ตุ๊กตาเทวา
เขียนโดย ประพันธ์กรขาจร
วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.
แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) จดหมายยืนยันและร่มลายดอก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ผมเคยบันทึกการเดินทางนี้ไว้ช่วงหนึ่งถึงเรื่อง เส้นทางในอนาคตของชีวิต ถ้าจะให้พูดแบบง่ายๆก็คือความฝันนั้นเอง คนเรานั้นจะใช้ความฝันที่วาดขึ้นมาเพื่อทำให้ชีวิตได้ดำเนินต่อไปได้ บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
บางครั้งก็เล็กกระจ้อยสิ้นดี
ในระหว่างที่ผมและเพื่อนร่วมทางกำลังจะขาดน้ำตายอยู่บนภูเขาแถวตะวันออกกลาง ก็ได้พบกับนางฟ้าตัวน้อยนามว่า อิสยา
อิสยาให้น้ำกับพวกผมและพาไปที่หมู่บ้านที่เป็นดั่งสรวงสวรรค์ เราพักอยู่ที่นั่นได้เพียงวันเดียวก็มีแรงกลับมาปกติ มันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ถึงจะไม่ได้ดูร่ำรวยอะไรแต่ก็สงบสุขใช้ได้ เด็กน้อยอิสยามีความฝันที่จะไปเรียนในเมืองและนำความรู้มาพัฒนาวิถีชีวิตคนในหมู่บ้านให้ดีขึ้น
แต่ทว่าความฝันของนางฟ้าตัวน้อยนั้นก็กลับดับสลายลงไป
พร้อมกับชีวิตของเธอ
พวกโจรภูเขาที่มีคนในหมู่บ้านคาบข่าวไปบอกเพราะมันจำหน้าของพวกผมได้จากการประกาศค่าหัวบุกมาที่นี่
ทุกคนให้ที่ซ่อนและปฏิเสธพวกมัน
เสียงปืนดังขึ้น และผู้นำชุมชนก็ล้มลง ตามมาด้วยคนอื่นๆ มากขึ้น มากขึ้น
ผมตัดสินใจพุ่งออกไป
แต่ไม่ทันที่จะช่วยอิสยา
เพียงเพราะเงินมันถึงทำขนาดนี้งั้นหรือ
หรือเพราะพวกผมต่างหากที่มาอยู่ที่นี่
ผมเพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการพวกมันทั้งหมด
เมื่อทุกอย่างเงียบลง สิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงแค่ยืนมองดูร่างของเด็กน้อยไร้วิญญาณ ที่เสื้อผ้าสีขาว ค่อยๆถูกย้อมไปด้วยสีแดง
ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ของเธอคนนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน เด็กสาวที่ผมคิดว่ากำลังช่วยเธอ แต่กลับกลายเป็นการพาเธอเข้ามาหาเคียวของมัจจุราช
นิพนธ์ สกุณาวงศ์
เสียงฝนดังซ่าๆ คลุกเคล้ากลิ่นไอดินและปนเปด้วยประกายแสงจากฟ้าผ่าเป็นระยะ
ทุกครั้งที่มันส่องประกายก่อนที่จะคำรามก้อง เหล่าสาวๆบางคนในห้องก็จะวี๊ดว้ายกันไปตามประสาผู้หญิง
วันนี้ตอนแรก อาจารย์ประจำวิชาจะอ่านบรรยายให้ฟังแล้วให้พวกเราจดตาม แต่โชคร้ายที่เสียงฝนทำให้นักเรียนอาจจะไม่ได้ยินเสียงอาจารย์ จึงมีการเปลี่ยนแปลงเป็นจดบนกระดานแล้วให้นักเรียนจดตามแทน
กลายเป็นว่าเราต้องก้มๆเงยๆมองกระดานสลับกับมองสมุดจด
ผมที่นั่งริมหน้าต่างวันนี้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะต้องปิดหน้าต่างเพื่อป้องกันน้ำฝนสาด
ท้องฟ้าที่แสงน้อยทำให้เราต้องเปิดไฟนีออนใช้ ซึ่งมองๆไปรอบๆก็ให้ความรู้สึกที่แปลกตา
ผ่านไปแล้วอาทิตย์หนึ่งกับเรื่องของลงไพศาลที่ตอนนี้เราไม่พบว่าเขาจะก่อเหตุพิธีอาถรรพ์เรื่องใหม่
พี่กบี่คาดว่าเขาน่าจะออกจากแถวนี้ไปแล้ว แต่พี่พิมยังให้เฝ้าระวังการ์ดอย่าตกต่อไป
การสืบสวนของเราเรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องนั้นมาถึงทางตันอีกครั้ง หญิงสาวทั้ง 4 คน เรียนอยู่คนละสถาบัน ไม่เคยรู้จักกัน
สืบถอยไปถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ก็ไม่พบว่ารู้จักกัน แถมบางคนมาจากคนละภูมิภาคอีกต่างหาก ผลจากสืบสาวเอาความที่ไม่ได้อะไรสร้างความไม่พอใจให้พี่พิมพอสมควร เพราะเธอจะต้องไปรายงานที่ศูนย์ใหญ่ด้วยผลลัพธ์แบบนี้
วันฝนตกแบบนี้ช่างประจวบเหมาะกับที่ผมเป็นเวรทำความสะอาดห้องเรียน งานของผมคือการนำขยะไปทิ้งที่ถังแยกขยะซึ่งอยู่ด้านนอกอาคาร แปลว่าผมจะต้องเดินลุยฝ่าลมฝนแห่งวสันตฤดูออกไป
อาคารเรียนหลักมี 2 อาคารยาวขนานคู่กันหันหน้าลงใต้ทั้งคู่ ความสูง 4 ชั้น ทุกชั้นมีทางเชื่อมอยู่ที่ด้านทิศตะวันตกเกือบสุดอาคาร ทางเชื่อมที่ว่านั้นก็มีพวกห้องต่างๆเช่น ห้องผอ. ห้องฝ่ายปกครอง ห้องอาจารย์แต่ละสาขา ห้องวิทย์ เป็นต้น
ช่องว่างระหว่าง 2 อาคารเป็นลานที่เรียกว่า ลาน3พุทธ เพราะมีไม้ใหญ่ 3 ต้น คือ โพธิ์ ไทร มะเดื่อ เป็นลานที่ปูด้วยอิฐตัวหนอนและมีโต๊ะหินอ่อนที่เวลานั่งก็ดูดีๆด้วย เพราะถ้าไปนั่งทับลูกไทร ลูกมะเดื่อสุกที่หล่นลงมาละก็ คงโดนคนที่บ้านบ่นยับ
ห้องเรียนผมอยู่อาคารที่ 2 คืออาคารด้านหลัง ซึ่งด้านหลังอาคารนี้อีกที่จะเป็นแปลงเกษตรที่ถูกคั่นด้วยถนนลาดยางเล็กๆ ถ้าหันหน้าเข้าแปลงฯ ซ้ายมือจะเป็นถังแยกขยะและอาคารปั๊มน้ำ
ผมกางร่มที่ยืมมาจากเพื่อนในห้องเดินตรงไปทำภารกิจ
ถึงจะชื่อว่าถังแยกขยะ แต่มันก็แทบจะไม่ค่อยมีนักเรียนคนไหนจะแยกขยะสักเท่าไรนัก ทุกคนเอาสะดวกตนเข้าว่า จนช่วงนี้ทางสภานักเรียนก็เห็นว่าเริ่มมีการรณรงค์ปลุกกระแสกันเกิดขึ้น
ผมเปิดฝาถังขยะทั่วไปออกก็พบกับความประหลาดใจเล็กๆ
ร่มคันงามคันหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่บนเศษขยะไร้ค่าจำนวนมาก ลวดลายดอกไม้สีฟ้าสลับสีชมพูดูเด่นตา ผมถือวิสาสะหยิบขึ้นมาพิจารณาก็พบว่ามันไม่ได้เสียหายเสียหายแต่ประการใด จึงไม่อาจรู้ได้ว่าทำไมเจ้าของถึงทอดทิ้งมันเสียแล้ว
ผมรีบเทขยะลงไปอย่างมักง่าย และเดินกลับห้องเรียนพร้อมร่มลายดอกคันดังกล่าวเหน็บเอาไว้ที่ใต้รักแร้
วันนี้ลูกค้าช่วงเย็นที่ร้านก็ยังเยอะตามปกติ ทั้งๆที่ฝนตกก็ยังดิ้นรนยืนหยัดมากันจนได้
ลาออกไปเป็นไอดอลดีไหมครับพี่พิม
ที่ร้านวันนี้มีเรื่องอัปเดตอีกเรื่องก็คือ มีจดหมายมาจาก ศูนย์ใหญ่ W.A. เนื้อหาก็คือ
สืบเนื่องจากทาง นางสาว พิมผกา เนตรสวรรค์ เจ้าหน้าที่ Wit Association ระดับ จอมเวทอาวุโสชั้น 1
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เป็นหัวหน้าศูนย์ย่อย ประจำสาขาประเทศไทย ได้แจ้งเรื่องของบุคคลผู้มิใช่นักเวทแต่รับรู้ถึงความมีอยู่ของเวทมนตร์ คือ นาย นิพนธ์ สกุณาวงศ์ โดยที่บุคคลผู้ถูกกล่าวอ้างมาดั่งกล่าวนั้น ก็มิได้สังกัดองค์กรเบื่องหลังใดๆทั้งสิ้น
และการที่ผู้แจ้งได้เสนอแนวทางการปฏิบัติและรับรองถึงความปลอดภัยขององค์กรและความลับซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อโลกเบื่องหน้านั้น ทางสภาจอมเวทได้รับรู้และมีมติถึง 3 ชั้นว่าเห็นสมควรทำตามข้อเสนอแนะของท่าน
ทางสภาจอมเวทจึงขอรับรองว่า
นาย นิพนธ์ สกุณาวงศ์ เป็น พนักงานผู้ช่วยจอมเวท ประจำสาขาประเทศไทย เป็นที่เรียบร้อย
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอให้พระไกอาเมตตา
ฟีลลิพ ฟวอน โฮฟมัน
เจ้าหน้าที่ Wit Association ระดับ ปราชญ์
คณะสภาจอมเวทชั้นต้น
นี่คือเนื้อหาทั้งหมด สรุปก็คือผมในตอนนี้รอดพ้นจากบ่วงเพชฌฆาตที่คล้องรัดมัดคออยู่ได้แล้ว
เฮ้อ
และในจดหมายยังมีแหวนเงินที่ตีตราสัญลักษณ์วงเวทของ W.A. มาให้ รวมถึงสลักชื่อนามสกุล มาให้เรียบร้อย ท่าทางจะเป็นเหมือนบัตรประจำตัวพนักงาน
และก็ยังมีจดหมายมาอีกฉบับคราวนี้มาจาก แฮรัลด์ โรงเรียนนักเวทที่พวกนี้เขาจบมา
แต่มันสั้นมากๆ เอาแบบสรุปๆเลยก็คือ ผมถูกชวนให้ไปสอบเข้าในอีก 2 เดือนข้างหน้า
จบ
“แกควรจะไปนะ” กวีพูด
“แกก็เห็นว่าฉันใช้มานาไม่ได้” ผมตอบกลับขณะที่กำลังนับจำนวนสินค้าในห้องสโตร์ชั้น 2
ส่วนเจ้ากวียืนกอดอกคุมเชิงที่ประตูห้อง
“แกใช้ปราณได้ตั้งแต่วันแรกรึไง” มันว่า
“ฉันใช้ปราณได้ภายใน 2 อาทิตย์ แต่กับมานา แกก็เห็นว่านี้ก็เดือนหนึ่งแล้วยังไม่มีวี่แวว”
“เอาเหอะ ยังมีเวลาอีก 2 เดือน ถ้าไม่ไปก็ส่งจดหมายปฏิเสธไปก่อนจะสอบ 1 อาทิตย์ แค่นั้น แต่แกได้ประสบการณ์เยอะเลยนะ ถ้าแกไป”
มันพูดจบก็เดินลงกลับไปชั้นล่าง ผมหันมองตามด้วยความพิศวง
เจ้านี่มันเป็นห่วงผมงั้นเรอะ?
เช้านี้ท้องฟ้าถูกทาด้วยสีเทาขมุกขมัวอีกวัน ลมกรรโชกที่แรงกว่าปกติเล็กน้อย บ่งบอกว่าอีกไม่นานเทวดาฟ้าฝนคงส่งความชุ่มชื่นมาให้อีกแน่
ผมเดินเอาจักรยานไปจอดในที่ของมันตรงข้างๆโรงยิมที่ 2 และเดินกลับมาที่โรงอาหาร
จุดขายอาหารมีทั้งหมดถึง 4 จุด แต่ถึงอย่างนั้นคนมาซื้อก็ยังเยอะกว่าปกติจนดูหนาแน่นชวนอึดอัด
ผมคาดว่าคงเพราะกลัวฝนตกกันก็เลยรีบมาโรงเรียนกันก่อนเวลาปกติของตนเพื่อมากินข้าวเช้าที่โรงเรียนแทน
“ว้าย!!!”
ผู้หญิงคนหนึ่งถูกเบียดจากความโกลาหลแย่งชิงอาหารจนเธอเซมาชนกับผมเข้า
“อะ!! ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ”
เธอหันมายกมือไหว้ ก้มหัวปลกๆเสียยกใหญ่จนผมเองก็ลำบากใจ
ผมรู้ว่ายัยนี้อยู่ ม. 5 เช่นเดียวกับผมจากจุดดาวที่ปกเสื้อ แต่ไม่รู้ว่าห้องไหนหรือชื่ออะไร เพราะโรงเรียนของผมไม่ปักชื่อบนเสื้อ เขาว่าเพื่อความปลอดภัยของเด็กจากพวกโรคจิต โดยเฉพาะนักเรียนหญิง
แว่นทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ดูเหมือนพวกแก่วิชาการ กับทรงผมถักเปียยาวคู่ยิ่งดูเหมือนพวกอยู่ในกรอบ แต่ทว่าผมหน้าที่ยาวปิดหน้าปิดตาจนถึงจมูกดูขัดกัน ทั้งๆที่ฝ่ายปกครองห้ามเอาผมหน้าลงแท้ๆ
ร่างกายเพรียวบาง แต่หน้าอกหน้าใจกลับแตกต่าง ดูจากอาการขอโทษจนเวอร์วังอลังการ เธอคงเป็นคนขี้เกรงใจไม่น้อย
“ไม่เป็นไรอย่ากังวลซะเวอร์ขนาดนั้นเลย” ผมกล่าวออกไปเพื่อให้เธอสบายใจ
“เอ๋ นี้ฉันทำตัวเกินเหตุไปเรอะคะ ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ” กลายเป็นว่ามีคำขอทาเพิ่มเข้ามาอีก
ไหวไหมเนี่ย
“เอ๋ เธอ นิพนธ์นี่” อีกฝ่ายหยุดขอโทษกะทันหัน เธอผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มือที่เคยพนมไหว้กลายมาเป็นยกขึ้นมาเพื่อสร้างความปลอดภัยให้ตัวเอง
คราวนี้อะไรอีกละ
ผมสังเกตเห็นเธอเหลือบมองไปที่มีขวาของผมที่กำร่มลายดอกคันเมื่อวานอยู่ แน่ละก็มีคนทิ้งแล้วผมก็ยึดเอามาใช้ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน
“อ๋อ ร่มนี้ฉันเก็บได้นะ ลายมันไม่เข้ากับผู้ชายก็จริง แต่ร่มมันก็คือร่มละนะ”
แต่จู่ๆยัยแว่นนี่เหมือนจะนึกอะไรออก จึงรีบกลับไปที่จุดซื่ออาหารและเบียดตัวมุดๆหายเข้าไปในกลุ่มฝูงชน
พิลึกคนแฮะ
“เหม่ออะไรของแก ฟังที่ฉันพูดรึเปล่า” กวีร้องท้วงมาหลังจากที่เห็นผมใจรอยนึกถึงเรื่องอื่น
“อา อะไรนะ?”
“เฮ้อ ฉันบอกว่าเมื่อเช้าพี่กบี่บอกมาว่า เจ้าคนที่เคยไปด่อมๆมองๆตามศาลเจ้าที่นะมันกลับมาอีกแล้ว”
“ใช่ตาลุงไพศาลหรือเปล่า?”
“ฉันก็ยังไม่รู้ลายระเอียด เมื่อเช้าเหมือนฝนจะตกฉันก็รีบออกมา เดี๋ยวตอนสายๆพี่กบี่จะออกไปดูอีกรอบ วันนี้แกไม่มีกะเข้างาน แต่ก็ตามมาหลังร้านปิดด้วยละกัน”
กวีพูดจบก็หยิบกระเป๋าพร้อมกลับบ้านทันที
“กวี เธอ…วันนี้ทำงานที่ร้านกาแฟไหม?”
ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ ยัยดุจดาวขาประจำยังตามตื๊อเจ้ากวีแม้จะข้ามเดือนมาแล้วก็ตาม
“ทำนะ”
“ฉันไปด้วยสิ วันนี้จะไปกับเพื่อนๆนะ”
“ก็ได้”
โห สำเร็จ!! ยัยดุจดาวหาข้ออ้างที่จะไปเดินกับเจ้ากวีโดยที่ฝ่ายชายไม่ปฏิเสธจนได้
หลังจากนั้นผมเองก็กลับบ้านบ้าง
เดินจูงจักรยานออกมาจนพ้นรั้วโรงเรียน ก็จะเจอกับพวกรถเร่ขายขนมขายของกินเล่น 3-4คันจอดเรียงที่อีกฝั่งฟากถนนลาดยาง เต็มไปด้วยพวกเด็กๆ ม.ต้นยืนรุมกันอยู่ หากเลี้ยวซ้ายจะเป็นทางตรง ระยะทางไกลพอควรก็จะออกไปถึงถนนสายหลัก ใกล้ๆกันจะมีเพิงไม้เป็นจุดพักวินมอ’ไซค์ คนที่ไม่มีรถก็จะใช้บริการพวกพี่วินนี้กันในการเดินทาง
ผมขึ้นคร่อมจักรยานกำลังจะออกตัวก็ปรากฏว่ามีคนมายืนขวางทางจรของผม
ยัยแว่นคนเมื่อตอนเช้า
ท่าทางเหมือนมาดักรอ เอาจริงๆนี่ไม่ใช่การหลงตัวเองนะ ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ท่าทางยัยนี้เหมือนแบบนั้นจริงๆ แต่พอผ่านไปซักพักไม่เห็นพูดอะไรผมก็หันเบี่ยงหลบจะผ่านไป
“ดะ เดี๋ยวก่อน” ยัยแว่นหันมาคว้าแขนของผม
“อะ!! ขอโทษค่ะ” จับเองตกใจเอง ลุกลี้ลุกลนพิลึก
ไม่ไม่ ไม่มีใครมาสารภาพรักกันหน้าโรงเรียนตอนนักเรียนแห่พากันกลับบ้านหรอก เขาต้องเรียกไปที่เงียบๆนู้น
“เธอต้องการอะไรเนี่ย?” ผมถามออกไปเองเพราะเริ่มจะอึดอัดแล้ว ไม่ชอบเลยที่มีคนมาอ้ำอึ้ง จะพูดแต่ไม่พูด ไปทำใจมาดีๆก่อนไหม
“คือ คือ” ผมลุ้นอยู่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร พยายามเอาใจช่วยอยู่นะ สู้เขาน้องแว่น
“คือร่มที่เธอถืออยู่นะฉันว่ามันเป็นร่มของฉันละค่ะขอคืนด้วยค่ะ” เธอพูดเร็วไม่มีเว้นวรรคก้มหัวยื่นมือทั้ง 2 ข้างเหยียดตรงส่งมาที่ผม แบมือขอของคืน
ผมงงนิดหน่อย แต่ไม่เข้าใจมากๆ คนอื่นๆรอบๆก็หันมองกันด้วยความประหลาดใจ
“เอ่อ เธอแน่ในเรอะ ว่าร่มคันนี้ของเธอนะ ฉันเจอมันที่ถังแยกขยะนะ”
“แน่ใจค่ะ ถ้าจะกรุณากางร่มดู คิดว่าน่าจะมีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจ 3 ดวงแปะยู่ที่แกนร่มด้านบนนะคะ”
ผมกางร่มดูการณ์ปรากฏว่ามีของดั่งว่าจริงๆ
“แต่เธอทิ้งมันแล้วนี่” ไม่ใช่ว่าผมหวงของอยากได้ของๆชาวบ้านอะไรนะ แต่มันสงสัย ถ้าต้องการอยู่แล้วเอาไปทิ้งทำไม?
เธอส่ายหน้าไม่พูดอะไร
“ขอคืนด้วยค่ะ” และยืนยันคำเดิม
ผมส่งร่มให้และกล่าวคำลุแก่โทษ จากนั้นก็แยกย้ายไปอย่างคาใจ
ผมมาถึงร้านตอน 2 ทุ่ม เพราะกลับบ้านไปทำการบ้านมาก่อน
เข้าเรื่องแบบรวบรัดตัดตอนเลยก็คือ ที่จริงก่อนหน้านี้เรามีทฤษฎีว่า คนที่ไปด่อมๆมองๆศาลเจ้าที่ต่างๆอาจจะเป็นลุงไพศาลที่หาจุดทำพิธีก็ได้ และมันหยุดไปช่วงที่ตาลุงหายไป
แต่ช่วงนี้มันกลับมาอีก ทำให้ความคิดข้อแรกของเราคือ ลุงไพศาลแกกลับมา
แต่แนวทางต่อมาเรากลับพบว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เริ่มคิดว่าไม่น่าจะใช่
คนของเรามักจะไปไหนมาไหนด้วยไม้ตะพดเพราะเขาตาบอด นั่นแปลว่าทุกรอยเท้าของเขามันต้องมีรอยไม้ควบคู่มาด้วย
แต่ทว่ารอยนี้กลับไม่มี
ช่วงนี้หน้าฝน ทำให้ดินมันจะชื้นแฉะ จึงเป็นไปได้ยากถ้าจะซ่อนรอยหรือทางเราจะดูผิด
แม้จะแย้งว่าเขาอาจมีความเชี่ยวชาญเรื่องพื้นที่ แต่ข้อนี้พี่กบี่ยืนยันว่าเป็นไปได้ยากมาก ถนน ทางเท้าสาธารณะ ไม่ใช่ถนนหน้าบ้าน ทุกๆที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว ไอ้การเดินไปดุ่มๆทั้งๆที่ตาบอดแต่ไม่ใช้ไม้คลำทางแทบจะต้องบอกว่าเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ
พี่เบลลองถามถึงเรื่องปราณ ซึ่งผมยืนยันว่ามันช่วยในการตรวจจับได้ก็จริง แต่มันเฉพาะกับสิ่งที่มีชีวิตหรือพลังงานเท่านั้น เช่นถ้ามีถังขยะวางขวางอยู่ เราจะไม่รู้ แต่อาจจะรู้จากมดหรือหนูที่อยู่ตามถังขยะ แต่ก็ยากอยู่ดีเพราะเราไม่รู้ว่ามันจะมีอย่างอื่นวางคู่กันรึเปล่า
ส่วนเรื่องที่ว่าอาจจะเรียนรู้เวทที่ช่วยในเรื่องการมองเห็นต่างๆ พี่พิมผู้เชี่ยวชาญด้านเวทลวงตาและเวททัศนียภาพว่า มันไม่มีทางเรียนรู้กันได้ภายในเดือนเดียว
แต่ข้อที่พิศวงที่สุดคือ รอยเท้ามันไม่มีที่มา
ปกติรอยเท้ามันจะต้องมีที่มาที่ไป
เดินมาจากทางไหน
แล้วเดินไปทางไหนต่อ
แต่รอยนี้กลับไม่มี เหมือนกับว่ามันจู่ๆก็เกิดขึ้น ณ ตรงนั้นและหายไป ณ ตรงนั้น
รอยรองเท้าก็ไม่ใช่คัทชูแบบที่ลุงไพศาลใส่แต่เป็นเหมือนผ้าใบที่เรายังไม่รู้ยี่ห้อหรือรุ่น คงต้องรอจนกว่าจะรู้
และสุดท้ายคือมันมักเกิดขึ้นตอนกลางคืน ซึ่งข้อนี้ดูท่าว่าจะไม่ค่อยช่วยอะไร เพราะคนพวกนี้ส่วนใหญ่ก็ทำอะไรกันตอนยามวิกาลเป็นปกติ
จบเรื่องคนที่ไปซุ่มพวกเจ้าที่
ก่อนจะกลับพี่พิมก็ถามผมเรื่องที่จะไปสอบที่แฮรัลด์ แต่ผมยังไม่ให้คำตอบ
แต่วันต่อมากลับมีเรื่องที่ทำให้ผมประหลาดใจ
วันนี้พวกเวรประจำวันผู้ชายมันดันหนีกลับบ้านกันหมด ซึ่งเป็นเรื่องเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย ผมจึงถูกคนอื่นๆขอร้องให้ไปทิ้งขยะที่ถังแยกขยะแทน
ถึงไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ผมก็ยอมช่วย
เปิดฝาถังใบเดิมออกก็พบกับร่มลายดอกที่เหมือนกับคันก่อนหน้านี้วางอยู่ที่เดิม เพียงแค่ราวนี้มันพังยับ
ถูกหักครึ่งอย่างสวยงามเป็นรูปตัว V ผมหยิบมาพิจารณาพบว่ามีสติ๊กเกอร์ดังที่ผมสงสัยแปะอยู่
ขอของคืนเพื่อมาหักทิ้ง? อะไรของเขา ร่มนี่มันเป็นแผลใจถึงขนาดว่าจะให้มีอยู่บนโลกไม่ได้หรือ?
ถึงจะสงสัยเพียงใด แต่ผมก็ทำได้แค่เอาขยะของห้องตัวเองเททับลงไปแล้วปิดฝาถังเดินกลับก็เท่านั้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ