจะยกตัวผมขึ้นสูงแล้วเหวี่ยงออกนอกอาณาเขตที่เต็มไปด้วยกองไฟและทะเลกรดนั่น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ