ตุ๊กตาเทวา
เขียนโดย ประพันธ์กรขาจร
วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.
แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) บทที่ 15 วันว่างๆของนิพนธ์ (2)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เป็นเรื่องธรรมดาของวันอาทิตย์ในร้าน Magic Cup ที่จะมีลูกค้ามากมายจนแทบจะบริการแทบไม่ทัน
ด้วยการผนึกกำลังของคุณสมชายและพี่พิมที่ล่อลวงลูกค้าด้วยรอยยิ้มให้มาเสียเงินกับค่ากาแฟของเราอย่างชนิดหมู่ผึ้งที่บินหาดอกไม้ทำเอาผมหายเบื่อที่ไม่ได้เจอนาฏยา เอ่อ ไม่สิ ไม่ได้ไปโรงเรียนต่างหาก
แต่ที่น่าปวดหัวอีกเรื่องคือ ยายดุจดาววันนี้พาเพื่อนร่วมห้องจำนวนหนึ่งมาสังเกตการณ์ภายในร้านด้วยเพื่อจะได้นำไปปฏิบัติในงานโรงเรียน โดยใช้ห้องพักพนักงานเป็นฐานบัญชาการชั่วคราว โดยมีข้อแม้ว่า ทุกคนจะต้องสั่งเมนูในร้านอย่างน้อยคนละ 1 อย่างเป็นการแลกเปลี่ยน
รอบนี้ยายดุจดาวนับว่ามาต่างจากทุกครั้ง แววตาของยายนี่มีความมุ่งมั่นและสมาธิกับสิ่งที่ตั้งใจ มือถือปากกา คอยจดอะไรบางอย่างลงสมุดเล็กๆ
ส่วนอีกคนก็คือยายสายฝน แต่วันนี้ไม่มีคำพูดถากถางใดๆหลุดรอดออกจากปากของยายนี่แม้แต่คำเดียวเพราะจดจ่ออยู่กับการเรียนรู้พวกอุปกรณ์
พอเห็นแบบนี้ผมเองในฐานะที่เป็นเจ้าถิ่นก็ต้องแสดงถึงการทำงานระดับมืออาชีพให้พวกนั้นได้เห็นบ้าง
“เดินช้าๆสิฟะ เดี๋ยวก็ชนกันหรอก”
“อ่า ขอโทษๆ”
เจ้ากวีเอ็ดผมเข้าให้ขณะที่เราเดินสวนกัน สงสัยจะโชว์พาวมากไปหน่อย
วันนี้ผมขอเขาเข้ากะเช้าเพื่อจะได้เลิกงานไว พอถึงเวลาเลิกงานตอน 6 โมงเย็น ผมก็บอกกล่าวลา และออกกะงานไปทันทีอย่างรวดเร็ว
ผมปั่นจักรยานคู่ใจออกมาจนถึงป้ายรถเมล์หน้าโรงพยาบาล แถวนี้มีช่องให้จอดจักรยานได้อยู่ หลังจากที่ผมคล้องโซ่ล็อคล้อเรียบร้อยก็โบกรถเมล์วนข้ามฟากมาอีกฝั่งที่เป็นโรงหนังชื่อดัง มองเวลาก็เห็นว่าผ่านมาแค่ 22 นาที
ยังไม่สายแฮะ
ผมส่งข้อความหาอีกฝ่าย ไม่นานก็ได้เรื่อง
“นิพนธ์”
เสียงใสแว่วมาจากอีกทาง ผมหันไปมองก็เห็นว่าเป็นนาฏยา คนที่ผมกำลังรออยู่
เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวมีระบายตรงกระดุมใส่ทับในกระโปรงสามส่วนสีน้ำตาลอ่อนเรียบๆ
รองเท้าหุ้มข้อส้นเตี้ยสีน้ำตาลอ่อน สะพายกระเป๋าใบเล็กดูน่ารักดี
หมายถึงกระเป๋านะ
ทรงผมเปลี่ยนจากเปียยาวคู่มาเป็นหางม้าที่ผูกด้วยโบว์สีน้ำตาล
ยายนี้เห็นเหมือนเป็นคนเชยๆแต่ก็ดูท่าว่าจะแต่งตัวเป็นสินะ จะว่าไปนี้แต่งหน้าบางๆด้วยงั้นเรอะ
ถึงแม้ว่าชุดไปรเวทของนาฏยาจะทำให้ผมตะลึงอยู่บ้างก็จริงอยู่ แต่เธอช่วยทำอะไรกับไอ้ผมหน้าม้าที่ยาวลงมาเหมือนผ้าม่านอย่างนั้นหน่อยได้ไหม
“ฉันถือวิสาสะเลือกที่นั่งเองแล้วก็ซื้อตั๋วมาแล้วนะ”
เธอชูตั๋วหนัง 2 ใบขึ้นมาตรงหน้า ท่าทางดูเหมือนสำนึกผิดเล็กน้อย
จะเอาขึ้นมาบังทำไมกันเล่า!! เกะกะ
ทำไมผมรู้สึกใจเต้นแปลกๆ สงสัยเพราะรีบถีบจักรยานมา
“ไม่เป็นไร อะ เดี๋ยวฉันจ่ายค่าตั๋วหนังเอง” ผมทำท่าจะหยิบกระเป๋าเงินออกมา แต่อีกฝ่ายห้ามเอาไว้ก่อน
“ไม่ละๆ อันนี้คือ เป็นการขอบคุณและขอโทษนะ อะ แต่ถ้าจะขอบคุณและขอโทษ มันก็ต้องมี 2 อย่างสิ งั้นอันนี้คือขอบคุณ ส่วนขอโทษเดี๋ยวเป็นเลี้ยงข้าวนะ”
“ไม่ต้องขนาดนั้นมั้ง”
“ไม่ได้หรอก เธอต้องโดนพักการเรียนเพราะฉัน”
“ที่จริงฉันเองต่างหากที่ไม่เลือกวิธีละนะ เอาเป็นว่าเธอเลี้ยงหนังละกัน ส่วนฉันเลี้ยงข้าว เดี๋ยวคนอื่นรู้เข้าว่าเธอจ่ายคนเดียวหมดละก็ ฉันก็โดนรุมทึ้งพอดี”
“จะดีเรอะฉันเป็นคนชวนมาแท้ๆ”
“เอาน่า ถือว่ามาเที่ยวกันละกันนะ”
นาฬิกาของมือถือบอกเวลา 21.08 น. ผมยืนโบกมือลาให้กับสาวแว่นอย่างมีความสุข ผมใช้เวลาอยู่พักหนึ่งขณะกินข้าวว่าจะมาส่งเธอ จนในที่สุดเธอก็ตกลง โดยผมใช้ข้ออ้างเรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง
จากตรงนี้มองเห็นตัวตึกที่เป็นคอนโดฯชัดเจนและทางเข้าที่มีป้อมยามเปิดไฟสว่างกับเจ้าหน้าที่ที่ดูกระปรี้กระเปร่าดี
ตัวตึกคอนโดฯสูง 6 ชั้น เรียงกัน 4 ตึก ท่าทางเหมือนพวกมีเงินเขาอยู่กัน
นี้นาฏยาเป็นพวกลูกคุณหนูงั้นเรอะ
ผมพยายามยืนมองดูเพราะอยากรู้ว่าเธออยู่ตึกไหน โดยที่จะทำไปทำไมก็ไม่รู้
แต่ผมรู้สึกถึงสายตาจากอีกด้านหนึ่งจึงหันไปมอง แต่ก็ไม่พบใครด้านหลังเป็นถนน ซ้ายคือป้ายรถเมล์ที่ว่างเปล่า ส่วนขวาคือตึกแถวที่มีป้ายพวก อะไหล่รถ หรือร้านแทงก์น้ำที่ปิดบริการแล้ว
สงสัยจะคิดไปเอง
พอหันกลับมาอีกครั้งก็ไม่พบตัวนาฏยาแล้ว
โถ่โว้ย พลาดซะได้ เลยไม่รู้ว่าอยู่ตึกไหน
“หาอะไรเรอะคะ พี่นิพนธ์?”
“หวา!!!”
“ตกใจอะไรคะ ไม่ใช่ผีซักหน่อย”
หัวใจผมเต้นระส่ำระสายจนเกือบจะวายจนตายคาที่
ยายรัตติกาล ประธานนักเรียนของเรานั้นเองที่มายืนอยู่ข้างๆกับผม
เท้าเบาชะมัด ไม่เห็นจะได้ยินเสียงเลย
ชุดไปรเวทแสนจะธรรมดา ด้วยเสื้อยืดกางเกงวอร์มมียี่ห้อและรองเท้าผ้าใบแบบที่ผมไม่เคยเห็น
ปกติจะเห็นยายนี้มัดผมแกละอยู่ตลอด แต่พอมาเจอแบบปล่อยผมยาวแบบนี้แปลกประหลาดพิกล มือข้างหนึ่งถือถุงจากร้านสะดวกซื้อในซอยที่อยู่ใกล้ๆ
“เธออยู่แถวนี้เรอะ” ผมถามหลังจากที่หายใจทั่วท้องแล้ว
“ใช่ค่ะ” รุ่นน้องตอบเสียงเรียบ
“แล้วพี่นิพนธ์ละคะ ไม่ได้อยู่แถวนี้ไม่ใช่เรอะ”
“ใช่ๆ ไม่ได้อยู่แถวนี้หรอก”
“นั่นสิคะ แล้วมองอะไรอยู่เหรอคะ?”
“ป้าว ไม่ได้มอง” ผมตอบเสียงสูง ขนาดตัวเองพูดเองยังคิดเลยว่ามีพิรุธ
“ถ้าพี่นาฏยาละก็ อยู่ตึกที่ 2 นะคะ ชั้นที่5”
“หา อะไร นี่เธอ ฉันหลุดปากอะไรไปงั้นเรอะ?” ผมโวยวายก่อนจะสงบใจลงในช่วงท้าย ยอมแพ้ว่าเราคงจะพลาดเอง
“ก็เห็นพี่นาฏยาเดินเข้าไปนะคะ ก็เลยคิดว่าน่าจะใช่ แต่สรุปว่าใช่จริงๆสินะคะ อะฮะๆๆๆ”
รัตติกาลหัวเราะปากกว้างชอบใจอย่างไม่สมกับเป็นกุลสตรีศรีสยาม
หน่อยแน่ยายเด็กบ้านี่!!!!
“แล้วเธอรู้ตึกกับชั้นได้ยังไง สนิทกันเรอะ”
“ไม่สนิทหรอกค่ะ ไม่เคยคุยกันสักคำ แต่อยู่ตึกเดียวกันนะคะ หนูอยู่ชั้น 6”
ที่จริงผมพอจะเดาได้อยู่แล้ว จากยี่ห้อเสื้อผ้าของท่านประธาน แต่แค่ตอนแรกชั่งใจอยู่ว่าเป็นของแท้รึเปล่า
“วิจารณ์เสื้อผ้าของสาวน้อยแบบนี้ไม่ดีนะคะ”
อ่านใจได้รึไง!!
“สายตาพี่มันบอกนะคะ เอาเถอะค่ะ นี้ก็ดึกมากแล้ว เห็นแบบนี้หนูเองก็งานยุ่งนะคะ เอาไว้เจอกันที่โรงเรียนนะคะ พี่นิพนธ์”
รัตติกาลขยับตาข้างเดียวให้ผมก่อนจะเดินผละจากไป
ท่าทางกระแดะซะจริง
“เอ่อ ลืมบอกไปอย่างหนึ่ง พวกพี่ชัยนะ เห็นว่า ทางญาติๆเขาดิ้นรนจนไม่ต้องติดคุกแล้วกลับมาอยู่บ้านได้แล้วนะคะ”
“ก็ดีนี้” ผมตอบกลับไป ไม่ได้สนใจอะไรนัก แต่ไอ้ที่ว่าดิ้นรนจนไม่ต้องติดคุกนี้ หึ ที่ไหนๆก็ไม่ต่างกันนะ
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ คุณพี่”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ