โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
59) ฝึกธนู
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฟิโลโซเฟอร์พบว่าเด็กนักเรียนส่วนใหญ่จะพักอยู่ในหอนอนของปราสาทขาว แต่ก็มีบางส่วนที่เลือกเช่าห้องหรือไม่ก็มีบ้านพักอยู่นอกกำแพงปราสาทเช่นเดียวกันกับเขา เด็กชายผู้พลัดถิ่นและน้องสาวของเขายังอาศัยอยู่ในบ้านตึกที่เป็นมรดกของปู่อยู่เช่นเดิม แต่ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาล้วนถูกโอบล้อมด้วยกำแพงมนตราแห่งโอรีเวีย
ช่วงเย็นของวันหนึ่งหลังเลิกเรียนแล้วเด็กชายตัวน้อยยังไม่กลับบ้านในทันที เขาหิ้วหุ่นฟางไปที่หลังโรงฝึกนักแม่นธนู วันนี้เขาทำคะแนนได้ย่ำแย่จนน่าหดหู่จากปรกติก็ไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว ฟิโลโซเฟอร์ตั้งหุ่นฟางพิงต้นไม้แล้วถอยออกมา ธนูนี้อาเธอร์เป็นคนเลือกซื้อมาให้คันธนูทำจากไม้สีดำขัดเงาดุนลายด้วยโลหะเงิน
เด็กชายพุ่งเป้าไปที่หัวของหุ่นฟางแต่ก็พลาดไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงดอกที่หกจึงคู้กายลงทอดถอนหายใจ ตั้งแต่เสียธนูของพ่อมดดีมีนไปความมั่นใจของเขากายวับไปพร้อมกับคันธนู ครั้นนึกถึงคำพูดและท่าทีเย้ยหยันของคาโอเรียผู้เป็นน้องสาว เขาก็กัดฟันยืดตัวขึ้นรั้งสายธนูจนสุดกำลัง
พลันที่หางตาของเด็กตัวน้อยได้ปรากฏเงาดำร่างหนึ่งไหววูบวาบ เขาสะดุ้งเฮือกด้วยลางสังหรณ์ประหลาด แต่ทุกอย่างก็สายไปแล้วลูกศรหลุดจากมือพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วและรุนแรง ดารีลยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ ต่อหน้าเขา ขวางกั้นระหว่างหุ่นฟางตัวที่ใช้เป็นเป้า ลูกธนูพุงผ่านข้างแกมของเขาไปคลาดกันแค่ปลายเส้นผม
ฟิโลโซเฟอร์ตัวแข็งทื่อ ฝ่ามือเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างฉับพลัน อีกคนตรงหน้ากลับยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เมื่อแน่ชัดแล้วว่าฝ่ายนั้นไม่บาดเจ็บอะไรเขาก็ทรุดลงไปนั่งแบบคนหมดแรง
“ อย่าทำแบบนี้อีกนะ ข้าไม่อยากเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสังหารเจ้า ”
เสียงของเด็กชายตัวน้อยสั่นสะท้าน
“ เจ้าไม่มีทางทำสำเร็จหรอกให้ลองอีกครั้งก็ยังได้ ข้ายินดีพนันกับเจ้าด้วยทองคำทั้งถุง ”
หนุ่มน้อยนักเวทย์ตอบเรียบๆ
“ ไม่ ข้าไม่ลองเด็ดขาด ”
เจ้าของร่างงามเดินตรงเขามาหาฟิโลโซเฟอร์
เขาฉวยธนูจากมือเด็กชายพรอมกับลูกธนูสองดอก
พอหันกลับไปเขาก็ขึ้นสายแล้วปล่อยลูกธนูสองดอกพร้อมกันโดยไม่เสียเวลาเล็งเป้า
ลูกธนูพุ่งไปปักตรงลำคอของหุ่นฟางอย่างแม่นยำ
“ เป็นอาวุธที่ดีแข็งแกร่งและเที่ยงตรง ”
ดารีลว่าพลางลูบคลำไปตามความยาวของคันธนู
“ ฝีมือช่างชั้นครูเลยทีเดียว ไม่คิดว่าอย่างเจ้าก็รู้จักเลือกใช้ของมีระดับเสียด้วย ”
“ ถ้าเช่นนั้นปัญหาคงอยู่ที่ฝีมือของขาเอง ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดด้วยความหดหู่
“ เป็นคำพูดที่น่าสนใจทีเดียว ”
ดารีลว่าพลางเดินอ้อมไปด้านหลังเด็กชาย
ดึงร่างคนที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้น
แล้วยัดธนูคันนั้นคืนใส่มือ
“ ตอบคำถามข้าที เหตุใดเจ้าจึงอยากเป็นนักแม่นธนู ทั้งๆ ที่มีดาบดีๆ ไว้กับตัวแล้ว ”
“ ข้าเคยยิงธนูได้ดีมากๆ ”
“ แล้วในเวลานี้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ”
“ ธนูคันแรกของข้ามันหัก ท่านดีมีนมอบให้แต่ข้ารักษาเอาไว้ไม่ได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบ
เขารู้สึกเศร้าใจกับความสูญเสียนั้นไม่หาย
“ พ่อมดดีมีนอย่างนั้นหรือ ”
หนุ่มน้อยนักเวทเอียงคอเล็กน้อย
ครู่ต่อมาจึงพยักหน้า
“ ข้าเข้าใจแล้ว เขาคงทำอะไรบางอย่างกับธนูนั่น แต่ในการต่อสู้สนามจริงเจ้าไม่ควรยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นักรบที่ดีต้องสามารถใช้อาวุธทุกชนิดที่คว้าติดมือมาให้ได้ จึงจะจัดว่าเป็นยอดนักรบ ”
เขาหยิบลูกธนูขึ้นมาดอกหนึ่งส่งฟิโลโซเฟอร์
“ ข้าสามารถทำสิ่งเดียวกันกับที่พ่อมดดีมีนทำ แต่เชื่อข้าเถอะ ”
ดารีลขยับกายเข้ามาจนชิดร่างเด็กชายตัวน้อย
กลิ่นหอมประหลาดจากลมหายใจของเขาเป่ารดตรงใบหู
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกวิงเวียนแทบยืนไม่อยู่
มันไม่ใช่กลิ่นหอมฉุน
แต่เป็นกลิ่นที่เหมือนมีมนต์สะกดให้สยบตรงหน้า
“ เจ้าทำทุกอย่างสำเร็จได้ โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งอัศจรรย์ใดๆ ทั้งนั้น ”
เมื่อได้ยินดังนั้นฟิโลโซเฟอร์จึงขึ้นสายธนูอีกครั้ง
หนุ่มน้อยรูปงามก้มหน้าลงมา
คางเรียวได้รูปของเขาแทบจะวางบนบ่าเด็กน้อย
“ อย่าหลับตาจงมองเป้าหมายด้วยตาทั้งสองข้างของเจ้า ”
ดารีลว่าพล่างจัดร่างกายเด็กชายให้อยู่ในท่วงท่าที่ถูกต้อง
“ แต่ภาพมันพร่าเลือนเหลือเกิน ”
ฟิโลโซเฟอร์แย้ง
“ อย่าสนใจเรื่องชัดหรือไม่ชัด เพราะสิ่งที่เห็นคือเป้าที่แท้จริง ไม่หักเหหรือเบี่ยงเบน ”
เด็กชายจึงปล่อยศรออกไป
ลูกธนูได้พุ่งเข้าเป้าอย่างแม่นยำ
“ เหลือเชื่อ ”
ฟิโลโซเฟอร์อุทาน
เขารู้สึกปลาบปลื้มกับผลงานในครั้งนี้
“ อย่าเพิ่งดีใจไป ”
ดารีลยื่นลูกธนูอีกดอกหนึ่งให้เด็กชาย ขณะที่กำลังจะขึ้นศรดารีลก็หยิบลูกธนูที่เหลือขึ้นมาฟาดใส่หน้าฟิโลโซเฟอร์ เด็กชายปัดออกไปตามสัญชาตญาณ เขาพยายามจะเอ่ยถามว่านี่มันเรื่องอะไรกัน แต่ดารีลไม่เปิดโอกาสนั้น ร่างสูงโปร่งพุ่งเข้าหาเด็กชายด้วยความรวดเร็วและรุนแรงจนน่าสะพรึง ฟิโลโซเฟอร์ได้แต่ปัดป้องและถอยร่นไม่สามารถหาช่องทางตีโต้กลับมาได้เลย เขาเคยมั่นใจมาตลอดว่าคนอย่างดารีลไม่มีวันทำร้ายเขา แต่ในเวลานี้ทุกการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้านั้นหมายชีวิตทั้งนั้น เด็กชายชาวเมืองชีนาร์ยถอยไปจนหลังชนกำแพงโดยไร้ทางหนี ปลายลูกธนูที่แหลมคมก็พุ่งเข้าไปจ่อคอหอยของเด็กชาย ฟิโลโซเฟอร์ยืนนิ่งด้วยความตระหนก ครั้นแล้วดารีลก็ชักมือกลับ เขาผายมือออกข้างลำตัวค้อมหัวลงเล็กน้อยให้เด็กชายที่กำลังอ้าปากเหวออยู่ตรงหน้า
“ ใครคืออาจารย์สอนฟันดาบให้เจ้า ”
หนุ่มน้อยนักเวทถาม
“ ข้าไม่เคยเรียนฟันดาบ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบตะกุกตะกักเพราะยังงุนงงกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
ไม่นึกว่าดารีลจะเปลี่ยนอารมณ์ง่ายดายอย่างนี้
“ ทั้งที่ไม่เคยฝึกการต่อสู้มาก่อน แต่สามารถรับมือข้าได้นานขนาดนี้ สมแล้วที่เป็นลูกหลานของคารีออส เจ้ามีพรสวรรค์ด้านการใช้ดาบ กลับเลือกที่จะเรียนเป็นนักแม่นธนู มนุษย์นี่ช่างประหลาดแท้ ”
ดารีลว่าพลางเก็บลูกธนูทั้งหมดลงกระบอก
แล้วยื่นคืนให้
“ นี่กำลังจะบอกอะไรกันแน่ ”
เด็กชายถาม
ใบหน้างดงามกลับจ้องไปยังขอบฟ้าที่ๆ พระอาทิตย์คล้อยต่ำลง
“ หนึ่งวันกำลังจะสิ้นไปอีกแล้ว นอกกำแพงนั่นมีอะไรเกิดขึ้นบ้างนะ ในเวลานี้ ”
อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ
“ เจ้าว่าอะไรนะ คิดจะออกไปตรวจนอกกำแพงนั่นอีกหรือ ”
“ ไม่ ไม่ใช่วันนี้ ”
พ่อมดน้อยตอบ
“ หลายวันมานี้ข้าไม่เห็นหน้าเจ้าเลยหายไปไหนมาหรือ ”
“ นี่คิดว่าข้ามีเวลามากมายพอที่จะสะกดรอยตามเจ้าไปทุกที่หรืออย่างไร ”
“ ก็ไม่แน่ ”
ฟิโลโซเฟอร์ทำเสียงเจ้าเล่ห์
“ ข้าแอบมาซ่อนตัวอยู่ตรงนี้เจ้ายังตามมาได้เลย ”
“ มันเป็นความรับผิดชอบของข้า ที่ต้องคอยตรวจดูว่าเด็กจอมซนบางคนแอบมาทำพิลึกอะไรบ้าง โดยเฉพาะพวกที่นิยมการหลงทางในเมือง ไม่อย่างนั้นเกิดมีคนตายในปราสาทขาวก็เสียชื่อเมืองโอรีเวียแย่ ”
“ จริงสิเย็นนี้มีธุระที่ไหนหรือเปล่า ”
เด็กชายตัวน้อยถามขึ้น
เขาเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก
“ อ่านตำราอยู่บ้านนี่พอจะเรียกว่าธุระได้หรือไม่ ”
ดารีลถามกลับ
“ ไม่ได้ แบบนั้นถือเป็นเวลาว่าง ถ้าอย่างนั้นขอเชิญเจ้าไปที่บ้านของข้า ”
เด็กชายตอบ
“ ทำไมล่ะมีคนป่วยหรือ ”
“ ไม่มีใครป่วย แต่ข้ามีเรื่องต้องขอบคุณ ”
“ อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็จัดการเสียตรงนี้เลยสิ ไม่เห็นจำเป็นต้องถ่อไปถึงที่โน่นเลย ”
“ ดารีล ”
ฟิโลโซเฟอร์เรียกชื่อเขา
ด้วยการเน้นทีละคำ
“ พวกเราอยากเลี้ยงอาหารเย็นเป็นการตอบแทน เรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจหรืออย่างไร ”
“ เหลวไหลคนเรากินข้าวก็ต่อเมื่อรู้สึกหิว เกี่ยวอะไรกับการขอบคุณ เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วและกลับบ้านไปเสียก่อนที่จะค่ำมืดไปกว่านี้ เป็นเด็กเป็นเล็กทำให้คนอื่นเป็นห่วงบ่อยๆ ไม่ใช่เรื่องดีหรอก ”
ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินจากไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ