โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
73) กับดัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความลูกธนูดอกนั้นทำจากโลหะสีดำสลักลวดลายแปลกตา ไม่มีข้อความใดๆ ติดมาพร้อมกับลูกธนู แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงแค่การยิงขู่ เพราะไม่มีการโจมตีซ้ำแต่อย่างใด
ราชินีวิเวียร่ามีท่าทีประหลาดใจ แต่ความกล้าหาญและทระนงตนนั้นมีสูงกว่าความสงสัยที่ควรจะเกิดขึ้น พระนางคว้าดาบประจำกายขึ้นมาถือไว้มั่น
ทหารองครักษ์ตะโกนบอกถึงเหตุลอบโจมตี ทหารด้านนอกก็โกลาหลทันที
เจ้าชายเอลานอสรู้สึกถึงลางสังหรณ์ประหลาด นี่มิใช่ฝีมือของคู่แฝดองครักษ์จอมทรยศนั่นแน่นอน จะต้องมีคนผู้อื่นอีก หลังคานี้ทำจากเหล็กกล้าชั้นดี แต่ลูกธนูสามารถแทงทะลุลงมาอย่างง่ายดาย นั่นหมายความว่ามันไม่ปรอดภัยหากเขาหวังจะใช้ที่นี่เป็นที่กำบัง ดูเหมือนคนอื่นก็คิดแบบนี้เช่นกัน ทั้งหมดต่างทยอยลงจากรถอย่างรวดเร็ว
รัชทายาทแห่งโอรีออนหันกลับไปดูลูกธนูนั้นอีกครั้ง ทันใดเขาก็ได้กลิ่นหอมจางๆ ของผงกำยาน มันเป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคยดี เอลานอสไม่รอช้าดึงลูกธนูดอกนั้นขึ้นมา และเป็นจริงดังที่คิด กลิ่นกำยานมาจากสิ่งนี้อย่างแน่นอน เจ้าชายน้อยเดินลงมาจากรถม้าด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้น อย่างน้อยเขาก็รู้ว่ากาเอลอยู่ไม่ไกล เขาต้องซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งในป่าแห่งนี้
ลูกธนูอีกดอกพุ่งผ่านหน้าทหารสองนายไปปักบนต้นไม้ต้นหนึ่ง แม้จะเป็นคนละแบบกับดอกแรก แต่เชื่อได้ว่ายิงมาจากคนๆ เดียวกัน เพราะความรุนแรงที่ทำให้ไม้ยืนต้นเนื้อแข็งขนาดใหญ่แทบทะลุนั้นน้อยคนนักที่จะทำได้
ทหารกล้าพุ่งตรงไปตามทิศทางของลูกธนูทันที ราชินีวิเวียร่าชักดาบออกจากฝักพุ่งตามไปอีกคน แข็งแกร่งและสง่างามราวกับขัตติยนารี ช่างแตกต่างจากพระราชมารดาของเจ้าชายเอลานอสที่อ่อนโยนละเมียดละไมอยู่เสมอ
เจ้าชายน้อยกำดาบและลูกธนูไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วออกวิ่งตามไปด้วย ในใจนึกสงสัยในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เหตุลอบโจมตีเกิดจากฝีมือองครักษ์ทั้งสองของเขาจริงๆ น่ะหรือ และหากเป็นจริงมันจะจบลงอย่างไร คนทั้งคู่ถูกจับได้ แล้วกล่าวหาว่าเขาเป็นคนสั่งการ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยวิธีใด คิดแล้วก็หดหู่เพราะต่อให้เขาสามารถสังหารทั้งคู่ลงได้ ก็ไม่ช่วยแก้ข้อกล่าวหาได้เลย
ทันใดเขาก็เห็นเงาคนสองร่างยืนถือธนูนิ่งอยู่ในลานกว้างกลางป่า
องค์ราชินีทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นเดียวกัน
พระนางจึงตรัสด้วยเสียงอันดัง
“ เจ้าคนทรยศ เป็นถึงองครักษ์ของเจ้าชายกล้าดีอย่างไรคิดลอบปรงพระชน คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ก่อนที่ข้าจะตัดคอพวกเจ้าทั้งสอง ”
‘ เดี๋ยวนะ ’
เอลานอสคิด
‘ ยังเห็นหน้าไม่ชัดเจนรู้ได้อย่างไรว่านั่นคือองครักษ์ของข้า ไม้รีบร้อนไปหน่อยหรือ ’
แม้จะคิดเช่นนั้นแต่เขาก็ยังพุ่งตรงเข้าไปหา
ราชินีเองก็เร่งความเร็วจนนำหน้าคนทั้งหมดโดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด
ทั้งที่เจ้าของร่างทั้งสองง้างคันธนูรออยู่
“ คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ ข้าสั่งให้คุกเข่าลง ”
ราชินีวิเวียร่าแผดเสียงด้วยอารมณ์เดือดดาล
แล้วทันใดพระนางก็หยุดชะงัก
ทหารที่ตามหลังมาต่างหยุดกะทันหันเช่นกัน
ดูเหมือนทั้งหมดจะตกอยู่ในอาการตื่นตะลึง
เจ้าชายเอลานอสรีบเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
และแล้วเขาก็ได้เห็น
สองร่างที่ยืนถือธนูจังก้าอยู่ตรงนั้นเป็นองครักษ์ของเขานั่นเอง
แต่พวกเขาไม่ได้ยืนอยู่ด้วยขาทั้งสองข้าง
หากแต่ถูกพันธนาการไว้กับเสา
ใบที่หน้าตั้งตรงทำให้มองเห็นว่าดวงตาถูกควักออกไป
เหลือเพียงหลุมลึกสีแดงฉาน
ริมฝีปากแสยะยิ้มกว้างเพราะถูกมีดกรีดลึกลากยาวไปถึงใบหู
เลือดสดๆ ยังไหลนอง
“ พวกเขาเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน ”
ทหารนายหนึ่งว่าหลังจากคลำดูชีพจรแล้ว
“ นั่นหมายถึงคนที่ลงมือทำสิ่งนี้อาจอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ทุกคนระวังตัวไว้ ”
ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดยืนหันหลังชนกัน
ต่างสอดสายสายตาเข้าไปในป่าลึก
แต่ก็ไม่พบวี่แววของสิ่งมีชีวิตใด
“ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่ ”
ราชินีวิเวียร่ากล่าว
“ คงต้องถามตัวท่านเองว่ามีสิ่งใดผิดไปจากแผนหรือไม่ ”
เจ้าชายตัวน้อยว่า
“ นี่เจ้ากล้าเหน็บข้าหรือ ”
เอลานอสจึงเบือนหน้าหนีไปทางป่าแล้วเขาก็เริ่มเห็นอีกามากมายทยอยบินมาเกาะตามกิ่งไม้สูงๆ
มีบางตัวกล้าหาญถึงกับถลาลงมาจิกกินเศษเนื้อตามร่างของศพ
ทันใดกษัตริย์กับทหารคุ้มกันที่เหลือก็เดินทางมาถึง
ราชินีวิเวียร่ารีบตรงเข้าไปรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น
ทหารบางส่วนได้แยกกันออกค้นหาผู้ก่อเหตุที่อาจจะซุ่มซ่อนอยู่ใกล้ๆ
แต่พวกเขาทั้งหมดก็กลับมาตัวเปล่า
ไม่มีวี่แววของสิ่งใดเลย
เมื่อเป็นดังนั้นกษัตริย์แฮโรดจึงสั่งให้พาร่างผู้เสียชีวิตลงมา
เพื่อจัดการฝังให้เรียบร้อย
นายทหารคนหนึ่งจึงเดินไปด้านหลังของสองร่างนั้น
เพื่อทำการตัดเชือกที่ผูกมัดเอาไว้ให้ขาดออกจากกัน
ทันทีที่ร่างไร้ชีวิตทั้งสองล้มลงกระแทกพื้น
เชือกเส้นหนึ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ใบไม้ก็ดีดขึ้น
รวบขานายทหารคนนั้นห้อยไว้กับกิ่งไม้
ลำคอถูกฉีกกระชากขาดเป็นร่องลึก
บุรุษผู้เคราะห์ร้ายได้แต่ดิ้นทุรนทุราย
แต่ยิ่งดิ้นเท่าไรเลือดสีขุ่นเข้มก็ยิ่งไหลนอง
มันหลั่งรินลงสู่เหยื่อสองรายแรกที่สิ้นชีพไปก่อนหน้านั้น
ทำให้ร่างที่นอนแน่นิ่งนั้นอาบชุ่มไปด้วยสีแดงฉานและกลิ่นคาวคลุ้ง
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นและจบลงเร็วมาก
จนผู้คนที่อยู่รายรอบไม่สามารถช่วยเหลือได้ทัน
ต่างยืนตะลึงนิ่งอึ้งราวกับต้องมนต์สะกด
เมื่อเลือดหยดสุดท้ายได้หยดสู่พื้น
เสียงกรีดร้องโหยหวนของสตรีก็ดังก้องขึ้นทั่วป่า
มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานและเจ็บแค้น
“ เขตค่ายมนต์ดำ ”
ทหารที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่มบอก
เขาชี้นิ้วไปยังต้นไม้หลายๆ ต้นในบริเวณนั้น
สิ่งที่ทุกคนมองพลาดไป
เพราะความวิตกกังวลต่อสิ่งอื่นไกล
เพราะอีกามากมายที่บินฉวัดเฉวียน
ทั้งหมดจึงมองไม่เห็น
สัญลักษณ์รูปดาวหกแฉกที่สลักบนต้นไม้สูง
มันรายล้อมพวกเขาไว้จากทุกทิศ
ทันทีที่เสียงกรีดร้องประหลาดหยุดลง
ไอหมอกก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงแดดยามเที่ยงที่มืดสลัว
ร่างผู้เสียชีวิตทั้งสองที่นอนจมกองเลือดเริ่มขยับ
มันค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยดวงตากลวงโบ๋
ริมฝีปากฉีกยิ้มอ้ากว้าง
กับการเคลื่อนไหวที่แข็งกระด้าง
มันคืออสูรกายที่คืนชีพ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ