ตุ๊กตาเทวา

-

วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.

  25 บท
  2 วิจารณ์
  19.23K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) สิ้นสุดงานแรกของนิพนธ์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

       หมดคาบเรียนที่ 4 ของทุกวันก็เป็นเวลาเลิกเรียน  เหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมง  เพื่อให้นักเรียนได้กินข้าวกลางวันจนถึงเวลาบ่ายโมงตรงก็กลับบ้าน  หรือจะกลับบ้านกันตั้งแต่หมดคาบ 4 เลยก็ได้

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมไม่ได้กลับกับเจ้าชูใจ  ดูเหมือนชุมนุมวารสารโรงเรียนที่เจ้าชูใจมันสังกัดอยู่จะเริ่มกลับมาจัดกิจกรรมเพื่อเตรียมงานใหญ่ของโรงเรียนในเดือนหน้า

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังยืนรออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนกับจักรยานคู่ใจที่ก่อนหน้านี้เอาไปซ่อมมาจนต้องอาศัยจักรยานเจ้าชูใจอยู่ตลอด

ผมกำลังรอใครบางคนอยู่

ผมชะเง้อมองกลับไปเพื่อดูว่ามารึยัง  ก็ดันไปสบตากับอีกฝ่ายโดยบังเอิญ

สายฝนที่กำลังเดินออกมากับเพื่อนเมื่อสังเกตเห็นผมก็ขมวดคิ้วใส่และเดินผ่านไปโดยไม่ทักทายตามปกติของเธอ

“รอนานไหมนิพนธ์?”

ประโยคคำถามดังขึ้น  ผมหันไปก็พบกับคนที่ผมนัดเอาไว้  ดุจดาว  คือคนที่ผมกำลังยืนรออยู่

“ไม่เท่าไร  รีบไปกันเถอะ”  ผมขึ้นคร่อมจักรยาน  ส่วนยัยดุจดาวไปซ้อนจักรยานของเพื่อนเธออีกคน

วันนี้ยัยดุจดาวอยากจะพาเพื่อนไปที่ร้านด้วยจึงมาขอไปพร้อมกับผม  ที่เขาว่าเมื่อมีครั้งแรก  ครั้งต่อไปก็จะตามมานี่สงสัยจะจริง   จากที่ไม่กล้าไป พอได้ไปซักครั้งแล้วเห็นว่า  ก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่   ก็จะไปอีก

กวีแก้ผนึกนั่นได้ด้วยไอ้มีดกุญแจผีของมัน  ผมพอจะรู้แล้วว่า  ไอ้เวทที่มันกำลังวิจัยอยู่เกี่ยวข้องกับอะไร  แต่ยังไม่เข้าใจเท่าไรก็ขอละไว้ไม่พูดละกัน  เดี๋ยวผิดขึ้นมาจะเสียหน้าให้อับอายกันซะเปล่า

ให้พี่แฟรงค์ผนึกความทรงจำ  และพี่พิมปรับเปลี่ยนความทรงจำทั้ง 5 คน

ยัยดุจดาวจะจำได้แค่มาดื่มกาแฟจนดึก  และสายฝนขอกลับบ้านก่อนเท่านั้นเอง

เป็นพวกที่น่ากลัวจริงๆ  นี่ความทรงจำของผมยังเป็นของจริงอยู่ใช่ไหม?

ผมสงสัยว่าเจ้ากวีมันรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นผู้ช่วยตาลุงไพศาล ก็เลยไปถามมันดู  เพราะขี้เกียจจะคิด

“ฉันมีเรื่องสังเกตอยู่ 2 เรื่อง

เรื่องแรกคือ  ฉันมั่นใจว่าไพศาลไม่ใช่จอมเวท  แถมน่าจะเป็นมือใหม่เสียด้วยซ้ำ  ดูจากวงเวทที่เขาวาดในหนังสือ  มันบ่งบอกเลยว่าเขาไม่ชำนาญ  ฉันเคยเห็นอะไรแบบนี้ตอนเรียนปีแรกที่แฮรัลด์”

“อาจจะเพราะเขาตาบอด”  ผมแย้ง

“ถ้าตาบอกแต่ชำนาญ ก็จะต้องมีพวกภูตหรือใช้เวท Visibility ช่วยในการมองเห็น วงเวทจะต้องออกมาสวยกว่านี้ 

และอีกข้อคือ วงเล็กๆแค่นี้ คนตาบอดเขียนได้ไม่แปลก  แต่พอเป็นลานพิธีที่วงมันใหญ่กว่านี้  เขาจะทำยังไง  ในเมื่อเขาไม่มีเวทที่ช่วยในการมองเห็น”

“เขาต้องมีผู้ช่วยที่ตาดี  และจะกลายเป็นเหยื่อในพิธีเหมือนนายคมกฤษ”

“ใช่  และนั้นจะอธิบายด้วยว่าทำไมเขามาปรากฏตัวให้เราเห็นทั้งๆที่ที่ผ่านมาเขาซ่อนตัวมาตลอด  มีวิธีมากมายที่จะเก็บวิญญาณคนที่มีจิตโมหะ เพราะเขาอยากให้เราเพ่งเล็งไปที่ตัวเขาให้มากที่สุด แต่ใครล่ะจะมาทำหน้าที่นั้น  คนทั้งรังสิตมีเกือบ 8 หมื่น  ฉันอ้างอิงจากพิธีกรรมแรกของเขา  เขาเลือกสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของสัตว์ตัวแทนโรงพยาบาลมีแต่คนมาขอมาอธิษฐานให้หายป่วยมากมาย  ก็นับเป็นความโลภได้อย่างหนึ่ง  ถ้าอย่างนั้น ที่ไหนละที่จะมีจิตของโมหะมารวมกัน”

“…แถวนี้มีซ่องแอบเปิดอยู่ด้วยนะ”  ผมตอบ

“ซ่องนะคนพลุกกล่านมากเกินไป  ใช้ทำพิธีไม่ได้  ร้านของเรามีเขตอาคมของฉันกางอยู่ยิ่งแล้วใหญ่  ฉันจึงนึกได้ว่า นายบอกว่ามีร้านหนังสือเก่าที่ปิดร้านกะทันหัน  ฉันจึงคิดว่าที่นี่แหละน่าสงสัยก็เลยให้พี่พิมที่กลับมาพอดีลองแยกไปดู  สรุปว่าฉันคิดถูก  เจ้าของร้านถูกหลอกเหมือนนายคมกฤษ หนังสือเองก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความลุ่มหลงได้เหมือนกัน  ว่างั้นไหมเจ้าหนอนหนังสือ”

“เออๆ”  จริงอย่างที่มันว่า  พวกชอบอ่านหนังสือแบบผมก็จัดอยู่จำพวกโมหะจริตได้เหมือนกัน  เวลาที่เราเจอเรื่องที่มันถูกใจเราก็จมอยู่ในภวังค์แห่งเรื่องราวนั้นจนไม่อยากจะทำอะไรสักอย่าง  จนเวลาหมดไปเป็นวันๆก็มี

สรุปคือ ผมเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่อง  และก็ปล่อยให้ไปเป็นมังสาล่อนักล่า

“แกจะเรียกฉันว่า อาจารย์ก็ได้นะ”  มันว่า

“หา?”

“หรือท่านอาจารย์ก็ได้”

“ไม่โว้ย!!!”   หนอยไอ้นี่   ทั้งๆที่ทฤษฎีของมันก็ต่อยอดมาจากของผมแท้ๆ  ดันมาทำอวดเบ่งซะได้

แถมยังเกือบตายถ้าผมไม่ท้วงขอเกราะเวทเพิ่มด้วย

ที่แรกเจ้ากวีมันจะกางให้ผมแค่ 3 ชั้น  แต่ผมของเพิ่มอีก  ตื๊อจนมันยอมเพิ่มให้เป็น 5 ชั้น  ตอนโดนฟันรอบแรกที่เดียวหายไป 4 ชั้น  เหลืออีกชั้นเดียวนั้นจึงทำให้ผมยังรอดมาได้ในตอนแรก  และถึงแม้ตอนสุดท้ายผมจะจำไม่ได้ว่ารอดจากการถูกเสียบมาได้ยังไง  แต่ก็คงจะเดาได้แค่ว่าไอ้เกราะเวทชั้นสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่คงจะช่วยผมเอาไว้นั้นละมั้ง

คิดถูกจริงๆโว้ยที่ไม่เชื่อมัน

อีกเรื่องคือดูเหมือนว่าคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นท่าจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว  การที่ตาไพศาลที่เก่งกาจพอตัวแต่ยังใฝ่หาเวทมนตร์เพื่อแก้แค้นคนที่ฆ่าหลานสาวของตนนั้น แสดงว่าคนร้ายจะต้องเก่งกาจกว่าแก หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ด้วยแน่ๆ  และถ้าเป็นแบบนั้น แสดงว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ W.A. อย่างพวกเราโดยตรง

ไม่สิ  พวกกวีต่างหาก ผมไม่เกี่ยว

พี่พิมจึงสั่งให้ทุกคนคอยตรวจตราอย่างเข้มงวดกว่าทุกครั้งจนกว่าจะหาคนร้ายได้

พอมาถึงที่ร้านผมก็แยกกับพวกดุจดาวแปลงร่างเป็นพนักงานไป

พอหมดกะผมก็รีบกลับบ้านทันทีเพราะดูเหมือนที่ผ่านมาผมจะกลับบ้านดึกจนพอ่กับแม่ผมไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไร

สุดท้ายเจ้ากวีมาถามอะไรแปลกๆกับผมว่า

“แกรู้จักยักษ์ดำไหม?”

แน่นอนว่าผมปฏิเสธ  พอถามมันกลับก็บอกว่าไม่มีอะไร

ประหลาด?

แต่จะว่าไปก็คุ้นๆเหมือนเคยได้ยินใครพูดคำนี้เมื่อเร็วๆนี้เลยแฮะ

 

      ภายในร้านเงียบสงัดเพราะเราปิดบริการมาเกือบชั่วโมงแล้ว  ม่านถูกดึกมาปิดกระจกทุกบาน  ด้านนอกถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศหัวค่ำ ป้ายหน้าร้าแขวนคำว่า  ‘ปิด’  เป็นตัวสีแดงมองเห็นได้ง่าย

เสียงประตูหลังร้านเปิดออกและปิดลงเมื่อสมาชิกคนสุดท้ายที่ผมรออยู่ก้าวเท้าเข้ามาในชุดหนังสีดำและมือที่ถือหมวกกันน็อค  เขานั้งลงตรงข้ามกับผมในห้องพักพนักงานที่มีทุกคนมากันพร้อมอยู่ก่อนแล้ว

ทุกคนยกเว้นนิพนธ์

“มีอะไรเรอะ?”  พี่กบี่หันไปหาพี่พิมออกปากถามก่อน

“กวีเป็นคนเรียกนะ” พี่พิมตอบ

“ครับ มีเรื่องที่จะพูดอยู่ 2-3 เรื่อง  ที่จะพูดเรื่องแรกเลยก็คือ  เรื่องของนิพนธ์ในคืนที่เราไปเจอกับนายไพศาล”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา