โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
84) สู่โรงน้ำชา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในตอนสายของวันรุ่งขึ้น อากาศข้อนข้างแจ่มใส เด็กๆ ทั้งห้าก็มาพร้อมกันที่บ้านของฟิโลโซเฟอร์ พวกเขาล้วนแต่แต่งกายสวยงาม ในตอนแรกคาโลไรน์ไม่อยากให้ไป แต่พอรู้ว่าเป็นร้านของดาริลนางก็ยินยอมแต่โดยดี ครั้งนี้คาโอเรียไม่ได้รับอนุญาตเพราะนางเด็กเกินไปสำหรับร้านแบบนั้น
เด็กๆ ออกมายืนรอรถม้าโดยสารกันตรงหน้าบ้าน
ส่วนฟิโลโซเฟอร์นั่งลงบนขั้นบันใดบ้านของตัวเอง
“ ช้ามีเรื่องประหลาดจะเล่าไห้ฟัง ”
อีเลียสกระซิบ
“ ว่ามา ”
เด็กชายบอกพลางหยิบใบไม้แถวนั้นมากัดเล่น
รู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ เมื่อต้องเดินทางไปบ้านของดาริล
เขาเฝ้าแต่จินตนาการว่าด้านในจะเป็นอย่างไร
“ เมื่อเช้าพวกเราเดินทางไปที่สะพานนั้นอีก หวังจะได้เห็นสตรีคนเมื่อคืน แต่เชื่อหรือไม่พวกเราไม่พบอะไรเลย ตรงจุดที่ตั้งกระโจมก็ไม่มีร่องรอยอะไรทั้งสิ้น ราวกับว่ามันไม่เคยมีอะไรอยู่ตรงนั้น ”
ฟิโลโซเฟอร์พยักหน้ารับรู้
เขาไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด
ในเมื่อนางเป็นแม่มด
หากอยู่ๆ จะอันตรธานหายไป
ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาสงสัยให้เปลืองแรง
“ เจ้าเคยได้ยินเรื่องสตรีชุดแดงหรือไม่ ”
เลโอน่าถามบ้างเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับเรื่องประหลาดนั้น
“ ท่านพ่อบอกว่า สตรีชุดแดงเป็นตำนานเมื่อพันปีก่อนอยู่ในยุคของซาเหวจลอร์ด นั่นหมายถึงนางได้ตายมาหลายร้อยปีแล้ว หากเราพบนางในตอนนี้ก็เป็นไปได้ว่า อาจเป็นแค่นักต้มตุ๋นหรือไม่ก็แม่มดที่พยายามเลียนแบบนาง ในความเห็นของข้านางคือแม่มดและนางคงไม่ใจดีนักหรอก เพราะดาริลเตือนข้าให้อยู่ห่างๆ สตรีผู้นี้เอาไว้ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบ
“ เจ้าเคยพบนางมาก่อนแล้วหรือ ”
ฟีไลร่าสงสัย
“ ข้าก็คิดว่าต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฟังจากที่นางพูดคุยกับเจ้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแน่ ”
อีเลียสว่า
“ ใช่และเพราะการปรากฏตัวของนางจึงทำให้ข้ากับดาริลสนิทกันยิ่งขึ้น ”
แล้วการสนทนาก็สะดุดหยุดลง
เมื่อรถม้าโดยสารคันหนึ่งวิ่งมาจอดรับพวกเขา
เด็กๆ ทยอยกันขึ้นไปนั่ง
ฟีไลร่านั่งอยู่เคียงข้างเขาด้วยชุดกรุยกรายสีน้ำเงินเข้ม
ส่วนเลโอน่านั้นแต่งกายทะมัดทะแมงกว่า
เด็กชายได้แต่นึกสงสัยว่า
แค่ไปดื่มชาต้องแต่งกายหรูหราขนาดนี้เลยหรือ
พวกเขาต่างพูดคุยกันถึงเรื่องโรงน้ำชาประเภทต่างๆ
แลดูเหมือนอีเลียสจะรู้เรื่องดีที่สุด
ส่วนโลธอร์ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
เขาอยากไปถึงที่นั่นไวๆ
เพื่อดูว่ามีอะไรน่ากินบ้าง
ครู่ใหญ่ๆ พวกเขาก็มาอยู่หน้าคฤหาสน์หลังงาม ฟิโลโซเฟอร์ยังจำพุ่มแตรนางฟ้าตรงนั้นได้ดี มันยังออกดอกสีม่วงบานสะพรั่งเช่นเดิม แต่คราวนี้แตกต่างเพราะเขาจะได้ก้าวผ่านซุ้มประตูบ้านเข้าไป เด็กชายตัวน้อยกระโดดลงรถมาก่อน แล้วคอยส่งมือรับสาวๆ ที่ทยอยตามลงมา
ฟีไลร่าจับมือของเขาแล้วก้าวลงจากประตูรถอย่างสง่างาม ส่วนเลโอน่าคว้ากรอบประตูพุ่งหลาวลงมาเองโดยไม่รอความช่วยเหลือ โลธอร์ก็ไม่น้อยหน้ากระโดดผลุงเหยียบพื้นได้อย่างมั่นคง ส่วนอีเลียสรั้งท้ายเขายังคงหอบหนังสือเล่มใหญ่ปกหนาไม่ยอมวาง
“ พวกเจ้านี่ไม่รู้กิริยา กระโดดโลดเต้นเป็นเด็กๆ ไปได้ หัดอับอายผู้คนรอบข้างเสียบ้าง ”
เด็กน้อยผิวซีดร่างผอมบางบ่นพลางก้าวขา แต่ดันพลาดสะดุดกรอบประตูเข้า เขาเซถลาร่วงลงมา ฟิโลโซเฟอร์ที่เดินออกมาไกลแล้วพยายามพุ่งกลับไปรับ แทบไม่เชื่อสายตา โลธอร์แม้จะดูตุ้ยนุ้ยแต่เขารวดเร็วพอที่จะรับตัวเพื่อนเอาไว้ได้ เด็กชายร่างอ้วนประคองอีเลียสไว้อย่างเบามือ แล้วบอกว่า
“ สหายตัวน้อยคราวหลังเจ้าต้องระมัดระวังกว่านี้ เกิดล้มหัวฟาดพื้นความรู้ที่สั่งสมมาแตกกระจาย ข้าช่วยตามเก็บไม่ไหวนา ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็ก้าวผ่านประตูเข้าไป พื้นที่ในบริเวณบ้านดูแตกต่างจากด้านนอกมาก เพราะมันดูรกครึ้มและเขียวสด พรรณไม้มากมายออกดอกออกผลสะพรั่ง ในขณะที่นอกเมืองเริ่มเปลี่ยนไปตามฤดูกาล
ผู้คนที่เดินไปมาในคฤหาสน์ดูบางตา แต่มองจากเครื่องแต่งกายแล้วคงมีฐานะไม่น้อย เด็กๆ สามารถแยกแขกที่มาใช้บริการกับคนของคฤหาสน์ได้จากหน้ากากที่พวกเขาสวม
ฟีไลร่ามอบการ์ดใบหนึ่งให้กับผู้ดูแลสถานที่
แล้วทั้งหมดก็ถูกนำเข้าไปในอาคาร
“ เจ้าได้การ์ดมาได้อย่างไร ”
อีเลียสถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ขณะที่พวกเขาเดินมาด้วยกัน
“ ของชิ้นนั้นน่ะมีเงินก็มิใช่จะหามาได้ง่ายๆ ”
“ ใช้เส้นสายนิดหน่อยน่ะ ”
เลโอน่าตอบด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
นางดูไม่ค่อยเห็นด้วยกับการมาที่นี่
“ แล้วมันสำคัญอย่างไรก็แค่กระดาษใบหนึ่ง ”
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
“ ร้านน้ำชาจริงๆ ของที่นี่ มีซุ้มตั้งอยู่ด้านนอก ”
อีเลียสอธิบาย
“ แต่คนมีบัตรเชิญก็คือแขกพิเศษที่ได้นั่งข้างในคฤหาสน์ ”
เมื่อพวกเขามาถึงห้องโถงคนนำทางก็พาขึ้นบันไดวนจนไปถึงชั้นสาม
แล้วส่งพวกเขาเข้าไปในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง
ในนั้นมีแค่โต๊ะกับเก้าอี้
กับผนังที่สลักลวดลายสวยงาม
พิโลโซเฟอร์เดินเกาะราวระเบียงสำรวจห้องโถงด้านหน้า
เบื้องล่างมีบึงน้ำเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยไอหมอกสีขาว
เหนือเพดานมีเถาวัลย์ห้อยระย้ามากมาย
เด็กชายไม่อาจรู้ได้ว่าพวกมันแขวนอย่างนั้นได้อย่างไร
ท่ามกลางเถาวัลย์เหล่านั้นก็มีชิงช้าแขวนอยู่
เหล่าสตรีหลายนางนั่งไกวชิงช้าพลางเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ
พวกนางล้วนแต่งกายสวยงามและสวมหน้ากาก
ซึ่งฟิโลโซเฟอร์ก็ไม่ได้ประหลาดใจกับเรื่องนี้เลย
ความคิดในใจตอนนี้คือเขาอุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว
แต่ดาริลอยู่ที่ไหนกัน
บางทีหนุ่มน้อยนั่นอาจมีงานวุ่นวายในปราสาทขาว
หรือจะแอบหนีออกนอกกำแพงเมืองไปแล้ว
เด็กชายชาวซีนาร์ยจึงเดินกลับมามานั่งลงบนเก้าอี้
เสียงดนตรีล่องลอยในอากาศที่นิ่งงันนั้นไพเราะราวกับห้วงแห่งความฝัน
กลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์หอมฟุ้งกระจายชวนให้ลุ่มหลง
ฟิโลโซเฟอร์เริ่มสงสัยว่ากลิ่นกายของดาริลได้มาจากที่นี่หรือไม่
แต่ในความคล้ายก็ไม่ได้เหมือนเสียทีเดียว
“ แน่ใจนะว่าจ่ายไหว ข้าเตรียมเหรียญทองมาเผื่อพอสมควร แต่ก็อยากถามให้แน่ใจ ”
อีเลียสถามพลางก้มดูสมุดเมนู
“ โว๊ะ ชาถ้วยหนึ่งราคาเท่าบ้านเป็นหลังเลยหรือไร ”
โลธอร์ท้วง
“ ไม่ต้องห่วง บอกแล้วไงข้าเลี้ยงเอง การ์ดเชิญข้ายังหามาได้กะอีแค่ค่าน้ำชา จ่ายไม่ได้ก็แย่แล้ว ”
ฟีไลร่าบอก
“ แล้วนี่มันอะไรกัน ”
โลธอร์หยิบเครื่องแก้วทรงสูงที่วางอยู่กลางโต๊ะมาดู
บนเนื้อแก้วสลักลวดลายนูนต่ำงดงาม
“ มันคือบารากุ เอามานี่มันไม่ใช่ของเด็กเล่น ”
เลโอน่าว่าพลางฉวยสิ่งนั้นไปจากมือเด็กร่างอ้วน
แล้วนำไปวางไว้ข้างห้อง
“ อะไรคือบารากุ ไม่ใช่อุปกรณ์ชงชาหรอกหรือ ”
โลธอร์ยังสงสัย
“ มันคือที่เผาสมุนไพรน่ะ แต่เจ้ายังเด็กอย่ารู้เลย ”
อีเลียสตอบให้
พวกเขากำลังรอชาและขนมที่สั่งไปแล้วอยู่
“ พูดอย่างกับเจ้าแก่แล้วอย่างไรอย่างนั้น ”
โลธอร์บ่นอุบอิบแล้วหันไปทางฟิโลโซเฟอร์
“ เป็นอะไรไปล่ะ ข้าเห็นเหม่ออยู่นานแล้ว เมาควันพวกนี้หรือย่างไร ”
“ เปล่าหรอกข้าแค่ง่วง เมื่อคืนคงนอนดึกไป ”
เด็กชายตอบเลี่ยงๆ
“ ไม่ใช่แค่เจ้าหรอก บรรยากาศที่นี่ชวนหลับจริงๆ และคงจะหลับฝันดีเสียด้วย ”
ฟิโลโซเฟอร์ไม่พูดอะไรต่อ
เขาเหม่อออกไปนอกระเบียงสายตาถูกตรึงอยู่กับนักดนตรีคนหนึ่ง
สูงขึ้นไปเหนือชั้นสี่
นางผู้สวมอาภรณ์กรุยกรายหรูหราดูโดดเด่นท่ามกลางแมกไม้สีเขียวสด
ร่างบอบบางเอนกายน่าหวาดเสียวบนชิงช้า
เท้าเปลือยเปล่าปล่อยห้อยลงมาจากไม้กระดานเล็กๆ
ในมือมีเครื่องดนตรีแบบสายที่บรรเลงเพลงไพเราะจนแทบหยุดหายใจ
แต่ใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากนั้นกลับก้มต่ำ
สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่บึงน้ำขาวโพลนเบื้องล่างไม่วางตา
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกเสียดาย
หากนางผู้นี้ไม่โดนคำสาปใบหน้าภายใต้หน้ากากจะงดงามเพียงใด
นางสมควรจะมีความสุขมิใช่ต้องเศร้าหมองตลอดเวลาเช่นนี้
ทันใดผู้สวมชุดสีม่วงครามก็รู้ตัวว่าถูกจับจ้อง
นางหันมาทางเขาแล้วทิ้งร่างลงจากไม้กระดาน
เจ้าของร่างงามคว้าเถาวัลย์โหนข้ามราวระเบียง
ม้วนกายเข้ามายังห้องที่ฟิโลโซเฟอร์กับเพื่อนๆ นั่งอยู่
จังหวะเดียวกันกับที่หญิงยกน้ำชาได้นำของที่สั่งไว้มาส่ง
ทุกคนจึงตกอยู่ในอาการตกตะลึง
นางโบกมือให้กับหญิงยกน้ำชาสตรีนั้นก็ถอยออกไปพร้อมกับถาดในมือ
เด็กๆ มองหน้ากันไปมาต่างสงสัยว่าตนเองได้ทำอะไรผิดไป
ทุกคนนิ่งอึ้ง
แต่หญิงสาวร่างสูงสะคราญผู้สวมเครื่องประดับราคาแพงก็ไม่ได้กล่าวอะไร
เพียงแต่มองสำรวจเด็กๆ ทีละคน
ทันใดฟิโลโซเฟอร์ก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปรกติ
เขามาที่นี่เป็นครั้งแรก
พบนางเป็นครั้งแรก
แต่เหตุใดจึงรู้สึกคุ้นตานัก
ทั้งเรือนร่างทั้งการเคลื่อนไหว
ดังนั้นเด็กชายจึงยืดกายขึ้น
แล้วเอ่ยว่า
“ ทำอะไรน่ะดารีล อีกนิดเดียวข้าก็จะเผลอคุกเข่าลงขอเจ้าแต่งงานแล้ว ”
ร่างนั้นกระชากหน้ากากสีขาวฝังเพชรพลอยออก
แล้วโยนโครมลงบนโต๊ะโดยไม่ห่วงว่าจะแตกหักเสียหาย
หนุ่มน้อยในชุดของสตรีดูมึนตึง
เขากอดอกแล้วหันไปทางเด็กชายชาวซีนาร์ย
“ ข้าเคยเตือนเจ้าว่าอย่ามาที่นี่ เหตุใดจึงไม่ฟัง ถ้าเกิดวันนี้ข้าไม่ได้อยู่ตรงนี้พวกเจ้าจะเป็นอย่างไร ”
“ อย่าโทษฟิโลโซเฟอร์เลย ”
โลธอร์ว่า
“ เจ้าหมอนี่ต่างหากที่อยากมา ”
เขาชี้ไปที่อีเลียส
“ เดี๋ยวสิ โทษข้าคนเดียวไม่ได้นะ ”
อีเลียสท้วง
“ ก็เจ้าไม่เคยให้เหตุผลข้า คนอื่นยังมาได้แต่ข้าเพียงผู้เดียวที่ถูกห้าม นี่มันหมายความว่าอย่างไร ทำไมล่ะเจ้าไม่อยากให้ข้ารู้อะไร หรือไม่อยากให้ข้าเห็นอะไร ”
เด็กชายว่า
รู้สึกน้อยใจขึ้นมาทันที
“ เหตุผลของข้าง่ายนิดเดียว น้ำชาที่นี่ล้วนปรุงจากสมุนไพรที่ทำให้มึนเมา มองไปรอบๆ สิ พวกเจ้าอยากคลานกลับบ้านกันไม่ถูกหรืออย่างไร ยังเด็กกันอยู่แท้ๆ ทำตัวน่าตีนัก แต่เอาเถอะไหนๆ ก็มากันแล้ว ข้าจะไม่ต้อนรับก็ใช่ที่ ตามข้ามาทางนี้เถอะ ”
ว่าแล้วดารีลก็คว้าแขนเด็กชายกึ่งลากกึ่งเดินลงบันได
เหล่าเพื่อนๆ ที่เหลือวิ่งตามแทบไม่ทัน
หนุ่มน้อยพ่อมดพาเด็กๆ ไปที่ศาลาริมบึง
เขาสั่งให้หญิงรับใช้นำอาหารและของกินเล่นไปจัดไว้ที่นั่น
ภายในสวนนั้นร่มรื่นแม้อากาศจะเย็นแต่ก็ยังสบายตัว
น้ำในบึงใสสะอาด
หงส์หลายคู่แหวกว่ายไปมาอย่างมีความสุข
เด็กๆ ผ่อนคลายในบรรยากาศแสนสบายนี้
โลธอร์ชื่นชมเรื่องอาหารไม่หยุดปาก
แต่ดูเหมือนดารีลจะมีปัญหากับชุดที่สวมอยู่
เนื่องจากเมื่อครู่เล่นผาดโผนไปหน่อย
เครื่องประดับที่เรียงร้อยกันอยู่บนผ้าคลุมผมจึงพันกันวุ่นวาย
เขาทำคิ้วขมวดมือก็แกะแต่ไม่เป็นผล
ฟิโลโซเฟอร์พยายามจะช่วยแต่หนุ่มน้อยเอียงตัวหลบ
“ เจ้าไปเอาชุดพวกนี้มาจากไหน ”
เขาถามพลางหัวเราะกับท่าทางเก้ๆ กังๆ นั้น
“ อยากได้หรือไง เดี๋ยวข้าขอมาให้ มันเป็นของบุตรสาวครูสอนดนตรี พวกนางมีเป็นสิบๆ ตู้แหนะ ”
ดารีลพูดติดประชด
“ ท่านต้องแต่งกายเป็นหญิงทุกครั้งที่เล่นดนตรีหรือเปล่า ”
อีเลียสสงสัย
“ เปล่าหรอก อีกอย่างข้าไม่ได้เล่นดนตรีทุกวัน เฉพาะวันที่ว่างๆ และรู้สึกเบื่อเท่านั้น แต่วันนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น บรรดาบุตรสาวของครูสอนดนตรีลากข้าไปแต่งตัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เล่นอย่างกับข้าเป็นตุ๊กตา โชคดีที่คว้าหน้ากากมาสวมไว้ทัน ไม่อย่างนั้นคงโดนสีละเลงเต็มหน้าแน่ ”
หนุ่มน้อยถอนหายใจ
รู้สึกหมดปัญญากับความยุ่งเหยิงที่อยู่เหนือศีรษะ
“ พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ”
ดารีลว่า
“ ข้าชักจะไม่ไหวแล้ว ”
แล้วก็เดินตัวปลิวเข้าไปในคฤหาสน์
“ หมอนี่ฉลาดใช้เวทมนตร์นะ ”
อีเลียสชี้ไปรอบๆ
“ ถ้าเป็นผู้วิเศษคนอื่นอาจมองว่าแบบนี้ไร้สาระ แต่สำหรับเขาคือการหาความสบายใจใส่ตัว ”
ดารีลกลับมาอีกครั้งด้วยชุดคลุมดำที่คุ้นเคย
เขานั่งหลังตรงด้วยท่าทีที่สุขสบายขึ้น
หลังจากนั้นก็แนะนำให้เด็กๆ ดื่มชาดอกไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอมชื่นใจ
“ เหล่าสตรีนี่แต่งกายด้วยชุดรัดรูปกันเป็นปรกติหรือ ”
เขาหันไปถามเด็กหญิงทีนั่งอยู่อีกฝากหนึ่ง
“ พวกนางคงไม่ได้ตั้งใจรวมหัวกันกลั่นแกล้งข้าหรอกนะ ทำเอาเกือบหายใจไม่ออกเลยทีเดียว ”
ฟีไลร่าก้มหน้างุดไม่กล้าตอบอะไร
ส่วนเลโอน่าเพียงแต่หัวเราะหึๆ ในลำคอ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ