โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  135.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

84) สู่โรงน้ำชา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ในตอนสายของวันรุ่งขึ้น   อากาศข้อนข้างแจ่มใส   เด็กๆ ทั้งห้าก็มาพร้อมกันที่บ้านของฟิโลโซเฟอร์   พวกเขาล้วนแต่แต่งกายสวยงาม   ในตอนแรกคาโลไรน์ไม่อยากให้ไป   แต่พอรู้ว่าเป็นร้านของดาริลนางก็ยินยอมแต่โดยดี   ครั้งนี้คาโอเรียไม่ได้รับอนุญาตเพราะนางเด็กเกินไปสำหรับร้านแบบนั้น

 

เด็กๆ ออกมายืนรอรถม้าโดยสารกันตรงหน้าบ้าน  

ส่วนฟิโลโซเฟอร์นั่งลงบนขั้นบันใดบ้านของตัวเอง

 

“ ช้ามีเรื่องประหลาดจะเล่าไห้ฟัง ”

 

อีเลียสกระซิบ

 

“ ว่ามา ”

 

เด็กชายบอกพลางหยิบใบไม้แถวนั้นมากัดเล่น

รู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ เมื่อต้องเดินทางไปบ้านของดาริล

เขาเฝ้าแต่จินตนาการว่าด้านในจะเป็นอย่างไร

 

“ เมื่อเช้าพวกเราเดินทางไปที่สะพานนั้นอีก   หวังจะได้เห็นสตรีคนเมื่อคืน   แต่เชื่อหรือไม่พวกเราไม่พบอะไรเลย   ตรงจุดที่ตั้งกระโจมก็ไม่มีร่องรอยอะไรทั้งสิ้น   ราวกับว่ามันไม่เคยมีอะไรอยู่ตรงนั้น ”

 

ฟิโลโซเฟอร์พยักหน้ารับรู้

เขาไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด

 

ในเมื่อนางเป็นแม่มด

หากอยู่ๆ จะอันตรธานหายไป

 

ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาสงสัยให้เปลืองแรง

 

“ เจ้าเคยได้ยินเรื่องสตรีชุดแดงหรือไม่ ”

 

เลโอน่าถามบ้างเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับเรื่องประหลาดนั้น

 

“ ท่านพ่อบอกว่า   สตรีชุดแดงเป็นตำนานเมื่อพันปีก่อนอยู่ในยุคของซาเหวจลอร์ด   นั่นหมายถึงนางได้ตายมาหลายร้อยปีแล้ว   หากเราพบนางในตอนนี้ก็เป็นไปได้ว่า    อาจเป็นแค่นักต้มตุ๋นหรือไม่ก็แม่มดที่พยายามเลียนแบบนาง   ในความเห็นของข้านางคือแม่มดและนางคงไม่ใจดีนักหรอก   เพราะดาริลเตือนข้าให้อยู่ห่างๆ สตรีผู้นี้เอาไว้ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตอบ

 

“ เจ้าเคยพบนางมาก่อนแล้วหรือ ”

 

ฟีไลร่าสงสัย

 

“ ข้าก็คิดว่าต้องเป็นเช่นนั้น   เพราะฟังจากที่นางพูดคุยกับเจ้า   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแน่ ”

 

อีเลียสว่า

 

“ ใช่และเพราะการปรากฏตัวของนางจึงทำให้ข้ากับดาริลสนิทกันยิ่งขึ้น ”

 

แล้วการสนทนาก็สะดุดหยุดลง

เมื่อรถม้าโดยสารคันหนึ่งวิ่งมาจอดรับพวกเขา

 

เด็กๆ ทยอยกันขึ้นไปนั่ง

ฟีไลร่านั่งอยู่เคียงข้างเขาด้วยชุดกรุยกรายสีน้ำเงินเข้ม

ส่วนเลโอน่านั้นแต่งกายทะมัดทะแมงกว่า  

 

เด็กชายได้แต่นึกสงสัยว่า

แค่ไปดื่มชาต้องแต่งกายหรูหราขนาดนี้เลยหรือ

 

พวกเขาต่างพูดคุยกันถึงเรื่องโรงน้ำชาประเภทต่างๆ

แลดูเหมือนอีเลียสจะรู้เรื่องดีที่สุด

 

ส่วนโลธอร์ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

เขาอยากไปถึงที่นั่นไวๆ

เพื่อดูว่ามีอะไรน่ากินบ้าง

 

ครู่ใหญ่ๆ พวกเขาก็มาอยู่หน้าคฤหาสน์หลังงาม   ฟิโลโซเฟอร์ยังจำพุ่มแตรนางฟ้าตรงนั้นได้ดี   มันยังออกดอกสีม่วงบานสะพรั่งเช่นเดิม   แต่คราวนี้แตกต่างเพราะเขาจะได้ก้าวผ่านซุ้มประตูบ้านเข้าไป   เด็กชายตัวน้อยกระโดดลงรถมาก่อน   แล้วคอยส่งมือรับสาวๆ ที่ทยอยตามลงมา  

 

ฟีไลร่าจับมือของเขาแล้วก้าวลงจากประตูรถอย่างสง่างาม   ส่วนเลโอน่าคว้ากรอบประตูพุ่งหลาวลงมาเองโดยไม่รอความช่วยเหลือ   โลธอร์ก็ไม่น้อยหน้ากระโดดผลุงเหยียบพื้นได้อย่างมั่นคง   ส่วนอีเลียสรั้งท้ายเขายังคงหอบหนังสือเล่มใหญ่ปกหนาไม่ยอมวาง

 

“ พวกเจ้านี่ไม่รู้กิริยา   กระโดดโลดเต้นเป็นเด็กๆ ไปได้   หัดอับอายผู้คนรอบข้างเสียบ้าง ”  

 

เด็กน้อยผิวซีดร่างผอมบางบ่นพลางก้าวขา   แต่ดันพลาดสะดุดกรอบประตูเข้า   เขาเซถลาร่วงลงมา   ฟิโลโซเฟอร์ที่เดินออกมาไกลแล้วพยายามพุ่งกลับไปรับ   แทบไม่เชื่อสายตา   โลธอร์แม้จะดูตุ้ยนุ้ยแต่เขารวดเร็วพอที่จะรับตัวเพื่อนเอาไว้ได้   เด็กชายร่างอ้วนประคองอีเลียสไว้อย่างเบามือ   แล้วบอกว่า

 

“ สหายตัวน้อยคราวหลังเจ้าต้องระมัดระวังกว่านี้   เกิดล้มหัวฟาดพื้นความรู้ที่สั่งสมมาแตกกระจาย   ข้าช่วยตามเก็บไม่ไหวนา ”

 

หลังจากนั้นพวกเขาก็ก้าวผ่านประตูเข้าไป   พื้นที่ในบริเวณบ้านดูแตกต่างจากด้านนอกมาก   เพราะมันดูรกครึ้มและเขียวสด   พรรณไม้มากมายออกดอกออกผลสะพรั่ง   ในขณะที่นอกเมืองเริ่มเปลี่ยนไปตามฤดูกาล

 

ผู้คนที่เดินไปมาในคฤหาสน์ดูบางตา   แต่มองจากเครื่องแต่งกายแล้วคงมีฐานะไม่น้อย   เด็กๆ สามารถแยกแขกที่มาใช้บริการกับคนของคฤหาสน์ได้จากหน้ากากที่พวกเขาสวม

 

ฟีไลร่ามอบการ์ดใบหนึ่งให้กับผู้ดูแลสถานที่  

แล้วทั้งหมดก็ถูกนำเข้าไปในอาคาร

 

“ เจ้าได้การ์ดมาได้อย่างไร ” 

 

อีเลียสถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น

ขณะที่พวกเขาเดินมาด้วยกัน

 

“ ของชิ้นนั้นน่ะมีเงินก็มิใช่จะหามาได้ง่ายๆ ”

 

“ ใช้เส้นสายนิดหน่อยน่ะ ”

 

เลโอน่าตอบด้วยท่าทีเบื่อหน่าย

นางดูไม่ค่อยเห็นด้วยกับการมาที่นี่

 

“ แล้วมันสำคัญอย่างไรก็แค่กระดาษใบหนึ่ง ”  

 

ฟิโลโซเฟอร์สงสัย

 

“ ร้านน้ำชาจริงๆ ของที่นี่ มีซุ้มตั้งอยู่ด้านนอก ”

 

อีเลียสอธิบาย

 

“ แต่คนมีบัตรเชิญก็คือแขกพิเศษที่ได้นั่งข้างในคฤหาสน์ ”

 

เมื่อพวกเขามาถึงห้องโถงคนนำทางก็พาขึ้นบันไดวนจนไปถึงชั้นสาม

แล้วส่งพวกเขาเข้าไปในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง

ในนั้นมีแค่โต๊ะกับเก้าอี้

กับผนังที่สลักลวดลายสวยงาม

 

พิโลโซเฟอร์เดินเกาะราวระเบียงสำรวจห้องโถงด้านหน้า

เบื้องล่างมีบึงน้ำเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยไอหมอกสีขาว

 

เหนือเพดานมีเถาวัลย์ห้อยระย้ามากมาย

เด็กชายไม่อาจรู้ได้ว่าพวกมันแขวนอย่างนั้นได้อย่างไร

 

ท่ามกลางเถาวัลย์เหล่านั้นก็มีชิงช้าแขวนอยู่

เหล่าสตรีหลายนางนั่งไกวชิงช้าพลางเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ

 

พวกนางล้วนแต่งกายสวยงามและสวมหน้ากาก

ซึ่งฟิโลโซเฟอร์ก็ไม่ได้ประหลาดใจกับเรื่องนี้เลย

 

ความคิดในใจตอนนี้คือเขาอุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว

แต่ดาริลอยู่ที่ไหนกัน

 

บางทีหนุ่มน้อยนั่นอาจมีงานวุ่นวายในปราสาทขาว

หรือจะแอบหนีออกนอกกำแพงเมืองไปแล้ว

 

เด็กชายชาวซีนาร์ยจึงเดินกลับมามานั่งลงบนเก้าอี้

เสียงดนตรีล่องลอยในอากาศที่นิ่งงันนั้นไพเราะราวกับห้วงแห่งความฝัน

 

กลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์หอมฟุ้งกระจายชวนให้ลุ่มหลง

ฟิโลโซเฟอร์เริ่มสงสัยว่ากลิ่นกายของดาริลได้มาจากที่นี่หรือไม่

แต่ในความคล้ายก็ไม่ได้เหมือนเสียทีเดียว

 

“ แน่ใจนะว่าจ่ายไหว   ข้าเตรียมเหรียญทองมาเผื่อพอสมควร   แต่ก็อยากถามให้แน่ใจ ”

 

อีเลียสถามพลางก้มดูสมุดเมนู

 

“ โว๊ะ   ชาถ้วยหนึ่งราคาเท่าบ้านเป็นหลังเลยหรือไร ”

 

โลธอร์ท้วง

 

“ ไม่ต้องห่วง   บอกแล้วไงข้าเลี้ยงเอง   การ์ดเชิญข้ายังหามาได้กะอีแค่ค่าน้ำชา   จ่ายไม่ได้ก็แย่แล้ว ” 

 

ฟีไลร่าบอก

 

“ แล้วนี่มันอะไรกัน ”

 

โลธอร์หยิบเครื่องแก้วทรงสูงที่วางอยู่กลางโต๊ะมาดู

บนเนื้อแก้วสลักลวดลายนูนต่ำงดงาม

 

“ มันคือบารากุ   เอามานี่มันไม่ใช่ของเด็กเล่น ”

 

เลโอน่าว่าพลางฉวยสิ่งนั้นไปจากมือเด็กร่างอ้วน

แล้วนำไปวางไว้ข้างห้อง

 

“ อะไรคือบารากุ   ไม่ใช่อุปกรณ์ชงชาหรอกหรือ ”

 

โลธอร์ยังสงสัย

 

“ มันคือที่เผาสมุนไพรน่ะ   แต่เจ้ายังเด็กอย่ารู้เลย ”

 

อีเลียสตอบให้

พวกเขากำลังรอชาและขนมที่สั่งไปแล้วอยู่

 

“ พูดอย่างกับเจ้าแก่แล้วอย่างไรอย่างนั้น ”

 

โลธอร์บ่นอุบอิบแล้วหันไปทางฟิโลโซเฟอร์

 

“ เป็นอะไรไปล่ะ   ข้าเห็นเหม่ออยู่นานแล้ว   เมาควันพวกนี้หรือย่างไร ”

 

“ เปล่าหรอกข้าแค่ง่วง   เมื่อคืนคงนอนดึกไป ”

 

เด็กชายตอบเลี่ยงๆ

 

“ ไม่ใช่แค่เจ้าหรอก   บรรยากาศที่นี่ชวนหลับจริงๆ และคงจะหลับฝันดีเสียด้วย ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ไม่พูดอะไรต่อ

เขาเหม่อออกไปนอกระเบียงสายตาถูกตรึงอยู่กับนักดนตรีคนหนึ่ง

 

สูงขึ้นไปเหนือชั้นสี่

นางผู้สวมอาภรณ์กรุยกรายหรูหราดูโดดเด่นท่ามกลางแมกไม้สีเขียวสด

 

ร่างบอบบางเอนกายน่าหวาดเสียวบนชิงช้า

เท้าเปลือยเปล่าปล่อยห้อยลงมาจากไม้กระดานเล็กๆ

 

ในมือมีเครื่องดนตรีแบบสายที่บรรเลงเพลงไพเราะจนแทบหยุดหายใจ

แต่ใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากนั้นกลับก้มต่ำ

สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่บึงน้ำขาวโพลนเบื้องล่างไม่วางตา

 

ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกเสียดาย

หากนางผู้นี้ไม่โดนคำสาปใบหน้าภายใต้หน้ากากจะงดงามเพียงใด

นางสมควรจะมีความสุขมิใช่ต้องเศร้าหมองตลอดเวลาเช่นนี้

 

ทันใดผู้สวมชุดสีม่วงครามก็รู้ตัวว่าถูกจับจ้อง

นางหันมาทางเขาแล้วทิ้งร่างลงจากไม้กระดาน

 

เจ้าของร่างงามคว้าเถาวัลย์โหนข้ามราวระเบียง

ม้วนกายเข้ามายังห้องที่ฟิโลโซเฟอร์กับเพื่อนๆ นั่งอยู่

 

จังหวะเดียวกันกับที่หญิงยกน้ำชาได้นำของที่สั่งไว้มาส่ง

ทุกคนจึงตกอยู่ในอาการตกตะลึง

 

นางโบกมือให้กับหญิงยกน้ำชาสตรีนั้นก็ถอยออกไปพร้อมกับถาดในมือ

เด็กๆ มองหน้ากันไปมาต่างสงสัยว่าตนเองได้ทำอะไรผิดไป

 

ทุกคนนิ่งอึ้ง

แต่หญิงสาวร่างสูงสะคราญผู้สวมเครื่องประดับราคาแพงก็ไม่ได้กล่าวอะไร

เพียงแต่มองสำรวจเด็กๆ ทีละคน

 

ทันใดฟิโลโซเฟอร์ก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปรกติ

เขามาที่นี่เป็นครั้งแรก

พบนางเป็นครั้งแรก

 

แต่เหตุใดจึงรู้สึกคุ้นตานัก

ทั้งเรือนร่างทั้งการเคลื่อนไหว

 

ดังนั้นเด็กชายจึงยืดกายขึ้น

แล้วเอ่ยว่า

 

“ ทำอะไรน่ะดารีล   อีกนิดเดียวข้าก็จะเผลอคุกเข่าลงขอเจ้าแต่งงานแล้ว ”

 

ร่างนั้นกระชากหน้ากากสีขาวฝังเพชรพลอยออก

แล้วโยนโครมลงบนโต๊ะโดยไม่ห่วงว่าจะแตกหักเสียหาย

 

หนุ่มน้อยในชุดของสตรีดูมึนตึง

เขากอดอกแล้วหันไปทางเด็กชายชาวซีนาร์ย

 

“ ข้าเคยเตือนเจ้าว่าอย่ามาที่นี่   เหตุใดจึงไม่ฟัง   ถ้าเกิดวันนี้ข้าไม่ได้อยู่ตรงนี้พวกเจ้าจะเป็นอย่างไร ”

 

“ อย่าโทษฟิโลโซเฟอร์เลย ”

 

โลธอร์ว่า

 

“ เจ้าหมอนี่ต่างหากที่อยากมา ”

 

เขาชี้ไปที่อีเลียส

 

“ เดี๋ยวสิ   โทษข้าคนเดียวไม่ได้นะ ”

 

อีเลียสท้วง

 

“ ก็เจ้าไม่เคยให้เหตุผลข้า   คนอื่นยังมาได้แต่ข้าเพียงผู้เดียวที่ถูกห้าม   นี่มันหมายความว่าอย่างไร   ทำไมล่ะเจ้าไม่อยากให้ข้ารู้อะไร   หรือไม่อยากให้ข้าเห็นอะไร ”

 

เด็กชายว่า

รู้สึกน้อยใจขึ้นมาทันที

 

“ เหตุผลของข้าง่ายนิดเดียว   น้ำชาที่นี่ล้วนปรุงจากสมุนไพรที่ทำให้มึนเมา   มองไปรอบๆ สิ   พวกเจ้าอยากคลานกลับบ้านกันไม่ถูกหรืออย่างไร   ยังเด็กกันอยู่แท้ๆ ทำตัวน่าตีนัก   แต่เอาเถอะไหนๆ ก็มากันแล้ว   ข้าจะไม่ต้อนรับก็ใช่ที่   ตามข้ามาทางนี้เถอะ ” 

 

ว่าแล้วดารีลก็คว้าแขนเด็กชายกึ่งลากกึ่งเดินลงบันได

เหล่าเพื่อนๆ ที่เหลือวิ่งตามแทบไม่ทัน

 

หนุ่มน้อยพ่อมดพาเด็กๆ ไปที่ศาลาริมบึง

เขาสั่งให้หญิงรับใช้นำอาหารและของกินเล่นไปจัดไว้ที่นั่น

 

ภายในสวนนั้นร่มรื่นแม้อากาศจะเย็นแต่ก็ยังสบายตัว

น้ำในบึงใสสะอาด

หงส์หลายคู่แหวกว่ายไปมาอย่างมีความสุข

 

เด็กๆ ผ่อนคลายในบรรยากาศแสนสบายนี้

โลธอร์ชื่นชมเรื่องอาหารไม่หยุดปาก

 

แต่ดูเหมือนดารีลจะมีปัญหากับชุดที่สวมอยู่

เนื่องจากเมื่อครู่เล่นผาดโผนไปหน่อย

 

เครื่องประดับที่เรียงร้อยกันอยู่บนผ้าคลุมผมจึงพันกันวุ่นวาย

เขาทำคิ้วขมวดมือก็แกะแต่ไม่เป็นผล

 

ฟิโลโซเฟอร์พยายามจะช่วยแต่หนุ่มน้อยเอียงตัวหลบ

 

“ เจ้าไปเอาชุดพวกนี้มาจากไหน ”

 

เขาถามพลางหัวเราะกับท่าทางเก้ๆ กังๆ นั้น

 

“ อยากได้หรือไง   เดี๋ยวข้าขอมาให้   มันเป็นของบุตรสาวครูสอนดนตรี   พวกนางมีเป็นสิบๆ ตู้แหนะ ”

 

ดารีลพูดติดประชด

 

“ ท่านต้องแต่งกายเป็นหญิงทุกครั้งที่เล่นดนตรีหรือเปล่า ”

 

อีเลียสสงสัย

 

“ เปล่าหรอก   อีกอย่างข้าไม่ได้เล่นดนตรีทุกวัน   เฉพาะวันที่ว่างๆ และรู้สึกเบื่อเท่านั้น   แต่วันนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น   บรรดาบุตรสาวของครูสอนดนตรีลากข้าไปแต่งตัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง   เล่นอย่างกับข้าเป็นตุ๊กตา   โชคดีที่คว้าหน้ากากมาสวมไว้ทัน   ไม่อย่างนั้นคงโดนสีละเลงเต็มหน้าแน่ ”     

 

หนุ่มน้อยถอนหายใจ

รู้สึกหมดปัญญากับความยุ่งเหยิงที่อยู่เหนือศีรษะ

 

“ พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ”

 

ดารีลว่า

 

“ ข้าชักจะไม่ไหวแล้ว ”

 

แล้วก็เดินตัวปลิวเข้าไปในคฤหาสน์

 

“ หมอนี่ฉลาดใช้เวทมนตร์นะ ”

 

อีเลียสชี้ไปรอบๆ

 

“ ถ้าเป็นผู้วิเศษคนอื่นอาจมองว่าแบบนี้ไร้สาระ   แต่สำหรับเขาคือการหาความสบายใจใส่ตัว ”

 

ดารีลกลับมาอีกครั้งด้วยชุดคลุมดำที่คุ้นเคย

เขานั่งหลังตรงด้วยท่าทีที่สุขสบายขึ้น

หลังจากนั้นก็แนะนำให้เด็กๆ ดื่มชาดอกไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอมชื่นใจ

 

“ เหล่าสตรีนี่แต่งกายด้วยชุดรัดรูปกันเป็นปรกติหรือ ”

 

เขาหันไปถามเด็กหญิงทีนั่งอยู่อีกฝากหนึ่ง

 

“ พวกนางคงไม่ได้ตั้งใจรวมหัวกันกลั่นแกล้งข้าหรอกนะ   ทำเอาเกือบหายใจไม่ออกเลยทีเดียว ”

 

ฟีไลร่าก้มหน้างุดไม่กล้าตอบอะไร

ส่วนเลโอน่าเพียงแต่หัวเราะหึๆ ในลำคอ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา