โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.97K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

59) ฝึกธนู

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ฟิโลโซเฟอร์พบว่าเด็กนักเรียนส่วนใหญ่จะพักอยู่ในหอนอนของปราสาทขาว   แต่ก็มีบางส่วนที่เลือกเช่าห้องหรือไม่ก็มีบ้านพักอยู่นอกกำแพงปราสาทเช่นเดียวกันกับเขา   เด็กชายผู้พลัดถิ่นและน้องสาวของเขายังอาศัยอยู่ในบ้านตึกที่เป็นมรดกของปู่อยู่เช่นเดิม   แต่ไม่ว่าจะอย่างไร   พวกเขาล้วนถูกโอบล้อมด้วยกำแพงมนตราแห่งโอรีเวีย

 

ช่วงเย็นของวันหนึ่งหลังเลิกเรียนแล้วเด็กชายตัวน้อยยังไม่กลับบ้านในทันที   เขาหิ้วหุ่นฟางไปที่หลังโรงฝึกนักแม่นธนู   วันนี้เขาทำคะแนนได้ย่ำแย่จนน่าหดหู่จากปรกติก็ไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว   ฟิโลโซเฟอร์ตั้งหุ่นฟางพิงต้นไม้แล้วถอยออกมา    ธนูนี้อาเธอร์เป็นคนเลือกซื้อมาให้คันธนูทำจากไม้สีดำขัดเงาดุนลายด้วยโลหะเงิน  

 

เด็กชายพุ่งเป้าไปที่หัวของหุ่นฟางแต่ก็พลาดไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงดอกที่หกจึงคู้กายลงทอดถอนหายใจ   ตั้งแต่เสียธนูของพ่อมดดีมีนไปความมั่นใจของเขากายวับไปพร้อมกับคันธนู   ครั้นนึกถึงคำพูดและท่าทีเย้ยหยันของคาโอเรียผู้เป็นน้องสาว   เขาก็กัดฟันยืดตัวขึ้นรั้งสายธนูจนสุดกำลัง  

 

พลันที่หางตาของเด็กตัวน้อยได้ปรากฏเงาดำร่างหนึ่งไหววูบวาบ   เขาสะดุ้งเฮือกด้วยลางสังหรณ์ประหลาด   แต่ทุกอย่างก็สายไปแล้วลูกศรหลุดจากมือพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วและรุนแรง   ดารีลยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ ต่อหน้าเขา   ขวางกั้นระหว่างหุ่นฟางตัวที่ใช้เป็นเป้า   ลูกธนูพุงผ่านข้างแกมของเขาไปคลาดกันแค่ปลายเส้นผม

 

ฟิโลโซเฟอร์ตัวแข็งทื่อ   ฝ่ามือเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างฉับพลัน   อีกคนตรงหน้ากลับยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์เมื่อครู่   เมื่อแน่ชัดแล้วว่าฝ่ายนั้นไม่บาดเจ็บอะไรเขาก็ทรุดลงไปนั่งแบบคนหมดแรง

 

“ อย่าทำแบบนี้อีกนะ   ข้าไม่อยากเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสังหารเจ้า ”

 

เสียงของเด็กชายตัวน้อยสั่นสะท้าน

 

“ เจ้าไม่มีทางทำสำเร็จหรอกให้ลองอีกครั้งก็ยังได้   ข้ายินดีพนันกับเจ้าด้วยทองคำทั้งถุง ”

 

หนุ่มน้อยนักเวทย์ตอบเรียบๆ

 

“ ไม่  ข้าไม่ลองเด็ดขาด ”

 

เจ้าของร่างงามเดินตรงเขามาหาฟิโลโซเฟอร์

เขาฉวยธนูจากมือเด็กชายพรอมกับลูกธนูสองดอก  

พอหันกลับไปเขาก็ขึ้นสายแล้วปล่อยลูกธนูสองดอกพร้อมกันโดยไม่เสียเวลาเล็งเป้า  

ลูกธนูพุ่งไปปักตรงลำคอของหุ่นฟางอย่างแม่นยำ

 

“ เป็นอาวุธที่ดีแข็งแกร่งและเที่ยงตรง ”

 

ดารีลว่าพลางลูบคลำไปตามความยาวของคันธนู

 

“ ฝีมือช่างชั้นครูเลยทีเดียว   ไม่คิดว่าอย่างเจ้าก็รู้จักเลือกใช้ของมีระดับเสียด้วย ”

 

“ ถ้าเช่นนั้นปัญหาคงอยู่ที่ฝีมือของขาเอง ”

 

ฟิโลโซเฟอร์พูดด้วยความหดหู่

 

“ เป็นคำพูดที่น่าสนใจทีเดียว ”

 

ดารีลว่าพลางเดินอ้อมไปด้านหลังเด็กชาย

ดึงร่างคนที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้น

แล้วยัดธนูคันนั้นคืนใส่มือ

 

“ ตอบคำถามข้าที   เหตุใดเจ้าจึงอยากเป็นนักแม่นธนู   ทั้งๆ ที่มีดาบดีๆ ไว้กับตัวแล้ว ”

 

“ ข้าเคยยิงธนูได้ดีมากๆ ”

 

“ แล้วในเวลานี้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ”

 

“ ธนูคันแรกของข้ามันหัก   ท่านดีมีนมอบให้แต่ข้ารักษาเอาไว้ไม่ได้ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตอบ

เขารู้สึกเศร้าใจกับความสูญเสียนั้นไม่หาย

 

“ พ่อมดดีมีนอย่างนั้นหรือ ”

 

หนุ่มน้อยนักเวทเอียงคอเล็กน้อย

ครู่ต่อมาจึงพยักหน้า

 

“ ข้าเข้าใจแล้ว   เขาคงทำอะไรบางอย่างกับธนูนั่น   แต่ในการต่อสู้สนามจริงเจ้าไม่ควรยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง   นักรบที่ดีต้องสามารถใช้อาวุธทุกชนิดที่คว้าติดมือมาให้ได้   จึงจะจัดว่าเป็นยอดนักรบ ”

 

เขาหยิบลูกธนูขึ้นมาดอกหนึ่งส่งฟิโลโซเฟอร์

 

“ ข้าสามารถทำสิ่งเดียวกันกับที่พ่อมดดีมีนทำ   แต่เชื่อข้าเถอะ ”

 

ดารีลขยับกายเข้ามาจนชิดร่างเด็กชายตัวน้อย

กลิ่นหอมประหลาดจากลมหายใจของเขาเป่ารดตรงใบหู

ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกวิงเวียนแทบยืนไม่อยู่

มันไม่ใช่กลิ่นหอมฉุน

แต่เป็นกลิ่นที่เหมือนมีมนต์สะกดให้สยบตรงหน้า

 

“ เจ้าทำทุกอย่างสำเร็จได้   โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งอัศจรรย์ใดๆ ทั้งนั้น ”  

 

เมื่อได้ยินดังนั้นฟิโลโซเฟอร์จึงขึ้นสายธนูอีกครั้ง

 

หนุ่มน้อยรูปงามก้มหน้าลงมา

คางเรียวได้รูปของเขาแทบจะวางบนบ่าเด็กน้อย

 

“ อย่าหลับตาจงมองเป้าหมายด้วยตาทั้งสองข้างของเจ้า ”

 

ดารีลว่าพล่างจัดร่างกายเด็กชายให้อยู่ในท่วงท่าที่ถูกต้อง

 

“ แต่ภาพมันพร่าเลือนเหลือเกิน ”

 

ฟิโลโซเฟอร์แย้ง

 

“ อย่าสนใจเรื่องชัดหรือไม่ชัด   เพราะสิ่งที่เห็นคือเป้าที่แท้จริง   ไม่หักเหหรือเบี่ยงเบน ”

 

เด็กชายจึงปล่อยศรออกไป

ลูกธนูได้พุ่งเข้าเป้าอย่างแม่นยำ

 

“ เหลือเชื่อ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์อุทาน

เขารู้สึกปลาบปลื้มกับผลงานในครั้งนี้

 

“ อย่าเพิ่งดีใจไป ”

 

ดารีลยื่นลูกธนูอีกดอกหนึ่งให้เด็กชาย   ขณะที่กำลังจะขึ้นศรดารีลก็หยิบลูกธนูที่เหลือขึ้นมาฟาดใส่หน้าฟิโลโซเฟอร์   เด็กชายปัดออกไปตามสัญชาตญาณ   เขาพยายามจะเอ่ยถามว่านี่มันเรื่องอะไรกัน   แต่ดารีลไม่เปิดโอกาสนั้น   ร่างสูงโปร่งพุ่งเข้าหาเด็กชายด้วยความรวดเร็วและรุนแรงจนน่าสะพรึง   ฟิโลโซเฟอร์ได้แต่ปัดป้องและถอยร่นไม่สามารถหาช่องทางตีโต้กลับมาได้เลย   เขาเคยมั่นใจมาตลอดว่าคนอย่างดารีลไม่มีวันทำร้ายเขา   แต่ในเวลานี้ทุกการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้านั้นหมายชีวิตทั้งนั้น   เด็กชายชาวเมืองชีนาร์ยถอยไปจนหลังชนกำแพงโดยไร้ทางหนี   ปลายลูกธนูที่แหลมคมก็พุ่งเข้าไปจ่อคอหอยของเด็กชาย   ฟิโลโซเฟอร์ยืนนิ่งด้วยความตระหนก   ครั้นแล้วดารีลก็ชักมือกลับ   เขาผายมือออกข้างลำตัวค้อมหัวลงเล็กน้อยให้เด็กชายที่กำลังอ้าปากเหวออยู่ตรงหน้า

 

“ ใครคืออาจารย์สอนฟันดาบให้เจ้า ”

 

หนุ่มน้อยนักเวทถาม

 

“ ข้าไม่เคยเรียนฟันดาบ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตอบตะกุกตะกักเพราะยังงุนงงกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น  

ไม่นึกว่าดารีลจะเปลี่ยนอารมณ์ง่ายดายอย่างนี้

 

“ ทั้งที่ไม่เคยฝึกการต่อสู้มาก่อน   แต่สามารถรับมือข้าได้นานขนาดนี้   สมแล้วที่เป็นลูกหลานของคารีออส   เจ้ามีพรสวรรค์ด้านการใช้ดาบ   กลับเลือกที่จะเรียนเป็นนักแม่นธนู   มนุษย์นี่ช่างประหลาดแท้ ”

 

ดารีลว่าพลางเก็บลูกธนูทั้งหมดลงกระบอก

แล้วยื่นคืนให้

 

“ นี่กำลังจะบอกอะไรกันแน่ ”

 

เด็กชายถาม

 

ใบหน้างดงามกลับจ้องไปยังขอบฟ้าที่ๆ พระอาทิตย์คล้อยต่ำลง

 

“ หนึ่งวันกำลังจะสิ้นไปอีกแล้ว   นอกกำแพงนั่นมีอะไรเกิดขึ้นบ้างนะ   ในเวลานี้ ”

 

อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ

 

“ เจ้าว่าอะไรนะ   คิดจะออกไปตรวจนอกกำแพงนั่นอีกหรือ ”

 

“ ไม่   ไม่ใช่วันนี้ ”

 

พ่อมดน้อยตอบ

 

“ หลายวันมานี้ข้าไม่เห็นหน้าเจ้าเลยหายไปไหนมาหรือ ”

 

“ นี่คิดว่าข้ามีเวลามากมายพอที่จะสะกดรอยตามเจ้าไปทุกที่หรืออย่างไร ”

 

“ ก็ไม่แน่ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ทำเสียงเจ้าเล่ห์

 

“ ข้าแอบมาซ่อนตัวอยู่ตรงนี้เจ้ายังตามมาได้เลย ”

 

“ มันเป็นความรับผิดชอบของข้า   ที่ต้องคอยตรวจดูว่าเด็กจอมซนบางคนแอบมาทำพิลึกอะไรบ้าง   โดยเฉพาะพวกที่นิยมการหลงทางในเมือง   ไม่อย่างนั้นเกิดมีคนตายในปราสาทขาวก็เสียชื่อเมืองโอรีเวียแย่ ”

 

“ จริงสิเย็นนี้มีธุระที่ไหนหรือเปล่า ”

 

เด็กชายตัวน้อยถามขึ้น

เขาเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก

 

“ อ่านตำราอยู่บ้านนี่พอจะเรียกว่าธุระได้หรือไม่ ”

 

ดารีลถามกลับ

 

“ ไม่ได้   แบบนั้นถือเป็นเวลาว่าง   ถ้าอย่างนั้นขอเชิญเจ้าไปที่บ้านของข้า ”

 

เด็กชายตอบ 

 

“ ทำไมล่ะมีคนป่วยหรือ ”

 

“ ไม่มีใครป่วย   แต่ข้ามีเรื่องต้องขอบคุณ ”

 

“ อ้อ   ถ้าอย่างนั้นก็จัดการเสียตรงนี้เลยสิ   ไม่เห็นจำเป็นต้องถ่อไปถึงที่โน่นเลย ”  

 

“ ดารีล ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เรียกชื่อเขา

ด้วยการเน้นทีละคำ

 

“ พวกเราอยากเลี้ยงอาหารเย็นเป็นการตอบแทน   เรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจหรืออย่างไร ”

 

“ เหลวไหลคนเรากินข้าวก็ต่อเมื่อรู้สึกหิว   เกี่ยวอะไรกับการขอบคุณ   เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วและกลับบ้านไปเสียก่อนที่จะค่ำมืดไปกว่านี้   เป็นเด็กเป็นเล็กทำให้คนอื่นเป็นห่วงบ่อยๆ ไม่ใช่เรื่องดีหรอก ”  

 

ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินจากไป

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา