โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  141.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

53) ถามไถ่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หลังจากครูที่ปรึกษาได้อธิบายถึงกฎระเบียบภายในปราสาทขาวที่สำคัญบางข้อแล้ว   ก็แจกกระดาษแจกแจงวิชาเรียน   ที่โอรีเวียทุกคนมีสิทธิ์เลือกวิชาเรียนเองตามความถนัดและความสนใจ   ไม่จำเป็นต้องเรียนทุกวิชาที่มี   และหากค้นพบว่าตัวเองแท้จริงแล้วชอบอะไรก็สามารถย้ายไปเรียนเมื่อไหร่ก็ได้   จนกว่าจะพอใจ   ไม่มีการบังคับใดๆ ทั้งสิ้นผู้ที่มาเรียนที่นี่ส่วนใหญ่จึงจบออกไปด้วยตัวตนที่แท้จริง

 

ครูเลวิชบอกว่าวันนี้ไม่มีการเรียนการสอน   โรงเรียนจะเปิดอย่างแท้จริงในวันพรุ่งนี้   สำหรับวันนี้ให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม   แล้วนางก็เดินออกไปทิ้งเด็กๆ ทั้งหลายเอาไว้ในห้อง

 

ตอนแรกฟิโลโซเฟอร์คิดจะกลับบ้านในทันที   แต่เพื่อนๆ ก็ชวนให้อยู่คุยกันก่อนเพราะพวกเขาเพิ่งจะรู้จักกัน   เด็กชายชาวซีนาร์ยจึงเลื่อนเก้าอี้เข้าไปนั่งในกลุ่มของฟีไลร่า   ในขณะที่เด็กนักเรียนหลายคนต่างทยอยกันออกไป   มีเสียงหัวเราะเสียงวิ่งวุ่นวายอยู่นอกระเบียง

 

“ ข้าว่าปีนี้ต้องมีอะไรผิดปรกติแน่   งานเลี้ยงต้อนรับก็ไม่จัด   ครูใหญ่วีแกนก็หายหัว   ส่วนครูอื่นๆ ก็ดูไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น ”

 

อีเลียสเด็กชายร่างผอมบางว่า

 

“ ปราสาทขาวเพิ่งโดนถล่มไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง   วันนี้สามารถเปิดเทอมได้ทั้งๆ ที่ยังหาตัวผู้ก่อเหตุไม่ได้   เรื่องนี้ไม่ประหลาดกว่าหรือ ”

 

เลโอน่าว่าขรึมๆ

คิ้วเรียวเล็กแต่ทว่าดำเข้มขมวดเข้าหากันน้อยๆ

สีหน้าบ่งบอกถึงความกลัดกลุ้ม

 

“ ที่ไหนกันว่าปราสาทขาวโดนถล่มข้าไม่เห็นมีร่องรอยอะไร ”

 

โลธอร์ลากเก้าอี้มานั่งเคียงข้างฟิโลโซเฟอร์

เขาล้วงเอามันเผาออกมาจากกระเป๋า

สายตาก็จับจ้องไปที่กระป๋องอาหารของฟิโลโซเฟอร์อย่างมีความหวัง

 

“ ยังมีคนไม่รู้เรื่องอีกหรือนี่ ”

 

อีเลียสพูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึง

 

“ ในคืนเฉลิมฉลองเจ้าอยู่ที่ไหนกัน ”

 

“ อยู่ในตลาด   คืนนั้นข้าจำได้ว่าเข้าไปในร้านอาหารเกือบครบทุกร้าน   ท่านพ่อกับท่านแม่ถูกใจอาหารเมืองโอรีเวียยิ่งนัก   แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรผิดปรกตินะ   เลยไม่คิดว่ามีเหตุร้าย ”

 

โลธอร์พูดปากก็เคี้ยวตุ่ยๆ

 

“ แล้วเจ้าล่ะเด็กใหม่ ”

 

อีเลียสหันมาทางฟิโลโซเฟอร์

 

“ อ้อ   ข้าก็เดินเที่ยวไปเรื่อยแต่ได้ยินข่าวอยู่เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ”

 

เด็กชายผู้พลัดถิ่นตอบเลี่ยงๆ

เขาขี้เกียจเล่ารายละเอียดนั่นเอง

 

ฟีไลร่านึกขึ้นได้ว่าทั้งคู่ยังไม่รู้จักกันนางจึงแนะนำเพื่อนใหม่ทั้งสองกับอีเลียส

 

“ เจ้าเป็นชาวซีนาร์ยอย่างนั้นหรือ ”

 

อีเลียสว่าแล้วหันไปมองหน้าเด็กผมสีเงินทั้งสอง

 

“ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ หรือเปล่าเหตุใดพวกเราไม่เคยได้ยินชื่อ ”

 

เลโอน่าว่า

 

“ ไม่น่า   ข้าเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้เมื่อนานมาแล้ว   แต่อาจจะเป็นเพราะผู้คนไม่ค่อยให้ความสนใจเมืองนี้ก็เลยถูกลืม   ถ้าให้เดาเมืองของเจ้าคงไม่มีจุดเด่นอะไรใช่หรือไม่ ”

 

อีเลียสถาม

 

“ คงจะเป็นอย่างนั้นเมืองของข้าล่าสัตว์และทำการเกษตรและเราก็ไม่ค่อยค้าขายด้วย   เพราะเรามีของที่จำเป็นครบแล้ว ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตอบ

 

“ ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาที่โอรีเวียเพื่ออะไรเมืองนี้ไม่ได้สอนเรื่องการทำเกษตรเสียหน่อย   หรือเจ้าอยากเป็นผู้กล้า ”

 

เลโอน่าสงสัยบ้าง

 

“ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก   ข้าลี้ภัยมาน่ะ   ตอนนี้ซีนาร์ยโดนถล่มยับเมืองทั้งเมืองแทบอาศัยอยู่ไม่ได้ ”

 

เด็กๆ ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

 

“ เรื่องร้ายแรงแบบนี้เหตุใดพวกเราไม่รู้   ล่าสุดที่ได้ยินมาคือฝูงมังกรไฟโจมตีเมืองกัลป์ทีลอท   แล้วตัวอะไรล่ะที่ทำลายเมืองซีนาร์ย ”

 

อีเลียสถาม

 

“ มันคือฝูงกาและหนอนปีศาจ   ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแต่ตอนนี้ที่เมืองของข้าหญ้าสักเส้นก็แทบไม่เหลือ   นกพวกนั้นมันบินข้ามน้ำมาจากป่าดรายแอต   ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากชาวเมืองแทบไม่มีเวลาตั้งตัว ”

 

เด็กชายพลัดถิ่นเล่า

 

“ เดี๋ยวก่อน   ป่าดรายแอดอย่างนั้นหรือ   อย่าบอกนะว่าแม่น้ำนั่นคือแม่น้ำคราย   ถ้าอย่างนั้นเมืองของเจ้าก็อยู่ตรงข้ามกับเมืองคาเลน่ะสิ   ข้านึกออกแล้วเมืองเล็กๆ ที่มีเพียงแม่น้ำใหญ่เป็นปราการ   พวกเจ้าอยู่รอดมาได้อย่างไรตั้งหลายปี   ข้านึกว่าโดนเมืองคาเลลบออกจากแผนที่ไปแล้ว ”

 

อีเลียสว่า

ในขณะที่เด็กๆ คนอื่นจ้องฟิโลโซเฟอร์ด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

 

“ ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่า

 

“ แต่ชาวเมืองซีนาร์ยไม่เคยมีปัญหากับเมืองคาเลมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว   พวกเราอยู่อย่างสงบมาโดยตลอด   ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก   เมืองอันดอรีสที่ห่างกันแค่ป่ากั้นก็อยู่เป็นปรกติดี   เพิ่งจะมีปัญหาประปรายตอนสิบปีให้หลังมานี่เอง ”

 

เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากที่ผู้คนรู้จักเมืองลี้ลับอย่างคาเล  

แต่กลับไม่รู้จักเมืองซีนาร์ยที่อยู่ใกล้กัน

อีกทั้งยังโดดเด่นเป็นอย่างมากในทุ่งหญ้า

 

“ ถ้าพูดถึงซีนาร์ยเหมือนเคยได้ยินจากกลุ่มพ่อค้าเร่   เล่าว่ามีเมืองเล็กๆ แสนสงบในทุ่งหญ้าอยู่ทางทิศใต้   บ้านเรือนของพวกเขาเป็นรูปดอกเห็ดสีสันสวยงาม ”

 

ฟีไลร่าว่า

 

“ เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ”   

 

อีเลียสตกตะลึงที่พบว่ามีคนรู้มากกว่าตน

 

“ แปลกอะไรล่ะบิดาของฟีไลร่าเป็นพ่อค้าเร่ที่ร่ำรวยที่สุดในไอโอเนีย   เรื่องเล่าจากต่างเมืองพวกเราย่อมรู้ดี   เพียงแต่ว่าเมืองซีนาร์ยไม่ค่อยมีอะไรให้พูดถึง   ก็เลยลืมๆ กันไป ” 

 

เลโอน่าบอก

 

“ จริงด้วยสิ ”

 

อีเลียสยอมรับ

 

“ แต่เจ้าก็แปลกคน   เป็นบุตรคนเดียวของตระกูลค้าขายแต่ไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับการค้าเลย   อนาคตตระกูลเจ้าจะเป็นอย่างไรนะ ”

 

“ เรื่องของข้าน่า ”

 

ฟีไลร่าทำเสียงเขียว

 

“ จะเป็นไรไปข้าก็เป็นลูกของหัวหน้าเผ่า   ก็ไม่เห็นอยากสืบตำแหน่งเลย   ชีวิตนี้มีเรื่องให้ทำมากมาย   ไม่เห็นต้องเดินตามใคร ”

 

โลธอร์ว่าบ้าง

 

“ พวกเจ้าทำอะไรในหุบเขาล่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์หันไปถามเพื่อนใหม่ร่างอ้วน

เขาเคยเห็นแค่หุบเขาเงาปีศาจ

จึงไม่รู้ว่าหุบเขาอื่นมีสภาพเป็นอย่างไร

 

“ หมู่บ้านข้าทำเหมืองถ่านหินน่ะ   แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีของอร่อย   ส่วนเมืองกลางทุ่งหญ้าของเจ้าน่าสนใจที่สุด   คงสวยงามไม่น้อย   เอาไว้ชวนข้าไปเที่ยวบ้างแล้วค่อยไปเยี่ยมบ้านของข้าทีหลัง ”

 

“ รอไปเถอะสภาพตอนนี้ซีนาร์ยดูไม่จืดเลย   คงอีกนานกว่าจะกลับมาเหมือนเดิม   หวังว่านะ   และเมื่อถึงวันนั้นข้าจะชวนพวกเจ้าทุกคน   มีเรื่องสนุกมากมายรออยู่ที่นั่น ”

 

เด็กชายตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น

สภาพที่พังพินาศยังติดตาไม่หาย

 

“ ใจจริงข้ากับฟีไลร่าก็อยากไปนะ   แต่เกรงใจเมืองคาเลชะมัดใกล้เสียขนาดนั้น   จะหาว่าขี้ขลาดก็ได้ ”

 

เลโอน่าว่า

 

“ อยู่ที่ซีนาร์ยตระกูลของเจ้าคงเป็นผู้กล้าสินะ   หรือไม่ก็เชื้อสายกษัตริย์   ถึงได้ร่ำรวยจนส่งเจ้าเข้ามาเรียนในปราสาทขาวได้ ”

 

อีเลียสทาย

 

“ เปล่า   ที่บ้านทำเกษตรกับล่าสัตว์   และพวกเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตอบตามตรง

 

“ หือ ”

 

เพื่อนๆ ต่างประหลาดใจ

 

“ บิดาของเจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ อยู่ในโอรีเวียมีค่าใช้จ่ายสูงมาก   แล้วยังส่งลูกเข้าโรงเรียนอีก   เจ้าวังจะเรียนอะไรในปราสาทขาวที่นี่ไม่ได้สอนการทำเกษตรหรอกนะ ”

 

“ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตอบพลางพลิกดูกระดาษที่ครูที่ปรึกษาให้มา

 

“ แล้วผู้พิทักษ์หน้ากากทองนี่ต้องเรียนอะไรบ้าง ”

 

สองเด็กสาวและหนึ่งเด็กชายร่างผอมต่างมองหน้ากัน

แล้วพร้อมใจเหลือบตาขึ้นมองเพดาน

 

“ เพิ่งมาถึงก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป   ยังไม่เห็นต้องรีบหาเรื่องตายเลยนี่ ”

 

เลโอน่าว่า

 

“ ใช่ๆ ลองฝึกเป็นผู้กล้าก่อน   ถึงอย่างไรเจ้าก็เคยล่าสัตว์บางทีมันอาจง่ายก็ได้   ว่าแต่อะไรดลใจถึงอยากเป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทอง   ตำแหน่งทรงเกียรติที่ต้องแลกด้วยชีวิตแบบนั้น ”

 

อีเลียสถาม

ฟิโลโซเฟอร์ไม่ตอบได้แต่ยิ้มเลือนลาง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา