โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.59K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
60) จะไปกับข้าหรือให้ข้าไปกับเจ้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฟิโลโซเฟอร์คว้าไหล่ของเขาผลักไปชนกำแพง
ดารีลพยายามเลื่อนหลบมาทางซ้ายเด็กชายก็ยกแขนขึ้นกั้นไว้
“ ข้าชวนดีๆ แล้วนะ ”
คนอายุน้อยกว่าว่า
มือข้างหนึ่งยังยันมั่นไว้กับผนัง
“ อย่างเจ้านี่คิดจะขู่ข้าหรือ ”
นักเวทย์น้อยจ้องหน้าเขาด้วยแววตานิ่งขรึม
“ ใช่ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบ
ดารีลตวัดมีดพกเล่มเล็กขึ้นมาจ่อปลายคางของเด็กชาย
“ พอดีว่าข้าไม่ชอบถูกบังคับ คิดว่าปราสาทขาวที่กว้างใหญ่ จะมีที่พอให้ซ่อนศพหรือไม่ ”
“ เก็บมีดไปเถอะดารีล เสียเวลาเปล่า เพราะเจ้าไม่กล้าลงมือหรอก ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบแบบไม่สะทกสะท้าน
ดารีลจ้องมีดสลับกับแววตาของคนเบื้องหน้า
สุดท้ายก็ลดมือลง
“ ข้าเกลียดนักเวลาที่โดนรู้ทัน ”
“ ตกลงจะไปดีๆ หรือต้องให้ใช้กำลัง ”
เด็กชายพูดเหมือนอย่างที่ดารีลเคยพูดกับเขา
หนุ่มน้อยทำหน้าเศร้าจ้องมองกลับมาด้วยสายตาวิงวอน
ช่างเป็นภาพที่งดงามจนแทบหยุดหายใจ
แต่ทันใดดารีลก็พุ่งหลบไปด้านขวา
ฟิโลโซเฟอร์ที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็ยกแขนอีกข้างขึ้นกั้น
ดารีลจึงตกอยู่ในวงกั้นอย่างแท้จริง
เขาถอยไปจนหลังเบียดกำแพง
เพราะรู้สึกว่าเด็กชายนั้นอยู่ใกล้ชิดจนเกินไป
“ มุกนี้ข้าโดนบ่อย ”
เด็กชายว่า
“ คาโอเรียเล่นแบบนี้ประจำ ไม่นึกว่าคนแบบเจ้าจะใช้วิธีเดียวกัน ”
“ นี่เจ้าไม่คิดจะให้ทางเลือกกับข้าหน่อยหรือ ”
หนุ่มน้อยท้วง
“ ได้สิได้ เลือกเอาว่าจะไปกับข้าหรือให้ข้าไปกับเจ้า ดารีลถ้าหากเจ้าไม่ตกลงคืนนี้ไม่ได้ไปไหนแน่ ”
เจ้าของร่างงามพ่นลมออกจากปาก
มือกำด้ามมีดกระแทกเข้าใส่ผนังด้านหลังด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
เด็กคนนี้เป็นคนแรกที่กล้าล้อเล่นกับเขา
และเขาเองก็ไม่อยากใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหา
แม้ดารีลจะอายุมากกว่าสองปีแต่เด็กชายก็เตี้ยกว่าไม่ถึงคืบ
ซ้ำยังมีช่วงไหล่ที่หนาบึกบึน
เมื่ออยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้หนุ่มน้อยหน้ามลเลยดูบอบบางลงถนัดตา
แต่รูปลักษณ์ภายนอกนั้นเป็นดังภาพลวงตา
เมื่อเขายกมือข้างหนึ่งขึ้นผลัก
ฟิโลโซเฟอร์ก็รู้สึกถึงเรี่ยวแรงมหาศาลจนเขาต้องเซถอยหลัง
“ ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้า กลับบ้านไปเสียเด็กน้อย ในเมืองใหญ่เด็กตัวเล็กๆ ไม่ควรออกมาเดินเพ่นพ่านตามลำพัง การเป็นเชื้อสายของนักรบโบราณ ไม่ได้หมายถึงเจ้าจะเอาตัวรอดจากความตายได้ ”
ดารีลหันหลังอีกครั้งเสื้อคลุมยาวสีดำสะบัดพลิ้วดังปีกของราตรี
ในยามนี้ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมาก
แสงสุดท้ายฉาบก้อนเมฆกลายเป็นสีแดงฉาน
ฟิโลโซเฟอร์ไม่อยากให้โอกาสหลุดลอยไปอีก
เขาจึงรีบฉวยข้อมือไว้
แต่ด้วยความรีบร้อนหลังมือจึงปัดไปโดนปลายมีดที่ดารีลถือ
หนุ่มน้อยพ่อมดหันกลับมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดชีวิต
“ ไม่เป็นไรหรอกน่าแผลแค่รอยแมวข่วน ”
เด็กชายบอก
ไม่เข้าใจว่าเหตุใดดารีลจึงต้องตกใจขนาดนั้น
แต่ทันใดสายตาของเขาก็เริ่มพร่ามัว
ดารีลคว้าร่างของเขาไว้ทันก่อนจะล้มฟาดพื้น
เลือดในกายเดือดพล่านขึ้นมาทันที
พร้อมกับลมหายใจที่ขาดเป็นห้วงๆ
เด็กน้อยรู้สึกเจ็บแปลบตรงแผล
แม้มองไม่ชัดแต่ก็ยังเห็นว่าดารีลดึงมือของเขาไปจรดที่ริมฝีปาก
มันไม่ใช่ความทรมานโดยเด็ดขาด
ความรู้สึกนั้นง่วงงุนและดำมืด
จิตใต้สำนึกนั้นสงบอย่างน่าประหลาด
เด็กชายแสนซนอยากจะหลับเสียตรงนี้
แม้ต้องหลับไปชั่วนิรันดร์ก็ตาม
แก้มข้างหนึ่งเจ็บจนชาฟิโลโซเฟอร์จึงได้สะดุ้งฟื้นคืนสติ
ครั้นลืมตาขึ้นก็เห็นว่าดารีลนั่งคร่อมอยู่
เขาหมอบลงกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของเด็กชาย
เสียงนั้นทุ้มนุ่มละมุนเหมือนบทสวด
ความรู้สึกทั้งมวลบอกให้เขาหยุดดิ้นรนความตายนั้นไม่ได้เลวร้ายนัก
แต่อีกความรู้สึกเล็กๆ บอกให้เขาสู้ต่อ
และเสียงของดารีลที่ดังก้องอยู่เตือนว่าชีวิตยังต้องการสิ่งใด
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็หลับไปอีกครั้ง
ในห้วงแห่งฝันมีทั้งความเหน็บหนาวและเปลวไฟที่ร้อนแดง
นานเท่าใดไม่รู้ที่เสียงกรีดร้องดังแทรกผ่านเข้ามา
มันเย็นเยือกและบาดลึกลงในหัวใจ
เสียงของเคอร์คารอล
เด็กชายสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องนั่น
เขาหันขวับไปมองพบว่ามันเป็นแค่นกเรเวนตัวหนึ่ง
เจ้านกตัวนั้นกระโดดไปมาบนร่างของดารีลส่งเสียงร้องประหลาดออกมา
แต่ไม่ใช่เสียงสยองขวัญแบบที่ได้ยินในตอนแรก
หนุ่มน้อยดารีลนอนทอดร่างเหมือนคนตาย
ในหน้าที่ขาวมากอยู่แล้วกลับดูซีดเผือดลงไปอีก
ริมฝีปากเปราะเปื้อนไปด้วยเลือด
นกเรเวนฟาดปีกไปมาด้วยท่าทีร้อนรน
ปากก็จิกไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ฟิโลโซเฟอร์นึกขึ้นได้ว่าสัตว์ชนิดนี้ชอบกินเนื้อสด
เขาจึงเรียกชื่อดารีลด้วยความตกใจ
แต่เสียงของเขานั้นแห้งผาก
เด็กชายจึงเปลี่ยนแผนคิดจะไปหาไม้มาฟาด
แล้วก็พบว่าร่างของเขาอ่อนเปลี้ยไปหมด
“ ออกไปห่างๆ เลยเจ้านกปีศาจ ”
ดารีลกัดฟันพูด
นกตัวนั้นจึงบินออกไปยืนข้างๆ กองไฟสีฟ้า
มันเป็นไฟปริศนาที่ลุกขึ้นมาโดยไร้เชื้อเพลิงด้วยอำนาจของผู้ใช้เวทมนตร์
พ่อมดน้อยยันกายขึ้นนั่ง
สภาพดูย่ำแย่กว่าฟิโลโซเฟอร์ไม่น้อย
เขาฉีกเสื้อคลุมราคาแพงออกมาเป็นริ้วยาว
แล้วหันหน้ามาทางเด็กชายตัวน้อย
“ ส่งมือมานี่ ”
ฟิโลโซเฟอร์เพิ่งสังเกตเห็นว่าแผลที่หลังมือนั้นกว้างและลึกขึ้น
เลือดสดๆ ยังไหลซึมเป็นทางแต่ไม่มากมายนัก
เขาจัดการพันแผลนั้นอย่างรวดเร็วแต่ประณีต
แล้วก็หันหลังให้เด็กชายทันทีด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย
นกเรเวนตัวนั้นยังจ้องเขาทั้งคู่ไม่วางตา
“ มีดของเจ้าอาบยาพิษด้วยใช่ไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์ชวนคุย
“ เป็นชนิดออกฤทธิ์รุนแรงและรวดเร็ว ยาถอนพิษแบบธรรมดาใช้ไม่ได้ผล ข้านี่ประหลาดใจสุดๆ ที่เจ้ารอดมาได้ ”
ดารีลตอบ
“ ยังดีที่ไม่ทำให้เจ้าต้องตายไปด้วย ไม่อย่างนั้นข้าคงหมดปัญญาชดใช้ให้ ”
เด็กชายรู้ว่าเป็นเพราะดารีลพยายามดูดพิษจากบาดแผล
เขาจึงตกอยู่ในในสภาพเช่นนี้
“ ตายไปแล้วจะชดใช้อะไรได้ อันที่จริงข้าก็นึกไม่ออกว่าจะช่วยเจ้าอย่างไร ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก แต่จะโทษเจ้าฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ตัวข้าเองก็ไม่ควรหยิบของอันตรายออกมาเล่น โดยเฉพาะต่อหน้าเจ้าด้วยแล้ว ”
ท้องฟ้าได้มืดลงแล้วในตอนนี้
อากาศในยามค่ำคืนนั้นหนาวเย็นนัก
แต่กองเพลิงสีฟ้านั้นก็อบอุ่นเพียงพอ
“ ดึกแล้วเจ้ากลับบ้านไปเถอะ ขึ้นรถม้าโดยสารกลับเอานะ เพราะถ้าเดินคงกลับไม่ถึงเป็นแน่ โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ไม่อย่างนั้นคงได้ขาดเรียนกัน ”
ดารีลบอก
“ แล้วเจ้าล่ะ ”
“ ขอพักต่อสักครู่ ไม่ต้องห่วงหรอกข้าเคยออกจากบ้านกลางดึกบ่อยๆ คนที่นั่นไม่วิตกกับการหายตัวไปของข้าอยู่แล้ว ต่างกับเจ้าป่านนี้วุ่นวายกันหรือยังก็ไม่รู้ ”
“ ไม่ล่ะ ข้าทิ้งเจ้าไว้แบบนี้ไม่ได้ ดูสภาพตอนนี้สิ ให้ข้าไปส่งที่บ้านเถอะนะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางขยับมานั่งใกล้ๆ
“ ข้าดูแลตัวเองได้หรอกน่า ให้ตายสิอยู่ใกล้เจ้านี่มีแต่เรื่องเฉียดตายทั้งนั้น ข้าคงต้องรอบคอบกว่านี้หรือไม่ก็ถอยห่างออกมาเลย ”
หนุ่มน้อยบ่น
“ แต่ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปหรอกนะดารีล ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้เจ้ากลายเป็นเพื่อนตายของข้าให้ได้ ”
เด็กชายบอก
“ หึ ”
ดารีลขำ
“ คงมีสักวันที่เจ้าต้องเสียใจเพราะข้า เพราะฉะนั้นเลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว ข้าไม่เหมาะเป็นเพื่อนกับเจ้าหรอก ทางเดินของเรามันต่างกันเกินไป ”
“ เพียงเพราะว่าเจ้าเป็นผู้ใช้เวทมนตร์อย่างนั้นหรือ อย่าตีกรอบให้ตัวเองเลย ก่อนที่จะฝึกใช้พลังเหล่านั้นเจ้าก็เคยเป็นคนธรรมดามาก่อนมิใช่หรือ ไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองขนาดนั้น ”
เด็กชายแย้ง
*** ยาพิษของดารีลเป็นแบบการุณยฆาต คือ ออกฤทธิ์ไว ทรมานน้อยและเหยื่อจะรู้สึกดื่มด่ำกับความตาย
ดารีลพยายามเลื่อนหลบมาทางซ้ายเด็กชายก็ยกแขนขึ้นกั้นไว้
“ ข้าชวนดีๆ แล้วนะ ”
คนอายุน้อยกว่าว่า
มือข้างหนึ่งยังยันมั่นไว้กับผนัง
“ อย่างเจ้านี่คิดจะขู่ข้าหรือ ”
นักเวทย์น้อยจ้องหน้าเขาด้วยแววตานิ่งขรึม
“ ใช่ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบ
ดารีลตวัดมีดพกเล่มเล็กขึ้นมาจ่อปลายคางของเด็กชาย
“ พอดีว่าข้าไม่ชอบถูกบังคับ คิดว่าปราสาทขาวที่กว้างใหญ่ จะมีที่พอให้ซ่อนศพหรือไม่ ”
“ เก็บมีดไปเถอะดารีล เสียเวลาเปล่า เพราะเจ้าไม่กล้าลงมือหรอก ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบแบบไม่สะทกสะท้าน
ดารีลจ้องมีดสลับกับแววตาของคนเบื้องหน้า
สุดท้ายก็ลดมือลง
“ ข้าเกลียดนักเวลาที่โดนรู้ทัน ”
“ ตกลงจะไปดีๆ หรือต้องให้ใช้กำลัง ”
เด็กชายพูดเหมือนอย่างที่ดารีลเคยพูดกับเขา
หนุ่มน้อยทำหน้าเศร้าจ้องมองกลับมาด้วยสายตาวิงวอน
ช่างเป็นภาพที่งดงามจนแทบหยุดหายใจ
แต่ทันใดดารีลก็พุ่งหลบไปด้านขวา
ฟิโลโซเฟอร์ที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็ยกแขนอีกข้างขึ้นกั้น
ดารีลจึงตกอยู่ในวงกั้นอย่างแท้จริง
เขาถอยไปจนหลังเบียดกำแพง
เพราะรู้สึกว่าเด็กชายนั้นอยู่ใกล้ชิดจนเกินไป
“ มุกนี้ข้าโดนบ่อย ”
เด็กชายว่า
“ คาโอเรียเล่นแบบนี้ประจำ ไม่นึกว่าคนแบบเจ้าจะใช้วิธีเดียวกัน ”
“ นี่เจ้าไม่คิดจะให้ทางเลือกกับข้าหน่อยหรือ ”
หนุ่มน้อยท้วง
“ ได้สิได้ เลือกเอาว่าจะไปกับข้าหรือให้ข้าไปกับเจ้า ดารีลถ้าหากเจ้าไม่ตกลงคืนนี้ไม่ได้ไปไหนแน่ ”
เจ้าของร่างงามพ่นลมออกจากปาก
มือกำด้ามมีดกระแทกเข้าใส่ผนังด้านหลังด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
เด็กคนนี้เป็นคนแรกที่กล้าล้อเล่นกับเขา
และเขาเองก็ไม่อยากใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหา
แม้ดารีลจะอายุมากกว่าสองปีแต่เด็กชายก็เตี้ยกว่าไม่ถึงคืบ
ซ้ำยังมีช่วงไหล่ที่หนาบึกบึน
เมื่ออยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้หนุ่มน้อยหน้ามลเลยดูบอบบางลงถนัดตา
แต่รูปลักษณ์ภายนอกนั้นเป็นดังภาพลวงตา
เมื่อเขายกมือข้างหนึ่งขึ้นผลัก
ฟิโลโซเฟอร์ก็รู้สึกถึงเรี่ยวแรงมหาศาลจนเขาต้องเซถอยหลัง
“ ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้า กลับบ้านไปเสียเด็กน้อย ในเมืองใหญ่เด็กตัวเล็กๆ ไม่ควรออกมาเดินเพ่นพ่านตามลำพัง การเป็นเชื้อสายของนักรบโบราณ ไม่ได้หมายถึงเจ้าจะเอาตัวรอดจากความตายได้ ”
ดารีลหันหลังอีกครั้งเสื้อคลุมยาวสีดำสะบัดพลิ้วดังปีกของราตรี
ในยามนี้ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมาก
แสงสุดท้ายฉาบก้อนเมฆกลายเป็นสีแดงฉาน
ฟิโลโซเฟอร์ไม่อยากให้โอกาสหลุดลอยไปอีก
เขาจึงรีบฉวยข้อมือไว้
แต่ด้วยความรีบร้อนหลังมือจึงปัดไปโดนปลายมีดที่ดารีลถือ
หนุ่มน้อยพ่อมดหันกลับมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดชีวิต
“ ไม่เป็นไรหรอกน่าแผลแค่รอยแมวข่วน ”
เด็กชายบอก
ไม่เข้าใจว่าเหตุใดดารีลจึงต้องตกใจขนาดนั้น
แต่ทันใดสายตาของเขาก็เริ่มพร่ามัว
ดารีลคว้าร่างของเขาไว้ทันก่อนจะล้มฟาดพื้น
เลือดในกายเดือดพล่านขึ้นมาทันที
พร้อมกับลมหายใจที่ขาดเป็นห้วงๆ
เด็กน้อยรู้สึกเจ็บแปลบตรงแผล
แม้มองไม่ชัดแต่ก็ยังเห็นว่าดารีลดึงมือของเขาไปจรดที่ริมฝีปาก
มันไม่ใช่ความทรมานโดยเด็ดขาด
ความรู้สึกนั้นง่วงงุนและดำมืด
จิตใต้สำนึกนั้นสงบอย่างน่าประหลาด
เด็กชายแสนซนอยากจะหลับเสียตรงนี้
แม้ต้องหลับไปชั่วนิรันดร์ก็ตาม
แก้มข้างหนึ่งเจ็บจนชาฟิโลโซเฟอร์จึงได้สะดุ้งฟื้นคืนสติ
ครั้นลืมตาขึ้นก็เห็นว่าดารีลนั่งคร่อมอยู่
เขาหมอบลงกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของเด็กชาย
เสียงนั้นทุ้มนุ่มละมุนเหมือนบทสวด
ความรู้สึกทั้งมวลบอกให้เขาหยุดดิ้นรนความตายนั้นไม่ได้เลวร้ายนัก
แต่อีกความรู้สึกเล็กๆ บอกให้เขาสู้ต่อ
และเสียงของดารีลที่ดังก้องอยู่เตือนว่าชีวิตยังต้องการสิ่งใด
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็หลับไปอีกครั้ง
ในห้วงแห่งฝันมีทั้งความเหน็บหนาวและเปลวไฟที่ร้อนแดง
นานเท่าใดไม่รู้ที่เสียงกรีดร้องดังแทรกผ่านเข้ามา
มันเย็นเยือกและบาดลึกลงในหัวใจ
เสียงของเคอร์คารอล
เด็กชายสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องนั่น
เขาหันขวับไปมองพบว่ามันเป็นแค่นกเรเวนตัวหนึ่ง
เจ้านกตัวนั้นกระโดดไปมาบนร่างของดารีลส่งเสียงร้องประหลาดออกมา
แต่ไม่ใช่เสียงสยองขวัญแบบที่ได้ยินในตอนแรก
หนุ่มน้อยดารีลนอนทอดร่างเหมือนคนตาย
ในหน้าที่ขาวมากอยู่แล้วกลับดูซีดเผือดลงไปอีก
ริมฝีปากเปราะเปื้อนไปด้วยเลือด
นกเรเวนฟาดปีกไปมาด้วยท่าทีร้อนรน
ปากก็จิกไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ฟิโลโซเฟอร์นึกขึ้นได้ว่าสัตว์ชนิดนี้ชอบกินเนื้อสด
เขาจึงเรียกชื่อดารีลด้วยความตกใจ
แต่เสียงของเขานั้นแห้งผาก
เด็กชายจึงเปลี่ยนแผนคิดจะไปหาไม้มาฟาด
แล้วก็พบว่าร่างของเขาอ่อนเปลี้ยไปหมด
“ ออกไปห่างๆ เลยเจ้านกปีศาจ ”
ดารีลกัดฟันพูด
นกตัวนั้นจึงบินออกไปยืนข้างๆ กองไฟสีฟ้า
มันเป็นไฟปริศนาที่ลุกขึ้นมาโดยไร้เชื้อเพลิงด้วยอำนาจของผู้ใช้เวทมนตร์
พ่อมดน้อยยันกายขึ้นนั่ง
สภาพดูย่ำแย่กว่าฟิโลโซเฟอร์ไม่น้อย
เขาฉีกเสื้อคลุมราคาแพงออกมาเป็นริ้วยาว
แล้วหันหน้ามาทางเด็กชายตัวน้อย
“ ส่งมือมานี่ ”
ฟิโลโซเฟอร์เพิ่งสังเกตเห็นว่าแผลที่หลังมือนั้นกว้างและลึกขึ้น
เลือดสดๆ ยังไหลซึมเป็นทางแต่ไม่มากมายนัก
เขาจัดการพันแผลนั้นอย่างรวดเร็วแต่ประณีต
แล้วก็หันหลังให้เด็กชายทันทีด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย
นกเรเวนตัวนั้นยังจ้องเขาทั้งคู่ไม่วางตา
“ มีดของเจ้าอาบยาพิษด้วยใช่ไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์ชวนคุย
“ เป็นชนิดออกฤทธิ์รุนแรงและรวดเร็ว ยาถอนพิษแบบธรรมดาใช้ไม่ได้ผล ข้านี่ประหลาดใจสุดๆ ที่เจ้ารอดมาได้ ”
ดารีลตอบ
“ ยังดีที่ไม่ทำให้เจ้าต้องตายไปด้วย ไม่อย่างนั้นข้าคงหมดปัญญาชดใช้ให้ ”
เด็กชายรู้ว่าเป็นเพราะดารีลพยายามดูดพิษจากบาดแผล
เขาจึงตกอยู่ในในสภาพเช่นนี้
“ ตายไปแล้วจะชดใช้อะไรได้ อันที่จริงข้าก็นึกไม่ออกว่าจะช่วยเจ้าอย่างไร ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก แต่จะโทษเจ้าฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ตัวข้าเองก็ไม่ควรหยิบของอันตรายออกมาเล่น โดยเฉพาะต่อหน้าเจ้าด้วยแล้ว ”
ท้องฟ้าได้มืดลงแล้วในตอนนี้
อากาศในยามค่ำคืนนั้นหนาวเย็นนัก
แต่กองเพลิงสีฟ้านั้นก็อบอุ่นเพียงพอ
“ ดึกแล้วเจ้ากลับบ้านไปเถอะ ขึ้นรถม้าโดยสารกลับเอานะ เพราะถ้าเดินคงกลับไม่ถึงเป็นแน่ โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ไม่อย่างนั้นคงได้ขาดเรียนกัน ”
ดารีลบอก
“ แล้วเจ้าล่ะ ”
“ ขอพักต่อสักครู่ ไม่ต้องห่วงหรอกข้าเคยออกจากบ้านกลางดึกบ่อยๆ คนที่นั่นไม่วิตกกับการหายตัวไปของข้าอยู่แล้ว ต่างกับเจ้าป่านนี้วุ่นวายกันหรือยังก็ไม่รู้ ”
“ ไม่ล่ะ ข้าทิ้งเจ้าไว้แบบนี้ไม่ได้ ดูสภาพตอนนี้สิ ให้ข้าไปส่งที่บ้านเถอะนะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางขยับมานั่งใกล้ๆ
“ ข้าดูแลตัวเองได้หรอกน่า ให้ตายสิอยู่ใกล้เจ้านี่มีแต่เรื่องเฉียดตายทั้งนั้น ข้าคงต้องรอบคอบกว่านี้หรือไม่ก็ถอยห่างออกมาเลย ”
หนุ่มน้อยบ่น
“ แต่ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปหรอกนะดารีล ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้เจ้ากลายเป็นเพื่อนตายของข้าให้ได้ ”
เด็กชายบอก
“ หึ ”
ดารีลขำ
“ คงมีสักวันที่เจ้าต้องเสียใจเพราะข้า เพราะฉะนั้นเลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว ข้าไม่เหมาะเป็นเพื่อนกับเจ้าหรอก ทางเดินของเรามันต่างกันเกินไป ”
“ เพียงเพราะว่าเจ้าเป็นผู้ใช้เวทมนตร์อย่างนั้นหรือ อย่าตีกรอบให้ตัวเองเลย ก่อนที่จะฝึกใช้พลังเหล่านั้นเจ้าก็เคยเป็นคนธรรมดามาก่อนมิใช่หรือ ไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองขนาดนั้น ”
เด็กชายแย้ง
*** ยาพิษของดารีลเป็นแบบการุณยฆาต คือ ออกฤทธิ์ไว ทรมานน้อยและเหยื่อจะรู้สึกดื่มด่ำกับความตาย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ