ตุ๊กตาเทวา

-

วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.

  25 บท
  2 วิจารณ์
  18.62K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) กิจกรรมวันสถาปนาและห้องสภานักเรียน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

      “สวัสดีค่ะ  พบกันอีกครั้งกับการปราศรัยตอนเช้าของสภานักเรียนประจำสัปดาห์นะคะ 

ดิฉัน  รัตติกาล  จิตรัก  ประธานนักเรียนที่น่ารักของทุกท่านเองค่ะ  อีก 3 สัปดาห์  ก็จะครบรอบวันสถาปนาของโรงเรียน ทินกรวิทยาแล้วนะคะ  เป็นที่รู้กันว่าทางเราจะมีงานจัดแสดงต่างๆของแต่ละห้องแต่ละชุมนุมกัน

ดังนั้น  ก็ใช้เงินงบประมาณกันให้ดีๆนะคะ  ส่วนใครจะนอนค้างที่โรงเรียนช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนก็ทำเอกสารมาให้เรียบร้อยด้วยนะคะ  ไม่เช่นนั้นก็จะมีบทลงโทษกันละค่ะ 

สุดท้ายนี้เป็นช่วงหน้าฝนแล้ว ก็ขอให้ระวังสุขภาพกันด้วยนะคะ   พวกที่คิดจะป่วยการเมืองก็เตรียมตัวรับผลกระทบได้เลย

รัตติกาล  จิตรัก  ประธานนักเรียนที่น่ารักของทุกท่านขอลาไปก่อน

สวัสดีค่า”

เป็นการปราศรัยที่ตรงไปตรงมาดี

ที่พึ่งจบไปคือเสียงตามสายตอนเช้าหลังเคารพธงชาติที่จะหมุนเวียนกันไปแต่ละวันใน 1 อาทิตย์

วันนี้มีฝนตกปรอยๆ  ถือเป็นเรื่องดีที่เราไม่ต้องไปยืนเข้าแถวที่ลานหน้าเสาธงให้เสี่ยงไข้  เพียงแค่ยืนหน้าห้องตัวเองก็พอ

พูดถึงงานสถาปนาโรงเรียน ก็ต้องขอเล่าว่าเมื่อปีที่แล้วมันทำผมลำบากสุดๆ  โรงเรียนจะจัดกิจกรรมของแต่ละห้องแต่ละชุมนุมกัน  ผมเมื่อปีก่อนสังกัดอยู่ชุมนุมวารสารโรงเรียน

ผมเข้าไปตามเจ้าชูใจ และเพราะคิดว่างานมันคงไม่มีอะไรมากนัก  งานมันก็ไม่มีอะไรมากจริงๆ  เรายุ่งแค่ช่วงวันที่ 20 ของทุกเดือน  เพราะต้องทำเล่มให้เสร็จก่อนวันที่ 1 ของเดือนถัดไป

หน้าที่ของผมคือ พิสูจน์อักษร  แต่ปีนั้นดันเกิดข้อผิดพลาดขึ้น

ชุมนุมวรรณกรรมดันเขียนเรื่องที่ลงประจำไม่เสร็จ  แถมเจ้าตัวคนเขียนดันไวเป็นปรอท หนีรอดการจับกุมของเราไปได้ทุกปลายนิ้ว  คราวนี้กลายเป็นว่าหน้าที่นั้นตกลงมาอยู่ที่ผม  โดยการเขียนเรื่องสั้นไปลงในนั้นแทน  ด้วยเหตุผลว่า  ผมชอบอ่านนิยาย  คงจะเขียนได้

อ่านเยอะไม่ได้แปลว่าจะเขียนไปนะโว้ย

ไหนงานพิสูจน์อักษรเป็นกะตั๊กอีก และแน่นอนว่าผลตอบรับมันก็ออกมาอย่างที่น่าจะรู้กัน

เละครับ

แหม ระหว่างประพันธ์กรจำเป็นที่เปิดเรื่องแรกกับสมาคมวรรณกรรมมากประสบการณ์  มันก็น่าจะรู้ๆกันอยู่  เหล่าแฟนคลับขาประจำที่รออ่านงานของเขาก็เลยมาแสดงความเห็น  สับผมกันในเว็บบอร์ดโรงเรียนซะยับ

ดีนะ ผมใช้นามปากกา  ไม่งั้นคงโดนตามรังควานในชีวิตจริงด้วย

แต่ทว่าปีนี้ผมขอกราบลาละครับทุกท่าน  สำหรับกิจกรรมชุมนุมสุดจะวัยรุ่นอะไรแบบนั้น  เนื่องเพราะว่าตอนนี้ผมได้ย้ายมาอยู่กลุ่ม  ‘เด็กพาร์ทไทม’  สโมสรของเหล่าคนยุ่ง

โรงเรียนทินกรมีกลุ่มนักเรียนที่พิเศษกว่าโรงเรียนอื่นคือกลุ่ม พวกนักเรียนที่ทำงานพาร์ทไทมหลังเลิกเรียน  ซึ่งพวกผมจะได้รับข้อยกเว้นในการสังกัดชุมนุม 

แต่กลับต้องมีรายงานทุกอาทิตย์ส่งฝ่ายปกครอง  เพื่อจะกลายเป็นคะแนนในส่วนของวิชาชุมนุมและแน่นอนว่ามันจะมีการสุ่มตรวจสถานที่ทำงานว่านักเรียนคนดังกล่าวทำงานจริงหรือไม่ และทำงานเป็นอย่างไรบ้าง

หากตรวจเจอว่าใครเป็นพวก ชมรมกลับบ้านละก็  ไม่เหลือซากครับ

ทำให้ปีนี้  ผมคงได้เดินดูงานโรงเรียนสบายตัวละ

 

 

 

      คิดได้ดังนั้นไม่เกินชั่วโมง  ในช่วงโฮมรูมพวกเพื่อนๆในห้องก็ทำลายฝันของผมเละคามือไปอย่างรวดเร็ว

นั้นเพราะว่ามีมติว่า ทางห้อง ม.5/3 ของเรานั้นจะจัดกิจกรรม  คาเฟ่ร้านกาแฟกัน  โดยมีหัวหอกเรื่องนี้คือยัยดุจดาว  เสียงเงิน

หนอยแน่!!!

รู้นะว่าคิดอะไรอยู่  ยัยนี่คงจะอยากเห็นเจ้ากวีตอนทำงานละสิ  ไม่สิต้องยิ่งกว่านั้น  คงจะอยากทำงานคู่กับเจ้ากวีเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ละสิ!!!

และรายละเอียดของงานก็มาตกอยู่ที่ผมกับเจ้ากวี เพราะพวกเราทำงานอยู่ที่ร้าน กาแฟ  Magic  Cup

แค่ผมนึกถึงกองเอกสารการขออนุญาต ใบสั่งซื้อ  เอกสารยืมอุปกรณ์ ก็อยากจะเป็นลมล้มพับตายๆไปซะ

ลืมบอกไปอย่างหนึ่ง

ยัยดุจดาวนะ คือหัวหน้าห้องของผมเองนี้ละ

ที่จริงผมไม่รู้ว่าทางโรงเรียนคิดอะไรกับการที่ยอมเปิดให้นักเรียนนอนค้างคืนที่โรงเรียนทั้งๆที่อยู่ในสถานะการณ์ที่ยังจับคนร้ายไม่ได้แบบนี้

อาจเพราะกลัวเด็กเครียดละมั้ง หรือไม่ก็หวังกำไรจากงานนี้ เพราะในวันที่ 2 ที่เป็นวันสุดท้ายเราเปิดขายบัตรให้คนนอกเข้ามาได้ด้วย

ช่วงหมดคาบที่ 4  ผมเดินไปที่ห้องสภานักเรียนที่อยู่ทางชั้น 1 ด้านทิศตะวันตกตึกเดียวกับห้องเรียนของผม

เพื่อจะเอาเอกสารขออนุญาตว่าเราจะทำคาเฟ่ร้านกาแฟไปยื่นเสนอ  ทั้งๆที่มันควรจะเป็นหน้าที่ของหัวหน้าห้องแท้ๆ

แต่ยัยดุจดาวบอกว่าจะปรึกษาขั้นตอนต่อไป  กับเจ้ากวี  จึงให้ผมมาส่งแทน  เผื่อมีคำถามเกี่ยวกับร้านกาแฟจะได้ตอบได้ทันที

ก่อนจะปรึกษาขั้นต่อไปกันมันต้องรออาจารย์ประจำห้องกับทางสภานักเรียนอนุมัติก่อนไม่ใช่รึไง

ประตูห้องสภานักเรียนเป็นอะลูมิเนียมสีบรอนซ์ทอง  ครึ่งบนเป็นกระจกดำ  ไอ้ประตูแบบนี้มักจะเป็นห้องแอร์ทั้งนั้น

ผมดันประตูเข้าไปพร้อมกล่าวคำขออนุญาต 

ด้านในกว้างเท่ากับห้องเรียน แต่โต๊ะถูกจัดเอาไว้ต่างกัน

ซ้ายมือของผมเป็นกระดานไวด์บอร์ด เหนือกระดานมีผ้าใบม้วนอยู่  มีเครื่องฉายแขวนอยู่ตรงเพดานกลางห้อง

โต๊ะเรียงหันหน้าเข้าหากันตามแนวความยาวของห้องทั้งด้านซ้ายและขวา  เว้นที่ตรงกลางพอสมควร

ฝั่งตรงข้ามที่ผมยืนอยู่มีโต๊ะที่ตัวใหญ่กว่าเพื่อน  หันหน้าออกมาทางประตู ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโต๊ะท่านประธานนักเรียนชัวร์

นอกนั้นก็มี แอร์ติดเพดาน  กระติกน้ำร้อน แก้ว ช้อน ตู้เอกสารใบใหญ่ 3 ตู้  และตู้เย็น

ยังกับออฟฟิศของบริษัทเอกชน

แค่นั้น

แค่นั้น  หมายถึง  มีแค่สิ่งของ แต่ไม่มีใครอยู่เลย

จริงอยู่ที่โรงเรียนมันเลิกไปแล้วประมาณ 10 นาที แต่ไม่น่าจะกลับบ้านไวกันขนาดนั้นไม่ใช่เรอะ  พวกสภานักเรียนนะ

ผมปิดประตูเดินถอยออกมา  กำลังจะหันหลังกลับ  หางตาก็ดันไปเห็นคนหน้าตาคุ้นกำลังเดินมาจากอีกฝั่งนอกอาคาร

ผยืนรอที่เดิมจนทางนั้นเดินมาถึงและเอ่ยปากกล่าวทักทายไป

“เอาเอกสารเรื่องกิจกรรมวันสถาปนามายื่นครับ” 

“อ๋อๆ ขอโทษนะคะคุณพี่ที่ปล่อยให้รอ  เข้ามาเลยค่า”  ยัยเด็กรุ่นน้องพูดด้วยท่าทางยิ้มแย้มแล้วผลักประตูเข้าไป

ท่าเดินโยกตัวไปมาเล็กน้อยทำให้ผมแกละสั้นๆทั้งสองข้างที่มัดไว้สูงแต่ค่อนมาทางด้านหลังแกว่งไปมาตามแรงดูน่ารำคาญ  เป็นท่าเดินที่ผมเห็นเป็นประจำ  ยัยเด็กนี่นั่งลงที่เก้าอีกหลังโต๊ะตัวที่ใหญ่ที่สุด

ผมขอแนะนำให้รู้จัก

รัตติกาล  จิตรัก  เด็กสาว ม.4  ผู้เป็นประธานนักเรียนของพวกผมเอง

เห็นยัยนี้แล้วนึกถึงเจ้าชูใจ  ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มตลอด  เวลาคุยกันดวงตากลมโตนั่นจะจ้องมองคู่สนทนาไม่ล่อกแล่ก  บ่งบอกถึงความมั่นใจและอาการสนใจในการพูดคุย  ถึงจะเป็นเด็ก ม.4 แต่เวลาต้องออกงานก็วางตัวได้น่าชื่นชม  เป็นพวกอยู่ไม่สุขเหมือนพี่เบล ต้องหาอะไรทำหรือหาเรื่องพูด

“พี่นิพนธ์จะทำอะไรหรือคะ  เป็นพวกพนักงานพาร์ทไทมไม่ใช่เรอะคะ”

“ที่ห้องจะทำร้านกาแฟนะครับ  รู้จักผมด้วยเรอะ”  ผมยื่นใบขออนุญาตส่งให้ข้ามโต๊ะไป

“อ้าว รู้จักสิคะ  คนที่เขียนนิยายสั้นลงวารสารโรงเรียนเมื่อปีที่แล้ว ที่ใช้นามปากกาว่า  ‘ทิชากรร้อยเรียง’  ใช่ไหมละคะ  ทิชากรคือนก  มาจากนามสกุล สกุณาวงศ์    ส่วนคำว่าร้อยเรียงมาจากชื่อ คือ นิพนธ์  เอามาสลับที่กันเพื่อความสลวยของคำ”   ประธานสาวรับเอกสารไปพิจารณา

“เธอพูดเรื่องอะไรนะ  ไม่ใช่ฉันซักหน่อย” คำสุภาพหายไปจากประโยค  ผมรีบปฏิเสธเสียงแข็ง  อุตส่าห์ให้คนในชุมนุมเงียบไว้แล้วแท้ๆ แล้วทำไมคนนอกชุมนุมยังรู้ได้ละ  มีคนทรยศงั้นเรอะ

ไอ้ชื่อ  ทิชากรร้อยเรียง  มันเห่ยจะตาย  ยังคิดอยู่ว่าตอนนั้นคิดไปได้ไงว้า

“ไม่ผิดหรอกค่ะ  พี่นิพนธ์นั่นแหละ  วันนั้นหนูเห็นพี่มาหาข้อมูลที่ห้องคอมฯ ข้อมูลที่พี่หากับเนื้อหาในเรื่องเหมือนกันเปะๆขนาดนั้น”

“ฉันหาข้อมูลให้คนอื่นต่างหาก  นี่เธอแอบดูงั้นเรอะ  ไม่สิ  ปีที่แล้วเธอก็อยู่ ม.3  นะสิ  มาทำอะไรที่ตึก ม.ปลายนะ”

“ว่างนะคะ ก็เลยมาเดินเล่น  แต่ทั้งๆที่มีงานพิสูจน์อักษรท่วมตัวขนาดนั้นแล้ว ยังว่างพอมาหาข้อมูลให้คนอื่นอีกเรอะค่ะเนี่ย    อะฮ่าๆๆ  เอาเถอะค่ะ  เข้าใจนะคะว่านามปากกามันห่วย  แถมผลตอบรับงานเขียนก็ไม่ค่อยดี  ในเว็บโรงเรียนคือยับเลยนี่ค่ะ  ถ้ารู้ว่าใครเป็นคนเขียนละก็  คงใช้ชีวิตลำบากน่าดูนะคะ  หนูนะ  ถึงจะเพิ่งขึ้น ม.ปลายมา  แต่ก็กลายเป็นประธานนักเรียนซะแล้ว  ก็พอเข้าใจนะคะว่าการที่เดินไปเดินมาแล้วถูกเขม่นนี่มันรู้สึกยังไง”

ท่านประธานเก็บเอกสารของห้องผมเข้าซองสีน้ำตาลหลังประทับตราว่าผ่านเรียบร้อยแล้ว

“ถ้ายังไงซะ  ปีนี้ก็หวังว่าจะมีอะไรสนุกๆกันอีกนะคะ พี่นิพนธ์  ขอให้ทำร้านกาแฟออกมาได้อย่างสนุกนะคะ”

 

 

      ผมส่งข้อความไปหาดุจดาวว่าทางสภานักเรียนอนุญาตแล้ว  แล้วก็รีบกลับบ้านทันที

ออกมาถึงหน้าโรงเรียนก็ดันจำได้ว่าลืมร่มจนต้องกลับไปที่ห้องอีกรอบและออกมาใหม่  ฟ้าก็เริ่มมืดเพราะเมฆฝนแล้วแท้ๆ  เสียเวลาจนได้

การกลับมาที่หน้าประตูคราวนี้ก็ดันเจอกับคนรู้จัก   ยัยแว่นร่มดอกไม้คนเมื่อวานซึ่งวันนี้อยู่ในชุดพละ

เพียงแต่คราวนี้เธอไม่มีร่ม  จะว่าไปผมยังไม่จักชื่อยัยนี้นี่หน่า  เรียกว่ารู้จักกันรึเปล่า

ท่าเดินดูไร้เรี่ยวแรงเหมือนต้นไม้ใกล้ตาย  ยิ่งพอก้มหน้าเดินแล้ว ไอ้ผมหน้าที่ยาวอยู่แล้วก็ดูยาวมากกว่าเดิม  นี่ถ้ามาเจอเอาตอนดึกๆคงไม่พ้นคิดว่าเป็นผีเด็กนักเรียนแน่ๆ

ฝนเริ่มลงมาปรอยๆ น่ากลัวว่าจะพาเป็นหวัดได้  คงไม่มีเวลาให้ผมชักช้ามากนัก

“นี่เธอ”  ผมเทียบจักรยานข้างๆยัยซากต้นไม้แห้งนั่นแล้วร้องทัก

เธอตกใจสะดุ้งโหยงจนผมเคืองนิดๆ  ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะอารมณ์เสียทำไม   แต่ไม่พอใจแฮะ

“ขึ้นมาสิ”  ผมพูดห้วนๆ บุ๋ยปากบ่งบอกว่าให้ซ้อนท้ายได้

เธอทำตาปริบๆ ท่าทางระแวงปนสงสัย  อะไรของยัยนี่  ตอนมาขอร่มคืนยังใจกล้ามายืนดักรอแท้ๆ

“มะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

“ฝนมันตกแล้วนะ  ปากซอยก็ไม่ใช่ใกล้ๆ วินมอ’ไซค์ก็ไม่มีแล้วด้วย  อีกอย่าง  ขี่ไปกางร่มไปคนเดียวมันลำบาก”  ผมส่งร่มของตัวเองให้อีกฝ่ายอย่างยัดเยียด

ฝ่ายสาวลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจรับหน้าที่กางร่มให้กับผม

ทั้งๆที่ตัวบางแท้ๆแต่กลับหนักกว่าที่คิดแฮะ  ยัยนี่

ผมส่งเธอลงตรงป้ายรถเมล์ใกล้ๆกับโรงพยาบาลตามที่เธอบอก   เธอกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาทและส่งร่มคืนให้ผม

“เธอรู้จักชื่อฉันแล้ว  แต่ฉันยังไม่รู้จักชื่อเธอเลยนะ”  นี่ผมเนียนถามชื่อสาวอยู่รึเปล่า

“มะ ไม่สำคัญหรอก”

อะไรของยังนี่วะครับ  ในที่สุดผมก็เข้าใจตัวเอง   ผมไม่ชอบท่าทางอ่อนแอของยังนี่  มันขัดหูขัดตา  ผมอยากจะจับยัยนี่มาใส่ตระกร้าล้างน้ำใหม่  เพราะไอ้อุปนิสัยแบบนี้มันไม่น่าจะอยู่รอดได้ในสังคม  ขึ้นมหาวิทยาลัยต้องโดนรุ่นพี่แกล้งแน่ๆ

พอเป็นรุ่นพี่ก็ต้องโดนรุ่นน้องข่มเอา

แล้วพอเรียนจบทำงานก็ต้องโดนคนที่ทำงานเอาเปรียบงานเกินกว่าเงินเดือน  เวลาเกิดข้อผิดพลาดก็จะขอโทษค่ะๆ รับเป็นความผิดตัวเองจนโดนไล่ออก

แล้วทำไมผมต้องห่วงอนาคตของยัยนี่ด้วยละ!!!

“มันไม่ยุติธรรมนี่ที่เธอรู้ชื่อฉันฝ่ายเดียว   เอาน่า แค่ชื่อไม่เสียหายซักหน่อย”

“...นาฏยา  จิตหยั่งรู้”

“นาฏยา จิตหยั่งรู้....คนที่ได้ที่ 3 ของระดับชั้นอ่านะ!!!”   ผมตกใจสุดๆ   ไม่นึกว่ายัยนี้จะเป็นคนดัง

“ก็ ก็ใช่ละนะ”  นาฏยาตอบกลับท่าทางประหม่า

ฝนเริ่มตกแรงขึ้น  ผมจึงกล่าวลาและพาตัวเองมาถึงที่ร้านด้วยสภาพชุ่มชื้น

“ตัวเปียกเชียวนะแก...หืม  เป็นอะไร?”  กวีที่นั่งอยู่ที่ห้องพักพนักงานเตรียมเข้ากะทักขึ้นเมื่อเห็นผมเข้ามา

“อะไร?  ก็เปล่านี้”

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรของแก  ขยะแขยง”  กวีพูดจบก็ลุกเดินออกไปจากห้อง

นี่ผมยิ้มอยู่งั้นเรอะ?  ผมยกมือปิดปาก รู้สึกเขินๆ 

ทำไมกันละ?

 

 

      “นี่  ผู้ชายคนนั้นนะ  คือนิพนธ์ที่อยู่ห้อง 3 สินะ”  เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น 

เธอใส่ชุดพละของโรงเรียน ทินกรวิทยา  นั่งอยู่บนโต๊ะเรียนตัวหนึ่งในห้องเรียนที่ว่างเปล่า

ทั้งห้องถูกทาด้วยสีดำเพราะแสงตะวันยามสายันต์อยู่ฝั่งด้านประตูที่ตอนนี้ปิดสนิท

ทำให้มองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกเป็นสีส้มเหงาๆได้อย่างชัดเจน

ถึงจะบอกว่าห้องเรียนว่างเปล่า  แต่หญิงสาวไม่ได้พูดกับตัวเองแต่อย่างไร  ยังมีหญิงสาวอีกคนในชุดนักเรียน ระดับ ม.ปลายอยู่ด้วยอีกคน  เธอยืนห่างออกไป  ยืนกอดอกพิงโต๊ะอาจารย์อยู่ที่มุมด้านหน้าของห้อง

“ใช่   กำลังกลัวงั้นเรอะคะ”  ฝ่ายสวมชุดนักเรียนพูด

“ทำไมฉันต้องกลัวด้วย”  ฝ่ายสวมชุดพละถามกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

“ฉันดูออกนะคะ  คุณกำลังคิดว่า  นิพนธ์ อาจจะทำให้ลูกไก่ในกำมือของคุณหลุดไปละสิ”

“ไม่มีทาง  เราวางแผนกันมาดีแล้ว  ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องเป็นไปตามที่เราวางไว้”

“เรานี่ใครงั้นเรอะคะ  อย่าลืมสิ  ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับคุณนะ  คุณแค่ทำตามที่ฉันพูดเพราะกลัวเท่านั้นแหละค่ะ  ไม่ใช่เพื่อนกันสักหน่อย”

ฝั่งชุดพละเงียบไป  ท่าทางอึดอัดจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

“วางใจเถอะค่ะ  คุณจะปลอดภัยแบบนี้ต่อไป  ถึงแม้จะมีตัวละครเพิ่มเข้ามาก็ตาม  แต่เริ่มหิวแล้วนะคะ  แถวนี้น่าจะยังเหลืออะไรให้กินอยู่นะ”

“แล้วที่เคยสัญญากันไว้นะ  เมื่อไรงั้นเรอะ”  ฝ่ายชุดพละร้องทักออกไปก่อนที่คู่สนทนาจะเปิดประตูห้องออกไป

“ไม่ต้องรีบร้อนหรอกค่ะ  หากคุณพิสูจน์แล้วว่าเหมาะสมละก็  ทางฉันก็ทำตามสัญญาแน่นอนค่ะ”

พูดจบเธอก็หมุนลูกบิดเปิดประตูออกไป  แสงสีส้มยามเย็นสาดส่องเข้ามาเพียงชั่วครู่ก่อนจะดับลับไปตามประตูที่ปิดลง  ทิ้งไว้เพียงห้องที่มืดมิดเช่นก่อนและเด็กสาวในชุดพละ

 

 

มีเรื่องขอแจ้งให้ทราบว่า  ตั้งแต่ตอนที่ 13 เป็นต้นไป  เรื่องนี้จะติดเหรียญแล้วนะครับ

ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้สำหรับสายอ่านฟรีด้วยครับ  และทางข้าพเจ้ามีแผนว่าจะทำเป็น E-BOOK  ในอนาคตครับ

นั้นก็คือจะไม่ได้มาลงที่เว็บนี้แล้วครับ   จะไปลงใน Dek   read   fic  ครับ

ตอนที่จะเอามาลงในนี้ จะเป็นเฉพาะตอนที่เปิดให้านฟรีเท่านั้นนะครับ

ขอบคุณมากครับ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา