ฉันเป็นแค่วายร้าย Demon in Disguise
เขียนโดย AnnularE
วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 20.53 น.
แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 20.56 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ความกลัว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฉันเผลอหลับไปที่ข้างเตียงระหว่างรอเควินกินข้าวจนหมด เด็กชายเองก็หลับสบายอยู่บนเตียง ฉันจ้องมองใบหน้าที่กำลังหลับตาพริ้มพลางนึกสงสัยว่าฉันจะหลอกล่อเด็กน้อยคนนี้ไปได้อีกสักกี่ครั้ง
การไม่มีเวรบ่ายและดึกนั้น สำหรับหมอที่นี่ถือว่าเป็นช่วงเวลาอันล้ำค่าที่ในเดือนๆ หนึ่งอาจจะมีอยู่แค่หนึ่งหรือสองวันเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าฉันต้องใช้มันเพื่อมาทำธุระในหน้าที่หมอ และยิ่งยากเข้าไปอีกที่เวรเราจะว่างตรงกับเพื่อนดังนั้น ฉันซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีย่อมไม่ปล่อยให้เพื่อนใช้เวลาว่างไปอย่างเปล่าประโยชน์
“เห้อ” ฉันถอนหายใจยาว
“เป็นอะไร” ชายหนุ่มถาม เราสองคนเดินไปตามฟุตบาทบนถนนเส้นที่เรียบกับทะเลเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีตำรวจที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ
“ช่วงนี้ฟอร์มตกยังไงไม่รู้ รักษาใครก็ไม่รู้สึกว่าดีขึ้นเลยสักคน” ฉันบ่นให้แดนฟัง
“โอ้ย เรื่องแค่นี้ ทำหน้ายังกะไปฆ่าหมาใครตายมาอย่างงั้นแหละ” หมอแดนตอบ
“วิธีรักษาโรคมีเป็นร้อยเป็นพันวิธี โรคก็มีเป็นพันเป็นหมื่นโรค คนไข้ก็มีเป็นแสนเป็นล้าน การจะทำให้ทั้งสามอย่างนี้มันจับคู่ลงล็อกเพอร์เฟคมันโคตรจะยากเลยนะ ขนาดคนไข้ที่เป็นโรคเดียวกันบางครั้งยังรักษาให้หายด้วยคนละวิธีเลย”
“ก็รู้ แต่เวลาเห็นหน้าพวกเขาแล้วมันรู้สึกผิดยังไงชอบกล" ฉันพูดเสียงอ่อย
“จ๋อยทำไม หมอคนไหนๆ เขาก็ต้องเคยผ่านเรื่องแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ” แดนพูด “นี่ถ้ารักษาแล้วหายทันทีทุกคน เธอก็คงต้องเป็นอีกหมอนึงแล้วล่ะ”
“หมออะไร” ฉันถาม
“หมอผีไง” บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นบ้ามากที่เลือกจะลากอีตาหมอคนข้างๆ ให้ออกมาเป็นเพื่อน แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อเพื่อนคนเดียวที่มาที่นี่ด้วยกันก็คือเขา
“อยากถีบคนจริงโว้ยย” ฉันตะโกนไล่หลังชายตัวสูงที่รีบสาวเท้าเดินนำลิ่วๆ ไป ก่อนจะหันมาแลบลิ้นใส่แบบน่าทุบสักทีสองที
“อันนี้เป็นเอกสารให้คุณหมอเซ็นชื่อนะครับ” ร้อยเวรยื่นเอกสารสองแผ่นให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“ชายร่างสูงประมาณ175เซนติเมตร ผมสีดำ อายุราว27-30ปี พบจมน้ำที่บริเวณท่าเรือถนนเมน มีบาดแผลถูกยิงที่ไหล่ขวา เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 4 ประมาณนี้นะครับ” สารวัตรคอนเนอร์ ชายผู้นั่งอยู่อีกฟากฝั่งของโต๊ะตรงข้ามกับฉัน อ่านทวนข้อความในเอกสารที่ร้อยเวรส่งมาให้ เขาดูภูมิฐานในชุดเครื่องแบบเรียบกริบ ผมถูกเซตอย่างเนี้ยบแทบไม่มีเส้นไหนแตกแถวออกมา
“จริงๆ ในวันที่เกิดเหตุ มีตำรวจในพื้นที่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเบื้องต้นแล้ว ก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรเพิ่มเติม แต่ยังไงผมจะส่งคนไปตรวจสอบจุดที่เกิดเหตุอีกครั้งนึงนะครับ” เขาพูดด้วยรอยยิ้มหวาน
“ว่าแต่ คนไข้คุณหมอจำอะไรไม่ได้เลยหรือครับ”
“ค่ะ ทั้งเรื่องส่วนตัวแล้วก็เหตุการณ์ในวันนั้น ยังจำอะไรไม่ได้เลย” ฉันตอบ
“แล้วคุณหมอคาดว่าความทรงจำคนไข้จะกลับมาเมื่อไหร่ครับ”
“หมอตอบไม่ได้หรอกครับคุณตำรวจ ขึ้นอยู่กับภาวะร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย บางทีอาจจะไม่กลับมาเลยก็เป็นได้” แดนพูดแทรกขึ้นมา
“โอเคครับ เอาเป็นว่ายังไงผมอาจจะขอเขาไปสอบถามข้อมูลจากคนไข้คุณหมอหน่อย”
“แต่ฉันว่าช่วงนี้คงยังไม่เหมาะนะคะ อย่างน้อยก็ควรจะรอให้ร่างกายคนไข้ฟื้นตัวก่อน” ฉันอธิบาย
“ครับ งั้นเดี๋ยวเรานัดหมายกันอีกทีละกันนะครับ” คุณตำรวจบอกก่อนจะยื่นกระดาษสีขาวใบเล็กที่หยิบจากกล่องข้างๆ โต๊ะให้
“นามบัตรผมครับ เผื่อคุณหมอมีเรื่องอะไรที่ผมพอจะช่วยเหลือได้”
ก่อนที่ฉันจะยื่นมือออกไปก็มีมือยาวๆ ยื่นไปคว้านามบัตรจากมือสารวัตรมาอย่างรวดเร็ว
“โอ้ ดีเลยครับ” แดนพูดพลางอ่านและพลิกนามบัตรไปมา ฉันทันสังเกตเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นแวบเดียวที่สารวัตรคอนเนอร์เหลือบตามองไปที่แดนก่อนที่เขาจะหันกลับมาคุยกับฉัน
“ยังไงถ้าคนไข้คุณหมอ พอจะจำอะไรได้บ้างก็ติดต่อมาหาผมได้เลยนะครับ”
“ค่ะ ว่าแต่ตอนนี้ยังไม่มีใครมาแจ้งความคนหายหรืออะไรทำนองนั้นเลยใช่ไหมคะ” ฉันถาม
“ยังครับ” คุณสารวัตรตอบอย่างรวดเร็ว
“ถ้านับจากวันที่เกิดเหตุก็สามวันแล้วนะคะ”
“ก็ยังถือว่าปกติครับ อาจจะเป็นคนนอกพื้นที่ก็ได้ เดี๋ยวทางเราจะประสานงานเขตอื่นๆ ด้วยครับ” สารวัตรส่งเอกสารให้ฉันเซ็นชื่อ ก่อนจะรวบทั้งหมดใส่ลงในแฟ้ม เขาเดินออกมาส่งเราที่ด้านนอกที่ท้องฟ้าเริ่มจะครึ้มด้วยเมฆฝน
“ขอบคุณนะคะ” ฉันกล่าว
“ยังไงมีอะไรก็ติดต่อมาได้เลยนะครับ” เขายิ้มให้นิดๆ และโค้งอย่างสุภาพก่อนจะเราจะแยกย้ายกัน
“แปลกๆ ดีนะ ตำรวจที่นี่เนี่ย” แดนเริ่มตั้งคำถามเมื่อเราเดินออกมาไกลจากสถานีตำรวจแล้ว
“แปลกยังไง” ฉันถามกลับ
“ก็ดูเหมือนนายธนาคารหรือไม่ก็นายหน้าขายประกันมากกว่าตำรวจน่ะสิ”
“แค่เขาดูแต่งตัวดี ดูเรียบร้อยสุภาพ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นตำรวจไม่ได้นี่ ทีนายยังไม่เห็นจะดูเหมือนหมอเลย” ฉันแย้ง
“ถ้าไม่เหมือนหมอแล้วดูเหมือนอะไรไม่ทราบ” แดนสวนกลับในทันที
“เหมือนหมอดู” ฉันหัวเราะ รู้สึกมีความสุขที่นานๆทีจะได้เอาคืนบ้าง มุมปากเขากระตุกเล็กน้อยเหมือนนึกอยากจะตอบโต้แต่แล้วก็ปล่อยผ่านไปซึ่งฉันมั่นใจว่าเขาจะรอโอกาสแก้แค้นเอาคืนแน่นอน
“นี่ก่อนถึงโรงพยาบาลมันมีร้านกาแฟเปิดใหม่ ขอแวะหน่อยได้มั้ยอะ” ฉันหันไปถามแดน
“ได้ทีหยุดงานนี่เอาใหญ่เลยนะคุณหมอวี” แดนดุ
“นะๆ อยากไปลองกินดู เห็นพี่พยาบาลชอบซื้อมากินกันอะ ฉันก็อยากลองมั่ง” แดนพยักหน้าส่งๆ อย่างรำคาญใจ
“งั้นก็รีบเดินเลย เดี๋ยวฝนตกอดกิน” ฉันทำท่าจะเร่งฝีเท้าแต่แดนกลับหยุดชะงัก
“เฮ้ย ลืมร่มไว้ที่สน.อะ” เขาโพล่งออกมา
“เอ้า แดนนน”
“งั้นไปเจอกันที่ร้านเลยก็ได้ ฉันวิ่งกลับไปเอาแป๊บเดียว” ยังไม่ทันจะตอบตกลง ชายหนุ่มก็หันหลังวิ่งกลับไปทางที่เราเดินมาทันที
“นายรู้หรอว่าร้านไหน” ฉันตะโกนถาม ชายหนุ่มเพียงยกมือแล้วชูนิ้วโป้งแทนคำตอบ
ฉันค่อยๆ เดินรีรอกะว่าแดนอาจจะเดินกลับมาทันพอดีก่อนถึงร้าน จริงๆ ถนนเส้นนี้เป็นเส้นที่ฉันชอบมากเพราะมันตัดเลียบไปกับชายฝั่งทะเลทอดยาวไปจนถึงตัวเมือง ฉันจำได้ว่าเราเคยขอยืมรถของเพื่อนรุ่นพี่เบลล์มาขับ ตอนนั้นเราสามคน รุ่นพี่เบลล์ ฉัน และริตา เราสามคนไปเที่ยวกันจนทั่วเมืองแล้วก็มาจบด้วยการมาขับรถดูพระอาทิตย์ตกดินที่ถนนเส้นนี้ ระหว่างที่ฉันกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศเก่าๆ จู่ๆ ก็มีเสียงร้องดังมาจากท่าเรือที่อยู่ข้างหน้าไม่ไกล เท้าฉันพาวิ่งไปตามสัญชาตญาณจนเห็นหญิงวัยกลางคนที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ หน้าตาเธอดูตื่นตระหนกกับเด็กหญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เนื้อตัวเปียกปอน
“ช่วยด้วยคะ ช่วยด้วย” เธอร้องตะโกน สายตามองลงไปในกระแสน้ำ
“ช่วยด้วยค่ะๆ ลูกฉันจมน้ำ” ทันใดนั้นเองเท้าของฉันหยุดชะงักอย่างฉับพลัน ฉันเห็นแรงกระเพื่อมของผิวน้ำ เด็กตัวน้อยที่พยายามดิ้นรนขึ้นสู่ผิวน้ำ เสียงของหญิงผู้เป็นแม่ร้องแทบขาดใจ เด็กหญิงที่พยายามห้ามแม่ของเธอไม่ให้โดดลงไปทั้งๆ ที่ว่ายน้ำไม่เป็น ที่แล่นเข้ามาในสมองของฉันคือวิธีการช่วยคนจมน้ำ ความแตกต่างสำหรับวิธีของเด็กและผู้ใหญ่ หรือแม้แต่เปอร์เซ็นต์รอดเมื่อเทียบกับเวลาที่สมองขาดออกซิเจน แต่ขาของฉันมันกลับไม่ยอมก้าวออกไป ใจมันสั่นและเต้นเร็วจนเหมือนจะระเบิดออกมาจากอกกับเสียงหายใจที่เริ่มขาดเป็นห้วงๆ ฉันรู้ดีว่าเด็กน้อยมีเวลาอีกไม่มากแล้ว และถ้าขืนฉันยังเป็นแบบนี้เด็กคนนั้นคงจะตาย ฉันได้แต่หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นขณะที่ร่างสูงวิ่งผ่านฉันไปอย่างรวดเร็ว เขาเขวี้ยงกระเป๋าและร่มลงบนพื้น มือถอดเสื้อนอกออกพร้อมกับกระโจนลงไปในน้ำ ทำไมคนเราถึงทำอะไรๆ หลายอย่างได้พร้อมกันในเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีขนาดนั้น เสียงกระเซ็นของน้ำเรียกสติฉันกลับคืนมา มือฉันสั่นขณะควานหาโทรศัพท์เพื่อกดเบอร์รถพยาบาล แดนคว้าเด็กชายมาไว้ในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย เขาค่อยๆ พาเด็กน้อยขึ้นมาบนฝั่ง ฉันกับแม่ของเขาช่วยกับรับตัวเด็กขึ้นมา โชคดีที่เด็กชายยังรู้สึกตัวดีแม้จะหายใจลำบากจากการสำลักน้ำ ฉันถือวิสาสะเอาเสื้อนอกที่แดนถอดทิ้งไว้มาห่อตัวเขาเอาไว้ขณะรอรถพยาบาล
“โอเคไหม” ชายหนุ่มเดินมานั่งลงบนพื้นข้างๆ มีผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่ชาวบ้านแถวนั้นหามาให้พันไว้รอบตัว ฉันพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ
“ไม่น่านะ หน้าเธอซีดเป็นไก่ต้มเลย” เขาออกความเห็นทางการแพทย์
“ฉันเวียนหัวนิดหน่อย รู้สึกคลื่นไส้ ทางที่ดีถ้าไม่อยากโดนลูกหลงนายอย่าเข้ามาใกล้จะดีกว่า” ฉันซุกซ่อนหน้าซีดๆ หน้าลงบนฝ่ามือ
“ไหนขอหมอตรวจหน่อย” แดนวางฝ่ามือลงบนไหล่ ฉันตัวสั่นเมื่อเขาทำแบบนั้น
“เอางี้คนไข้แค่พยักหน้ากับส่ายหน้าแล้วกันนะ”
“มีอาการหัวใจเต้นเร็วใจสั่นไหม” ฉันพยักหน้า
“รู้สึกหายใจลำบากไหม” ฉันพยักหน้า
“คนไข้รู้สึกใจหวิว หรือจะเป็นลมไหมตอนนี้” ฉันส่ายหน้า
“เออ คนไข้รู้สึกกลัวรึเปล่า”
“กลัว” ฉันตอบเสียงสั่น รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่หยดลงบนฝ่ามือที่ใช้ปิดบังใบหน้าเอาไว้ พยายามสกัดกั้นเสียงสะอื้นที่จุกอยู่ในลำคอ
“โอเคหมอเข้าใจแล้ว เอาล่ะตอนนี้คนไข้ลองหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ตามหมอนะ” เขาสูดหายใจเข้าออกไปพร้อมๆ ฉันอยู่สักพัก
“เอาล่ะฟังนะ ตอนนี้น้องคนนั้นเขาปลอดภัยแล้วนะ อยู่บนรถพยาบาลมีทีมดูแลอย่างดี รู้สึกตัวดี ไม่มีอาการอะไรที่น่าเป็นห่วง” แดนค่อยๆ พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ช้าๆ จนเหมือนเขาพยายามอธิบายเรื่องยากๆ ให้เด็กอนุบาลฟัง
“แต่ถ้านายมาไม่ทัน ถ้ามันช้ากว่านี้” ฉันเริ่มพูดและพยายามตั้งสติ
“ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เธอเองก็ทำได้ดีที่สุดแล้ว ถ้าเธอฝืนโดดลงไป ฉันก็คงช่วยคนสองคนพร้อมกันไม่ได้ สถานการณ์มันคงแย่กว่านี้อีก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอทำน่ะถูกต้องแล้ว เข้าใจไหม” ฉันพยักหน้าเบาๆ
“มานี่มา” แดนลุกขึ้นแล้วฉุดแขนให้ฉันลุกตามเขาไป ฉันปาดน้ำตากับแขนเสื้อแม้จะรู้ว่าดูสกปรกเกินไป
“โทษทีนะ พอดีผ้าเช็ดหน้าฉันมันเป็นสภาพนี้ไปแล้ว” เขาเอาผ้าผืนเล็กในกางเกงออกมาบิดน้ำทำให้ฉันหัวเราะออกมาได้
“เอาล่ะ ไปเถอะ” เขาบอก ก่อนจะเริ่มออกเดิน
“เดี๋ยว นายจะไปไหน” ฉันถาม
“อ้าว ก็ไปกินกาแฟร้านใหม่ไง” เขาหันมาตอบคำถามด้วยสีหน้างุนงง
“แล้วเราไม่ตามไปดูเคสหรอ”
“คุณหมอวีครับ ให้โอกาสหมอคนอื่นที่โรงพยาบาลเขาได้ทำงานบ้างเถอะครับ” แดนตอบด้วยท่าทีที่แสนจะกวนประสาทอย่างเคย
“แล้วคุณหมอแดนจะไปสภาพนี้น่ะหรอค่ะ” ฉันถามกลับ มองดูชายหนุ่มที่มีน้ำหยดติ๋งๆ ออกมาจากเส้นผม เสื้อ และกางเกง
“ใช่ครับ เพราะว่าตอนนี้การรับน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดเป็นขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการรักษาครับ” เขาตอบพลางกระชับผ้าเช็ดตัวที่คลุมไว้ก่อนจะเดินนำลิ่วๆ ไป ฉันส่ายหัวและยิ้มออกมาขณะเดินตามหลังเขาไป บางทีในความกวนประสาทของเขาก็แอบมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ในนั้น หมอทั่วไปอาจจะประเมินว่าฉันเกิดอาการแพนิคจากความกลัวซึ่งในกรณีนี้ก็คือกลัวการจมน้ำ แต่เขากลับรู้มากกว่านั้นกับคำตอบว่ากลัวของฉัน ใช่ฉันกลัวน้ำนั่น ฉันไม่เคยเล่นน้ำในทะเล แม่น้ำ หรือแม้แต่สระว่ายน้ำก็ไม่เคยเฉียดเข้าใกล้ ตอนมัธยมฉันเลือกจะไม่เข้าเรียนโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านเพราะมีวิชาว่ายน้ำเป็นวิชาบังคับ แม่บอกว่าเป็นเพราะฉันเคยจมน้ำในตอนเด็กๆ เลยทำให้ฉันกลัว แต่นาทีนั้นสิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดคือกลัวว่าเด็กคนนั้นจะตายเพราะว่าฉันช่วยเขาไว้ไม่ได้
...............
“มุงอะไรกันคะ” ฉันเดินเข้าไปถามเมื่อหน้าห้องคนไข้ของฉัน มีพยาบาลสามสี่คนยืนส่องกันอยู่ที่ประตู
“อุ้ย คุณหมอวี” หนึ่งในนั้นตกใจแต่ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“มาดูนี่สิคะคุณหมอ” เธอหลีกทางให้ฉันมีช่องว่างแทรกตัวเข้าไป เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากในห้องนั้นซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆ ฉันเขย่งปลายเท้าเพื่อมองลอดช่องกระจกเล็กๆ ของประตู เควินเจ้าหนูจอมดื้อที่แทบจะไม่คุยกับใครกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ตัวของเขาโยกไปมาขณะส่งเสียงหัวเราะชอบใจ ข้างหน้าของเขามีกระดานที่เหมือนกับเกมหมากรุก และตรงกันข้ามกับกระดานคือชายหนุ่มเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ของเขา ที่กำลังทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนักกับตัวหมากที่อยู่ในมือ
“อะไรกันคะเนี่ย” ฉันหันไปถามพี่พยาบาล เธอส่ายหัวเป็นคำตอบ ฉันจึงคว้าลูกบิดประตูแต่เธอยื่นมือมาห้ามเอาไว้
“หมอวีจะทำอะไรคะ”
“ก็เข้าไปว่าไงคะ นี่มันเป็นเวลาที่คนไข้ควรจะนอนพักผ่อนได้แล้วนะคะ” ฉันทำท่าจะเปิดประตูเข้าไปจริงๆ แต่พี่พยาบาลก็รีบแทรกตัวเข้ามาขวางไว้
“อย่าเลยค่ะหมอวี” เธอร้องห้าม “ก็หมอดูสิ ตั้งแต่เควินมาอยู่ที่นี่ พี่ไม่เคยเห็นเขายิ้มหรือหัวเราะแบบนี้เลย”
ฉันมองเข้าไปเห็นรอยยิ้มร่าเริงของทั้งสองคน ในบทบาทของหมอฉันเห็นพวกเขาเป็นคนไข้ ทำทุกอย่างตามที่เคยเรียนมาในตำราเพื่อให้พวกเขาหายเจ็บป่วย แต่ในความเป็นจริงแล้วคนไข้ของฉันก็คือมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าเขารอให้แม่มาเยี่ยมแล้วเธอไม่มาเขาก็จะรู้สึกเสียใจ ถ้าเขาหวังให้ตื่นมาแล้วจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้แต่เขากลับจำอะไรไม่ได้เลยเขาก็คงรู้สึกผิดหวัง หรือแม้แต่ฉันที่เป็นหมอถ้าสิ่งเลวร้ายในอดีตมันหวนกลับมาเตือนความทรงจำฉันก็คงรู้สึกกลัว เพราะฉะนั้นวันนี้สิ่งที่ช่วยให้พวกเขาดีขึ้นอาจจะไม่ใช่หมอหรือยาแต่เป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากการได้เล่นเกมธรรมดาๆ ก็ได้
...............
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ