ตุ๊กตาเทวา
เขียนโดย ประพันธ์กรขาจร
วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.
แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) สิ้นสุดงานแรกของนิพนธ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหมดคาบเรียนที่ 4 ของทุกวันก็เป็นเวลาเลิกเรียน เหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมง เพื่อให้นักเรียนได้กินข้าวกลางวันจนถึงเวลาบ่ายโมงตรงก็กลับบ้าน หรือจะกลับบ้านกันตั้งแต่หมดคาบ 4 เลยก็ได้
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมไม่ได้กลับกับเจ้าชูใจ ดูเหมือนชุมนุมวารสารโรงเรียนที่เจ้าชูใจมันสังกัดอยู่จะเริ่มกลับมาจัดกิจกรรมเพื่อเตรียมงานใหญ่ของโรงเรียนในเดือนหน้า
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังยืนรออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนกับจักรยานคู่ใจที่ก่อนหน้านี้เอาไปซ่อมมาจนต้องอาศัยจักรยานเจ้าชูใจอยู่ตลอด
ผมกำลังรอใครบางคนอยู่
ผมชะเง้อมองกลับไปเพื่อดูว่ามารึยัง ก็ดันไปสบตากับอีกฝ่ายโดยบังเอิญ
สายฝนที่กำลังเดินออกมากับเพื่อนเมื่อสังเกตเห็นผมก็ขมวดคิ้วใส่และเดินผ่านไปโดยไม่ทักทายตามปกติของเธอ
“รอนานไหมนิพนธ์?”
ประโยคคำถามดังขึ้น ผมหันไปก็พบกับคนที่ผมนัดเอาไว้ ดุจดาว คือคนที่ผมกำลังยืนรออยู่
“ไม่เท่าไร รีบไปกันเถอะ” ผมขึ้นคร่อมจักรยาน ส่วนยัยดุจดาวไปซ้อนจักรยานของเพื่อนเธออีกคน
วันนี้ยัยดุจดาวอยากจะพาเพื่อนไปที่ร้านด้วยจึงมาขอไปพร้อมกับผม ที่เขาว่าเมื่อมีครั้งแรก ครั้งต่อไปก็จะตามมานี่สงสัยจะจริง จากที่ไม่กล้าไป พอได้ไปซักครั้งแล้วเห็นว่า ก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่ ก็จะไปอีก
กวีแก้ผนึกนั่นได้ด้วยไอ้มีดกุญแจผีของมัน ผมพอจะรู้แล้วว่า ไอ้เวทที่มันกำลังวิจัยอยู่เกี่ยวข้องกับอะไร แต่ยังไม่เข้าใจเท่าไรก็ขอละไว้ไม่พูดละกัน เดี๋ยวผิดขึ้นมาจะเสียหน้าให้อับอายกันซะเปล่า
ให้พี่แฟรงค์ผนึกความทรงจำ และพี่พิมปรับเปลี่ยนความทรงจำทั้ง 5 คน
ยัยดุจดาวจะจำได้แค่มาดื่มกาแฟจนดึก และสายฝนขอกลับบ้านก่อนเท่านั้นเอง
เป็นพวกที่น่ากลัวจริงๆ นี่ความทรงจำของผมยังเป็นของจริงอยู่ใช่ไหม?
ผมสงสัยว่าเจ้ากวีมันรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นผู้ช่วยตาลุงไพศาล ก็เลยไปถามมันดู เพราะขี้เกียจจะคิด
“ฉันมีเรื่องสังเกตอยู่ 2 เรื่อง
เรื่องแรกคือ ฉันมั่นใจว่าไพศาลไม่ใช่จอมเวท แถมน่าจะเป็นมือใหม่เสียด้วยซ้ำ ดูจากวงเวทที่เขาวาดในหนังสือ มันบ่งบอกเลยว่าเขาไม่ชำนาญ ฉันเคยเห็นอะไรแบบนี้ตอนเรียนปีแรกที่แฮรัลด์”
“อาจจะเพราะเขาตาบอด” ผมแย้ง
“ถ้าตาบอกแต่ชำนาญ ก็จะต้องมีพวกภูตหรือใช้เวท Visibility ช่วยในการมองเห็น วงเวทจะต้องออกมาสวยกว่านี้
และอีกข้อคือ วงเล็กๆแค่นี้ คนตาบอดเขียนได้ไม่แปลก แต่พอเป็นลานพิธีที่วงมันใหญ่กว่านี้ เขาจะทำยังไง ในเมื่อเขาไม่มีเวทที่ช่วยในการมองเห็น”
“เขาต้องมีผู้ช่วยที่ตาดี และจะกลายเป็นเหยื่อในพิธีเหมือนนายคมกฤษ”
“ใช่ และนั้นจะอธิบายด้วยว่าทำไมเขามาปรากฏตัวให้เราเห็นทั้งๆที่ที่ผ่านมาเขาซ่อนตัวมาตลอด มีวิธีมากมายที่จะเก็บวิญญาณคนที่มีจิตโมหะ เพราะเขาอยากให้เราเพ่งเล็งไปที่ตัวเขาให้มากที่สุด แต่ใครล่ะจะมาทำหน้าที่นั้น คนทั้งรังสิตมีเกือบ 8 หมื่น ฉันอ้างอิงจากพิธีกรรมแรกของเขา เขาเลือกสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของสัตว์ตัวแทนโรงพยาบาลมีแต่คนมาขอมาอธิษฐานให้หายป่วยมากมาย ก็นับเป็นความโลภได้อย่างหนึ่ง ถ้าอย่างนั้น ที่ไหนละที่จะมีจิตของโมหะมารวมกัน”
“…แถวนี้มีซ่องแอบเปิดอยู่ด้วยนะ” ผมตอบ
“ซ่องนะคนพลุกกล่านมากเกินไป ใช้ทำพิธีไม่ได้ ร้านของเรามีเขตอาคมของฉันกางอยู่ยิ่งแล้วใหญ่ ฉันจึงนึกได้ว่า นายบอกว่ามีร้านหนังสือเก่าที่ปิดร้านกะทันหัน ฉันจึงคิดว่าที่นี่แหละน่าสงสัยก็เลยให้พี่พิมที่กลับมาพอดีลองแยกไปดู สรุปว่าฉันคิดถูก เจ้าของร้านถูกหลอกเหมือนนายคมกฤษ หนังสือเองก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความลุ่มหลงได้เหมือนกัน ว่างั้นไหมเจ้าหนอนหนังสือ”
“เออๆ” จริงอย่างที่มันว่า พวกชอบอ่านหนังสือแบบผมก็จัดอยู่จำพวกโมหะจริตได้เหมือนกัน เวลาที่เราเจอเรื่องที่มันถูกใจเราก็จมอยู่ในภวังค์แห่งเรื่องราวนั้นจนไม่อยากจะทำอะไรสักอย่าง จนเวลาหมดไปเป็นวันๆก็มี
สรุปคือ ผมเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่อง และก็ปล่อยให้ไปเป็นมังสาล่อนักล่า
“แกจะเรียกฉันว่า อาจารย์ก็ได้นะ” มันว่า
“หา?”
“หรือท่านอาจารย์ก็ได้”
“ไม่โว้ย!!!” หนอยไอ้นี่ ทั้งๆที่ทฤษฎีของมันก็ต่อยอดมาจากของผมแท้ๆ ดันมาทำอวดเบ่งซะได้
แถมยังเกือบตายถ้าผมไม่ท้วงขอเกราะเวทเพิ่มด้วย
ที่แรกเจ้ากวีมันจะกางให้ผมแค่ 3 ชั้น แต่ผมของเพิ่มอีก ตื๊อจนมันยอมเพิ่มให้เป็น 5 ชั้น ตอนโดนฟันรอบแรกที่เดียวหายไป 4 ชั้น เหลืออีกชั้นเดียวนั้นจึงทำให้ผมยังรอดมาได้ในตอนแรก และถึงแม้ตอนสุดท้ายผมจะจำไม่ได้ว่ารอดจากการถูกเสียบมาได้ยังไง แต่ก็คงจะเดาได้แค่ว่าไอ้เกราะเวทชั้นสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่คงจะช่วยผมเอาไว้นั้นละมั้ง
คิดถูกจริงๆโว้ยที่ไม่เชื่อมัน
อีกเรื่องคือดูเหมือนว่าคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นท่าจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว การที่ตาไพศาลที่เก่งกาจพอตัวแต่ยังใฝ่หาเวทมนตร์เพื่อแก้แค้นคนที่ฆ่าหลานสาวของตนนั้น แสดงว่าคนร้ายจะต้องเก่งกาจกว่าแก หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ด้วยแน่ๆ และถ้าเป็นแบบนั้น แสดงว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ W.A. อย่างพวกเราโดยตรง
ไม่สิ พวกกวีต่างหาก ผมไม่เกี่ยว
พี่พิมจึงสั่งให้ทุกคนคอยตรวจตราอย่างเข้มงวดกว่าทุกครั้งจนกว่าจะหาคนร้ายได้
พอมาถึงที่ร้านผมก็แยกกับพวกดุจดาวแปลงร่างเป็นพนักงานไป
พอหมดกะผมก็รีบกลับบ้านทันทีเพราะดูเหมือนที่ผ่านมาผมจะกลับบ้านดึกจนพอ่กับแม่ผมไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไร
สุดท้ายเจ้ากวีมาถามอะไรแปลกๆกับผมว่า
“แกรู้จักยักษ์ดำไหม?”
แน่นอนว่าผมปฏิเสธ พอถามมันกลับก็บอกว่าไม่มีอะไร
ประหลาด?
แต่จะว่าไปก็คุ้นๆเหมือนเคยได้ยินใครพูดคำนี้เมื่อเร็วๆนี้เลยแฮะ
ภายในร้านเงียบสงัดเพราะเราปิดบริการมาเกือบชั่วโมงแล้ว ม่านถูกดึกมาปิดกระจกทุกบาน ด้านนอกถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศหัวค่ำ ป้ายหน้าร้าแขวนคำว่า ‘ปิด’ เป็นตัวสีแดงมองเห็นได้ง่าย
เสียงประตูหลังร้านเปิดออกและปิดลงเมื่อสมาชิกคนสุดท้ายที่ผมรออยู่ก้าวเท้าเข้ามาในชุดหนังสีดำและมือที่ถือหมวกกันน็อค เขานั้งลงตรงข้ามกับผมในห้องพักพนักงานที่มีทุกคนมากันพร้อมอยู่ก่อนแล้ว
ทุกคนยกเว้นนิพนธ์
“มีอะไรเรอะ?” พี่กบี่หันไปหาพี่พิมออกปากถามก่อน
“กวีเป็นคนเรียกนะ” พี่พิมตอบ
“ครับ มีเรื่องที่จะพูดอยู่ 2-3 เรื่อง ที่จะพูดเรื่องแรกเลยก็คือ เรื่องของนิพนธ์ในคืนที่เราไปเจอกับนายไพศาล”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ