โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  135.54K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

72) ไม้ล้มที่กลางป่าแดง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เช้ามืดของวันถัดมา   เจ้าชายเอลานอสได้ขนย้ายของใช้ที่จำเป็นเตรียมไปขึ้นรถม้าของขบวนเสด็จ   มันเป็นเช้าที่อากาศหดหู่ยิ่งนัก   เขาเงยหน้ามองขึ้นที่สูงบ่อยๆ หวังว่าจะเห็นใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น   เพื่อส่งทางให้เขาเดินทางโดยปรอดภัย   แต่กลับไม่พบใครเลย

 

ราชินีวีเวียร่าได้มาชักชวนให้เขาขึ้นไปร่วมขบวนกับองค์ราชา   ด้วยกิริยาที่อ่อนหวานเอาใจเป็นพิเศษ   ในเวลานี้เจ้าชายองค์น้อยมีท่าทีเซื่องซึมไปมาก   ขัดกับอาการปรกติที่ก้าวร้าวถือตัวแม้แต่ทหารใกล้ชิดองค์ราชาก็ยังรู้สึกผิดสังเกต  

 

เอลานอสนั่งอยู่ในรถม้าหรูหราคันหนึ่ง   เบื้องหน้าคือกษัตริย์แฮโรดที่ทรงพระพักตร์บึ้งตึงคั่นกลางด้วยโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารและผลไม้   ส่วนราชินีวิเวียร่านั่งแนบชิดอยู่เคียงข้างเขา   คอยถนอมดูแลราวกับเป็นบุตรชายคนโปรด   ภายในรถม้าคันนั้นมีทหารมือดีอยู่ด้วยถึงสองนาย

 

ขบวนเสด็จได้เคลื่อนผ่านไปบนถนนที่พลุกพล่าน   จุดหมายปลายทางคือโอรีออนอันเป็นบ้านเกิดของเจ้าชายองค์น้อน   แต่ในเวลานี้เขากลับเศร้าหมองและหวาดกลัวราวกับตกอยู่ในขบวนค้าทาส   อนาคตข้างหน้านั้นมืดมนนัก   ด้วยตัวคนเดียวไม่รู้เลยว่าจะฝ่าพายุได้นานสักเท่าใด

 

เมื่อเห็นว่าเจ้าชายเอลานอสเอาแต่เปิดผ้าม่านส่องหน้าต่างออกไปด้านนอก

ราชินีวิเวียร่าจึงเอ่ยถาม

 

“ คิดถึงเพื่อนหรือเจ้าชายคนดีของข้า   น่าเสียดายที่เราออกเดินทางเช้าไปหน่อยเลยไม่ทันมีผู้ใดมาส่ง   แต่น่าแปลกจริงแม้แต่องครักษ์ของท่านก็หายไป   พวกเขาไปอยู่ที่แห่งใดกันหนอ   ท่านพอจะรู้หรือไม่ ” 

 

เจ้าชายเอลานอสไม่ตอบได้แต่ยิ้มที่มุมปาก

ในใจก็คิดว่า

 

‘ ถามตัวเองเถอะนังอสรพิษทำสิ่งใดไว้เจ้าย่อมรู้ดีแก่ใจ ’ 

 

เมื่อออกพ้นประตูเมืองแล้ว   ขบวนรถม้าเสด็จก็เพิ่มความเร็วขึ้น   ม้าทั้งหมดเป็นม้าศึกพันธุ์ดีจึงสามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็วแม้ต้องบรรทุกของนัก   ก่อนถึงเที่ยงวันขบวนทั้งหมดก็เดินทางมาถึงชายป่าแดง   มีถนนเส้นหนึ่งตัดเข้ากลางป่าพวกเขาต้องเดินทางไปตามถนนนี้   เมื่อทะลุถึงอีกฝากหนึ่งก็จะเข้าเขตแดนของเมืองโอรีออนแล้ว

 

            ก่อนที่ขบวนจะผ่านเข้าในเขตป่าทหารม้านายหนึ่งได้สังเกตเห็น   กระต่ายตัวใหญ่ถูกห้อยร่างกับตอไม้   ขนสีขาวชุ่มโชกไปด้วยเลือด   เขาจึงหยุดม้าดูสิ่งแปลกประหลาดนั้น   เพื่อนของเขาจึงเข้ามาถาม

 

“ ว่าอย่างไรพวก   มีอะไรผิดปรกติอย่างนั้นหรือ ”

 

ทหารคนแรกจึงชี้ไปที่ซากกระต่ายแทนคำตอบ

ดวงตาสองข้างถูกควักออกไปแล้ว

อีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่ใกล้ๆ กำลังล้วงไส้กระต่ายชะตาขาดออกมากิน

 

“ เคยเห็นอะไรแบบนั้นหรือเปล่า ”

 

“ ไม่อะ ”

 

เพื่อนของเขายักไหล่

 

“ คงเป็นฝีมือของนายพราน   ไม่รู้ทำเพื่ออะไรแต่สยองชะมัด   เรารีบไปกันเถอะ ”  

 

เขาว่าแล้วกระตุ้นม้าให้ออกวิ่ง

นายทหารคนแรกยืนดูอีกครู่หนึ่งแล้วจึงตามไป

 

เขารู้สึกหวั่นใจอย่างประหลาด

นี่คงเป็นลางที่ไม่ดีอย่างแน่นอน

 

เมื่อขบวนรถม้าเสด็จผ่านไปจนหมดแล้ว

อีกาตัวนั้นก็เงยหน้าขึ้นดวงตาสีแดงฉานกวาดไปตามท้องถนนที่ว่างเปล่า

 

แล้วมันก็กางปีกออก

โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

            ป่าแดงเป็นป่าที่มีลักษณะเด่นสวยสะดุดตา   ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านยาวไกลดูรกครึ้ม   ใบไม้แทบทั้งหมดมีสีส้มแสด   แต่ในเวลานี้ในยามที่หน้าหนาวกำลังจะมาเยือนทั้งป่าก็กลายเป็นสีแดงสด  

 

ถนนเส้นนี้กว้างขวางพอสมควร   แต่ต้นไม้สองข้างทางก็ใหญ่โตมาก   กิ่งก้านสาขาจึงทอดออกไปสอดประสานกันกลายเป็นซุ้มอุโมงค์ขนาดใหญ่   บรรยากาศสงบร่มรื่นเป็นอย่างมาก

 

เสียงนกแว่วมาจากที่ไกลๆ ประสานกับเสียงธารน้ำไหลชวนให้ใจสงบ   กลิ่นดอกไม้ป่าลอยมาตามลมพร้อมกับแสงแดดอ่อนๆ ที่ทำให้โลกอบอุ่นขึ้น

 

ทุกอย่างเป็นปรกติจนชวนให้วางใจ   บางทีนักฆ่าสองคนนั้นอาจเห็นแก่เขา   เจ้าชายเอลานอสผู้เป็นนายจึงเปลี่ยนใจไม่ลงมือก็ได้   หนุ่มน้อยผู้หวาดระแวงแอบชำเลืองมองราชินี   พระนางก็วางตัวตามสบายไม่ได้แสดงท่าทีอะไรที่จะทำให้สงสัย   บางทีกาเอลอาจหลอกเขา   แต่นั่นยังไม่ทำให้เจ็บใจเท่ากับที่แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นแม้เงา   ของผู้ที่รับปากว่าจะเดินเคียงข้างกันไปจนสุดทาง

 

เสียงโครมดังขึ้นจากด้านหน้าสุดของขบวน

ตามมาด้วยเสียงตะโกนและม้าก็ส่งเสียงร้องวุ่นวาย

 

รถม้าที่ประทับหยุดลงทหารอารักขาต่างเตรียมพร้อม

กษัตริย์นั่งนิ่งสีหน้าไร้ความรู้สึก

พระองค์ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากเกินกว่าที่จะตื่นตระหนก

 

เจ้าชายเอลานอสกำดาบแน่น

พวกมันลงมือกันแล้วแต่เจ้าอยู่ที่ไหนกันกาเอล

 

ราชินีวิเวียร่านั้นมีท่าทีตกใจเพียงเล็กน้อยพอเป็นพิธีเท่านั้น

พระนางเอื้อมหัตถ์ไปดึงผ้าม่านให้เปิดออก

 

 

“ ข้างนอกมีอะไรอย่างนั้นหรือ ”

 

ราชินีเอ่ยถามทหารแถวนั้น

 

“ มีต้นไม้ล้มพะยะค่ะ   แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไรและต้นไม่ใหญ่มาก   พวกเรากำลังตัดลากออกไปให้พ้นทาง ”

 

“ เช่นนั้นก็ดีแล้วทำงานของพวกเจ้าไปเถิด ”

 

พระนางว่าแล้วปิดม่านลง

 

“ วันนี้เป็นการเดินทางที่ดีนะฝ่าบาท   อยู่ๆ ก็เกิดเรื่องตลกขบขันขึ้น   มีต้นไม้ล้มขวางทางเสียอย่างนั้น   แบบนี้ทำให้แก้เบื่อได้ดีแท้ๆ เชียว   เอาล่ะเสวยเครื่องดื่มและอาหารเสียบ้างอย่านั่งเฉยอยู่เลย ”

 

ราชินีวิเวียร่าแสดงความเอาอกเอาใจอย่างนอกหน้า

แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาประจบเจ้าชายเอลานอสด้วย

 

นางเป็นอย่างนี้เสมอเมื่ออยู่ต่อหน้ากษัตริย์

เจ้าชายรัชทายาททำได้แค่ตีสีหน้าเอือมระอา

 

เอลานอสไม่เชื่อสักนิดว่านี่คืออุบัติเหตุ

เขายกจอกน้ำขึ้นดื่มด้วยมืออันสั่นระริก

 

เมื่อราชินีเห็นดังนั้น

จึงได้เอ่ยขึ้นว่า

 

“ ตายจริงเจ้าชายน้อยๆ ของข้าทรงหวาดกลัวหรอกหรือ   ไม่เอาน่า   เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอนั่นแหละ   แค่ต้นไม้ล้มขวางทางเดี๋ยวพวกทหารก็จัดการเสร็จแล้ว   ท่านจะกลัวไปใยเล่า   อีกหน่อยหากขึ้นครองราชย์ขืนยังขี้ตื่นอยู่แบบนี้ได้อับอายประชาชนแย่   มานี่มา   ให้ข้ากอดท่านเอาไว้จะได้รู้สึกปรอดภัยอย่างไรล่ะ ” 

 

เจ้าชายปัดมือของพระนางออก

แล้วถอยหนีจากคำหลอกลวงนั้น

 

ทหารองครักษ์นายหนึ่งกระโดดลงจากรถม้า

แล้วเดินตรงไปข้างหน้า

 

“ ต้นไม้ล้มได้อย่างไร   พวกเจ้าได้ดูหรือเปล่า   มีร่องรอยถูกตัดหรือขุดบ้างไหม ”

 

ทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่งวิ่งมารับและพาไปดูที่เกิดเหตุ

 

เจ้าชายเอลานอสแง้มม่านออกดู

พบว่าด้านนอกล้อมรอบไปด้วยทหารอารักขาก็รู้สึกอุ่นใจ

 

จึงหันกลับมานั่งที่

พลางนึกสงสัยว่าเจ้าคนทรยศสองคนนั่นจะโจมตีขบวนเสด็จด้วยวิธีใด

 

ขณะที่ทหารองครักษ์นั่งลงตรงโคนต้นไม่ที่หักโค่น

ผู้ที่อยู่นอกรถม้าต่างรู้สึกถึงอะไรบางอย่างผ่านพวกไป

 

มันมีร่างกายขนาดใหญ่และปีกที่แข็งแกร่ง

บินอยู่สูงขึ้นไปเหนือยอดไม้

 

ทหารเบื้องล่างต่างรับรู้ในการมาถึงของมัน

พวกเขากำดาบแน่นด้วยท่าทีกระสับกระส่าย

 

แม้แต่ม้าก็ยังตกอยู่ในอาการตื่นกลัว

 

“ มังกร   เจ้าคิดว่ามันเป็นมังกรหรือเปล่า ”

 

ทหารนายหนึ่งหันไปถามเพื่อน

แต่เพื่อนของเขาตอบโต้โดยการยกนิ้วขึ้นปิดปากพลางส่ายหน้าช้าๆ

เป็นสัญญาณบอกให้เงียบเสียงไว้ก่อน

 

เจ้าสิ่งนั้นมันกางปีกร่อนเป็นวงกลม

แล้วแผดเสียงร้องดังสนั่น

 

เสียงนั้นเยือกเย็นกรีดลึกจนหัวใจแทบหยุดเต้น

เหล่าทหารที่ยังอ่อนประสบการณ์ต่างทิ้งตัวลงกับพื้นกลิ้งเกลือกร่างไปตามพื้นดินและหิน

ปากก็วิงวอนขอชีวิต

 

แม้แต่ม้าก็กระทืบเท้าไปมาร้อนรนจะวิ่งหนีเสียจากตรงนี้

 

เจ้าตัวประหลาดนั้นส่งเสียงร้องอีกครั้ง

แต่ทว่าดังห่างออกไป

 

ทหารองครักษ์คนนั้นรีบวิ่งกลับไปยังรถม้าที่ประทับ

 

“ มีมังกรผ่านมาทางนี้พระเจ้าค่ะ   แต่วางใจเถิดมันจากไปแล้ว   โชคดีที่มันไม่ได้ร่อนลงพื้น   อาจเป็นเพราะใบไม้ที่หนาทึบช่วยบดบังสายตาเอาไว้ ”

 

“ แน่ใจนะว่ามันไปแล้ว ”

 

คราวนี้พระราชินีมีท่าทีตื่นตกใจจริงๆ

 

“ แน่แท้ที่สุด   ข้าได้ยินเสียงมันห่างไปทางหุบเขาเงาปีศาจ ”

 

“ มันไม่ใช่มังกร ”

 

กษัตริย์แฮโรดตรัสด้วยสุรเสียงที่ราบเรียบ

 

“ และมันก็ไม่สมควรมาที่นี่ด้วยเช่นกัน   ข้าแน่ใจว่าที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งใดที่มันต้องการ ”

 

“ ผ่าบาทหมายความว่ากระไรเพคะ ”

 

ยังไม่ทันที่กษัตริย์แฮโรดจะตอบ

ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งทะลุหลังคารถม้าลงมาปักปึงลงตรงกลางโต๊ะพอดิบพอดี

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา