โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  141.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

62) ที่ห้องใต้หลังคา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หลังมื้ออาหารคาโลไรน์จัดผลไม้แห้งและน้ำอุ่นให้

 

“ จะเป็นไรไหมถ้าจะถามว่า   พวกท่านไม่ดื่มชาหลังอาหารเย็นกันหรือ   ข้าอายุน้อยความรู้ก็น้อยตาม   แต่พอจะเดาได้ว่า   แต่ละเมืองมีธรรมเนียมไม่เหมือนกัน ”

 

ดารีลถาม

 

“ อันที่จริงชาวซีนาร์ยชื่นชอบการดื่มชา   แต่พอดีว่าพวกเราเพิ่งย้ายบ้านมา   หลายอย่างยังไม่เข้าที่และชาก็หมดลงโดยที่เราไม่รู้ตัว ”

อาเธอร์ตอบ

 

ดารีลล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อคลุม

หยิบห่อกระดาษห่อเล็กๆ ขึ้นมาวางบนโต๊ะก่อนจะเลื่อนต่อไปให้คาโลไรน์

 

“ ข้ามีติดตัวมานิดหน่อย   ท่านมีวิธีต้มชาอย่างไรข้าไม่รู้   แต่เมื่อต้มให้ข้ากรุณาต้มด้วยน้ำเดือด ”

 

เขากำชับ

 

“ เข้าใจแล้ว”

 

นางว่าแล้วหยิบห่อชาไปต้ม

กลิ่นชาหอมอ่อนๆฟุ้งกระจายเต็มห้อง   น้ำชาปรากฏเป็นริ้วสีม่วงจางๆ  

อาเธอร์ยกชาขึ้นจิบแล้วถอนหายใจด้วยความรู้สึกอิ่มเอมและผ่อนคลาย

 

“ ชาชั้นเลิศนี้ท่านซื้อจากแหล่งใดคงมีราคาสูงมากเลยสินะ ”

 

เขาถาม

 

“ เรื่องตลกคือบ้านข้าขายน้ำชา   และชาปรุงพวกนี้ข้าเป็นคนคิดสูตรเอง   แต่เชื่อหรือไม่ข้าไม่เคยรู้ราคาเลย ”

 

ดารีลตอบพลางเทผงสีดำอย่างหนึ่งลงในถ้วยชาของตัวเอง

ทำให้สีและกลิ่นแปลกออกไป

จากนั้นก็เทลงในถ้วยของฟิโลโซเฟอร์ด้วย

 

ความจริงคาโลไรน์ยังไม่อยากให้เด็กๆ ดื่มชา

แต่เมื่อดารีลเป็นคนอนุญาต

นางก็ไม่กล้าขัด

 

เด็กชายยกขึ้นจิบแล้วสะดุ้งโหยง

 

“ เหตุใดขมขนาดนี้ ”

 

“ ข้าเทผงโกโก้ลงไปน่ะ ”

 

พ่อมดน้อยตอบหน้าตาเฉย

 

“ ทำแบบนี้ก็เสียรสแย่สิ ”

 

เขาท้วง

 

“ ดื่มเป็นยาเจ้าอย่าเรื่องมากนักได้มั้ย   หรือขมแค่นี้ก็ทำให้ใจเสาะเสียแล้ว ”

 

ดารีลกระซิบ

 

“ ถ้าข้าสามารถดื่มให้หมดในคราวเดียวเจ้าจะยอมค้างคืนที่บ้านข้าหรือไม่ ”

 

คนถูกท้าไม่ตอบแต่ยกมือขึ้นกุมขมับแทน

 

แล้วเด็กชายฟิโลโซเฟอร์ก็ยกถ้วยชานั้นขึ้นดื่มจนหมด

สายตาจ้องมองดารีลแบบผู้กำชัยเหนือกว่า

 

คืนนั้นฟิโลโซเฟอร์บอกบิดามารดาว่าดารีลจะค้างที่นี่

ซึ่งคาโลไรน์ก็ยินดีเป็นอย่างมาก

เด็กชายส่งเพื่อนขึ้นบันไดไปก่อน

ส่วนตัวเขาถูกอาเธอร์ลากตัวไปที่ห้องด้านหลัง

 

“ เจ้ามีอะไรปิดบังพวกเราหรือเปล่า ”

 

คนเป็นพ่อคาดคั้น

 

“ อย่างเช่นอะไรล่ะฮะ ”

 

เด็กชายถามกลับด้วยแววตาใสซื่อ

 

“ ข้ารู้ว่าเจ้าสองคนบาดเจ็บ   ตกลงพวกเจ้าแอบไปทำอะไรกันแน่ ”

 

“ ความจริงเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ”

 

เด็กชายตอบ

 

“ ข้าเผลอทำมีดของดารีลบาดมือ   โชคร้ายที่มีดนั้นอาบยาพิษ   เขาพยายามช่วยเหลือก็เลยพลอยติดพิษไปด้วย   โปรดอย่าบอกเรื่องนี้กับท่านแม่นะ   ข้าไม่อยากให้นางเป็นห่วง ”

 

อาเธอร์ถอนหายใจดังเฮือก

 

“ ข้าต้องเตือนเจ้าแล้วว่าพวกผู้ใช้เวทมนตร์ไม่ใช่เพื่อน   เจ้าจะไปล้อเล่นกับเขาเหล่านั้นไม่ได้   ผิดพลาดนิดเดียวอาจถึงขั้นต้องขุดหลุมฝังกันเลย ”

 

“ ไม่ต้องห่วง   ดารีลก็เคยเตือนข้าแบบนี้เหมือนกัน ”

 

เมื่อเขากลับขึ้นไปยังห้องนอนซึ่งมันก็คือห้องใต้หลังคา

เขาก็พบว่าดารีลนั่งอ่านหนังสือคอยอยู่

โดยอาศัยแสงสว่างจากเทียนไขเล่มหนึ่ง

 

“ มีห้องว่างมากมายเหตุใดเจ้าจึงเลือกนอนที่ห้องนี้ล่ะไม่รู้สึกว่าน่าอึดอัดหรือ ”

 

ดารีลถามโดยไม่ยอมเงยหน้าจากหนังสือ

 

“ ตอนอยู่ที่ซีนาร์ยก็อาศัยอยู่ในห้องใต้หลังคามาตลอด   ข้าคุ้นชินกับที่แบบนี้   แต่ดูสิเพดานห้องนี้สูงกว่าที่บ้านเดิมเป็นไหนๆ   อยู่ห้องสูงที่สุดก็สามารถมองเห็นทิวทัศได้ไกลสุดเจ้าว่าไหม ”

 

เด็กชายว่า

พลางเดินไปเปิดหน้าต่างเล็กๆ ข้างเตียง

แสงจันทร์สีขาวลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทาบเงาบนพื้นห้อง

 

“ แต่ข้าคิดว่าบนหลังคาคือที่ๆ ดีที่สุดหากอยากชมเมือง ”

 

“ เป็นความคิดที่น่าสนใจวันหลังข้าจะลองดูบ้าง ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่า

 

“ แต่ถ้าเกิดพลัดตกลงไปคอหักตายแล้วก็   อย่าบอกใครล่ะว่าข้าเป็นคนแนะนำ ”

 

ดารีลพูดหน้าตาเฉย

 

เด็กชายไม่ว่าอะไร

แต่เขาได้หยิบดาบโบราณเล่มนั้นออกมาอวด

พ่อมดน้อยเพียงแค่ปรายตามองแล้วกล่าวตำหนิ

 

“ นั่นไม่ใช่ของที่เจ้าจะเอาออกมาให้ใครดูก็ได้   เก็บให้มิดชิดกว่านี้ไม่ได้หรืออย่างไร ”

 

“ ข้าให้เจ้าดูคนเดียวเท่านั้น ”

 

เด็กชายบอก

แต่ดารีลก็หันไปสนใจกองหนังสือต่อเขาถามว่า

 

“ หนังสือพวกนี้เป็นของใคร   ตระกูลของเจ้าแท้จริงแล้วทำงานอะไรแน่   เหตุใดมีของพวกนี้ ”

 

“ พ่อของข้าเคยเป็นทหาร   ส่วนหนังสือพวกนี้คงเป็นของผู้เช่าคนก่อน   ท่านพ่อเคยเล่าว่าตึกนี้เปิดไว้ให้เช่าเท่านั้น   ส่วนครอบครัวเดิมของพวกเราอยู่บ้านอีกหลัง   ของที่เห็นในบ้านส่วนใหญ่จึงเป็นของผู้เช่าที่ทิ้งเอาไว้   ทำไมล่ะมันสำคัญหรือเปล่า   เคยคิดจะทำลายมันทิ้ง   แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร   เพราะตัวหนังสือในนั้นบางส่วนข้าอ่านไม่ออกก็เลยเก็บเอาไว้ก่อน ”

 

“ มันเป็นรายงานเก่าๆ ของเมืองโอรีเวีย   รวมทั้งบันทึกรายรับรายจ่ายของงบประมาณประจำปี   ที่เจ้าอ่านไม่ออกอาจเป็นเพราะบางส่วนถูกบันทึกด้วยอักษรพิเศษ   ที่รู้กันเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น ”

 

ดารีลว่าพลางรื้อดูหนังสือเล่มอื่นๆ

 

“ ไม่รู้ทำไมจึงถูกเก็บไว้ที่นี่แต่ข้าดูผ่านๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรผิดปรกติ ”

 

“ ดารีลเจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับบุตรแห่งควอซาร์ ”

 

อยู่ๆ เด็กชายก็เปลี่ยนเรื่อง

คนถูกถามชะงักกึกมือกำค้างบนหนังสือเล่มหนึ่ง

ในหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงามืดนั้นดูลึกลับขึ้นทันที

 

“ อะไรคืออย่างไร   คำถามของเจ้าไม่กว้างไปหน่อยหรือ ”

 

เขาถามกลับหลังจากนิ่งไปชั่วครู่

 

“ ข้าได้ยินมาว่าคนที่โจมตีปราสาทขาวเป็นชาวเมืองคาเล   และเขาอาจกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่   เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปได้หรือไม่ ”

 

“ เป็นความจริงที่ว่าคืนนั้นมีผู้ใช้มนตร์ดำปรากฏ ”

 

ดารีลตอบ

 

“ และเพียงเชื้อสายของชาวคาเลเท่านั้นที่สามารถใช้มนตร์ดำได้   แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้ลงมือจะต้องเป็นบุตรแห่งควอซาร์   ส่วนเขาต้องการอะไรนั้นพวกเราทำได้แค่คาดเดาเท่านั้น ”

 

“ ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยเดาหน่อยสิ   เขาต้องการทำลายอนุสาวรีย์ไปเพื่ออะไร ”

 

เด็กชายรบเร้าด้วยความอยากรู้

 

“ มีความเป็นไปได้สองอย่างแต่ข้าควรจะเล่าให้เจ้าฟังหรือเปล่า ”

 

เด็กชายชูนิ้วขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ ข้าขอสาบานถ้าเจ้าไม่ให้ข้าพูดข้าก็จะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ”

 

“ เอาล่ะข้าเล่าก็ได้ ”

 

ดารีลหัวเราะ

 

“ ก่อนอื่นขอถามว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องราวของซาเวจลอร์ดกับของวิเศษทั้งเจ็ดหรือไม่ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์พยักหน้ารับ

 

“ ข้าได้ยินมาบ้าง ”

 

“ ก็ดีข้าจะได้เล่าสั้นๆ   แต่ทั้งหมดเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของข้าเท่านั้น   ซึ่งอาจไม่จริงก็ได้ ”

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา