ฉันเป็นแค่วายร้าย Demon in Disguise
เขียนโดย AnnularE
วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 20.53 น.
แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 20.56 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ความฝัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฉันมักจะฝันถึงคนๆ นึงอยู่บ่อยๆ
"วี เราต้องไปแล้ว" เสียงของจีเซลดึงฉันออกมาจากภวังค์ สีหน้าของเธอทั้งงุนงงและหงุดหงิดปนๆ กัน ก่อนจะตัดสินใจเดินมาลากแขนฉันให้ตามเธอไป
"เธอเป็นอะไรของเธอ" หญิงสาวบ่นขณะที่ยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างรีบเร่งให้พ้นจากตรงนั้น
"จู่ๆ ก็หยุดเดินตรงนั้นแล้วไปยืนจ้องหน้าคนพวกนั้น เป็นบ้าไปแล้วรึไง" เธอตะคอก
"ฉันแค่รู้สึกเหมือนเห็นคนที่ฉันรู้จัก" ฉันตอบเธอ ใช่ ฉันรู้สึกเหมือนเห็นคนที่ทำให้ความคิดเกี่ยวกับความฝันบ้าๆ ของฉันแว๊บเข้ามาในหัว ชายหนุ่มผมดำสนิท
"เธอไม่น่าจะรู้จักใครในกลุ่มคนพวกนั้นหรอกน่า" จีเซลกล่าว เธอปล่อยแขนและหยุดลากฉันแล้วเมื่อพวกเราเดินห่างออกมาจากตรอกเล็กๆ นั่น และตอนนี้เหมือนไม่อยากเข้าใกล้ฉันแทน
"คนพวกนั้นน่ากลัวเป็นบ้า ซอยตรงนั้นก็โคตรน่ากลัว ถ้าเธอเคยรู้จักใครในกลุ่มคนพวกนั้นจริงๆ ล่ะก็ ควรจะทำเหมือนไม่รู้จักเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย"
"คนพวกนั้นเป็นใครกัน" ฉันถามอย่างสงสัยในท่าทีร้อนรนของหญิงสาว พยายามนึกถึงสภาพแวดล้อมอื่นรอบๆ เขา ฉันจำได้ว่าเราเดินมาถึงร้านเครื่องประดับเล็กๆ ที่จีเซลดูจะปลื้มเอามากๆ ฉันปล่อยเธอเข้าไปเพลิดเพลินในร้านนั้น ซึ่งเป็นร้านที่สิบเอ็ดหรือสิบสองของการช้อปปิ้งในวันนี้ ฉันจึงขอยืนรออยู่ข้างนอก จมดิ่งไปกับนิยายแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่โหลดมา และเมื่อฉันพักสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ ฉันเห็นรถยนต์คันแล้วคันเล่าแล่นผ่านไปมาบนถนน ฉันเห็นฟุตบาทฝั่งตรงข้าม เห็นตู้ไปรษณีย์บุบๆ เต็มไปด้วยสีพ่นเลอะๆ เห็นตรอกเล็กๆ มืดๆ ที่อยู่ระหว่างตึกสำนักงานเก่าๆ และอพาร์ตเมนต์ร้าง เห็นผู้ชายสามสี่คนยืนคุยกันเสียงดังในตรอกนั้น มีกลุ่มควันบางๆ จากก้นบุหรี่ลอยอ้อยอิ่ง มีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีดำหลายคันและมีเขายืนพิงกำแพงอยู่ตรงนั้น รู้ตัวอีกทีคือฉันเดินข้ามถนนมายืนอยู่ตรงนั้น ก่อนจะถูกจีเซลลากออกมา
"ก็พวกแก๊งนั่นแหละ มีทั้งพวกวัยรุ่น หรือไม่ก็พวกโตๆแล้ว แนวๆ อันธพาลอะไรเทือกนั้น" เธอตอบผ่านๆ เหมือนต้องการให้ฉันหยุดพูดเรื่องนี้เสียที
"เรายังเหลืออะไรที่ต้องซื้ออีกไหม" จีเซลตัดบทด้วยเสียงหงุดหงิดและเป็นสัญญาณว่าฉันคงต้องปล่อยผ่านเรื่องที่ค้างคาอยู่ในหัวนี้ไปหากยังไม่อยากเดินกลับที่พัก พลางปลอบใจตัวเองว่าเป็นแค่คนที่ดูคล้ายกันเท่านั้นเอง
"ฉันว่าเราได้ของที่ต้องการครบแล้วล่ะ" ฉันตอบเบาๆ
ขณะที่เราขับรถกลับ บรรยากาศในรถยังคงอึมครึมไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นของจีเซล ยังดีที่มีเพลงร็อกแสบแก้วหูจากเครื่องเสียงในรถของเธอช่วยกอบกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ รถเคลื่อนผ่านเขตเมืองไป บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวของต้นไม้ ฉันมองต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่าที่เคลื่อนผ่านไปพลางคิดสงสัยว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่
"เฮ้ เงียบเสียงกันหน่อย" อาจารย์เกรย์ที่เพิ่งจะเดินผ่านประตูเข้ามาตะโกนเสียงดังแข่งกับเสียงพูดคุยที่เซ็งแซ่อยู่รอบๆ เขาเคลื่อนตัวไปที่ด้านหน้าห้อง ทันใดนั้นเสียงพูดคุยก็เริ่มเบาลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นความเงียบและเสียงลมหายใจแห่งความตื่นเต้นเข้าแทนที่
"เอาล่ะ" อาจารย์เกรย์เริ่ม "คงจะรู้นะว่าวันนี้เราจะทำอะไรกัน ขอเกริ่นสักหน่อยสำหรับแพทย์ใช้ทุนทุกท่านในที่นี้ ถือเป็นหน้าที่หลังจากจบจากการเป็นนิสิตแพทย์ก็จะต้องออกไปใช้วิชาความรู้ที่ได้รับมาจากครูบาอาจารย์ทุกท่าน นำไปรับใช้ประเทศชาติ ประชาชน ...
"ทำไมต้องเป็นอาจารย์เกรย์มาทำหน้าที่นี้ด้วยนะ พูดยาวอ้อมโลกไปอีก ฉันจะเป็นลม" เพื่อนสาวข้างๆ ฉันกระซิบบ่น หน้าของเธอซีดเผือดและขยับหยุกหยิกอยู่ไม่สุข
"เอาน่าลิลลี่อดทนมาตั้งนาน ทนอีกหน่อย" ฉันกระซิบปลอบเธอและแตะมือเย็นเฉียบนั่น
"ขอให้ได้ไปกับเธอเถอะ" เธอพูดเบาๆ
"เราก็รู้ว่ามันไม่โชคดีขนาดนั้นหรอก" ฉันกลอกตา ไม่อาจจะพูดในสิ่งที่เห็นว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้เพียงเพื่อปลอบใจเธอ
"อย่างน้อยก็ขอไปกะคนที่พูดภาษาคนด้วยเถอะ" ลิลลี่พูดเสียงอ่อย ตาเธอเหลือบไปทางด้านซ้ายที่บิล ชายหนุ่มแว่นหนาผู้ไม่สนใจโลกนั่งอยู่ ฉันพ่นลมกลั้นขำเมื่อนึกภาพลิลลี่ต้องไปใช้ทุนร่วมกับบิล
"เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว" ในที่สุดสุนทรพจน์ของอาจารย์เกรย์ก็จบลงได้สักที "เรียงแถวกันออกมาจับสลากที่อยู่ในกล่องด้านหน้านี้ เริ่มจากแถวหน้าสุด เอ้าเชิญๆ "
...............
รถยนต์ฮอนด้าสีน้ำเงินเก่าๆ ของจีเซลเคลื่อนผ่านป้ายสีดำที่เขียนด้วยอักษรตัวใหญ่สีทองว่า 'โรงพยาบาลเฮมมิช' เธอเลี้ยวผ่านตึกสูงๆ ของโรงพยาบาลแล้วทะลุไปยังด้านข้างที่ซึ่งเป็นที่พักสำหรับบุคลากรของโรงพยาบาล บ้านเล็กๆ สิบหลังและตึกสามชั้นอีกหนึ่งหลังสำหรับทิ้งตัวลงหลังจากที่อดตาหลับขับตานอนกันมาทั้งวันทั้งคืน เครื่องยนต์เริ่มส่งเสียงดังประท้วงเมื่อจีเซลขับมาจอดที่หน้าบ้านพักหลังเล็กที่อยู่ด้านในสุด เรายกของที่ซื้อมาเข้าไปในบ้านหลังจากนั้นเธอก็ขอตัวกลับไป ทิ้งฉันไว้กับความรู้สึกผิดที่ทำเรื่องงี่เง่าให้เธอหงุดหงิด
"ทำไมกลับมาเร็วจัง" ฉันละสายตาจากหม้อบนเตาไปยังประตูห้องครัว หญิงสาวผมสั้นร่างเล็กทำจมูกฟุดฟิดกับกลิ่นสตูเนื้อ
"ดันทำจีเซลอารมณ์เสียเข้าน่ะสิ” ฉันตอบเสียงอ่อย
“โถ่ วีน้อย ไม่เห็นต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้นเลย” หญิงสาวตรงดิ่งเข้ามากอดฉัน ทำเอาน้ำซุปจากทัพพีในมือกระฉอกเลอะผ้ากันเปื้อน
“ปกติแค่ฉันหายใจก็ทำให้จีเซลอารมณ์เสียได้แล้ว”
ฉันขำออกมากับคำพูดของเบลล์ รุ่นพี่เรซิเดนซ์ที่ดูยังไงๆ ก็ดูเหมือนเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา อาจจะเพราะบุคลิกขี้เล่นและไม่เซ้าซี้ จุกจิก เธอจึงถือเป็นเพื่อนร่วมบ้านที่ฉันชอบมากๆ อาจจะเป็นคนเดียวที่อยู่ด้วยแล้วฉันรู้สึกสบายใจมากที่สุดตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่
“เอาเป็นว่าฉันไปนอนรอกินสตูดีกว่า เวรวันนี้อย่างโหด อาหารของเธออาจจะช่วยเยียวยาฉันได้” หญิงสาวบิดขี้เกียจก่อนจะเดินออกไป
“วันนี้แทบไม่มีคนไข้เลย” รุ่นพี่เบลล์พูด เธอเปลี่ยนจากยูนิฟอร์มเป็นเสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงขาสั้น
“ไหนว่าเวรวันนี้โหดไง” ฉันถามอย่างสงสัยขณะตักสตูร้อนๆ ในหม้อใส่จานเพื่อนๆ
“ก็ไม่ได้โหดตรงงานเยอะหรอก โหดตรงที่อยู่เวรคู่กะหมอทิมต่างหาก” เบลล์บ่น หญิงสาวอีกคนบนโต๊ะถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ
“ขำอะไร ริตา” เบลล์แว้ดใส่หญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างหงุดหงิด
“ริตาก็ขำรุ่นพี่เบลล์น่ะสิคะ เพราะเกลียดอะไรก็มักจะได้อย่างนั้นตลอดเลย” หญิงสาวหน้าหวานตอบ ผมสีทองยาวสลวยถูกรวบไว้เป็นหางม้า ดวงตากลมโตสีคาราเมลมีประกายขำ
“ให้ตายยังไงฉันจะต้องแลกเวรหนีอีตาหมอทิมให้ได้เลย ผู้ชายอะไรทั้งขี้หลี รุ่มร่าม ตามติดยิ่งกว่าเงา แค่พูดก็ขนลุกแล้ว” เบลล์ตัวสั่นเบาๆ “พวกเธอสองคนก็ต้องระวังอีตาหมอทิมนี่ให้ดีนะ พวกอินเทิร์นที่มาใหม่เนี่ยเป้าหมายเขาเลยล่ะ เป็นไปได้ก็อย่าไปเข้าใกล้เข้าใจไหม”
“ค่ะรุ่นพี่เบลล์” ทั้งฉันและริตาตอบพร้อมกัน
“ว่าแต่ทำไมช่วงนี้คนไข้น้อยกว่าปกติคะ” ฉันถามอย่างสงสัย ถึงแม้เมืองคาโนจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่
โรงพยาบาลเฮมมิชก็เป็นโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลในเมืองใกล้เคียง จึงมักเต็มไปด้วยผู้คนที่เจ็บป่วยมาใช้บริการเสมอ
“ก็ช่วงนี้เป็นหน้ามรสุมค่ะ อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์พยากรณ์อากาศบอกว่าพายุจะเข้า คนก็เลยไม่ค่อยมาหาหมอกัน” ริตาตอบ
“เห้อ เมืองอะไรก็ไม่รู้ ทั้งไกลทั้งเงียบทั้งเหงา ถ้าไม่ใช่คนบ้าก็ต้องเป็นคนดวงซวยอย่างพวกเรานี่แหละที่คิดจะมาอยู่ที่นี่” เบลล์ถอนใจก่อนจะตักสตูเข้าปาก
...............
“คุณวีโอเล็ต” เสียงตะคอกดังจากคนข้างๆ ทำเอาฉันสะดุ้ง
“ที่ผมพูดเรื่องคนไข้เนี่ยคุณฟังรึเปล่า” หมอโรนันจ้องฉันด้วยสายตาอำมหิตของเขา ทำเอาฉันรู้สึกโกรธตัวเองที่มัวแต่ใจลอยไปถึงตรอกมืดๆ นั่น
“เมื่อตะกี้ผมพูดว่ายังไง คุณวีโอเล็ต” หมอโรนันถามเสียงเรียบ
“เรื่องค่าเกล็ดเลือดของคนไข้เด็กค่ะ อาจารย์” ฉันตอบและได้ยินความไม่มั่นใจในน้ำเสียงของตัวเองอย่างชัดเจน หมอโรนันเลิกคิ้ว
“คุณดาวินเมื่อกี้ผมพูดว่ายังไง” เขาหันไปถามหมอผู้ชายที่ยืนอยู่อีกข้างในทันที ฉันคิดว่าเห็นความกังวลในแววตาของชายหนุ่มร่างสูงเมื่อเขาเหลือบตามองฉันเพียงเสี้ยววิ
“คนไข้เด็กอายุเจ็ดขวบ มาด้วยอาการไข้สูงสามวันและอาเจียน ให้เช็คค่าCBC ดูเกล็ดเลือด และส่งตรวจแอนติเจนกับแอนติบอดีครับ” เขาตอบ
“เห็นความแตกต่างไหมคุณวีโอเล็ต ถ้าไม่ตั้งใจ ไม่ใส่ใจ ไม่ต้องมาเป็นหมอนะ ไปเป็นอย่างอื่น อย่าทำเหมือนเรื่องรักษาคนเป็นเรื่องเล่นๆ” น้ำเสียงเยือกเย็นของหมอโรนัน แม้จะไม่ได้ตะโกนใส่หน้าฉัน แต่ก็ทำให้เจ็บได้ยิ่งกว่านั้นเสียอีก
“คุณดาวิน คุณมีเวรฉุกเฉินคืนไหนนะ”
“พรุ่งนี้ครับอาจารย์” แดนตอบ
“ดี งั้นคุณวีโอเล็ต คืนพรุ่งนี้คุณไปอยู่เวรฉุกเฉินแล้วช่วยดูแลใส่ใจคนไข้ในทุกๆ วินาทีให้สมกับที่เขาเรียกว่าหมอด้วยเข้าใจไหม” หมอโรนันสั่ง
“ค่ะอาจารย์ ขอโทษค่ะ”
“โอเครไหม” ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามที่ว่างอยู่โดยไร้ซึ่งคำขออนุญาต ฉันเงยหน้าจากถาดอาหารภาวนาไม่ให้เป็นเขาที่ฉันไม่อยากจะคุยด้วยที่สุดในตอนนี้
“จะเป็นไงล่ะ ก็เละอย่างที่นายก็น่าจะเห็นนั่นแหละ” ฉันตอบ
“อันนั้นรู้แล้ว ไม่เคยเห็นใครโดนอาจารย์โรนันพิโรจน์แล้วมีความสุขสนุกสุขสันต์หรอก ที่ถามเนี่ยคือช่วงนี้โอเครึเปล่า ทำไมดูเหม่อๆ” แดนถาม ชายหนุ่มร่างสูงใส่แว่นผมสีน้ำตาลทอง ฉันแทบจะนับคำที่เคยคุยกับเขาได้ในตลอดเวลาหกปีที่เรียนมาด้วยกัน แต่เขากลับเป็นคนที่จับฉลากชื่อโรงพยาบาลเฮมมิช เมืองคาโน หนึ่งในสองใบที่อยู่ในกล่องได้ เพื่อนร่วมชะตากรรมที่แท้จริงแล้วเป็นคนเก่ง แถมยังรอบรู้ไปซะทุกเรื่อง จนฉันเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่เคยสังเกตเห็นเขาเลยตลอดหกปีที่ผ่านมา
“ก็มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย” ฉันตอบและทำเป็นสนใจซากสปาเกตตีที่กินเหลือในถาดเพื่อเลี่ยงสายตาที่จ้องจับผิดของเขา
“เอาเถอะ ยังไงก็มีสมาธิหน่อยละกัน ฉันไม่อยากให้มหาลัยเราดูแย่กว่าที่อื่นที่มาใช้ทุนพร้อมกัน” คำพูดที่ฟังแล้วก็นึกฉุน มากับคนเก่งๆ ก็ดีอยู่หรอกนะแต่นิสัยปากหมาๆ ที่แถมมาด้วยนี่สิทำเอาปวดหัวชะมัด
“ย่ะ ขอโทษนะที่ทำให้สถาบันนายดูตกต่ำ”
“ว่าแต่เมื่อวานไปคริสเทลมาเป็นไงบ้าง” หลังจากด่าคนอื่นเสร็จก็สามารถเปลี่ยนเรื่องได้หน้าตาเฉยก็คงมีแต่คุณหมอแดนเท่านั้นที่ทำได้ เขาพูดขณะแกะกล่องแซนด์วิชแล้วส่งครึ่งหนึ่งให้ ซึ่งฉันก็รับไว้โดยคิดซะว่าเป็นคำขอโทษ
“ก็ดีมั้ง ว่าแต่นายเคยไปรึเปล่า” ฉันถามกลับพยายามไม่ใส่ความสนใจใคร่รู้ให้มากจนเกินไป
“เคยสิ” เขาตอบแค่นั้น สายตาพินิจพิจารณาไส้ทูน่าน้อยนิดระหว่างขนมปัง
“นายคิดว่าเมืองนั้นเป็นยังไง” แดนละสายตาจากอาหารและมองมาด้วยท่าทีสงสัยเล็กน้อย
“ก็ไม่ใช่เมืองที่ฉันชอบหรอก” เขาบอกสั้นๆ
“โอ้ย ขอคำอธิบายขยายความหน่อยจะได้ไหม” ฉันชักจะหงุดหงิดที่เลือกถามคนอย่างหมอนี่แทนที่จะไปหาข้อมูลเอาเองจากอินเทอร์เน็ต
“เมืองคริสเทล ห่างจากคาโน34ไมล์ พื้นที่เมืองมีขนาดใหญ่กว่าคาโนประมาณสองจุดห้าเท่า เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจค่อนข้างมากเนื่องจากมีพื้นที่ส่วนใหญ่ติดกับทะเล จึงเป็นเมืองท่าสำคัญสำหรับการขนส่งสินค้าทั้งนำเข้าและส่งออก สินค้า..”
“พอๆ เอาเป็นว่าข้ามเลคเชอร์วิชาภูมิศาสตร์ไป เอาตรงที่ว่าทำไมนายไม่ชอบเมืองนี้เลยได้ไหม”
“ก็นะ เมืองใหญ่ก็เรื่องเยอะ รู้รึเปล่าว่านอกจากจะเป็นหนึ่งในสามเมืองท่าที่สำคัญ ก็ยังเป็นหนึ่งในสามของเมืองที่อันตรายที่สุดด้วย” แดนอธิบายต่อเมื่อสังเกตเห็นคิ้วที่ขมวดยุ่ง “คริสเทลเป็นเมืองที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมค่อนข้างสูงและขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งยาเสพติดน่ะ”
“เดี๋ยวนี้ยังมีอีกหรอ ดินแดนเถื่อนที่อยู่นอกกฎหมาย” ฉันสงสัย
“เยอะแยะไป” แดนตอบ “ว่าแต่เมื่อวานไปเหยียบเท้าใครในเมืองนั้นมารึไง ถึงได้สนใจนัก”
“เปล่าน่า แค่รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ”
“อะไรล่ะที่ว่าแปลก” เขาซักไซ้จนฉันตัดสินใจเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานโดยตัดทอนบางสิ่งบางอย่างออกไป
“ก็เมื่อวาน ฉันกับจีเซลเดินผ่านกลุ่มคนในตรอกแล้วเธอก็มีท่าทีแปลกๆ เหมือนกับว่าคนพวกนั้นอันตรายสุดๆ” คิ้วแดนเลิกขึ้นเป็นคำถาม “ก็ใช่ จากลักษณะก็คงไม่ใช่กลุ่มคนที่น่าเข้าไปผูกมิตรด้วย แต่ท่าทีของเธอมันดูมากกว่านั้นน่ะ ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน” ฉันพยายามอธิบาย
“เชื่อสัญชาตญาณคนพื้นที่ไว้ก่อนน่ะถูกแล้ว จีเซลเป็นคนที่นี่ก็คงคุ้นเคยกับคริสเทลดีกว่าพวกเรา ดีแล้วแหละที่เธอไปกับจีเซล ไม่งั้นอาจารย์โรนันแกคงจะเหงาปากแย่ถ้าไม่มีใครให้ด่า” แดนออกความเห็น
“ย่ะ งั้นก็ขอแสดงความยินดีกับนายด้วยเลยละกันนะ ที่ฉันจะยังคอยอยู่เป็นรอยด่างดำของสถาบันนายต่อไป” ฉันพยายามเลียนแบบการพูดกวนๆ ชวนให้แสบๆ คันๆ ของหมอแดนแต่รู้ดีว่าทักษะยังห่างไกลนัก
“ด้วยความยินดีเลย” เขาตอบด้วยรอยยิ้มกวนๆ
...............
เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรงตอนที่ฉันเดินสะโหลสะเหลเข้าไปที่ชั้นหนึ่งแผนกฉุกเฉิน
“อ้าวหมอ ทำไมยังไม่กลับอีกคะ” พี่หัวหน้าพยาบาลที่เคาน์เตอร์เอ่ยทักเสียงสดใส
“ก็มาอยู่เวรน่ะสิคะ” ฉันตอบเธอขณะหยิบชาร์ทคนไข้ขึ้นมากวาดตาดูคร่าวๆ
“แต่ว่าวันนี้เป็นเวรหมอแดนไม่ใช่หรอคะ หมอแดนไม่สบายหรือคะ” ฉันส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ตานั่นน่ะ คงจะสบายดีมากๆ เลยล่ะค่ะ”
“อ้าวแล้วทำไมกัน” เธอถามอย่างสงสัย
“ก็ฉันโดนอาจารย์หมอโรนันทำโทษ ให้มาอยู่เวรแทนน่ะค่ะ” เธอหัวเราะคิกเมื่อได้ยินคำตอบ แล้วก็หยุดทันทีเมื่อฉันละสายตาจากชาร์ทในมือไปถลึงตาใส่
“ก็เป็นการทำโทษที่สมเป็นจอมโหดแห่งเฮมมิชดีนี่คะ แต่หมอวีอะน่าตีมากเลยค่ะ แทนที่พวกพี่จะได้อยู่กับคุณหมอหนุ่มๆ ให้มันกระชุ่มกระชวยหัวใจบ้าง” เธอทำหน้าผิดหวัง
“เอาเป็นว่าอยู่กับคุณหมอสุดสวยไปก่อนนะคะ”
“โถ่ หมอครับที่พูดนี่ได้ส่องกระจกก่อนมารึเปล่า” บุรุษพยาบาลร่างใหญ่ที่เพิ่งเดินผ่านมาแซว
“เดี๋ยวเถอะ” พี่หัวหน้าพยาบาลดุและยกมือขึ้นตีไปที่หลังของชายหนุ่มเต็มแรงจนเขาร้องโอ้ยแล้วรีบวิ่งหนีไป
“หมออย่าไปสนใจเลยค่ะ เด็กพวกนี้ปากมันก็แบบนี้” ฉันหัวเราะแห้งๆ ให้เธอ ก็ถ้าจะมีใครห่างไกลคำว่าสวยก็คงจะเป็นฉันนี่แหละ
“แต่หมอวีดูเหนื่อยๆ นะ จะไหวหรอคะ เมื่อวานก็เพิ่งอยู่เวรไป” เธอออกความเห็นด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ไม่ไหวก็ต้องไหวแล้วล่ะ ฉันยังไม่อยากโดนอาจารย์โรนันจับเฉือดค่ะ” แค่คิดก็ตัวสั่นแล้ว
“งั้นหมอไปพักล้างหน้าล้างตาก่อนก็ได้นะ ตอนนี้คงไม่มีอะไรหรอก ข้างนอกพายุเข้าแรงเลยค่ะ” เธอบอก
ฉันเงยหน้ามองกระจกขณะล้างมือ หญิงสาวคนหนึ่งมองตอบกลับมา ผิดเธอดูซีดขาว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนดูอิดโรย รอยคล้ำน้อยๆ เริ่มปรากฏที่ใต้ตาจากความอ่อนล้า ผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มถูกมัดรวบเป็นหางม้าไว้ข้างหลังแต่ก็หลุดลุ่ยจนดูกระเซอะกระเซิงไปหมด เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่บุรุษพยาบาลถึงได้พูดแบบนั้น แต่สำหรับแพทย์อินเทิร์นปีแรกนี่นับว่าเป็นสภาพที่ยังไม่เลวร้ายนักถ้าเทียบกับสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากรุ่นพี่ ฉันวักน้ำเย็นๆ ล้างหน้าหวังว่าจะช่วยให้ตื่นตัวได้บ้าง เวรห้องฉุกเฉินเป็นอะไรที่โหดร้ายอยู่พอสมควรโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกที่มีดวงขยันก็มักจะแทบไม่มีเวลาหายใจหายคอ สิ่งสำคัญคือต้องตื่นตัวอยู่เสมอเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ในทุกวินาทีจริงๆ ฉันดึงหนังยางที่มัดรวบผมไว้ออกพยายามเอามือสางเส้นผมที่พันกันไปมาแล้วมัดมันใหม่ งัดอาวุธเพิ่มความงามชิ้นเดียวที่มีติดกระเป๋าเสื้อกาวน์คือลิปมันสีชมพูออกมาทาที่ริมฝีปากให้หน้าดูมีสีขึ้นมาบ้าง ฉันมองภาพรวมในกระจกแล้วรู้สึกพอใจในผลงานระดับนึง
แล้วเสียงตะโกนเอะอะก็ดังมาจากด้านนอก ชั่ววินาทีนั้นสารอะดรีนาลีนแห่งความตื่นตัวในห้องฉุกเฉินของฉันก็ทำงานทันที มันทำให้ตื่นตัวเสียยิ่งกว่าน้ำเย็นๆ ที่ใช้ล้างหน้าเมื่อตะกี้เป็นร้อยเป็นพันเท่า และนอกจากนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวขณะที่กระชากประตูและวิ่งออกไป หน้าเคาน์เตอร์ที่เมื่อครู่ยังมีพี่พยาบาลอยู่กันหลายคนบัดนี้เหลือเพียงแค่หนึ่ง โดยไม่ต้องถามอะไรจากสีหน้าและท่าทางร้อนรนของเธอ เท้าและสัญชาตญาณพาฉันวิ่งออกไปทางประตูใหญ่ของห้องฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ ท่ามกลางความมืดและม่านฝนมีรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่ ทุกๆ คนกำลังพุ่งตัวไปยังจุดนั้น เสียงตะโกนขอเตียงเข็นจากบุรุษพยาบาลที่วิ่งไปถึงก่อนและกระโดดขึ้นไปเป็นคนแรก เขาเข้าไปช่วยคุณลุงยกร่างของชายคนหนึ่งขึ้นมาพยุงไว้ ฉันไปถึงพร้อมกับเตียงที่เข็นตามมาติดๆ ร่างสูงไร้สติถูกยกขึ้นไว้บนเตียงอย่างทุลักทุเล
“จมน้ำครับหมอ มีแผลเลือดออกที่ไหล่ขวาด้วย” พี่บุรุษพยาบาลตะโกนแข่งกับสายฝน ฉันสัมผัสร่างเย็นเฉียบและเพ่งมองเลือดอุ่นๆ ที่กำลังไหลรินจากปากแผลในความมืด นึกถึงหูฟังสเต็ปที่วางทิ้งไว้สักแห่งที่แถวห้องน้ำอย่างหงุดหงิด มือคลำหาชีพจรบริเวณลำคอและแนบหูลงบนหน้าอกที่แทบจะไม่ขยับ
“ไม่หายใจ คลำชีพจรไม่ได้” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ก่อนจะตัดสินใจกระโดดขึ้นไปคร่อมร่างบนเตียง ไม่ได้มีใครตกใจกับการกระทำของฉัน ทุกคนกำลังทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองอย่างเต็มความสามารถท่ามกลางฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไร้ความปรานี ฉันหาตำแหน่งคร่าวๆ และเริ่มกดไปที่หน้าอกขณะที่เตียงถูกเข็นเพื่อกลับเข้าไปยังห้องฉุกเฉิน
“เตรียมเครื่องกระตุ้นหัวใจ เตรียมเลือดด้วย” ฉันตะโกนสั่งสลับกับก้มลงไปเป่าลมที่ริมฝีปากเย็นเฉียบนั้น เตียงถูกเข็นอย่างรวดเร็วแต่มั่นคงโดยพี่บุรุษพยาบาลร่างใหญ่พร้อมกับพี่พยาบาลที่วิ่งตามมาติดๆ ทันทีที่เราก้าวเข้าสู่ประตูห้องฉุกเฉิน ฝนเม็ดใหญ่ที่กระหน่ำใส่อย่างไร้ความปรานีก็หมดไป แสงสว่างส่องกระทบร่างเปียกปอนทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด หยดน้ำที่เกาะตามเรือนผมและใบหน้าของฉันหยดลงบนใบหน้าซีดเผือดเบื้องล่างขณะที่ฉันใช้ความพยายามทั้งหมดออกแรงกับมือที่ประสานอยู่บนหน้าอกเขา แสงส่องสว่างกระทบใบหน้าของชายหนุ่มเมื่อเขาค่อยๆ ปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ วินาทีที่เราสบตากันมุมปากของเขายกขึ้นเหมือนเป็นรอยยิ้มบาง และชั่ววินาทีนั้นเองฉันจ้องมองใบหน้าที่มักวนเวียนอยู่ในความฝันตลอดมา
...............
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ