ฉันเป็นแค่วายร้าย Demon in Disguise
เขียนโดย AnnularE
วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 20.53 น.
แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 20.56 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ความทรงจำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความป๊อก! เสียงเบาๆ แต่ทำเอาฉันสะดุ้งโหยง และหันไปมองมือที่ยื่นกระป๋องชาส่งมาให้
“กินซะ” แดนบอกก่อนจะยัดกระป๋องอุ่นๆ ใส่มาในมือฉัน “หนักน่าดูเลยนี่”
“เวรใครล่ะ” ฉันหันไปทำหน้าบึ้งใส่ชายที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แม้จะรู้ว่าไม่ถูกนัก “ขอบคุณที่มาช่วยนะ”
“พอดีนั่งอ่านอะไรเพลินๆ อยู่ขากลับเดินผ่านเห็นวุ่นวายกันสุดๆ ก็เลยแวะเข้ามาดู” เขาบอก นิ้วเรียวยาวพยายามเปิดฝากระป๋องชาของตัวเอง ฉันยกกระป๋องในมือขึ้นดื่มอึกใหญ่ ความอบอุ่นจากของเหลวสีอำพันแผ่ซ่านไปถึงปลายนิ้วที่เย็นเฉียบ
“ว่าแต่ คุณหมอวีนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ หมอนั่นไม่น่าจะรอดแล้วด้วยซ้ำ” เขาออกความเห็น
“ฉันก็ทำเท่าที่นึกออกนั่นแหละ” ฉันตอบ พยายามซ่อนมือที่สั่นน้อยๆจากสายตา มันสั่นแต่ไม่ใช่จากความหนาวของเนื้อตัวหรือเสื้อผ้าที่เปียกปอน แต่สั่นจากความกลัวที่มักจะมีเสมอในวินาทีคาบเกี่ยวของความเป็นกับความตาย
“เธอกลับไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันดูต่อให้เอง” หมอแดนพูดพลางบิดขี้เกียจ
“ไม่เอาหรอก ฉันโดนทำโทษอยู่นะ” ฉันปฏิเสธในทันที
“ฉันโทรบอกอาจารย์โรนันแล้ว” ฉันอ้าปากจะเถียง แต่หมอแดนไม่เปิดโอกาส
“ถ้าป่วยแล้วจะมาตรวจคนไข้ได้ยังไง กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็นอนซะ” เขาเลียนแบบน้ำเสียงเฉียบขาดของอาจารย์
...............
“อ้าวทำไมกลับมาล่ะ อยู่เวรไม่ใช่หรอ” เสียงทักจากรุ่นพี่เบลล์ที่นอนเล่นเอกเขนกอยู่หน้าทีวี
“เจองานช้างน่ะสิ” ฉันถอดเสื้อกาวน์ชื้นๆ พาดลงบนราว
“จากสภาพก็พอเดาได้อยู่หรอก” เธอบอก “แล้วกลับมาได้ไง”
“หมอแดนดูต่อให้แล้วก็ไล่กลับมานอนเนี่ย” ฉันตอบ รุ่นพี่ผุดลุกขึ้นมานั่ง หรี่ตามองฉันพลางส่ายหัวไปมา
“หมอแดนนี่ดีจริงๆ เลยนะ ทั้งตัวสูง หน้าตาก็ดี สุภาพแล้วก็ยังใจดีอีก ทำไมฉันไม่เคยได้อยู่เวรด้วยเลย ได้อยู่แต่กับอีตาหมอทิมประจำ” เธอบ่นพึมพำ
“สงสัยเป็นเนื้อคู่มั้งพี่” ฉันแกล้งแซวก่อนจะเบี่ยงตัวหลบหมอนอิงใบเล็กที่บินมา
“ไปไหนก็ไปเลย” เธอแว้ดใส่
สายน้ำอุ่นๆ จากฝักบัวทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากความตึงเครียดทั้งหมดทั้งมวลของวัน แล้วความคิดที่ต้องเก็บซ่อนไว้เบื้องหลังในห้องฉุกเฉินก็ถูกปลดล็อกออกมา ใบหน้าของชายคนนั้น ฉันเคยคิดว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้าที่ฝันถึงคนที่ไม่มีตัวตนมาเป็นสิบๆ ปี เขามักจะมาปรากฏตัวในความฝันของฉันด้วยรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป บางครั้งเป็นแค่ฝันธรรมดาอย่างไปกินข้าวเดินเล่นด้วยกัน บางครั้งเป็นฝันเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต และบางครั้งก็จะมีเขามาช่วยไว้ในสถานการณ์ต่างๆ ฉันเคยพยายามคิดหาคำอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น เคยค้นหาข้อมูลต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต พยายามเปิดดูภาพถ่ายเก่าๆ หรือแม้กระทั่งไปนั่งโต๊ะริมกระจกในร้านกาแฟเพื่อมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมา แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบเลยจริงๆ กลายเป็นว่ายิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่เขากลับยิ่งเข้ามาในความฝันของฉันบ่อยขึ้นเท่านั้น ยังดีที่ช่วงปีหลังๆ มานี้พอฉันสอบติดหมอ สมองของฉันก็ถูกแทนที่ด้วยชื่อมัดกล้ามเนื้อและชื่อโรคต่างๆ จนเริ่มที่จะฝันประหลาดแบบนั้นน้อยลง ซึ่งฉันเองก็แอบดีใจเพราะทุกครั้งที่มีเขาในความฝันแม้เหตุการณ์จะแตกต่างกันออกไปแต่กลับทำให้ฉันรู้สึกเศร้าทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา
...............
“หมอวีคะ” เสียงเรียกทำให้ฉันเงยหน้าจากกองหนังสือบนโต๊ะ
“มีอะไรหรอคะ”
“หมอตามพี่มาดูน้องเควินหน่อยได้ไหมคะ” พี่พยาบาลบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ทำเอาฉันรีบผุดลุกตามเธอไปแทบไม่ทัน
“คืองี้ค่ะหมอ” เธอหยุดเดินเมื่อเรามาถึงหน้าประตูห้องเพื่อหันมาอธิบาย “น้องไม่ยอมกินข้าวมาตั้งแต่เช้าแล้ว ทำยังไงก็ไม่ยอม พูดก็ไม่พูด พี่ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“อ่อ ไม่กินข้าวนี่เอง” ฉันพูดด้วยท่าทีโล่งใจเพราะคิดไกลไปถึงสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้น
“ไม่ยอมกินตั้งแต่เช้าจนตอนนี้บ่ายแล้วก็ยังไม่ยอมกินเลยค่ะ” สีหน้าของเธอดูสิ้นหวัง
“งั้นเดี๋ยวฉันลองไปเกลี้ยกล่อมดูแล้วกันค่ะ”
“ฝากหน่อยนะคะหมอ” พี่พยาบาลยิ้มน้อยๆ อย่างโล่งใจ
“ว่าไงหนุ่มน้อยคนเก่ง” ฉันทักเด็กชายตัวน้อยที่อยู่บนเตียงเมื่อเปิดประตูเข้าไป เด็กชายนิ่งเงียบไม่พูดจา เพียงแต่จ้องมองมาที่ฉัน
“วันนี้เป็นไงบ้าง รู้สึกไม่สบายรึเปล่า” ฉันถาม หลังมือแนบบนหน้าผากเล็ก เด็กชายส่ายหัว
“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่กินข้าวเลยล่ะ” เด็กชายแค่ส่ายหัวอีกครั้งเป็นคำตอบเควินเป็นเด็กชายอายุเจ็ดขวบที่หน้าตาน่ารัก ผิวขาวละเอียด แก้มมีสีชมพูเรื่อยๆ อยู่ในวัยกำลังซนแต่กลับประสบอุบัติเหตุชนแล้วหนีจนขาหักและม้ามฉีด ถึงบาดแผลภายนอกจะดูดีขึ้นแล้วแต่เด็กชายไม่ยอมที่จะสื่อสารกับใครแม้แต่กับพ่อแม่ตัวเอง ฉันมองเควินขณะคิดหาวิธี
“เควินครับ ถ้าเควินไม่กินข้าวเควินจะต้องปวดท้องมากๆ เลยนะครับ” ได้ผล เด็กชายหันมาสบตา
“ถ้าเควินไม่กินข้าว เควินจะขาดอาหาร หมอก็จะต้องเจาะท้องของหนูเพื่อเอาอาหารใส่เข้าไปแทนซึ่งมันน่ากลัวมากนะครับ” เด็กชายพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ใช่ หมอเองก็ไม่อยากทำ” ฉันพูดก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ข้างเตียง
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวหมอจะนั่งดูการ์ตูนเป็นเพื่อนเควินกินข้าวนะ แล้วหลังจากกินเสร็จหมอมีรางวัลให้” ฉันชูห่อช็อคโกแล็ตเล็กๆ ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ขึ้นมา ตั้งแต่ได้มาดูคนไข้เด็กก็มักจะมีขนมเล็กๆ น้อยๆ ติดอยู่ในกระเป๋าเสื้อฉันเสมอ บางทีก็ลืมหยิบออกตอนซักผ้าและทิ้งรอยเป็นดวงๆ ไว้ที่ด้านนอก “แต่ว่าอันนี้เป็นความลับนะ” ฉันกระซิบเบาๆ และขยิบตา เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าน้อยๆ ขึ้นมาได้
ฉันคว้ากระเป๋าเป้มาสะพาน เดินลงไปที่ชั้นล่างเพื่อกลับหอพัก ปกติแค่ลงบันไดแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะออกไปนอกตึกได้แล้ว แต่ขาเจ้ากรรมมันดันพาเดินตรงไปข้างหน้าซึ่งจะเป็นทางออกอีกทางที่ต้องเดินผ่านหน้าห้องฉุกเฉิน คงเป็นเพราะคำพูดของพี่พยาบาลเมื่อตอนกลางวันแน่ๆ
ฉันกำลังยัดถาดอาหารเที่ยงที่กินเสร็จแล้วเข้าไปในช่องเก็บตอนที่พี่หัวหน้าพยาบาลห้องฉุกเฉินเดินมาทัก
“หมอคะ เมื่อคืนเปียกฝนขนาดนั้นไม่สบายรึเปล่า” เธอถามอย่างอ่อนโยน ไหนใครว่าพยาบาลใจร้ายไม่เห็นจะจริงเลยสักนิดเดียว
“พอดีได้กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แถมได้นอนอีกตั้งหลายชั่วโมง ก็เลยไม่เป็นอะไรเลยค่ะ” ฉันตอบอย่างอายๆ เพราะรู้ดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีคนมาอาสาอยู่เวรต่อให้
“แต่เมื่อคืนคุณหมอเก่งมากๆ เลย พี่เห็นหมอจบใหม่บางคนเจอเคสหนักๆ แบบนี้ก็ลมจับกันไปก่อนแล้ว” ฉันหัวเราะแห้งๆ ไม่อยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วตัวเองก็สั่นเป็นเจ้าเข้าเหมือนกัน
“ว่าแต่คนไข้คุณหมอคนเมื่อคืนยังไม่ฟื้นเลยนะคะ” เธอบอก
“แล้วอย่างอื่นโอเคไหมคะ” ฉันถามด้วยน้ำเสียงกังวล
“โอเคอยู่ค่ะคุณหมอ ค่าต่างๆ ก็ปกติดีเลย ชีพจรความดัน เลือดก็หยุดไหลแล้ว คงต้องรอแต่ร่างกายฟื้นตัวเท่านั้นเอง เอางี้ช่วงเย็นๆ คุณหมอก็แวะไปดูหน่อยสิคะ”
“แวะไปดูหน่อยสิคะ” คำพูดนี้สินะ ฉันหัวเราะหึๆ ในความคิดพร้อมกับก้าวขายาวๆ จนพ้นประตูห้องฉุกเฉินไป แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเสียงโครมครามดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องเอะอะ
“ให้ตายเถอะ” ฉันสบถเบาๆ กับตัวเองก่อนจะเดินย้อนกลับไป ไม่ทันถึงประตูดี น้องพยาบาลหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มคนนึงก็วิ่งมาคว้าแขนฉันดึงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“หมอวี ช่วยด้วยคนไข้อาละวาดใหญ่แล้วค่ะ” เธอบอกหน้าตาเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก เสียงข้าวของล้มโครมครามยังดังต่อเนื่องมาจากด้านใน
“ใจเย็นๆ ก่อน หมอเวรวันนี้ล่ะไปไหน” ฉันคว้าแขนทั้งสองของเธอมา พยายามให้เธอตั้งสติ
“มะ หมอทิม ยังหาไม่เจอเลยค่ะ” เธอละล่ำละลักบอก
“งั้นโทรตาม ด่วนๆ เลย เดี๋ยวฉันจะเข้าไปดูคนไข้ก่อน แล้วก็เตรียมยาระงับประสาทเผื่อกรณีฉุกเฉินไว้ด้วย” ฉันสั่งด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะราบเรียบที่สุด
“คนไข้เคสไหนนะ” ฉันฉุกคิดขึ้นมาก่อนจะหันไปถามพยาบาลสาวที่กำลังจะวิ่งออกไป แม้ลางสังหรณ์บางอย่างจะทำให้รู้สึกไม่อยากฟังคำตอบขึ้นมาตงิดๆ
“เคสจมน้ำเมื่อคืนค่ะ” ให้มันได้อย่างงี้สิ ฉันคิด
ฉันพยายามเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ในใจกลางของความวุ่นวาย บุรุษพยาบาลหนึ่งคนกับพี่พยาบาลสองคนรุมล้อมชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่พร้อมกับเสาน้ำเกลือที่ล้มคว่ำ ถาดใส่ยากับอุปกรณ์ต่างๆ กระจายอยู่เต็มพื้น สายจากเครื่องวัดต่างๆ ที่เคยติดอยู่บนร่างกายห้อยระโยงระยางไปคนละทิศคนละทาง
“ผมต้องไปแล้ว” ชายหนุ่มตะโกนเสียงดังก่อนจะเดินเซชนโต๊ะข้างหน้า
“ไม่ได้นะคะ ยังไปไม่ได้ นอนลงก่อนเถอะค่ะ” พี่พยาบาลตะโกนตอบ ก่อนจะกรี๊ดหลบโต๊ะที่ล้มลงมา เธอมองหาความช่วยเหลือก่อนจะหันมาเห็นฉันพอดี
“คุณหมอ มาเร็วๆ” เธอทำปากกระซิบ ฉันชูมือขึ้นสองข้างขณะที่ก้าวเดินเข้าไปช้าๆ ทุกคนต่างแหวกทางให้หมอผู้หญิงตัวเล็กๆ แม้แต่พี่บุรุษพยาบาล ตอนแรกชายหนุ่มคนนั้นเขายังไม่ได้มองมาทางฉันแต่วินาทีถัดมาเขาก็หันมาสบตาฉันและนิ่งไป
“ฉันเป็นหมอนะคะ ที่นี่คือโรงพยาบาลเฮมมิช คุณบาดเจ็บและเข้ามารักษาตัวที่นี่เมื่อคืนนี้” ฉันพยายามพูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่บังคับไว้ไม่ให้สั่น ใบหน้าของเขาและผมยุ่งๆ สีดำสนิทนั่นเหมือนในฝันยิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีก
“หมอผมต้องไป” เขาพูดด้วยเสียงที่เบาลง
“ตอนนี้คุณยังไปไหนไม่ได้ คุณยังไม่หายดี ต้องรักษาให้หายก่อนนะคะ” ฉันอธิบายก่อนจะเหลือบมองมือของเขาข้างที่ถูกดึงเข็มน้ำเกลือออกมีเลือดไหลหยดลงมาเป็นทาง
“แต่ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้ ผมต้องไปๆ” เขาพูดซ้ำๆ เหมือนย้ำกับตัวเองด้วยท่าทีที่ดูสับสน
“ที่นี่ปลอดภัยดี คุณอยู่ที่นี่ไม่มีอันตรายแน่นอน” เขามองดูฉันด้วยสีหน้าลังเลก่อนจะขยับก้าวเข้ามาใกล้ ฉันได้ยินเสียงสูดหายใจดังจากเหล่าพยาบาลข้างหลัง และเสียงกระซิบรัวๆ ว่า “หมอระวังๆ” แต่ฉันก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่เพราะมีความกล้าหาญยิ่งใหญ่อะไร แต่เพราะสมองฉันเหมือนไม่รู้วิธีสั่งการไปที่ขาซะแล้ว
“นอนลงก่อนนะคะ” ฉันพยายามเกลี้ยกล่อม “เดี๋ยวฉันจะทำแผลที่มือให้”
แต่เขายังไม่หยุดและก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเข็มในมือของหมอทิมที่อ้อมไปข้างหลังก็ปักลงบนท่อนแขนของชายหนุ่ม อีกก้าวเดียวที่เขาจะเดินมาถึงฉันและทรุดลงตรงหน้าพอดี ฉันเผลอเข้าไปพยุงเขาโดยลืมไปว่าเขาคือชายโตเต็มวัยที่สูงราวหกฟุตจนเซไปพร้อมๆ กัน
“หมอช่วยผมด้วย” เขาทิ้งน้ำหนักลงมาเรื่อยๆ จนฉันแทบจะยืนไม่อยู่ ใบหน้าเขาซบลงมาบนไหล่ฉัน
“ช่วยผมด้วย ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร” ชายหนุ่มกระซิบเบาๆ
..............
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ