โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
88) ความปรารถนาของเจ้าล่ะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความความเป็นมาของสตรีชุดแดงนั้นยาวนานน่าเหลือเชื่อ ฟิโลโซเฟอร์ได้แต่นั่งฟังด้วยความสนใจ มีคำถามมากมายผุดขึ้นในหัว สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเขาได้อย่างไรกัน เด็กน้อยคนหนึ่งจากเมืองซีนาร์ยไม่ได้มีความรู้ความสามารถอันใด แต่กลับต้องเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องลึกลับนี้
ดารีลได้เล่าถึงอำนาจของสตรีนางนั้น ว่านางสามารถจำแลงกายเป็นสิ่งต่างๆ ได้และอุปนิสัยของนางก็จะเปลี่ยนไปตามรูปกายที่ปรากฏ แต่ไม่ว่านางจะเป็นอะไรหรือทำอย่างไร เป้าหมายของนางนั้นมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
“ ข้ามีสิ่งหนึ่งอยากถามเจ้า ”
เด็กชายเอ่ยปาก
“ ความปรารถนาใดกันที่พาสตรีชุดแดงมาสู่ดารีล เจ้าไม่น่าจะเป็นคนประเภทที่นางอยากเข้าหา ข้าไม่คิดว่าคนอย่างเจ้าจะมีความทะเยอทะยานใด ”
พ่อมดน้อยเลือกที่จะเบือนหน้าหนีไปแทนที่จะตอบคำถามนั้น
“ ทำไมล่ะ เจ้าตอบข้าไม่ได้ ทั้งที่ข้ายอมบอกทุกอย่างกับเจ้าแล้ว ข้าไม่มีสิ่งใดปิดบังเจ้า แต่เจ้าเลือกที่จะไม่ไว้ใจข้า ”
ฟิโลโซเฟอร์เริ่มน้อยใจ
เกิดความเงียบขึ้นครอบงำคนทั้งสองอยู่เป็นเวลานาน
จนในที่สุด
“ ข้าอยากกลับบ้าน ”
เสียงตอบมานั้นแสนเศร้า
แต่ใบหน้านั้นกลับเศร้ายิ่งกว่า
ดารีลที่มักแสดงอาการเรียบเฉยกับคนทั้งหลาย
บัดนี้เมื่อเขาอยู่ต่อหน้าเด็กชายตัวน้อยทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
“ บ้านอย่างนั้นหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ขมวดคิ้ว
“ นานมากแล้วที่ข้าถูกพามาที่นี่ ตอนนั้นข้ามีอายุเพียงแค่ห้าขวบ จำได้ว่ามีบุรุษหน้าตาน่ากลัวเดินเข้ามา แล้วใครคนหนึ่งก็บอกข้าว่า ‘ นี่คือบิดาของเจ้าจงไปกับเขาเสีย เมืองโอรีเวียเท่านั้นที่จะนำชีวิตเจ้าให้รุ่งเรือง ’ ข้านั้นไม่สนความรุ่งเรือง แต่ด้วยความที่ยังเด็กมากไม่มีทางเลือกอื่นและไม่อาจต้านทานสิ่งใดได้ จึงต้องยอมปล่อยให้เขาอุ้มขึ้นม้าไป ตลอดการเดินทางที่ยาวนาน ข้าได้แต่เฝ้ามองสองข้างฝั่งถนน หวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถพาตัวเองกลับไปที่ๆ ควรอยู่ ในเวลานั้นข้ายอมแลกทุกอย่างอะไรก็ตามที่มีบนโลกนี้ ข้ายอมทำทุกอย่างขออย่างเดียวคือข้าต้องได้กลับบ้าน นั่นเองที่ทำให้นางมาหาข้า ปลอบโยนข้า และมอบความหวังแก่ข้า ”
“ แล้วมารดาของเจ้าล่ะ นางก็ปล่อยให้เจ้าถูกพาตัวมาอย่างนั้นหรือ ”
เด็กชายถาม
“ ในเวลานั้นข้าไม่ได้เห็นนางและนางก็ไม่ได้เห็นข้า นางไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะปกป้องข้าได้ด้วยซ้ำ ”
ฟิโลโซเฟอร์ได้ฟังดังนั้นแล้วก็รู้สึกจุกใจอก
แม้คำตอบนั้นคือการหลบเลี่ยง
แต่เขาก็พอที่จะเข้าใจ
มารดาของดารีลคงสิ้นใจเพราะคำสาปเมืองคาเลเหมือนกับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์คนอื่นๆ
เด็กชายวัยห้าขวบขาดที่พึ่งไร้คนดูแลจำต้องจากบ้านเดิมมา
พร้อมกับบิดาที่แทบจะไม่ค่อยมีโอกาสได้พบกัน
ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนแปลกหน้าดีๆ นี่เอง
นั่นคงเป็นการเดินทางไกลที่น่ากลัวและดูไร้อนาคตที่สุด
ดาเรนในตอนนั้นที่สูญเสียทั้งภรรยาและบุตรในครรภ์ไปพร้อมกัน
ก็คงสติแตกจนแทบคลั่ง
ฟิโลโซเฟอร์นึกขอบคุณดาเรนทั้งที่อยู่ในสภาพนั้น
แต่ยังสามารถพาบุตรชายมาส่งถึงโอรีเวียได้อย่างปรอดภัย
ก่อนที่ตนเองจะกลายเป็นคนวิกลจริตไป
เมื่อเห็นพ่อมดน้อยเศร้าเขาก็ยิ่งหดหู่
“ เจ้าอยากร้องไห้หรือเปล่า ”
เด็กชายถาม
เมื่อเห็นว่าสหายคนโปรดกำลังจมอยู่ในความทุกข์
“ เพ้อเจ้อแล้ว ผู้ใช้เวทมนตร์จะแสดงอารมณ์ตามอำเภอใจได้อย่างไร อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะต้องมานั่งร้องเพราะคิดถึงบ้าน ”
ดารีลว่า
“ ได้สิ ทุกคนสามารถเสียใจได้ทั้งนั้น ต่อหน้าข้าเจ้าทำได้ทุกอย่างข้าจะไม่เอาไปพูดต่อที่ไหน ข้าน่ะสาบานแล้วว่าจะไม่มีวันทำร้ายเจ้าไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม จริงสิบ้านเดิมของเจ้าอยู่ที่ไหน ไกลมากหรือเปล่าถ้าเจ้าจะเดินทางกลับไปตอนนี้ ใครจะทำไม ”
“ ทั้งที่พยายามสลักทุกอย่างลงในความทรงจำแล้ว สิบปีผ่านไปทุกอย่างกลับพร่าเลือน ต่อให้ข้าไม่ลืม นานขนาดนั้นทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลแล้วล่ะ ความจริงก็คือข้าไม่อาจย้อนกลับทางเดิมได้ ”
คนอายุมากกว่าบอก
เด็กชายพยักหน้าเห็นด้วยมันเป็นเรื่องยากจริงๆ
ต่อให้ดาเรนที่เตลิดหายไปย้อนกลับมาอีกครั้ง
ก็ใช่ว่าจะสามารถพาหนุ่มน้อยผู้นี้กลับบ้านได้
แล้วคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้น
“ แล้วสตรีชุดแดงเสนออะไรแก่เจ้า ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
“ นางบอกว่ามีทางเดียวที่ข้าจะกลับไป นั่นคือข้าต้องยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งให้มากพอ ในกาลข้างหน้าหากข้าเป็นที่ยำเกรงของผู้คนทั้งโลก ทุกย่างก้าวสามารถเป็นที่กล่าวขานไม่รู้จบสิ้น เมื่อถึงเวลานั้นคนถิ่นเดิมของข้าก็จะจดจำข้าได้และพวกเขาจะตามมาพบข้าเอง ในตอนนั้นข้ายังเด็กฟังดูก็มีเหตุผลที่เป็นไปได้ หลังจากนั้นจึงทุ่มเทฝึกตนอย่างหนัก หวังว่าวันหนึ่งจะสามารถใหญ่คับฟ้าแล้วพบว่าความหวังนั้นเป็นจริง แต่ในตอนนี้เมื่ออายุมากขึ้น ความรู้ก็มากขึ้น ความคิดที่เคยพรุ่งพล่านได้สงบลง เมื่อทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้ว เส้นทางที่นางเฝ้าบอกแก่ข้า ปลายสุดก็คือซาเหวจลอร์ดนั่นเอง ”
เด็กชายตัวน้อยถึงกับอ้าปากค้าง
“ มีคำเล่าลือว่าเจ้าไม่เคยรับผู้ใช้เวทมนตร์เป็นอาจารย์ ปฏิเสธแม้จอมเวทวาลานผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโอรีเวีย แต่กระนั้นเจ้ากลับเก่งมากเก่งจนใครหลายคนเริ่มหวาดกลัว เจ้าคงไม่ได้ ”
“ ข้อดีของนางก็คือ นางสอนทุกอย่างที่ข้าอยากรู้ คำแนะนำของนางเชื่อถือได้เสมอ แม้เจตนาดีของนางจะมีความประสงค์ร้ายแอบแฝง แต่หากเรารู้เท่าทันนางและรู้เท่าทันใจตัวเอง การขอความช่วยเหลือจากสตรีชุดแดงก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี ”
ดารีลตอบ
“ เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ รู้ทั้งรู้เหตุใดไม่พยายามหนี ก่อนที่ชะตากรรมจะเลวร้ายไปกว่านี้ ”
“ เพราะนางอยู่กับข้ามานานเกินไป จริงอยู่นางไม่สามารถบังคับหรือบงการใคร แต่นางจะใช้สิ่งรอบตัวมาบีบเจ้าแทน จุดอ่อนของข้านางรู้ดีที่สุด ดังนั้นจึงไม่มีทางสลัดนางหลุดไปได้ ผู้ที่นางเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางเลือกในชีวิตก็มีน้อยแล้ว ถ้าไม่อยากตายด้วยเล่ห์กลของนาง ก็จำเป็นต้องตายด้วยน้ำมือของตัวเอง ”
“ ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเด็ดขาด ”
ฟิโลโซเฟอร์รับประกัน
“ ข้าจึงพยายามหาทางเลือกที่สามให้กับตนเอง ในเมื่อตอนนี้ไม่อาจรู้จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของนาง การคาดเดาเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยง นางได้ดึงเจ้าเข้ามาในแผน แม้ข้าไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายเรื่องนี้ แต่เชื่อว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ หลังจากใคร่ครวญอยู่นานข้าจึงมีสองทางเลือกแก่เจ้า เพื่อให้แผนการของสตรีชุดแดงเกิดรอยสะดุด ข้าจะให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจ ”
ดารีลบอก
“ บอกทางเลือกของเจ้ามาสิ ”
เด็กชายว่า
“ เจ้าต้องไปจากโอรีเวีย หรือไม่เช่นนั้นข้าก็จะไปเอง ”
คำตอบของดารีลทำเอาเด็กน้อยโมโหเป็นอย่างมาก
“ ไม่ใช่ละ มันคือทางเลือกเดียวต่างหาก ทำไมเราจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ล่ะไร้เหตุผลสิ้นดี ”
“ ความน่ากลัวคือความไม่รู้นี้แหละ พวกเรากำลังเดินอยู่ในกับดัก สตรีชุดแดงได้ขุดหลุมพรางไว้แล้ว หากเจ้ายังไปกับข้าเราได้ตายคู่แน่ แต่ถ้าแยกกันเดิน นางต้องออกแรงขุดหลุมเพิ่มเพื่อเราสองคน ”
คนอายุมากกว่าอธิบาย
“ อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยดารีล มันไม่แน่นอนสักอย่าง ถ้านางเหลี่ยมจัดจริงมันต้องไม่ใช่อย่างที่เราคิด นางอาจมีตัวเลือกอื่นแล้วใช้เราเบนความสนใจ ”
“ เรื่องนั้นข้าคิดอยู่เหมือนกัน แต่ใครล่ะที่เหมาะสม จอมเวทวาลานหรือก็ไม่ ข้าคลุกคลีกับเขาอยู่ตลอด แต่ไม่เห็นสิ่งใดผิดปรกติ ”
“ นางไม่เลือกเจ้าหรอกเชื่อข้า อย่างเจ้าไม่มีทางเป็นซาเหวจลอร์ดได้ นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน ”
ฟิโลโซเฟอร์ปลอบ
“ รู้จักข้าน้อยไปแล้วเจ้าเด็กทึ่ม ความจริงเจ้าสมควรต้องหวาดกลัวข้าเสียด้วยซ้ำ ”
ดารีลพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ เอาเลย แสดงความน่ากลัวออกมาเลย ข้าพร้อมแหกปากวิ่งหนีแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะวิ่งไปฟ้องท่านแม่ด้วย ว่าเจ้าน่ะสยองขวัญที่สุด ”
หนุ่มน้อยนักเวทถึงกับกุมขมับ
“ ข้าเกลียดเจ้า ”
เขาพึมพำเบาๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ