โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.55K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
53) ถามไถ่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากครูที่ปรึกษาได้อธิบายถึงกฎระเบียบภายในปราสาทขาวที่สำคัญบางข้อแล้ว ก็แจกกระดาษแจกแจงวิชาเรียน ที่โอรีเวียทุกคนมีสิทธิ์เลือกวิชาเรียนเองตามความถนัดและความสนใจ ไม่จำเป็นต้องเรียนทุกวิชาที่มี และหากค้นพบว่าตัวเองแท้จริงแล้วชอบอะไรก็สามารถย้ายไปเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ จนกว่าจะพอใจ ไม่มีการบังคับใดๆ ทั้งสิ้นผู้ที่มาเรียนที่นี่ส่วนใหญ่จึงจบออกไปด้วยตัวตนที่แท้จริง
ครูเลวิชบอกว่าวันนี้ไม่มีการเรียนการสอน โรงเรียนจะเปิดอย่างแท้จริงในวันพรุ่งนี้ สำหรับวันนี้ให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม แล้วนางก็เดินออกไปทิ้งเด็กๆ ทั้งหลายเอาไว้ในห้อง
ตอนแรกฟิโลโซเฟอร์คิดจะกลับบ้านในทันที แต่เพื่อนๆ ก็ชวนให้อยู่คุยกันก่อนเพราะพวกเขาเพิ่งจะรู้จักกัน เด็กชายชาวซีนาร์ยจึงเลื่อนเก้าอี้เข้าไปนั่งในกลุ่มของฟีไลร่า ในขณะที่เด็กนักเรียนหลายคนต่างทยอยกันออกไป มีเสียงหัวเราะเสียงวิ่งวุ่นวายอยู่นอกระเบียง
“ ข้าว่าปีนี้ต้องมีอะไรผิดปรกติแน่ งานเลี้ยงต้อนรับก็ไม่จัด ครูใหญ่วีแกนก็หายหัว ส่วนครูอื่นๆ ก็ดูไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น ”
อีเลียสเด็กชายร่างผอมบางว่า
“ ปราสาทขาวเพิ่งโดนถล่มไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง วันนี้สามารถเปิดเทอมได้ทั้งๆ ที่ยังหาตัวผู้ก่อเหตุไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ประหลาดกว่าหรือ ”
เลโอน่าว่าขรึมๆ
คิ้วเรียวเล็กแต่ทว่าดำเข้มขมวดเข้าหากันน้อยๆ
สีหน้าบ่งบอกถึงความกลัดกลุ้ม
“ ที่ไหนกันว่าปราสาทขาวโดนถล่มข้าไม่เห็นมีร่องรอยอะไร ”
โลธอร์ลากเก้าอี้มานั่งเคียงข้างฟิโลโซเฟอร์
เขาล้วงเอามันเผาออกมาจากกระเป๋า
สายตาก็จับจ้องไปที่กระป๋องอาหารของฟิโลโซเฟอร์อย่างมีความหวัง
“ ยังมีคนไม่รู้เรื่องอีกหรือนี่ ”
อีเลียสพูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
“ ในคืนเฉลิมฉลองเจ้าอยู่ที่ไหนกัน ”
“ อยู่ในตลาด คืนนั้นข้าจำได้ว่าเข้าไปในร้านอาหารเกือบครบทุกร้าน ท่านพ่อกับท่านแม่ถูกใจอาหารเมืองโอรีเวียยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรผิดปรกตินะ เลยไม่คิดว่ามีเหตุร้าย ”
โลธอร์พูดปากก็เคี้ยวตุ่ยๆ
“ แล้วเจ้าล่ะเด็กใหม่ ”
อีเลียสหันมาทางฟิโลโซเฟอร์
“ อ้อ ข้าก็เดินเที่ยวไปเรื่อยแต่ได้ยินข่าวอยู่เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ”
เด็กชายผู้พลัดถิ่นตอบเลี่ยงๆ
เขาขี้เกียจเล่ารายละเอียดนั่นเอง
ฟีไลร่านึกขึ้นได้ว่าทั้งคู่ยังไม่รู้จักกันนางจึงแนะนำเพื่อนใหม่ทั้งสองกับอีเลียส
“ เจ้าเป็นชาวซีนาร์ยอย่างนั้นหรือ ”
อีเลียสว่าแล้วหันไปมองหน้าเด็กผมสีเงินทั้งสอง
“ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ หรือเปล่าเหตุใดพวกเราไม่เคยได้ยินชื่อ ”
เลโอน่าว่า
“ ไม่น่า ข้าเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะผู้คนไม่ค่อยให้ความสนใจเมืองนี้ก็เลยถูกลืม ถ้าให้เดาเมืองของเจ้าคงไม่มีจุดเด่นอะไรใช่หรือไม่ ”
อีเลียสถาม
“ คงจะเป็นอย่างนั้นเมืองของข้าล่าสัตว์และทำการเกษตรและเราก็ไม่ค่อยค้าขายด้วย เพราะเรามีของที่จำเป็นครบแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบ
“ ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาที่โอรีเวียเพื่ออะไรเมืองนี้ไม่ได้สอนเรื่องการทำเกษตรเสียหน่อย หรือเจ้าอยากเป็นผู้กล้า ”
เลโอน่าสงสัยบ้าง
“ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ข้าลี้ภัยมาน่ะ ตอนนี้ซีนาร์ยโดนถล่มยับเมืองทั้งเมืองแทบอาศัยอยู่ไม่ได้ ”
เด็กๆ ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ เรื่องร้ายแรงแบบนี้เหตุใดพวกเราไม่รู้ ล่าสุดที่ได้ยินมาคือฝูงมังกรไฟโจมตีเมืองกัลป์ทีลอท แล้วตัวอะไรล่ะที่ทำลายเมืองซีนาร์ย ”
อีเลียสถาม
“ มันคือฝูงกาและหนอนปีศาจ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแต่ตอนนี้ที่เมืองของข้าหญ้าสักเส้นก็แทบไม่เหลือ นกพวกนั้นมันบินข้ามน้ำมาจากป่าดรายแอต ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากชาวเมืองแทบไม่มีเวลาตั้งตัว ”
เด็กชายพลัดถิ่นเล่า
“ เดี๋ยวก่อน ป่าดรายแอดอย่างนั้นหรือ อย่าบอกนะว่าแม่น้ำนั่นคือแม่น้ำคราย ถ้าอย่างนั้นเมืองของเจ้าก็อยู่ตรงข้ามกับเมืองคาเลน่ะสิ ข้านึกออกแล้วเมืองเล็กๆ ที่มีเพียงแม่น้ำใหญ่เป็นปราการ พวกเจ้าอยู่รอดมาได้อย่างไรตั้งหลายปี ข้านึกว่าโดนเมืองคาเลลบออกจากแผนที่ไปแล้ว ”
อีเลียสว่า
ในขณะที่เด็กๆ คนอื่นจ้องฟิโลโซเฟอร์ด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“ ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ แต่ชาวเมืองซีนาร์ยไม่เคยมีปัญหากับเมืองคาเลมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พวกเราอยู่อย่างสงบมาโดยตลอด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เมืองอันดอรีสที่ห่างกันแค่ป่ากั้นก็อยู่เป็นปรกติดี เพิ่งจะมีปัญหาประปรายตอนสิบปีให้หลังมานี่เอง ”
เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากที่ผู้คนรู้จักเมืองลี้ลับอย่างคาเล
แต่กลับไม่รู้จักเมืองซีนาร์ยที่อยู่ใกล้กัน
อีกทั้งยังโดดเด่นเป็นอย่างมากในทุ่งหญ้า
“ ถ้าพูดถึงซีนาร์ยเหมือนเคยได้ยินจากกลุ่มพ่อค้าเร่ เล่าว่ามีเมืองเล็กๆ แสนสงบในทุ่งหญ้าอยู่ทางทิศใต้ บ้านเรือนของพวกเขาเป็นรูปดอกเห็ดสีสันสวยงาม ”
ฟีไลร่าว่า
“ เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ”
อีเลียสตกตะลึงที่พบว่ามีคนรู้มากกว่าตน
“ แปลกอะไรล่ะบิดาของฟีไลร่าเป็นพ่อค้าเร่ที่ร่ำรวยที่สุดในไอโอเนีย เรื่องเล่าจากต่างเมืองพวกเราย่อมรู้ดี เพียงแต่ว่าเมืองซีนาร์ยไม่ค่อยมีอะไรให้พูดถึง ก็เลยลืมๆ กันไป ”
เลโอน่าบอก
“ จริงด้วยสิ ”
อีเลียสยอมรับ
“ แต่เจ้าก็แปลกคน เป็นบุตรคนเดียวของตระกูลค้าขายแต่ไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับการค้าเลย อนาคตตระกูลเจ้าจะเป็นอย่างไรนะ ”
“ เรื่องของข้าน่า ”
ฟีไลร่าทำเสียงเขียว
“ จะเป็นไรไปข้าก็เป็นลูกของหัวหน้าเผ่า ก็ไม่เห็นอยากสืบตำแหน่งเลย ชีวิตนี้มีเรื่องให้ทำมากมาย ไม่เห็นต้องเดินตามใคร ”
โลธอร์ว่าบ้าง
“ พวกเจ้าทำอะไรในหุบเขาล่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์หันไปถามเพื่อนใหม่ร่างอ้วน
เขาเคยเห็นแค่หุบเขาเงาปีศาจ
จึงไม่รู้ว่าหุบเขาอื่นมีสภาพเป็นอย่างไร
“ หมู่บ้านข้าทำเหมืองถ่านหินน่ะ แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีของอร่อย ส่วนเมืองกลางทุ่งหญ้าของเจ้าน่าสนใจที่สุด คงสวยงามไม่น้อย เอาไว้ชวนข้าไปเที่ยวบ้างแล้วค่อยไปเยี่ยมบ้านของข้าทีหลัง ”
“ รอไปเถอะสภาพตอนนี้ซีนาร์ยดูไม่จืดเลย คงอีกนานกว่าจะกลับมาเหมือนเดิม หวังว่านะ และเมื่อถึงวันนั้นข้าจะชวนพวกเจ้าทุกคน มีเรื่องสนุกมากมายรออยู่ที่นั่น ”
เด็กชายตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น
สภาพที่พังพินาศยังติดตาไม่หาย
“ ใจจริงข้ากับฟีไลร่าก็อยากไปนะ แต่เกรงใจเมืองคาเลชะมัดใกล้เสียขนาดนั้น จะหาว่าขี้ขลาดก็ได้ ”
เลโอน่าว่า
“ อยู่ที่ซีนาร์ยตระกูลของเจ้าคงเป็นผู้กล้าสินะ หรือไม่ก็เชื้อสายกษัตริย์ ถึงได้ร่ำรวยจนส่งเจ้าเข้ามาเรียนในปราสาทขาวได้ ”
อีเลียสทาย
“ เปล่า ที่บ้านทำเกษตรกับล่าสัตว์ และพวกเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบตามตรง
“ หือ ”
เพื่อนๆ ต่างประหลาดใจ
“ บิดาของเจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ อยู่ในโอรีเวียมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แล้วยังส่งลูกเข้าโรงเรียนอีก เจ้าวังจะเรียนอะไรในปราสาทขาวที่นี่ไม่ได้สอนการทำเกษตรหรอกนะ ”
“ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบพลางพลิกดูกระดาษที่ครูที่ปรึกษาให้มา
“ แล้วผู้พิทักษ์หน้ากากทองนี่ต้องเรียนอะไรบ้าง ”
สองเด็กสาวและหนึ่งเด็กชายร่างผอมต่างมองหน้ากัน
แล้วพร้อมใจเหลือบตาขึ้นมองเพดาน
“ เพิ่งมาถึงก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป ยังไม่เห็นต้องรีบหาเรื่องตายเลยนี่ ”
เลโอน่าว่า
“ ใช่ๆ ลองฝึกเป็นผู้กล้าก่อน ถึงอย่างไรเจ้าก็เคยล่าสัตว์บางทีมันอาจง่ายก็ได้ ว่าแต่อะไรดลใจถึงอยากเป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทอง ตำแหน่งทรงเกียรติที่ต้องแลกด้วยชีวิตแบบนั้น ”
อีเลียสถาม
ฟิโลโซเฟอร์ไม่ตอบได้แต่ยิ้มเลือนลาง
ครูเลวิชบอกว่าวันนี้ไม่มีการเรียนการสอน โรงเรียนจะเปิดอย่างแท้จริงในวันพรุ่งนี้ สำหรับวันนี้ให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม แล้วนางก็เดินออกไปทิ้งเด็กๆ ทั้งหลายเอาไว้ในห้อง
ตอนแรกฟิโลโซเฟอร์คิดจะกลับบ้านในทันที แต่เพื่อนๆ ก็ชวนให้อยู่คุยกันก่อนเพราะพวกเขาเพิ่งจะรู้จักกัน เด็กชายชาวซีนาร์ยจึงเลื่อนเก้าอี้เข้าไปนั่งในกลุ่มของฟีไลร่า ในขณะที่เด็กนักเรียนหลายคนต่างทยอยกันออกไป มีเสียงหัวเราะเสียงวิ่งวุ่นวายอยู่นอกระเบียง
“ ข้าว่าปีนี้ต้องมีอะไรผิดปรกติแน่ งานเลี้ยงต้อนรับก็ไม่จัด ครูใหญ่วีแกนก็หายหัว ส่วนครูอื่นๆ ก็ดูไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น ”
อีเลียสเด็กชายร่างผอมบางว่า
“ ปราสาทขาวเพิ่งโดนถล่มไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง วันนี้สามารถเปิดเทอมได้ทั้งๆ ที่ยังหาตัวผู้ก่อเหตุไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ประหลาดกว่าหรือ ”
เลโอน่าว่าขรึมๆ
คิ้วเรียวเล็กแต่ทว่าดำเข้มขมวดเข้าหากันน้อยๆ
สีหน้าบ่งบอกถึงความกลัดกลุ้ม
“ ที่ไหนกันว่าปราสาทขาวโดนถล่มข้าไม่เห็นมีร่องรอยอะไร ”
โลธอร์ลากเก้าอี้มานั่งเคียงข้างฟิโลโซเฟอร์
เขาล้วงเอามันเผาออกมาจากกระเป๋า
สายตาก็จับจ้องไปที่กระป๋องอาหารของฟิโลโซเฟอร์อย่างมีความหวัง
“ ยังมีคนไม่รู้เรื่องอีกหรือนี่ ”
อีเลียสพูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
“ ในคืนเฉลิมฉลองเจ้าอยู่ที่ไหนกัน ”
“ อยู่ในตลาด คืนนั้นข้าจำได้ว่าเข้าไปในร้านอาหารเกือบครบทุกร้าน ท่านพ่อกับท่านแม่ถูกใจอาหารเมืองโอรีเวียยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรผิดปรกตินะ เลยไม่คิดว่ามีเหตุร้าย ”
โลธอร์พูดปากก็เคี้ยวตุ่ยๆ
“ แล้วเจ้าล่ะเด็กใหม่ ”
อีเลียสหันมาทางฟิโลโซเฟอร์
“ อ้อ ข้าก็เดินเที่ยวไปเรื่อยแต่ได้ยินข่าวอยู่เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ”
เด็กชายผู้พลัดถิ่นตอบเลี่ยงๆ
เขาขี้เกียจเล่ารายละเอียดนั่นเอง
ฟีไลร่านึกขึ้นได้ว่าทั้งคู่ยังไม่รู้จักกันนางจึงแนะนำเพื่อนใหม่ทั้งสองกับอีเลียส
“ เจ้าเป็นชาวซีนาร์ยอย่างนั้นหรือ ”
อีเลียสว่าแล้วหันไปมองหน้าเด็กผมสีเงินทั้งสอง
“ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ หรือเปล่าเหตุใดพวกเราไม่เคยได้ยินชื่อ ”
เลโอน่าว่า
“ ไม่น่า ข้าเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะผู้คนไม่ค่อยให้ความสนใจเมืองนี้ก็เลยถูกลืม ถ้าให้เดาเมืองของเจ้าคงไม่มีจุดเด่นอะไรใช่หรือไม่ ”
อีเลียสถาม
“ คงจะเป็นอย่างนั้นเมืองของข้าล่าสัตว์และทำการเกษตรและเราก็ไม่ค่อยค้าขายด้วย เพราะเรามีของที่จำเป็นครบแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบ
“ ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาที่โอรีเวียเพื่ออะไรเมืองนี้ไม่ได้สอนเรื่องการทำเกษตรเสียหน่อย หรือเจ้าอยากเป็นผู้กล้า ”
เลโอน่าสงสัยบ้าง
“ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ข้าลี้ภัยมาน่ะ ตอนนี้ซีนาร์ยโดนถล่มยับเมืองทั้งเมืองแทบอาศัยอยู่ไม่ได้ ”
เด็กๆ ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“ เรื่องร้ายแรงแบบนี้เหตุใดพวกเราไม่รู้ ล่าสุดที่ได้ยินมาคือฝูงมังกรไฟโจมตีเมืองกัลป์ทีลอท แล้วตัวอะไรล่ะที่ทำลายเมืองซีนาร์ย ”
อีเลียสถาม
“ มันคือฝูงกาและหนอนปีศาจ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแต่ตอนนี้ที่เมืองของข้าหญ้าสักเส้นก็แทบไม่เหลือ นกพวกนั้นมันบินข้ามน้ำมาจากป่าดรายแอต ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากชาวเมืองแทบไม่มีเวลาตั้งตัว ”
เด็กชายพลัดถิ่นเล่า
“ เดี๋ยวก่อน ป่าดรายแอดอย่างนั้นหรือ อย่าบอกนะว่าแม่น้ำนั่นคือแม่น้ำคราย ถ้าอย่างนั้นเมืองของเจ้าก็อยู่ตรงข้ามกับเมืองคาเลน่ะสิ ข้านึกออกแล้วเมืองเล็กๆ ที่มีเพียงแม่น้ำใหญ่เป็นปราการ พวกเจ้าอยู่รอดมาได้อย่างไรตั้งหลายปี ข้านึกว่าโดนเมืองคาเลลบออกจากแผนที่ไปแล้ว ”
อีเลียสว่า
ในขณะที่เด็กๆ คนอื่นจ้องฟิโลโซเฟอร์ด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“ ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ แต่ชาวเมืองซีนาร์ยไม่เคยมีปัญหากับเมืองคาเลมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พวกเราอยู่อย่างสงบมาโดยตลอด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เมืองอันดอรีสที่ห่างกันแค่ป่ากั้นก็อยู่เป็นปรกติดี เพิ่งจะมีปัญหาประปรายตอนสิบปีให้หลังมานี่เอง ”
เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากที่ผู้คนรู้จักเมืองลี้ลับอย่างคาเล
แต่กลับไม่รู้จักเมืองซีนาร์ยที่อยู่ใกล้กัน
อีกทั้งยังโดดเด่นเป็นอย่างมากในทุ่งหญ้า
“ ถ้าพูดถึงซีนาร์ยเหมือนเคยได้ยินจากกลุ่มพ่อค้าเร่ เล่าว่ามีเมืองเล็กๆ แสนสงบในทุ่งหญ้าอยู่ทางทิศใต้ บ้านเรือนของพวกเขาเป็นรูปดอกเห็ดสีสันสวยงาม ”
ฟีไลร่าว่า
“ เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ”
อีเลียสตกตะลึงที่พบว่ามีคนรู้มากกว่าตน
“ แปลกอะไรล่ะบิดาของฟีไลร่าเป็นพ่อค้าเร่ที่ร่ำรวยที่สุดในไอโอเนีย เรื่องเล่าจากต่างเมืองพวกเราย่อมรู้ดี เพียงแต่ว่าเมืองซีนาร์ยไม่ค่อยมีอะไรให้พูดถึง ก็เลยลืมๆ กันไป ”
เลโอน่าบอก
“ จริงด้วยสิ ”
อีเลียสยอมรับ
“ แต่เจ้าก็แปลกคน เป็นบุตรคนเดียวของตระกูลค้าขายแต่ไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับการค้าเลย อนาคตตระกูลเจ้าจะเป็นอย่างไรนะ ”
“ เรื่องของข้าน่า ”
ฟีไลร่าทำเสียงเขียว
“ จะเป็นไรไปข้าก็เป็นลูกของหัวหน้าเผ่า ก็ไม่เห็นอยากสืบตำแหน่งเลย ชีวิตนี้มีเรื่องให้ทำมากมาย ไม่เห็นต้องเดินตามใคร ”
โลธอร์ว่าบ้าง
“ พวกเจ้าทำอะไรในหุบเขาล่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์หันไปถามเพื่อนใหม่ร่างอ้วน
เขาเคยเห็นแค่หุบเขาเงาปีศาจ
จึงไม่รู้ว่าหุบเขาอื่นมีสภาพเป็นอย่างไร
“ หมู่บ้านข้าทำเหมืองถ่านหินน่ะ แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีของอร่อย ส่วนเมืองกลางทุ่งหญ้าของเจ้าน่าสนใจที่สุด คงสวยงามไม่น้อย เอาไว้ชวนข้าไปเที่ยวบ้างแล้วค่อยไปเยี่ยมบ้านของข้าทีหลัง ”
“ รอไปเถอะสภาพตอนนี้ซีนาร์ยดูไม่จืดเลย คงอีกนานกว่าจะกลับมาเหมือนเดิม หวังว่านะ และเมื่อถึงวันนั้นข้าจะชวนพวกเจ้าทุกคน มีเรื่องสนุกมากมายรออยู่ที่นั่น ”
เด็กชายตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น
สภาพที่พังพินาศยังติดตาไม่หาย
“ ใจจริงข้ากับฟีไลร่าก็อยากไปนะ แต่เกรงใจเมืองคาเลชะมัดใกล้เสียขนาดนั้น จะหาว่าขี้ขลาดก็ได้ ”
เลโอน่าว่า
“ อยู่ที่ซีนาร์ยตระกูลของเจ้าคงเป็นผู้กล้าสินะ หรือไม่ก็เชื้อสายกษัตริย์ ถึงได้ร่ำรวยจนส่งเจ้าเข้ามาเรียนในปราสาทขาวได้ ”
อีเลียสทาย
“ เปล่า ที่บ้านทำเกษตรกับล่าสัตว์ และพวกเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบตามตรง
“ หือ ”
เพื่อนๆ ต่างประหลาดใจ
“ บิดาของเจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ อยู่ในโอรีเวียมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แล้วยังส่งลูกเข้าโรงเรียนอีก เจ้าวังจะเรียนอะไรในปราสาทขาวที่นี่ไม่ได้สอนการทำเกษตรหรอกนะ ”
“ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบพลางพลิกดูกระดาษที่ครูที่ปรึกษาให้มา
“ แล้วผู้พิทักษ์หน้ากากทองนี่ต้องเรียนอะไรบ้าง ”
สองเด็กสาวและหนึ่งเด็กชายร่างผอมต่างมองหน้ากัน
แล้วพร้อมใจเหลือบตาขึ้นมองเพดาน
“ เพิ่งมาถึงก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป ยังไม่เห็นต้องรีบหาเรื่องตายเลยนี่ ”
เลโอน่าว่า
“ ใช่ๆ ลองฝึกเป็นผู้กล้าก่อน ถึงอย่างไรเจ้าก็เคยล่าสัตว์บางทีมันอาจง่ายก็ได้ ว่าแต่อะไรดลใจถึงอยากเป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทอง ตำแหน่งทรงเกียรติที่ต้องแลกด้วยชีวิตแบบนั้น ”
อีเลียสถาม
ฟิโลโซเฟอร์ไม่ตอบได้แต่ยิ้มเลือนลาง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ