ฉันเป็นแค่วายร้าย Demon in Disguise
-
เขียนโดย AnnularE
วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 20.53 น.
5 ตอน
0 วิจารณ์
5,357 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 20.56 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ความฝัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฉันมักจะฝันถึงคนๆ นึงอยู่บ่อยๆ
"วี เราต้องไปแล้ว" เสียงของจีเซลดึงฉันออกมาจากภวังค์ สีหน้าของเธอทั้งงุนงงและหงุดหงิดปนๆ กัน ก่อนจะตัดสินใจเดินมาลากแขนฉันให้ตามเธอไป
"เธอเป็นอะไรของเธอ" หญิงสาวบ่นขณะที่ยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างรีบเร่งให้พ้นจากตรงนั้น
"จู่ๆ ก็หยุดเดินตรงนั้นแล้วไปยืนจ้องหน้าคนพวกนั้น เป็นบ้าไปแล้วรึไง" เธอตะคอก
"ฉันแค่รู้สึกเหมือนเห็นคนที่ฉันรู้จัก" ฉันตอบเธอ ใช่ ฉันรู้สึกเหมือนเห็นคนที่ทำให้ความคิดเกี่ยวกับความฝันบ้าๆ ของฉันแว๊บเข้ามาในหัว ชายหนุ่มผมดำสนิท
"เธอไม่น่าจะรู้จักใครในกลุ่มคนพวกนั้นหรอกน่า" จีเซลกล่าว เธอปล่อยแขนและหยุดลากฉันแล้วเมื่อพวกเราเดินห่างออกมาจากตรอกเล็กๆ นั่น และตอนนี้เหมือนไม่อยากเข้าใกล้ฉันแทน
"คนพวกนั้นน่ากลัวเป็นบ้า ซอยตรงนั้นก็โคตรน่ากลัว ถ้าเธอเคยรู้จักใครในกลุ่มคนพวกนั้นจริงๆ ล่ะก็ ควรจะทำเหมือนไม่รู้จักเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย"
"คนพวกนั้นเป็นใครกัน" ฉันถามอย่างสงสัยในท่าทีร้อนรนของหญิงสาว พยายามนึกถึงสภาพแวดล้อมอื่นรอบๆ เขา ฉันจำได้ว่าเราเดินมาถึงร้านเครื่องประดับเล็กๆ ที่จีเซลดูจะปลื้มเอามากๆ ฉันปล่อยเธอเข้าไปเพลิดเพลินในร้านนั้น ซึ่งเป็นร้านที่สิบเอ็ดหรือสิบสองของการช้อปปิ้งในวันนี้ ฉันจึงขอยืนรออยู่ข้างนอก จมดิ่งไปกับนิยายแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่โหลดมา และเมื่อฉันพักสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ ฉันเห็นรถยนต์คันแล้วคันเล่าแล่นผ่านไปมาบนถนน ฉันเห็นฟุตบาทฝั่งตรงข้าม เห็นตู้ไปรษณีย์บุบๆ เต็มไปด้วยสีพ่นเลอะๆ เห็นตรอกเล็กๆ มืดๆ ที่อยู่ระหว่างตึกสำนักงานเก่าๆ และอพาร์ตเมนต์ร้าง เห็นผู้ชายสามสี่คนยืนคุยกันเสียงดังในตรอกนั้น มีกลุ่มควันบางๆ จากก้นบุหรี่ลอยอ้อยอิ่ง มีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีดำหลายคันและมีเขายืนพิงกำแพงอยู่ตรงนั้น รู้ตัวอีกทีคือฉันเดินข้ามถนนมายืนอยู่ตรงนั้น ก่อนจะถูกจีเซลลากออกมา
"ก็พวกแก๊งนั่นแหละ มีทั้งพวกวัยรุ่น หรือไม่ก็พวกโตๆแล้ว แนวๆ อันธพาลอะไรเทือกนั้น" เธอตอบผ่านๆ เหมือนต้องการให้ฉันหยุดพูดเรื่องนี้เสียที
"เรายังเหลืออะไรที่ต้องซื้ออีกไหม" จีเซลตัดบทด้วยเสียงหงุดหงิดและเป็นสัญญาณว่าฉันคงต้องปล่อยผ่านเรื่องที่ค้างคาอยู่ในหัวนี้ไปหากยังไม่อยากเดินกลับที่พัก พลางปลอบใจตัวเองว่าเป็นแค่คนที่ดูคล้ายกันเท่านั้นเอง
"ฉันว่าเราได้ของที่ต้องการครบแล้วล่ะ" ฉันตอบเบาๆ
ขณะที่เราขับรถกลับ บรรยากาศในรถยังคงอึมครึมไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นของจีเซล ยังดีที่มีเพลงร็อกแสบแก้วหูจากเครื่องเสียงในรถของเธอช่วยกอบกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ รถเคลื่อนผ่านเขตเมืองไป บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวของต้นไม้ ฉันมองต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่าที่เคลื่อนผ่านไปพลางคิดสงสัยว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่
"เฮ้ เงียบเสียงกันหน่อย" อาจารย์เกรย์ที่เพิ่งจะเดินผ่านประตูเข้ามาตะโกนเสียงดังแข่งกับเสียงพูดคุยที่เซ็งแซ่อยู่รอบๆ เขาเคลื่อนตัวไปที่ด้านหน้าห้อง ทันใดนั้นเสียงพูดคุยก็เริ่มเบาลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นความเงียบและเสียงลมหายใจแห่งความตื่นเต้นเข้าแทนที่
"เอาล่ะ" อาจารย์เกรย์เริ่ม "คงจะรู้นะว่าวันนี้เราจะทำอะไรกัน ขอเกริ่นสักหน่อยสำหรับแพทย์ใช้ทุนทุกท่านในที่นี้ ถือเป็นหน้าที่หลังจากจบจากการเป็นนิสิตแพทย์ก็จะต้องออกไปใช้วิชาความรู้ที่ได้รับมาจากครูบาอาจารย์ทุกท่าน นำไปรับใช้ประเทศชาติ ประชาชน ...
"ทำไมต้องเป็นอาจารย์เกรย์มาทำหน้าที่นี้ด้วยนะ พูดยาวอ้อมโลกไปอีก ฉันจะเป็นลม" เพื่อนสาวข้างๆ ฉันกระซิบบ่น หน้าของเธอซีดเผือดและขยับหยุกหยิกอยู่ไม่สุข
"เอาน่าลิลลี่อดทนมาตั้งนาน ทนอีกหน่อย" ฉันกระซิบปลอบเธอและแตะมือเย็นเฉียบนั่น
"ขอให้ได้ไปกับเธอเถอะ" เธอพูดเบาๆ
"เราก็รู้ว่ามันไม่โชคดีขนาดนั้นหรอก" ฉันกลอกตา ไม่อาจจะพูดในสิ่งที่เห็นว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้เพียงเพื่อปลอบใจเธอ
"อย่างน้อยก็ขอไปกะคนที่พูดภาษาคนด้วยเถอะ" ลิลลี่พูดเสียงอ่อย ตาเธอเหลือบไปทางด้านซ้ายที่บิล ชายหนุ่มแว่นหนาผู้ไม่สนใจโลกนั่งอยู่ ฉันพ่นลมกลั้นขำเมื่อนึกภาพลิลลี่ต้องไปใช้ทุนร่วมกับบิล
"เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว" ในที่สุดสุนทรพจน์ของอาจารย์เกรย์ก็จบลงได้สักที "เรียงแถวกันออกมาจับสลากที่อยู่ในกล่องด้านหน้านี้ เริ่มจากแถวหน้าสุด เอ้าเชิญๆ "
...............
รถยนต์ฮอนด้าสีน้ำเงินเก่าๆ ของจีเซลเคลื่อนผ่านป้ายสีดำที่เขียนด้วยอักษรตัวใหญ่สีทองว่า 'โรงพยาบาลเฮมมิช' เธอเลี้ยวผ่านตึกสูงๆ ของโรงพยาบาลแล้วทะลุไปยังด้านข้างที่ซึ่งเป็นที่พักสำหรับบุคลากรของโรงพยาบาล บ้านเล็กๆ สิบหลังและตึกสามชั้นอีกหนึ่งหลังสำหรับทิ้งตัวลงหลังจากที่อดตาหลับขับตานอนกันมาทั้งวันทั้งคืน เครื่องยนต์เริ่มส่งเสียงดังประท้วงเมื่อจีเซลขับมาจอดที่หน้าบ้านพักหลังเล็กที่อยู่ด้านในสุด เรายกของที่ซื้อมาเข้าไปในบ้านหลังจากนั้นเธอก็ขอตัวกลับไป ทิ้งฉันไว้กับความรู้สึกผิดที่ทำเรื่องงี่เง่าให้เธอหงุดหงิด
"ทำไมกลับมาเร็วจัง" ฉันละสายตาจากหม้อบนเตาไปยังประตูห้องครัว หญิงสาวผมสั้นร่างเล็กทำจมูกฟุดฟิดกับกลิ่นสตูเนื้อ
"ดันทำจีเซลอารมณ์เสียเข้าน่ะสิ” ฉันตอบเสียงอ่อย
“โถ่ วีน้อย ไม่เห็นต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้นเลย” หญิงสาวตรงดิ่งเข้ามากอดฉัน ทำเอาน้ำซุปจากทัพพีในมือกระฉอกเลอะผ้ากันเปื้อน
“ปกติแค่ฉันหายใจก็ทำให้จีเซลอารมณ์เสียได้แล้ว”
ฉันขำออกมากับคำพูดของเบลล์ รุ่นพี่เรซิเดนซ์ที่ดูยังไงๆ ก็ดูเหมือนเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา อาจจะเพราะบุคลิกขี้เล่นและไม่เซ้าซี้ จุกจิก เธอจึงถือเป็นเพื่อนร่วมบ้านที่ฉันชอบมากๆ อาจจะเป็นคนเดียวที่อยู่ด้วยแล้วฉันรู้สึกสบายใจมากที่สุดตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่
“เอาเป็นว่าฉันไปนอนรอกินสตูดีกว่า เวรวันนี้อย่างโหด อาหารของเธออาจจะช่วยเยียวยาฉันได้” หญิงสาวบิดขี้เกียจก่อนจะเดินออกไป
“วันนี้แทบไม่มีคนไข้เลย” รุ่นพี่เบลล์พูด เธอเปลี่ยนจากยูนิฟอร์มเป็นเสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงขาสั้น
“ไหนว่าเวรวันนี้โหดไง” ฉันถามอย่างสงสัยขณะตักสตูร้อนๆ ในหม้อใส่จานเพื่อนๆ
“ก็ไม่ได้โหดตรงงานเยอะหรอก โหดตรงที่อยู่เวรคู่กะหมอทิมต่างหาก” เบลล์บ่น หญิงสาวอีกคนบนโต๊ะถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ
“ขำอะไร ริตา” เบลล์แว้ดใส่หญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างหงุดหงิด
“ริตาก็ขำรุ่นพี่เบลล์น่ะสิคะ เพราะเกลียดอะไรก็มักจะได้อย่างนั้นตลอดเลย” หญิงสาวหน้าหวานตอบ ผมสีทองยาวสลวยถูกรวบไว้เป็นหางม้า ดวงตากลมโตสีคาราเมลมีประกายขำ
“ให้ตายยังไงฉันจะต้องแลกเวรหนีอีตาหมอทิมให้ได้เลย ผู้ชายอะไรทั้งขี้หลี รุ่มร่าม ตามติดยิ่งกว่าเงา แค่พูดก็ขนลุกแล้ว” เบลล์ตัวสั่นเบาๆ “พวกเธอสองคนก็ต้องระวังอีตาหมอทิมนี่ให้ดีนะ พวกอินเทิร์นที่มาใหม่เนี่ยเป้าหมายเขาเลยล่ะ เป็นไปได้ก็อย่าไปเข้าใกล้เข้าใจไหม”
“ค่ะรุ่นพี่เบลล์” ทั้งฉันและริตาตอบพร้อมกัน
“ว่าแต่ทำไมช่วงนี้คนไข้น้อยกว่าปกติคะ” ฉันถามอย่างสงสัย ถึงแม้เมืองคาโนจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่
โรงพยาบาลเฮมมิชก็เป็นโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลในเมืองใกล้เคียง จึงมักเต็มไปด้วยผู้คนที่เจ็บป่วยมาใช้บริการเสมอ
“ก็ช่วงนี้เป็นหน้ามรสุมค่ะ อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์พยากรณ์อากาศบอกว่าพายุจะเข้า คนก็เลยไม่ค่อยมาหาหมอกัน” ริตาตอบ
“เห้อ เมืองอะไรก็ไม่รู้ ทั้งไกลทั้งเงียบทั้งเหงา ถ้าไม่ใช่คนบ้าก็ต้องเป็นคนดวงซวยอย่างพวกเรานี่แหละที่คิดจะมาอยู่ที่นี่” เบลล์ถอนใจก่อนจะตักสตูเข้าปาก
...............
“คุณวีโอเล็ต” เสียงตะคอกดังจากคนข้างๆ ทำเอาฉันสะดุ้ง
“ที่ผมพูดเรื่องคนไข้เนี่ยคุณฟังรึเปล่า” หมอโรนันจ้องฉันด้วยสายตาอำมหิตของเขา ทำเอาฉันรู้สึกโกรธตัวเองที่มัวแต่ใจลอยไปถึงตรอกมืดๆ นั่น
“เมื่อตะกี้ผมพูดว่ายังไง คุณวีโอเล็ต” หมอโรนันถามเสียงเรียบ
“เรื่องค่าเกล็ดเลือดของคนไข้เด็กค่ะ อาจารย์” ฉันตอบและได้ยินความไม่มั่นใจในน้ำเสียงของตัวเองอย่างชัดเจน หมอโรนันเลิกคิ้ว
“คุณดาวินเมื่อกี้ผมพูดว่ายังไง” เขาหันไปถามหมอผู้ชายที่ยืนอยู่อีกข้างในทันที ฉันคิดว่าเห็นความกังวลในแววตาของชายหนุ่มร่างสูงเมื่อเขาเหลือบตามองฉันเพียงเสี้ยววิ
“คนไข้เด็กอายุเจ็ดขวบ มาด้วยอาการไข้สูงสามวันและอาเจียน ให้เช็คค่าCBC ดูเกล็ดเลือด และส่งตรวจแอนติเจนกับแอนติบอดีครับ” เขาตอบ
“เห็นความแตกต่างไหมคุณวีโอเล็ต ถ้าไม่ตั้งใจ ไม่ใส่ใจ ไม่ต้องมาเป็นหมอนะ ไปเป็นอย่างอื่น อย่าทำเหมือนเรื่องรักษาคนเป็นเรื่องเล่นๆ” น้ำเสียงเยือกเย็นของหมอโรนัน แม้จะไม่ได้ตะโกนใส่หน้าฉัน แต่ก็ทำให้เจ็บได้ยิ่งกว่านั้นเสียอีก
“คุณดาวิน คุณมีเวรฉุกเฉินคืนไหนนะ”
“พรุ่งนี้ครับอาจารย์” แดนตอบ
“ดี งั้นคุณวีโอเล็ต คืนพรุ่งนี้คุณไปอยู่เวรฉุกเฉินแล้วช่วยดูแลใส่ใจคนไข้ในทุกๆ วินาทีให้สมกับที่เขาเรียกว่าหมอด้วยเข้าใจไหม” หมอโรนันสั่ง
“ค่ะอาจารย์ ขอโทษค่ะ”
“โอเครไหม” ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามที่ว่างอยู่โดยไร้ซึ่งคำขออนุญาต ฉันเงยหน้าจากถาดอาหารภาวนาไม่ให้เป็นเขาที่ฉันไม่อยากจะคุยด้วยที่สุดในตอนนี้
“จะเป็นไงล่ะ ก็เละอย่างที่นายก็น่าจะเห็นนั่นแหละ” ฉันตอบ
“อันนั้นรู้แล้ว ไม่เคยเห็นใครโดนอาจารย์โรนันพิโรจน์แล้วมีความสุขสนุกสุขสันต์หรอก ที่ถามเนี่ยคือช่วงนี้โอเครึเปล่า ทำไมดูเหม่อๆ” แดนถาม ชายหนุ่มร่างสูงใส่แว่นผมสีน้ำตาลทอง ฉันแทบจะนับคำที่เคยคุยกับเขาได้ในตลอดเวลาหกปีที่เรียนมาด้วยกัน แต่เขากลับเป็นคนที่จับฉลากชื่อโรงพยาบาลเฮมมิช เมืองคาโน หนึ่งในสองใบที่อยู่ในกล่องได้ เพื่อนร่วมชะตากรรมที่แท้จริงแล้วเป็นคนเก่ง แถมยังรอบรู้ไปซะทุกเรื่อง จนฉันเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่เคยสังเกตเห็นเขาเลยตลอดหกปีที่ผ่านมา
“ก็มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย” ฉันตอบและทำเป็นสนใจซากสปาเกตตีที่กินเหลือในถาดเพื่อเลี่ยงสายตาที่จ้องจับผิดของเขา
“เอาเถอะ ยังไงก็มีสมาธิหน่อยละกัน ฉันไม่อยากให้มหาลัยเราดูแย่กว่าที่อื่นที่มาใช้ทุนพร้อมกัน” คำพูดที่ฟังแล้วก็นึกฉุน มากับคนเก่งๆ ก็ดีอยู่หรอกนะแต่นิสัยปากหมาๆ ที่แถมมาด้วยนี่สิทำเอาปวดหัวชะมัด
“ย่ะ ขอโทษนะที่ทำให้สถาบันนายดูตกต่ำ”
“ว่าแต่เมื่อวานไปคริสเทลมาเป็นไงบ้าง” หลังจากด่าคนอื่นเสร็จก็สามารถเปลี่ยนเรื่องได้หน้าตาเฉยก็คงมีแต่คุณหมอแดนเท่านั้นที่ทำได้ เขาพูดขณะแกะกล่องแซนด์วิชแล้วส่งครึ่งหนึ่งให้ ซึ่งฉันก็รับไว้โดยคิดซะว่าเป็นคำขอโทษ
“ก็ดีมั้ง ว่าแต่นายเคยไปรึเปล่า” ฉันถามกลับพยายามไม่ใส่ความสนใจใคร่รู้ให้มากจนเกินไป
“เคยสิ” เขาตอบแค่นั้น สายตาพินิจพิจารณาไส้ทูน่าน้อยนิดระหว่างขนมปัง
“นายคิดว่าเมืองนั้นเป็นยังไง” แดนละสายตาจากอาหารและมองมาด้วยท่าทีสงสัยเล็กน้อย
“ก็ไม่ใช่เมืองที่ฉันชอบหรอก” เขาบอกสั้นๆ
“โอ้ย ขอคำอธิบายขยายความหน่อยจะได้ไหม” ฉันชักจะหงุดหงิดที่เลือกถามคนอย่างหมอนี่แทนที่จะไปหาข้อมูลเอาเองจากอินเทอร์เน็ต
“เมืองคริสเทล ห่างจากคาโน34ไมล์ พื้นที่เมืองมีขนาดใหญ่กว่าคาโนประมาณสองจุดห้าเท่า เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจค่อนข้างมากเนื่องจากมีพื้นที่ส่วนใหญ่ติดกับทะเล จึงเป็นเมืองท่าสำคัญสำหรับการขนส่งสินค้าทั้งนำเข้าและส่งออก สินค้า..”
“พอๆ เอาเป็นว่าข้ามเลคเชอร์วิชาภูมิศาสตร์ไป เอาตรงที่ว่าทำไมนายไม่ชอบเมืองนี้เลยได้ไหม”
“ก็นะ เมืองใหญ่ก็เรื่องเยอะ รู้รึเปล่าว่านอกจากจะเป็นหนึ่งในสามเมืองท่าที่สำคัญ ก็ยังเป็นหนึ่งในสามของเมืองที่อันตรายที่สุดด้วย” แดนอธิบายต่อเมื่อสังเกตเห็นคิ้วที่ขมวดยุ่ง “คริสเทลเป็นเมืองที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมค่อนข้างสูงและขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งยาเสพติดน่ะ”
“เดี๋ยวนี้ยังมีอีกหรอ ดินแดนเถื่อนที่อยู่นอกกฎหมาย” ฉันสงสัย
“เยอะแยะไป” แดนตอบ “ว่าแต่เมื่อวานไปเหยียบเท้าใครในเมืองนั้นมารึไง ถึงได้สนใจนัก”
“เปล่าน่า แค่รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ”
“อะไรล่ะที่ว่าแปลก” เขาซักไซ้จนฉันตัดสินใจเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานโดยตัดทอนบางสิ่งบางอย่างออกไป
“ก็เมื่อวาน ฉันกับจีเซลเดินผ่านกลุ่มคนในตรอกแล้วเธอก็มีท่าทีแปลกๆ เหมือนกับว่าคนพวกนั้นอันตรายสุดๆ” คิ้วแดนเลิกขึ้นเป็นคำถาม “ก็ใช่ จากลักษณะก็คงไม่ใช่กลุ่มคนที่น่าเข้าไปผูกมิตรด้วย แต่ท่าทีของเธอมันดูมากกว่านั้นน่ะ ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน” ฉันพยายามอธิบาย
“เชื่อสัญชาตญาณคนพื้นที่ไว้ก่อนน่ะถูกแล้ว จีเซลเป็นคนที่นี่ก็คงคุ้นเคยกับคริสเทลดีกว่าพวกเรา ดีแล้วแหละที่เธอไปกับจีเซล ไม่งั้นอาจารย์โรนันแกคงจะเหงาปากแย่ถ้าไม่มีใครให้ด่า” แดนออกความเห็น
“ย่ะ งั้นก็ขอแสดงความยินดีกับนายด้วยเลยละกันนะ ที่ฉันจะยังคอยอยู่เป็นรอยด่างดำของสถาบันนายต่อไป” ฉันพยายามเลียนแบบการพูดกวนๆ ชวนให้แสบๆ คันๆ ของหมอแดนแต่รู้ดีว่าทักษะยังห่างไกลนัก
“ด้วยความยินดีเลย” เขาตอบด้วยรอยยิ้มกวนๆ
...............
เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรงตอนที่ฉันเดินสะโหลสะเหลเข้าไปที่ชั้นหนึ่งแผนกฉุกเฉิน
“อ้าวหมอ ทำไมยังไม่กลับอีกคะ” พี่หัวหน้าพยาบาลที่เคาน์เตอร์เอ่ยทักเสียงสดใส
“ก็มาอยู่เวรน่ะสิคะ” ฉันตอบเธอขณะหยิบชาร์ทคนไข้ขึ้นมากวาดตาดูคร่าวๆ
“แต่ว่าวันนี้เป็นเวรหมอแดนไม่ใช่หรอคะ หมอแดนไม่สบายหรือคะ” ฉันส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ตานั่นน่ะ คงจะสบายดีมากๆ เลยล่ะค่ะ”
“อ้าวแล้วทำไมกัน” เธอถามอย่างสงสัย
“ก็ฉันโดนอาจารย์หมอโรนันทำโทษ ให้มาอยู่เวรแทนน่ะค่ะ” เธอหัวเราะคิกเมื่อได้ยินคำตอบ แล้วก็หยุดทันทีเมื่อฉันละสายตาจากชาร์ทในมือไปถลึงตาใส่
“ก็เป็นการทำโทษที่สมเป็นจอมโหดแห่งเฮมมิชดีนี่คะ แต่หมอวีอะน่าตีมากเลยค่ะ แทนที่พวกพี่จะได้อยู่กับคุณหมอหนุ่มๆ ให้มันกระชุ่มกระชวยหัวใจบ้าง” เธอทำหน้าผิดหวัง
“เอาเป็นว่าอยู่กับคุณหมอสุดสวยไปก่อนนะคะ”
“โถ่ หมอครับที่พูดนี่ได้ส่องกระจกก่อนมารึเปล่า” บุรุษพยาบาลร่างใหญ่ที่เพิ่งเดินผ่านมาแซว
“เดี๋ยวเถอะ” พี่หัวหน้าพยาบาลดุและยกมือขึ้นตีไปที่หลังของชายหนุ่มเต็มแรงจนเขาร้องโอ้ยแล้วรีบวิ่งหนีไป
“หมออย่าไปสนใจเลยค่ะ เด็กพวกนี้ปากมันก็แบบนี้” ฉันหัวเราะแห้งๆ ให้เธอ ก็ถ้าจะมีใครห่างไกลคำว่าสวยก็คงจะเป็นฉันนี่แหละ
“แต่หมอวีดูเหนื่อยๆ นะ จะไหวหรอคะ เมื่อวานก็เพิ่งอยู่เวรไป” เธอออกความเห็นด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ไม่ไหวก็ต้องไหวแล้วล่ะ ฉันยังไม่อยากโดนอาจารย์โรนันจับเฉือดค่ะ” แค่คิดก็ตัวสั่นแล้ว
“งั้นหมอไปพักล้างหน้าล้างตาก่อนก็ได้นะ ตอนนี้คงไม่มีอะไรหรอก ข้างนอกพายุเข้าแรงเลยค่ะ” เธอบอก
ฉันเงยหน้ามองกระจกขณะล้างมือ หญิงสาวคนหนึ่งมองตอบกลับมา ผิดเธอดูซีดขาว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนดูอิดโรย รอยคล้ำน้อยๆ เริ่มปรากฏที่ใต้ตาจากความอ่อนล้า ผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มถูกมัดรวบเป็นหางม้าไว้ข้างหลังแต่ก็หลุดลุ่ยจนดูกระเซอะกระเซิงไปหมด เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่บุรุษพยาบาลถึงได้พูดแบบนั้น แต่สำหรับแพทย์อินเทิร์นปีแรกนี่นับว่าเป็นสภาพที่ยังไม่เลวร้ายนักถ้าเทียบกับสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากรุ่นพี่ ฉันวักน้ำเย็นๆ ล้างหน้าหวังว่าจะช่วยให้ตื่นตัวได้บ้าง เวรห้องฉุกเฉินเป็นอะไรที่โหดร้ายอยู่พอสมควรโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกที่มีดวงขยันก็มักจะแทบไม่มีเวลาหายใจหายคอ สิ่งสำคัญคือต้องตื่นตัวอยู่เสมอเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ในทุกวินาทีจริงๆ ฉันดึงหนังยางที่มัดรวบผมไว้ออกพยายามเอามือสางเส้นผมที่พันกันไปมาแล้วมัดมันใหม่ งัดอาวุธเพิ่มความงามชิ้นเดียวที่มีติดกระเป๋าเสื้อกาวน์คือลิปมันสีชมพูออกมาทาที่ริมฝีปากให้หน้าดูมีสีขึ้นมาบ้าง ฉันมองภาพรวมในกระจกแล้วรู้สึกพอใจในผลงานระดับนึง
แล้วเสียงตะโกนเอะอะก็ดังมาจากด้านนอก ชั่ววินาทีนั้นสารอะดรีนาลีนแห่งความตื่นตัวในห้องฉุกเฉินของฉันก็ทำงานทันที มันทำให้ตื่นตัวเสียยิ่งกว่าน้ำเย็นๆ ที่ใช้ล้างหน้าเมื่อตะกี้เป็นร้อยเป็นพันเท่า และนอกจากนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวขณะที่กระชากประตูและวิ่งออกไป หน้าเคาน์เตอร์ที่เมื่อครู่ยังมีพี่พยาบาลอยู่กันหลายคนบัดนี้เหลือเพียงแค่หนึ่ง โดยไม่ต้องถามอะไรจากสีหน้าและท่าทางร้อนรนของเธอ เท้าและสัญชาตญาณพาฉันวิ่งออกไปทางประตูใหญ่ของห้องฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ ท่ามกลางความมืดและม่านฝนมีรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่ ทุกๆ คนกำลังพุ่งตัวไปยังจุดนั้น เสียงตะโกนขอเตียงเข็นจากบุรุษพยาบาลที่วิ่งไปถึงก่อนและกระโดดขึ้นไปเป็นคนแรก เขาเข้าไปช่วยคุณลุงยกร่างของชายคนหนึ่งขึ้นมาพยุงไว้ ฉันไปถึงพร้อมกับเตียงที่เข็นตามมาติดๆ ร่างสูงไร้สติถูกยกขึ้นไว้บนเตียงอย่างทุลักทุเล
“จมน้ำครับหมอ มีแผลเลือดออกที่ไหล่ขวาด้วย” พี่บุรุษพยาบาลตะโกนแข่งกับสายฝน ฉันสัมผัสร่างเย็นเฉียบและเพ่งมองเลือดอุ่นๆ ที่กำลังไหลรินจากปากแผลในความมืด นึกถึงหูฟังสเต็ปที่วางทิ้งไว้สักแห่งที่แถวห้องน้ำอย่างหงุดหงิด มือคลำหาชีพจรบริเวณลำคอและแนบหูลงบนหน้าอกที่แทบจะไม่ขยับ
“ไม่หายใจ คลำชีพจรไม่ได้” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ก่อนจะตัดสินใจกระโดดขึ้นไปคร่อมร่างบนเตียง ไม่ได้มีใครตกใจกับการกระทำของฉัน ทุกคนกำลังทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองอย่างเต็มความสามารถท่ามกลางฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไร้ความปรานี ฉันหาตำแหน่งคร่าวๆ และเริ่มกดไปที่หน้าอกขณะที่เตียงถูกเข็นเพื่อกลับเข้าไปยังห้องฉุกเฉิน
“เตรียมเครื่องกระตุ้นหัวใจ เตรียมเลือดด้วย” ฉันตะโกนสั่งสลับกับก้มลงไปเป่าลมที่ริมฝีปากเย็นเฉียบนั้น เตียงถูกเข็นอย่างรวดเร็วแต่มั่นคงโดยพี่บุรุษพยาบาลร่างใหญ่พร้อมกับพี่พยาบาลที่วิ่งตามมาติดๆ ทันทีที่เราก้าวเข้าสู่ประตูห้องฉุกเฉิน ฝนเม็ดใหญ่ที่กระหน่ำใส่อย่างไร้ความปรานีก็หมดไป แสงสว่างส่องกระทบร่างเปียกปอนทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด หยดน้ำที่เกาะตามเรือนผมและใบหน้าของฉันหยดลงบนใบหน้าซีดเผือดเบื้องล่างขณะที่ฉันใช้ความพยายามทั้งหมดออกแรงกับมือที่ประสานอยู่บนหน้าอกเขา แสงส่องสว่างกระทบใบหน้าของชายหนุ่มเมื่อเขาค่อยๆ ปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ วินาทีที่เราสบตากันมุมปากของเขายกขึ้นเหมือนเป็นรอยยิ้มบาง และชั่ววินาทีนั้นเองฉันจ้องมองใบหน้าที่มักวนเวียนอยู่ในความฝันตลอดมา
...............
"วี เราต้องไปแล้ว" เสียงของจีเซลดึงฉันออกมาจากภวังค์ สีหน้าของเธอทั้งงุนงงและหงุดหงิดปนๆ กัน ก่อนจะตัดสินใจเดินมาลากแขนฉันให้ตามเธอไป
"เธอเป็นอะไรของเธอ" หญิงสาวบ่นขณะที่ยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างรีบเร่งให้พ้นจากตรงนั้น
"จู่ๆ ก็หยุดเดินตรงนั้นแล้วไปยืนจ้องหน้าคนพวกนั้น เป็นบ้าไปแล้วรึไง" เธอตะคอก
"ฉันแค่รู้สึกเหมือนเห็นคนที่ฉันรู้จัก" ฉันตอบเธอ ใช่ ฉันรู้สึกเหมือนเห็นคนที่ทำให้ความคิดเกี่ยวกับความฝันบ้าๆ ของฉันแว๊บเข้ามาในหัว ชายหนุ่มผมดำสนิท
"เธอไม่น่าจะรู้จักใครในกลุ่มคนพวกนั้นหรอกน่า" จีเซลกล่าว เธอปล่อยแขนและหยุดลากฉันแล้วเมื่อพวกเราเดินห่างออกมาจากตรอกเล็กๆ นั่น และตอนนี้เหมือนไม่อยากเข้าใกล้ฉันแทน
"คนพวกนั้นน่ากลัวเป็นบ้า ซอยตรงนั้นก็โคตรน่ากลัว ถ้าเธอเคยรู้จักใครในกลุ่มคนพวกนั้นจริงๆ ล่ะก็ ควรจะทำเหมือนไม่รู้จักเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย"
"คนพวกนั้นเป็นใครกัน" ฉันถามอย่างสงสัยในท่าทีร้อนรนของหญิงสาว พยายามนึกถึงสภาพแวดล้อมอื่นรอบๆ เขา ฉันจำได้ว่าเราเดินมาถึงร้านเครื่องประดับเล็กๆ ที่จีเซลดูจะปลื้มเอามากๆ ฉันปล่อยเธอเข้าไปเพลิดเพลินในร้านนั้น ซึ่งเป็นร้านที่สิบเอ็ดหรือสิบสองของการช้อปปิ้งในวันนี้ ฉันจึงขอยืนรออยู่ข้างนอก จมดิ่งไปกับนิยายแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่โหลดมา และเมื่อฉันพักสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ ฉันเห็นรถยนต์คันแล้วคันเล่าแล่นผ่านไปมาบนถนน ฉันเห็นฟุตบาทฝั่งตรงข้าม เห็นตู้ไปรษณีย์บุบๆ เต็มไปด้วยสีพ่นเลอะๆ เห็นตรอกเล็กๆ มืดๆ ที่อยู่ระหว่างตึกสำนักงานเก่าๆ และอพาร์ตเมนต์ร้าง เห็นผู้ชายสามสี่คนยืนคุยกันเสียงดังในตรอกนั้น มีกลุ่มควันบางๆ จากก้นบุหรี่ลอยอ้อยอิ่ง มีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีดำหลายคันและมีเขายืนพิงกำแพงอยู่ตรงนั้น รู้ตัวอีกทีคือฉันเดินข้ามถนนมายืนอยู่ตรงนั้น ก่อนจะถูกจีเซลลากออกมา
"ก็พวกแก๊งนั่นแหละ มีทั้งพวกวัยรุ่น หรือไม่ก็พวกโตๆแล้ว แนวๆ อันธพาลอะไรเทือกนั้น" เธอตอบผ่านๆ เหมือนต้องการให้ฉันหยุดพูดเรื่องนี้เสียที
"เรายังเหลืออะไรที่ต้องซื้ออีกไหม" จีเซลตัดบทด้วยเสียงหงุดหงิดและเป็นสัญญาณว่าฉันคงต้องปล่อยผ่านเรื่องที่ค้างคาอยู่ในหัวนี้ไปหากยังไม่อยากเดินกลับที่พัก พลางปลอบใจตัวเองว่าเป็นแค่คนที่ดูคล้ายกันเท่านั้นเอง
"ฉันว่าเราได้ของที่ต้องการครบแล้วล่ะ" ฉันตอบเบาๆ
ขณะที่เราขับรถกลับ บรรยากาศในรถยังคงอึมครึมไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นของจีเซล ยังดีที่มีเพลงร็อกแสบแก้วหูจากเครื่องเสียงในรถของเธอช่วยกอบกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ รถเคลื่อนผ่านเขตเมืองไป บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวของต้นไม้ ฉันมองต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่าที่เคลื่อนผ่านไปพลางคิดสงสัยว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่
"เฮ้ เงียบเสียงกันหน่อย" อาจารย์เกรย์ที่เพิ่งจะเดินผ่านประตูเข้ามาตะโกนเสียงดังแข่งกับเสียงพูดคุยที่เซ็งแซ่อยู่รอบๆ เขาเคลื่อนตัวไปที่ด้านหน้าห้อง ทันใดนั้นเสียงพูดคุยก็เริ่มเบาลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นความเงียบและเสียงลมหายใจแห่งความตื่นเต้นเข้าแทนที่
"เอาล่ะ" อาจารย์เกรย์เริ่ม "คงจะรู้นะว่าวันนี้เราจะทำอะไรกัน ขอเกริ่นสักหน่อยสำหรับแพทย์ใช้ทุนทุกท่านในที่นี้ ถือเป็นหน้าที่หลังจากจบจากการเป็นนิสิตแพทย์ก็จะต้องออกไปใช้วิชาความรู้ที่ได้รับมาจากครูบาอาจารย์ทุกท่าน นำไปรับใช้ประเทศชาติ ประชาชน ...
"ทำไมต้องเป็นอาจารย์เกรย์มาทำหน้าที่นี้ด้วยนะ พูดยาวอ้อมโลกไปอีก ฉันจะเป็นลม" เพื่อนสาวข้างๆ ฉันกระซิบบ่น หน้าของเธอซีดเผือดและขยับหยุกหยิกอยู่ไม่สุข
"เอาน่าลิลลี่อดทนมาตั้งนาน ทนอีกหน่อย" ฉันกระซิบปลอบเธอและแตะมือเย็นเฉียบนั่น
"ขอให้ได้ไปกับเธอเถอะ" เธอพูดเบาๆ
"เราก็รู้ว่ามันไม่โชคดีขนาดนั้นหรอก" ฉันกลอกตา ไม่อาจจะพูดในสิ่งที่เห็นว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้เพียงเพื่อปลอบใจเธอ
"อย่างน้อยก็ขอไปกะคนที่พูดภาษาคนด้วยเถอะ" ลิลลี่พูดเสียงอ่อย ตาเธอเหลือบไปทางด้านซ้ายที่บิล ชายหนุ่มแว่นหนาผู้ไม่สนใจโลกนั่งอยู่ ฉันพ่นลมกลั้นขำเมื่อนึกภาพลิลลี่ต้องไปใช้ทุนร่วมกับบิล
"เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว" ในที่สุดสุนทรพจน์ของอาจารย์เกรย์ก็จบลงได้สักที "เรียงแถวกันออกมาจับสลากที่อยู่ในกล่องด้านหน้านี้ เริ่มจากแถวหน้าสุด เอ้าเชิญๆ "
...............
รถยนต์ฮอนด้าสีน้ำเงินเก่าๆ ของจีเซลเคลื่อนผ่านป้ายสีดำที่เขียนด้วยอักษรตัวใหญ่สีทองว่า 'โรงพยาบาลเฮมมิช' เธอเลี้ยวผ่านตึกสูงๆ ของโรงพยาบาลแล้วทะลุไปยังด้านข้างที่ซึ่งเป็นที่พักสำหรับบุคลากรของโรงพยาบาล บ้านเล็กๆ สิบหลังและตึกสามชั้นอีกหนึ่งหลังสำหรับทิ้งตัวลงหลังจากที่อดตาหลับขับตานอนกันมาทั้งวันทั้งคืน เครื่องยนต์เริ่มส่งเสียงดังประท้วงเมื่อจีเซลขับมาจอดที่หน้าบ้านพักหลังเล็กที่อยู่ด้านในสุด เรายกของที่ซื้อมาเข้าไปในบ้านหลังจากนั้นเธอก็ขอตัวกลับไป ทิ้งฉันไว้กับความรู้สึกผิดที่ทำเรื่องงี่เง่าให้เธอหงุดหงิด
"ทำไมกลับมาเร็วจัง" ฉันละสายตาจากหม้อบนเตาไปยังประตูห้องครัว หญิงสาวผมสั้นร่างเล็กทำจมูกฟุดฟิดกับกลิ่นสตูเนื้อ
"ดันทำจีเซลอารมณ์เสียเข้าน่ะสิ” ฉันตอบเสียงอ่อย
“โถ่ วีน้อย ไม่เห็นต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้นเลย” หญิงสาวตรงดิ่งเข้ามากอดฉัน ทำเอาน้ำซุปจากทัพพีในมือกระฉอกเลอะผ้ากันเปื้อน
“ปกติแค่ฉันหายใจก็ทำให้จีเซลอารมณ์เสียได้แล้ว”
ฉันขำออกมากับคำพูดของเบลล์ รุ่นพี่เรซิเดนซ์ที่ดูยังไงๆ ก็ดูเหมือนเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา อาจจะเพราะบุคลิกขี้เล่นและไม่เซ้าซี้ จุกจิก เธอจึงถือเป็นเพื่อนร่วมบ้านที่ฉันชอบมากๆ อาจจะเป็นคนเดียวที่อยู่ด้วยแล้วฉันรู้สึกสบายใจมากที่สุดตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่
“เอาเป็นว่าฉันไปนอนรอกินสตูดีกว่า เวรวันนี้อย่างโหด อาหารของเธออาจจะช่วยเยียวยาฉันได้” หญิงสาวบิดขี้เกียจก่อนจะเดินออกไป
“วันนี้แทบไม่มีคนไข้เลย” รุ่นพี่เบลล์พูด เธอเปลี่ยนจากยูนิฟอร์มเป็นเสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงขาสั้น
“ไหนว่าเวรวันนี้โหดไง” ฉันถามอย่างสงสัยขณะตักสตูร้อนๆ ในหม้อใส่จานเพื่อนๆ
“ก็ไม่ได้โหดตรงงานเยอะหรอก โหดตรงที่อยู่เวรคู่กะหมอทิมต่างหาก” เบลล์บ่น หญิงสาวอีกคนบนโต๊ะถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ
“ขำอะไร ริตา” เบลล์แว้ดใส่หญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างหงุดหงิด
“ริตาก็ขำรุ่นพี่เบลล์น่ะสิคะ เพราะเกลียดอะไรก็มักจะได้อย่างนั้นตลอดเลย” หญิงสาวหน้าหวานตอบ ผมสีทองยาวสลวยถูกรวบไว้เป็นหางม้า ดวงตากลมโตสีคาราเมลมีประกายขำ
“ให้ตายยังไงฉันจะต้องแลกเวรหนีอีตาหมอทิมให้ได้เลย ผู้ชายอะไรทั้งขี้หลี รุ่มร่าม ตามติดยิ่งกว่าเงา แค่พูดก็ขนลุกแล้ว” เบลล์ตัวสั่นเบาๆ “พวกเธอสองคนก็ต้องระวังอีตาหมอทิมนี่ให้ดีนะ พวกอินเทิร์นที่มาใหม่เนี่ยเป้าหมายเขาเลยล่ะ เป็นไปได้ก็อย่าไปเข้าใกล้เข้าใจไหม”
“ค่ะรุ่นพี่เบลล์” ทั้งฉันและริตาตอบพร้อมกัน
“ว่าแต่ทำไมช่วงนี้คนไข้น้อยกว่าปกติคะ” ฉันถามอย่างสงสัย ถึงแม้เมืองคาโนจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่
โรงพยาบาลเฮมมิชก็เป็นโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลในเมืองใกล้เคียง จึงมักเต็มไปด้วยผู้คนที่เจ็บป่วยมาใช้บริการเสมอ
“ก็ช่วงนี้เป็นหน้ามรสุมค่ะ อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์พยากรณ์อากาศบอกว่าพายุจะเข้า คนก็เลยไม่ค่อยมาหาหมอกัน” ริตาตอบ
“เห้อ เมืองอะไรก็ไม่รู้ ทั้งไกลทั้งเงียบทั้งเหงา ถ้าไม่ใช่คนบ้าก็ต้องเป็นคนดวงซวยอย่างพวกเรานี่แหละที่คิดจะมาอยู่ที่นี่” เบลล์ถอนใจก่อนจะตักสตูเข้าปาก
...............
“คุณวีโอเล็ต” เสียงตะคอกดังจากคนข้างๆ ทำเอาฉันสะดุ้ง
“ที่ผมพูดเรื่องคนไข้เนี่ยคุณฟังรึเปล่า” หมอโรนันจ้องฉันด้วยสายตาอำมหิตของเขา ทำเอาฉันรู้สึกโกรธตัวเองที่มัวแต่ใจลอยไปถึงตรอกมืดๆ นั่น
“เมื่อตะกี้ผมพูดว่ายังไง คุณวีโอเล็ต” หมอโรนันถามเสียงเรียบ
“เรื่องค่าเกล็ดเลือดของคนไข้เด็กค่ะ อาจารย์” ฉันตอบและได้ยินความไม่มั่นใจในน้ำเสียงของตัวเองอย่างชัดเจน หมอโรนันเลิกคิ้ว
“คุณดาวินเมื่อกี้ผมพูดว่ายังไง” เขาหันไปถามหมอผู้ชายที่ยืนอยู่อีกข้างในทันที ฉันคิดว่าเห็นความกังวลในแววตาของชายหนุ่มร่างสูงเมื่อเขาเหลือบตามองฉันเพียงเสี้ยววิ
“คนไข้เด็กอายุเจ็ดขวบ มาด้วยอาการไข้สูงสามวันและอาเจียน ให้เช็คค่าCBC ดูเกล็ดเลือด และส่งตรวจแอนติเจนกับแอนติบอดีครับ” เขาตอบ
“เห็นความแตกต่างไหมคุณวีโอเล็ต ถ้าไม่ตั้งใจ ไม่ใส่ใจ ไม่ต้องมาเป็นหมอนะ ไปเป็นอย่างอื่น อย่าทำเหมือนเรื่องรักษาคนเป็นเรื่องเล่นๆ” น้ำเสียงเยือกเย็นของหมอโรนัน แม้จะไม่ได้ตะโกนใส่หน้าฉัน แต่ก็ทำให้เจ็บได้ยิ่งกว่านั้นเสียอีก
“คุณดาวิน คุณมีเวรฉุกเฉินคืนไหนนะ”
“พรุ่งนี้ครับอาจารย์” แดนตอบ
“ดี งั้นคุณวีโอเล็ต คืนพรุ่งนี้คุณไปอยู่เวรฉุกเฉินแล้วช่วยดูแลใส่ใจคนไข้ในทุกๆ วินาทีให้สมกับที่เขาเรียกว่าหมอด้วยเข้าใจไหม” หมอโรนันสั่ง
“ค่ะอาจารย์ ขอโทษค่ะ”
“โอเครไหม” ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามที่ว่างอยู่โดยไร้ซึ่งคำขออนุญาต ฉันเงยหน้าจากถาดอาหารภาวนาไม่ให้เป็นเขาที่ฉันไม่อยากจะคุยด้วยที่สุดในตอนนี้
“จะเป็นไงล่ะ ก็เละอย่างที่นายก็น่าจะเห็นนั่นแหละ” ฉันตอบ
“อันนั้นรู้แล้ว ไม่เคยเห็นใครโดนอาจารย์โรนันพิโรจน์แล้วมีความสุขสนุกสุขสันต์หรอก ที่ถามเนี่ยคือช่วงนี้โอเครึเปล่า ทำไมดูเหม่อๆ” แดนถาม ชายหนุ่มร่างสูงใส่แว่นผมสีน้ำตาลทอง ฉันแทบจะนับคำที่เคยคุยกับเขาได้ในตลอดเวลาหกปีที่เรียนมาด้วยกัน แต่เขากลับเป็นคนที่จับฉลากชื่อโรงพยาบาลเฮมมิช เมืองคาโน หนึ่งในสองใบที่อยู่ในกล่องได้ เพื่อนร่วมชะตากรรมที่แท้จริงแล้วเป็นคนเก่ง แถมยังรอบรู้ไปซะทุกเรื่อง จนฉันเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่เคยสังเกตเห็นเขาเลยตลอดหกปีที่ผ่านมา
“ก็มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย” ฉันตอบและทำเป็นสนใจซากสปาเกตตีที่กินเหลือในถาดเพื่อเลี่ยงสายตาที่จ้องจับผิดของเขา
“เอาเถอะ ยังไงก็มีสมาธิหน่อยละกัน ฉันไม่อยากให้มหาลัยเราดูแย่กว่าที่อื่นที่มาใช้ทุนพร้อมกัน” คำพูดที่ฟังแล้วก็นึกฉุน มากับคนเก่งๆ ก็ดีอยู่หรอกนะแต่นิสัยปากหมาๆ ที่แถมมาด้วยนี่สิทำเอาปวดหัวชะมัด
“ย่ะ ขอโทษนะที่ทำให้สถาบันนายดูตกต่ำ”
“ว่าแต่เมื่อวานไปคริสเทลมาเป็นไงบ้าง” หลังจากด่าคนอื่นเสร็จก็สามารถเปลี่ยนเรื่องได้หน้าตาเฉยก็คงมีแต่คุณหมอแดนเท่านั้นที่ทำได้ เขาพูดขณะแกะกล่องแซนด์วิชแล้วส่งครึ่งหนึ่งให้ ซึ่งฉันก็รับไว้โดยคิดซะว่าเป็นคำขอโทษ
“ก็ดีมั้ง ว่าแต่นายเคยไปรึเปล่า” ฉันถามกลับพยายามไม่ใส่ความสนใจใคร่รู้ให้มากจนเกินไป
“เคยสิ” เขาตอบแค่นั้น สายตาพินิจพิจารณาไส้ทูน่าน้อยนิดระหว่างขนมปัง
“นายคิดว่าเมืองนั้นเป็นยังไง” แดนละสายตาจากอาหารและมองมาด้วยท่าทีสงสัยเล็กน้อย
“ก็ไม่ใช่เมืองที่ฉันชอบหรอก” เขาบอกสั้นๆ
“โอ้ย ขอคำอธิบายขยายความหน่อยจะได้ไหม” ฉันชักจะหงุดหงิดที่เลือกถามคนอย่างหมอนี่แทนที่จะไปหาข้อมูลเอาเองจากอินเทอร์เน็ต
“เมืองคริสเทล ห่างจากคาโน34ไมล์ พื้นที่เมืองมีขนาดใหญ่กว่าคาโนประมาณสองจุดห้าเท่า เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจค่อนข้างมากเนื่องจากมีพื้นที่ส่วนใหญ่ติดกับทะเล จึงเป็นเมืองท่าสำคัญสำหรับการขนส่งสินค้าทั้งนำเข้าและส่งออก สินค้า..”
“พอๆ เอาเป็นว่าข้ามเลคเชอร์วิชาภูมิศาสตร์ไป เอาตรงที่ว่าทำไมนายไม่ชอบเมืองนี้เลยได้ไหม”
“ก็นะ เมืองใหญ่ก็เรื่องเยอะ รู้รึเปล่าว่านอกจากจะเป็นหนึ่งในสามเมืองท่าที่สำคัญ ก็ยังเป็นหนึ่งในสามของเมืองที่อันตรายที่สุดด้วย” แดนอธิบายต่อเมื่อสังเกตเห็นคิ้วที่ขมวดยุ่ง “คริสเทลเป็นเมืองที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมค่อนข้างสูงและขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งยาเสพติดน่ะ”
“เดี๋ยวนี้ยังมีอีกหรอ ดินแดนเถื่อนที่อยู่นอกกฎหมาย” ฉันสงสัย
“เยอะแยะไป” แดนตอบ “ว่าแต่เมื่อวานไปเหยียบเท้าใครในเมืองนั้นมารึไง ถึงได้สนใจนัก”
“เปล่าน่า แค่รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ”
“อะไรล่ะที่ว่าแปลก” เขาซักไซ้จนฉันตัดสินใจเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานโดยตัดทอนบางสิ่งบางอย่างออกไป
“ก็เมื่อวาน ฉันกับจีเซลเดินผ่านกลุ่มคนในตรอกแล้วเธอก็มีท่าทีแปลกๆ เหมือนกับว่าคนพวกนั้นอันตรายสุดๆ” คิ้วแดนเลิกขึ้นเป็นคำถาม “ก็ใช่ จากลักษณะก็คงไม่ใช่กลุ่มคนที่น่าเข้าไปผูกมิตรด้วย แต่ท่าทีของเธอมันดูมากกว่านั้นน่ะ ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน” ฉันพยายามอธิบาย
“เชื่อสัญชาตญาณคนพื้นที่ไว้ก่อนน่ะถูกแล้ว จีเซลเป็นคนที่นี่ก็คงคุ้นเคยกับคริสเทลดีกว่าพวกเรา ดีแล้วแหละที่เธอไปกับจีเซล ไม่งั้นอาจารย์โรนันแกคงจะเหงาปากแย่ถ้าไม่มีใครให้ด่า” แดนออกความเห็น
“ย่ะ งั้นก็ขอแสดงความยินดีกับนายด้วยเลยละกันนะ ที่ฉันจะยังคอยอยู่เป็นรอยด่างดำของสถาบันนายต่อไป” ฉันพยายามเลียนแบบการพูดกวนๆ ชวนให้แสบๆ คันๆ ของหมอแดนแต่รู้ดีว่าทักษะยังห่างไกลนัก
“ด้วยความยินดีเลย” เขาตอบด้วยรอยยิ้มกวนๆ
...............
เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรงตอนที่ฉันเดินสะโหลสะเหลเข้าไปที่ชั้นหนึ่งแผนกฉุกเฉิน
“อ้าวหมอ ทำไมยังไม่กลับอีกคะ” พี่หัวหน้าพยาบาลที่เคาน์เตอร์เอ่ยทักเสียงสดใส
“ก็มาอยู่เวรน่ะสิคะ” ฉันตอบเธอขณะหยิบชาร์ทคนไข้ขึ้นมากวาดตาดูคร่าวๆ
“แต่ว่าวันนี้เป็นเวรหมอแดนไม่ใช่หรอคะ หมอแดนไม่สบายหรือคะ” ฉันส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ตานั่นน่ะ คงจะสบายดีมากๆ เลยล่ะค่ะ”
“อ้าวแล้วทำไมกัน” เธอถามอย่างสงสัย
“ก็ฉันโดนอาจารย์หมอโรนันทำโทษ ให้มาอยู่เวรแทนน่ะค่ะ” เธอหัวเราะคิกเมื่อได้ยินคำตอบ แล้วก็หยุดทันทีเมื่อฉันละสายตาจากชาร์ทในมือไปถลึงตาใส่
“ก็เป็นการทำโทษที่สมเป็นจอมโหดแห่งเฮมมิชดีนี่คะ แต่หมอวีอะน่าตีมากเลยค่ะ แทนที่พวกพี่จะได้อยู่กับคุณหมอหนุ่มๆ ให้มันกระชุ่มกระชวยหัวใจบ้าง” เธอทำหน้าผิดหวัง
“เอาเป็นว่าอยู่กับคุณหมอสุดสวยไปก่อนนะคะ”
“โถ่ หมอครับที่พูดนี่ได้ส่องกระจกก่อนมารึเปล่า” บุรุษพยาบาลร่างใหญ่ที่เพิ่งเดินผ่านมาแซว
“เดี๋ยวเถอะ” พี่หัวหน้าพยาบาลดุและยกมือขึ้นตีไปที่หลังของชายหนุ่มเต็มแรงจนเขาร้องโอ้ยแล้วรีบวิ่งหนีไป
“หมออย่าไปสนใจเลยค่ะ เด็กพวกนี้ปากมันก็แบบนี้” ฉันหัวเราะแห้งๆ ให้เธอ ก็ถ้าจะมีใครห่างไกลคำว่าสวยก็คงจะเป็นฉันนี่แหละ
“แต่หมอวีดูเหนื่อยๆ นะ จะไหวหรอคะ เมื่อวานก็เพิ่งอยู่เวรไป” เธอออกความเห็นด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ไม่ไหวก็ต้องไหวแล้วล่ะ ฉันยังไม่อยากโดนอาจารย์โรนันจับเฉือดค่ะ” แค่คิดก็ตัวสั่นแล้ว
“งั้นหมอไปพักล้างหน้าล้างตาก่อนก็ได้นะ ตอนนี้คงไม่มีอะไรหรอก ข้างนอกพายุเข้าแรงเลยค่ะ” เธอบอก
ฉันเงยหน้ามองกระจกขณะล้างมือ หญิงสาวคนหนึ่งมองตอบกลับมา ผิดเธอดูซีดขาว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนดูอิดโรย รอยคล้ำน้อยๆ เริ่มปรากฏที่ใต้ตาจากความอ่อนล้า ผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มถูกมัดรวบเป็นหางม้าไว้ข้างหลังแต่ก็หลุดลุ่ยจนดูกระเซอะกระเซิงไปหมด เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่บุรุษพยาบาลถึงได้พูดแบบนั้น แต่สำหรับแพทย์อินเทิร์นปีแรกนี่นับว่าเป็นสภาพที่ยังไม่เลวร้ายนักถ้าเทียบกับสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากรุ่นพี่ ฉันวักน้ำเย็นๆ ล้างหน้าหวังว่าจะช่วยให้ตื่นตัวได้บ้าง เวรห้องฉุกเฉินเป็นอะไรที่โหดร้ายอยู่พอสมควรโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกที่มีดวงขยันก็มักจะแทบไม่มีเวลาหายใจหายคอ สิ่งสำคัญคือต้องตื่นตัวอยู่เสมอเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ในทุกวินาทีจริงๆ ฉันดึงหนังยางที่มัดรวบผมไว้ออกพยายามเอามือสางเส้นผมที่พันกันไปมาแล้วมัดมันใหม่ งัดอาวุธเพิ่มความงามชิ้นเดียวที่มีติดกระเป๋าเสื้อกาวน์คือลิปมันสีชมพูออกมาทาที่ริมฝีปากให้หน้าดูมีสีขึ้นมาบ้าง ฉันมองภาพรวมในกระจกแล้วรู้สึกพอใจในผลงานระดับนึง
แล้วเสียงตะโกนเอะอะก็ดังมาจากด้านนอก ชั่ววินาทีนั้นสารอะดรีนาลีนแห่งความตื่นตัวในห้องฉุกเฉินของฉันก็ทำงานทันที มันทำให้ตื่นตัวเสียยิ่งกว่าน้ำเย็นๆ ที่ใช้ล้างหน้าเมื่อตะกี้เป็นร้อยเป็นพันเท่า และนอกจากนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวขณะที่กระชากประตูและวิ่งออกไป หน้าเคาน์เตอร์ที่เมื่อครู่ยังมีพี่พยาบาลอยู่กันหลายคนบัดนี้เหลือเพียงแค่หนึ่ง โดยไม่ต้องถามอะไรจากสีหน้าและท่าทางร้อนรนของเธอ เท้าและสัญชาตญาณพาฉันวิ่งออกไปทางประตูใหญ่ของห้องฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ ท่ามกลางความมืดและม่านฝนมีรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่ ทุกๆ คนกำลังพุ่งตัวไปยังจุดนั้น เสียงตะโกนขอเตียงเข็นจากบุรุษพยาบาลที่วิ่งไปถึงก่อนและกระโดดขึ้นไปเป็นคนแรก เขาเข้าไปช่วยคุณลุงยกร่างของชายคนหนึ่งขึ้นมาพยุงไว้ ฉันไปถึงพร้อมกับเตียงที่เข็นตามมาติดๆ ร่างสูงไร้สติถูกยกขึ้นไว้บนเตียงอย่างทุลักทุเล
“จมน้ำครับหมอ มีแผลเลือดออกที่ไหล่ขวาด้วย” พี่บุรุษพยาบาลตะโกนแข่งกับสายฝน ฉันสัมผัสร่างเย็นเฉียบและเพ่งมองเลือดอุ่นๆ ที่กำลังไหลรินจากปากแผลในความมืด นึกถึงหูฟังสเต็ปที่วางทิ้งไว้สักแห่งที่แถวห้องน้ำอย่างหงุดหงิด มือคลำหาชีพจรบริเวณลำคอและแนบหูลงบนหน้าอกที่แทบจะไม่ขยับ
“ไม่หายใจ คลำชีพจรไม่ได้” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ก่อนจะตัดสินใจกระโดดขึ้นไปคร่อมร่างบนเตียง ไม่ได้มีใครตกใจกับการกระทำของฉัน ทุกคนกำลังทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองอย่างเต็มความสามารถท่ามกลางฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไร้ความปรานี ฉันหาตำแหน่งคร่าวๆ และเริ่มกดไปที่หน้าอกขณะที่เตียงถูกเข็นเพื่อกลับเข้าไปยังห้องฉุกเฉิน
“เตรียมเครื่องกระตุ้นหัวใจ เตรียมเลือดด้วย” ฉันตะโกนสั่งสลับกับก้มลงไปเป่าลมที่ริมฝีปากเย็นเฉียบนั้น เตียงถูกเข็นอย่างรวดเร็วแต่มั่นคงโดยพี่บุรุษพยาบาลร่างใหญ่พร้อมกับพี่พยาบาลที่วิ่งตามมาติดๆ ทันทีที่เราก้าวเข้าสู่ประตูห้องฉุกเฉิน ฝนเม็ดใหญ่ที่กระหน่ำใส่อย่างไร้ความปรานีก็หมดไป แสงสว่างส่องกระทบร่างเปียกปอนทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด หยดน้ำที่เกาะตามเรือนผมและใบหน้าของฉันหยดลงบนใบหน้าซีดเผือดเบื้องล่างขณะที่ฉันใช้ความพยายามทั้งหมดออกแรงกับมือที่ประสานอยู่บนหน้าอกเขา แสงส่องสว่างกระทบใบหน้าของชายหนุ่มเมื่อเขาค่อยๆ ปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ วินาทีที่เราสบตากันมุมปากของเขายกขึ้นเหมือนเป็นรอยยิ้มบาง และชั่ววินาทีนั้นเองฉันจ้องมองใบหน้าที่มักวนเวียนอยู่ในความฝันตลอดมา
...............
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ