โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.88K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
40) สตรีชุดแดง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความชายหนุ่มดึงลูกๆ และภรรยาให้ออกมาพ้นจากความแออัดนั้น เมื่อเลี้ยวออกจากทางสายหลักผู้คนก็บางตาลง ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่กำลังมุ่งไปข้างหน้าในขณะที่พวกเขาเดินย้อนกลับหลัง คาโอเรียเดินพลางกระโดดพลางโดยมีตะกร้าเปล่าแกว่งอยู่ในมือข้างหนึ่ง
“ ป่านนี้กระต่ายลูคงหิวแย่แล้ว ”
นางว่า
“ ไม่หรอกก่อนออกมาแม่ทิ้งหัวผักกาดขาวให้ตั้งสองหัวแหนะ ”
“ ลูคงไม่หิวแต่ที่หิวคงเป็นเจ้าเสียมากกว่า ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางหลิ่วตาให้น้องสาว
เด็กหญิงตอบโต้โดยการเหวี่ยงตะกร้าเข้าใส่
คนเป็นพี่ก็วิ่งหนีไปรอบๆ กระโปรงบานพองสีครีมของคาโลไรน์
“ พอได้แล้วทั้งสองคน ”
นางเตือนด้วยรอยยิ้ม
“ โตๆ กันแล้วนะ อีกอย่างที่นี่ไม่ใช่กลางทุ่งหญ้า พวกเจ้าสนุกเกินไปแล้ว ”
“ ก็ดูเขาพูดเข้าสิ ”
คาโอเรียยังอารมณ์ขุ่น
และพี่ชายก็เอาแต่แลบลิ้นยั่ว
“ มานี่ฟิโลโซเฟอร์ ”
อาเธอร์ว่าพลางดึงแขนเขาไว้
“ อย่าทำให้น้องอารมณ์บูดแต่เช้าเลย ”
“ ท่านพ่อเหตุใดพ่อมดจึงเป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทองไม่ได้ ”
เด็กชายถามขึ้นเมื่อคิดถึงคำพูดของชายเมื่อครู่
“ ไม่ใช่ไม่ได้ตำแหน่งผู้พิทักษ์หน้ากากทองนั้นเป็นขั้นสูงสุดของผู้กล้า แต่ก็ยังต่ำกว่าผู้ใช้เวทมนตร์ฝึกหัดอยู่ดี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะลดตัวลงมา อีกอย่างความสามารถของพวกเขาก็เหมาะที่จะทำสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์มากกว่า น่าแปลกที่ข้ามั่นใจว่าคนๆ นั้นต้องเป็นพ่อมด แต่เขาเอาหน้ากากทองของผู้พิทักษ์มาสวมทำไม ประหลาดแท้ ”
“ คงเป็นคนพิลึกหล่ะมั้ง ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ ข้ารู้ว่าเขาเป็นใคร ”
“ ตายจริง มาอยู่นี่ไม่ทันไรรู้จักคนไปทั่วแล้วหรือ ร้ายจริงนะเรา ”
คนเป็นแม่ล้อ
“ ก็ข้าบอกแล้วไงว่าจะหาเพื่อนในเมืองโอรีเวียให้ได้ ”
“ แล้วได้หรือยังล่ะ ”
คาโอเรียถามบ้าง
“ เกือบแล้วเหลืออีกนิดหน่อย ”
เด็กชายพลัดถิ่นตัวน้อยตอบแล้ววิ่งขึ้นบ้าน
หลังจากฟ้ามืดแล้วอาเธอร์ก็เดินนำไปตามถนน ในครั้งนี้เขาตั้งใจเดินตามถนนสายรองเพื่อว่าจะให้เด็กๆ ของเขาได้ชมแสงสีในยามราตรี ถึงแม้ด้านนอกจะสว่างไสวแต่ชายหนุ่มก็ถือตะเกียงโคมติดมือมาด้วย ตามอาคารบ้านเรือนล้วนประดับตกแต่งด้วยเทียนไขและโคมหลากสี คาโลไรน์เดินรั้งท้ายมาติดๆ นางไม่อยากให้ลูกๆ คลาดจากสายตา ค่ำคืนนี้ผู้คนต่างเนืองแน่นกันอยู่รอบๆ อนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพ นั่นเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันครบรอบการก่อสร้างอนุสาวรีย์ ผู้คนจากทั่วสารทิศต่างเดินทางมาสักการะและร่วมพิธีเฉลิมฉลอง
ฟิโลโซเฟอร์เดินเตร่ไปทั่วอย่างตื่นตาตื่นใจ ไม่เหมือนกับคาโอเรียที่เอาแต่เกาะแขนมารดาแน่น นั่นเป็นเหตุให้เขาพลัดลงในฝูงชนอีกครั้ง เด็กชายเดินมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิดวาดกลัวอะไรเพราะเขามั่นใจว่าทางจะสามารถหาทางกลับบ้านเองได้ เมื่อครั้งอยู่ที่ซีนาร์ยเขาออกจากบ้านในยามค่ำคืนตามลำพังบ่อยไป
ตลอดสองข้างทางมีการละเล่นต่างต่างมากมาย ร้านเล็กๆ ก็วางซุ้มขายของกันแน่นขนัด บางครั้งก็มีผู้ใหญ่ใจดีซื้อขนมและของเล่นเด็กแจกคนทั่วไปที่เดินผ่านไปผ่านมา แต่เด็กชายผู้พลัดถิ่นก็ไม่ได้เข้าไปรับแจกสิ่งเหล่านั้น จนกระทั่ง
“ พ่อหนูน้อย ”
เสียงหวานรื่นหูดังมาจากขางทาง
ฟิโลโซเฟอร์จึงหันไปมอง
ที่นั่นมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดคลุมแดงกับเครื่องประดับหรูหรานั่งอยู่
โต๊ะหินสีดำตรงหน้าของนางเต็มไปด้วยผลไม้หลากชนิด
“ เลือกเอาสักอย่างสิของหวานทั้งนั้นเลย ”
นางผายมือไปยังกองผลไม้สดสวยบนโต๊ะ
“ หยิบเอาเท่าที่อยากได้เลยนะ ”
นางคะยั้นคะยอเมื่อเห็นเขาลังเล
“ แต่ข้าไม่มีเงินติดตัวมาด้วย ”
เด็กชายพูดปด
เพียงเพราะเขาไม่อยากรับของจากคนแปลกหน้าในเวลาที่อยู่ลำพัง
โดยเฉพาะคนที่ใจดีกับเขาโดยไม่รู้สาเหตุ
“ ต๊าย! น่าสงสารจริงเด็กน้อยของข้า ”
นางว่าพลางหยิบเหรียญทองออกมาวางบนโต๊ะ
มันส่องประกายระยิบระยับล้อแสงไฟ
“ หนึ่งเหรียญแลกกับหนึ่งจุ๊บตกลงไหม ”
สตรีแสนงามขยิบตาให้ด้วยท่าทีล่อลวง
เด็กชายก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวพลางส่ายหน้าระรัว
“ ไม่เอาน่า กล้าๆ หน่อยพ่อคนดีกลัวคุณแม่มาเห็นหรืออย่างไร ”
เสียงนั้นทั้งยั่วยวนและท้าทาย
ฟิโลโซเฟอร์จึงเอื้อมมือไปยังแอปเปิลผลหนึ่ง
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงแรงกระชากจากด้านหลัง
ที่ฉุดดึงจนตัวเซถลา
“ เด็กคนนี้มากับข้า ”
เสียงเรียบเย็นเฉียบขาดแต่ทว่านุ่มละมุนคุ้นหูดังขึ้น
พร้อมกับกลิ่นหอมประหลาดฟุ้งกระจายราวกับดอกไม้ลึกลับ
เด็กชายทำตาโตเขารู้ว่านั่นคือคนที่เขาหวังจะพบในคืนนี้
“ แล้วกันข้าก็หวังดีกลัวว่าเด็กจะหิว ”
นางยังฉอเลาะไปเรื่อยแต่ดารีลไม่สนใจฟัง
เขาดึงฟิโลโซเฟอร์ออกมาห่างๆ
“ นี่ๆ เจ้าจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ ราวกับว่าข้าเป็นแม่มดร้ายอย่างนั้นแหละ ”
สตรีชุดแดงเริ่มเสียงเขียว
ใบหน้างอง้ำอย่างมีจริตสายตาเปล่งประกายว่ารู้เท่าทัน
“ ข้าไม่มีเวลามาเล่นพิเรนทร์กับเจ้าหรอกไปหาเหยื่อรายอื่นเถอะ ”
เสียงของพ่อมดน้อยยังราบเรียบเช่นเดิม
“ แล้วเจ้าทำอะไรอยู่ล่ะดารีลล่อลวงเด็กไร้เดียงสาว่างั้นสิ ”
นางยังคงยั่วต่อ
“ พวกเรารู้จักกันหรอกน่า ”
“ แต่ข้าเห็นเด็กคนนี้เดินตามลำพังนะเจ้าแน่ใจหรือว่าเขามากับเจ้า ”
นางยังเซ้าซี้
เด็กชายรู้สึกถึงแรงบีบหลังลำคอ
“ บอกเขาไปสิ ”
เสียงเข้มแกมบังคับกระซิบที่หู
“ เอ่อ คือ ข้า ข้ามากับเขา ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบตุกตะกัก
“ ว้า เสียดายจังข้าน่ะชอบใจเจ้านะเด็กชายตัวน้อยๆ ของข้า ”
แม่สาวชุดแดงว่าพลางทอดถอนหายใจ
“ ไร้สาระ ถ้าว่างนักล่ะก็ เอาเวลาไปสิงตามหัวมุมถนนเหมือนเดิมไม่ดีกว่าหรือ ”
ดารีลว่า
นางตอบโต้ด้วยการก้มหน้าทำแก้มป่องส่งเสียงบ่นอุบอิบ
แต่เมื่อทั้งคู่เดินจากไปนางก็ช้อนตาขึ้นมองด้วยรอยยิ้มประหลาด
พวกเขาเดินชิดกันท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียด เด็กชายพบว่าเขายังสูงไม่ถึงไหล่ของพ่อมดหนุ่มน้อยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความสูงนั้นกลับทำให้ร่างของเขาดูโปร่งบางอย่างน่าพิศวง คืนนี้ดารีลสวมชุดคลุมสีขาวปักเลื่อมพราวระยับ ชายเสื้อยาวยาวกรุยกรายระพื้นมือข้างหนึ่งถือคทาเงิน นอกจากนั้นเขายังสวมรัดเกล้าเล็กๆ รูปเถาวัลย์และกิ่งไม้คาดผ่านหน้าผาก
“ เมืองใหญ่ผู้คนมากมายเจ้าอย่าไว้ใจใครง่ายๆ อย่างนั้น เหมือนข้าเคยเตือนเจ้าไปแล้วมิใช่หรือ ”
ดารีลพูดเบาๆ เมื่อพวกเขามาถึงถนนเส้นหนึ่งที่มีผู้คนบางตากว่า
“ นางก็แค่แจกอาหารเหมือนอื่นๆ มิใช่หรือ ”
“ หญิงงามคู่กับเล่ห์มายา ชายหนุ่มสูงสง่าคือความทะยานอยากมากตันหา และชายชรานั้นเป็นผู้มีใจอารี ”
หนุ่มน้อยพ่อมดพูดขึ้นมาลอยๆ
“ เจ้าพูดอะไร ”
เด็กชายถามเพราะไม่รู้จริงๆ
“ แค่คำกล่าวของคนเก่าแก่น่ะ ข้าอ่านมาจากตำราที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างเมืองโอรีเวีย ในนั้นเขียนไว้ว่าสุดท้ายแล้วทั้งหลายทั้งปวงก็จะรวมกันเป็นเนื้อเดียว ”
ดารีลกล่าว
“ ขอโทษนะ ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกี่ยวกับสตรีชุดแดงเมื่อครู่นี้อย่างไร ”
เด็กชายบอก
“ ช่างเถอะ เอาเป็นว่าหากพบนางที่ไหนเลี่ยงได้ก็จงเลี่ยงไปเสีย ”
“ นางเป็นคนอันตรายหรือ อย่างเช่นแอบวางยาพิษในอาหาร ไม่ก็ลักพาตัวเด็กไปควักหัวใจออกมาต้มกินเป็นมื้อดึกอะไรแบบนี้ ”
ฟิโลโฟเฟอร์ว่าแล้วทำท่าขนลุก
“ เปล่าหรอก เพียงแต่นางไม่น่าคบหานัก ถ้าเกิดเจ้าไว้ใจนาง ชีวิตของเจ้าก็จะแปดเปื้อน ”
ดารีลตอบ
“ ป่านนี้กระต่ายลูคงหิวแย่แล้ว ”
นางว่า
“ ไม่หรอกก่อนออกมาแม่ทิ้งหัวผักกาดขาวให้ตั้งสองหัวแหนะ ”
“ ลูคงไม่หิวแต่ที่หิวคงเป็นเจ้าเสียมากกว่า ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางหลิ่วตาให้น้องสาว
เด็กหญิงตอบโต้โดยการเหวี่ยงตะกร้าเข้าใส่
คนเป็นพี่ก็วิ่งหนีไปรอบๆ กระโปรงบานพองสีครีมของคาโลไรน์
“ พอได้แล้วทั้งสองคน ”
นางเตือนด้วยรอยยิ้ม
“ โตๆ กันแล้วนะ อีกอย่างที่นี่ไม่ใช่กลางทุ่งหญ้า พวกเจ้าสนุกเกินไปแล้ว ”
“ ก็ดูเขาพูดเข้าสิ ”
คาโอเรียยังอารมณ์ขุ่น
และพี่ชายก็เอาแต่แลบลิ้นยั่ว
“ มานี่ฟิโลโซเฟอร์ ”
อาเธอร์ว่าพลางดึงแขนเขาไว้
“ อย่าทำให้น้องอารมณ์บูดแต่เช้าเลย ”
“ ท่านพ่อเหตุใดพ่อมดจึงเป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทองไม่ได้ ”
เด็กชายถามขึ้นเมื่อคิดถึงคำพูดของชายเมื่อครู่
“ ไม่ใช่ไม่ได้ตำแหน่งผู้พิทักษ์หน้ากากทองนั้นเป็นขั้นสูงสุดของผู้กล้า แต่ก็ยังต่ำกว่าผู้ใช้เวทมนตร์ฝึกหัดอยู่ดี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะลดตัวลงมา อีกอย่างความสามารถของพวกเขาก็เหมาะที่จะทำสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์มากกว่า น่าแปลกที่ข้ามั่นใจว่าคนๆ นั้นต้องเป็นพ่อมด แต่เขาเอาหน้ากากทองของผู้พิทักษ์มาสวมทำไม ประหลาดแท้ ”
“ คงเป็นคนพิลึกหล่ะมั้ง ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ ข้ารู้ว่าเขาเป็นใคร ”
“ ตายจริง มาอยู่นี่ไม่ทันไรรู้จักคนไปทั่วแล้วหรือ ร้ายจริงนะเรา ”
คนเป็นแม่ล้อ
“ ก็ข้าบอกแล้วไงว่าจะหาเพื่อนในเมืองโอรีเวียให้ได้ ”
“ แล้วได้หรือยังล่ะ ”
คาโอเรียถามบ้าง
“ เกือบแล้วเหลืออีกนิดหน่อย ”
เด็กชายพลัดถิ่นตัวน้อยตอบแล้ววิ่งขึ้นบ้าน
หลังจากฟ้ามืดแล้วอาเธอร์ก็เดินนำไปตามถนน ในครั้งนี้เขาตั้งใจเดินตามถนนสายรองเพื่อว่าจะให้เด็กๆ ของเขาได้ชมแสงสีในยามราตรี ถึงแม้ด้านนอกจะสว่างไสวแต่ชายหนุ่มก็ถือตะเกียงโคมติดมือมาด้วย ตามอาคารบ้านเรือนล้วนประดับตกแต่งด้วยเทียนไขและโคมหลากสี คาโลไรน์เดินรั้งท้ายมาติดๆ นางไม่อยากให้ลูกๆ คลาดจากสายตา ค่ำคืนนี้ผู้คนต่างเนืองแน่นกันอยู่รอบๆ อนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพ นั่นเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันครบรอบการก่อสร้างอนุสาวรีย์ ผู้คนจากทั่วสารทิศต่างเดินทางมาสักการะและร่วมพิธีเฉลิมฉลอง
ฟิโลโซเฟอร์เดินเตร่ไปทั่วอย่างตื่นตาตื่นใจ ไม่เหมือนกับคาโอเรียที่เอาแต่เกาะแขนมารดาแน่น นั่นเป็นเหตุให้เขาพลัดลงในฝูงชนอีกครั้ง เด็กชายเดินมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิดวาดกลัวอะไรเพราะเขามั่นใจว่าทางจะสามารถหาทางกลับบ้านเองได้ เมื่อครั้งอยู่ที่ซีนาร์ยเขาออกจากบ้านในยามค่ำคืนตามลำพังบ่อยไป
ตลอดสองข้างทางมีการละเล่นต่างต่างมากมาย ร้านเล็กๆ ก็วางซุ้มขายของกันแน่นขนัด บางครั้งก็มีผู้ใหญ่ใจดีซื้อขนมและของเล่นเด็กแจกคนทั่วไปที่เดินผ่านไปผ่านมา แต่เด็กชายผู้พลัดถิ่นก็ไม่ได้เข้าไปรับแจกสิ่งเหล่านั้น จนกระทั่ง
“ พ่อหนูน้อย ”
เสียงหวานรื่นหูดังมาจากขางทาง
ฟิโลโซเฟอร์จึงหันไปมอง
ที่นั่นมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดคลุมแดงกับเครื่องประดับหรูหรานั่งอยู่
โต๊ะหินสีดำตรงหน้าของนางเต็มไปด้วยผลไม้หลากชนิด
“ เลือกเอาสักอย่างสิของหวานทั้งนั้นเลย ”
นางผายมือไปยังกองผลไม้สดสวยบนโต๊ะ
“ หยิบเอาเท่าที่อยากได้เลยนะ ”
นางคะยั้นคะยอเมื่อเห็นเขาลังเล
“ แต่ข้าไม่มีเงินติดตัวมาด้วย ”
เด็กชายพูดปด
เพียงเพราะเขาไม่อยากรับของจากคนแปลกหน้าในเวลาที่อยู่ลำพัง
โดยเฉพาะคนที่ใจดีกับเขาโดยไม่รู้สาเหตุ
“ ต๊าย! น่าสงสารจริงเด็กน้อยของข้า ”
นางว่าพลางหยิบเหรียญทองออกมาวางบนโต๊ะ
มันส่องประกายระยิบระยับล้อแสงไฟ
“ หนึ่งเหรียญแลกกับหนึ่งจุ๊บตกลงไหม ”
สตรีแสนงามขยิบตาให้ด้วยท่าทีล่อลวง
เด็กชายก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวพลางส่ายหน้าระรัว
“ ไม่เอาน่า กล้าๆ หน่อยพ่อคนดีกลัวคุณแม่มาเห็นหรืออย่างไร ”
เสียงนั้นทั้งยั่วยวนและท้าทาย
ฟิโลโซเฟอร์จึงเอื้อมมือไปยังแอปเปิลผลหนึ่ง
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงแรงกระชากจากด้านหลัง
ที่ฉุดดึงจนตัวเซถลา
“ เด็กคนนี้มากับข้า ”
เสียงเรียบเย็นเฉียบขาดแต่ทว่านุ่มละมุนคุ้นหูดังขึ้น
พร้อมกับกลิ่นหอมประหลาดฟุ้งกระจายราวกับดอกไม้ลึกลับ
เด็กชายทำตาโตเขารู้ว่านั่นคือคนที่เขาหวังจะพบในคืนนี้
“ แล้วกันข้าก็หวังดีกลัวว่าเด็กจะหิว ”
นางยังฉอเลาะไปเรื่อยแต่ดารีลไม่สนใจฟัง
เขาดึงฟิโลโซเฟอร์ออกมาห่างๆ
“ นี่ๆ เจ้าจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ ราวกับว่าข้าเป็นแม่มดร้ายอย่างนั้นแหละ ”
สตรีชุดแดงเริ่มเสียงเขียว
ใบหน้างอง้ำอย่างมีจริตสายตาเปล่งประกายว่ารู้เท่าทัน
“ ข้าไม่มีเวลามาเล่นพิเรนทร์กับเจ้าหรอกไปหาเหยื่อรายอื่นเถอะ ”
เสียงของพ่อมดน้อยยังราบเรียบเช่นเดิม
“ แล้วเจ้าทำอะไรอยู่ล่ะดารีลล่อลวงเด็กไร้เดียงสาว่างั้นสิ ”
นางยังคงยั่วต่อ
“ พวกเรารู้จักกันหรอกน่า ”
“ แต่ข้าเห็นเด็กคนนี้เดินตามลำพังนะเจ้าแน่ใจหรือว่าเขามากับเจ้า ”
นางยังเซ้าซี้
เด็กชายรู้สึกถึงแรงบีบหลังลำคอ
“ บอกเขาไปสิ ”
เสียงเข้มแกมบังคับกระซิบที่หู
“ เอ่อ คือ ข้า ข้ามากับเขา ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบตุกตะกัก
“ ว้า เสียดายจังข้าน่ะชอบใจเจ้านะเด็กชายตัวน้อยๆ ของข้า ”
แม่สาวชุดแดงว่าพลางทอดถอนหายใจ
“ ไร้สาระ ถ้าว่างนักล่ะก็ เอาเวลาไปสิงตามหัวมุมถนนเหมือนเดิมไม่ดีกว่าหรือ ”
ดารีลว่า
นางตอบโต้ด้วยการก้มหน้าทำแก้มป่องส่งเสียงบ่นอุบอิบ
แต่เมื่อทั้งคู่เดินจากไปนางก็ช้อนตาขึ้นมองด้วยรอยยิ้มประหลาด
พวกเขาเดินชิดกันท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียด เด็กชายพบว่าเขายังสูงไม่ถึงไหล่ของพ่อมดหนุ่มน้อยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความสูงนั้นกลับทำให้ร่างของเขาดูโปร่งบางอย่างน่าพิศวง คืนนี้ดารีลสวมชุดคลุมสีขาวปักเลื่อมพราวระยับ ชายเสื้อยาวยาวกรุยกรายระพื้นมือข้างหนึ่งถือคทาเงิน นอกจากนั้นเขายังสวมรัดเกล้าเล็กๆ รูปเถาวัลย์และกิ่งไม้คาดผ่านหน้าผาก
“ เมืองใหญ่ผู้คนมากมายเจ้าอย่าไว้ใจใครง่ายๆ อย่างนั้น เหมือนข้าเคยเตือนเจ้าไปแล้วมิใช่หรือ ”
ดารีลพูดเบาๆ เมื่อพวกเขามาถึงถนนเส้นหนึ่งที่มีผู้คนบางตากว่า
“ นางก็แค่แจกอาหารเหมือนอื่นๆ มิใช่หรือ ”
“ หญิงงามคู่กับเล่ห์มายา ชายหนุ่มสูงสง่าคือความทะยานอยากมากตันหา และชายชรานั้นเป็นผู้มีใจอารี ”
หนุ่มน้อยพ่อมดพูดขึ้นมาลอยๆ
“ เจ้าพูดอะไร ”
เด็กชายถามเพราะไม่รู้จริงๆ
“ แค่คำกล่าวของคนเก่าแก่น่ะ ข้าอ่านมาจากตำราที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างเมืองโอรีเวีย ในนั้นเขียนไว้ว่าสุดท้ายแล้วทั้งหลายทั้งปวงก็จะรวมกันเป็นเนื้อเดียว ”
ดารีลกล่าว
“ ขอโทษนะ ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกี่ยวกับสตรีชุดแดงเมื่อครู่นี้อย่างไร ”
เด็กชายบอก
“ ช่างเถอะ เอาเป็นว่าหากพบนางที่ไหนเลี่ยงได้ก็จงเลี่ยงไปเสีย ”
“ นางเป็นคนอันตรายหรือ อย่างเช่นแอบวางยาพิษในอาหาร ไม่ก็ลักพาตัวเด็กไปควักหัวใจออกมาต้มกินเป็นมื้อดึกอะไรแบบนี้ ”
ฟิโลโฟเฟอร์ว่าแล้วทำท่าขนลุก
“ เปล่าหรอก เพียงแต่นางไม่น่าคบหานัก ถ้าเกิดเจ้าไว้ใจนาง ชีวิตของเจ้าก็จะแปดเปื้อน ”
ดารีลตอบ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ