โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.90K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

37) งานเทศกาลประจำปี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ฟิโลโซเฟอร์นอนอยู่ในห้องใต้หลังคา   กลางดึกคืนนั้นเขาได้ยินเลียงลมพัดหวีดหวิวผ่านหน้าต่าง   นั่นอาจเป็นเพราะฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว   เด็กชายตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมร่างแต่ก็ยังให้ความอบอุ่นได้ไม่เพียงพอ   จนต้องม้วนที่นอนรอบตัวเป็นดักแด้อีกทีหนึ่ง   ในตอนเช้าของวันถัดมาเขาพบว่าที่กระจกหน้าต่างมีฝ้าขาวๆ เกาะอยู่เต็ม   นั่นเป็นสัญญาณว่าจะมีหิมะตกลงมาในอีกไม่ช้า   ถ้าหากฤดูกาลของที่นี่ไม่ได้แตกต่างไปจากเมืองซีนาร์ย

 

            สองสามวันมานี้มีเสียงอึกทึกดังอยู่ตลอด   แต่เด็กชายชาวซีนาร์ยคนนี้ก็ไม่ได้ออกไปสำรวจว่าข้างนอกเขาทำอะไรกัน   วันทั้งวันมีงานมากมายรออยู่รวมทั้งต้องอ่านหนังสือด้วย   คาโลไรน์ต้องการความแน่ใจว่าบุตรทั้งสองจะสามารถเรียนตามแบบแผนของโอรีเวีย   ส่วนคาโอเรียก็ทำหน้ามุ่ยได้ทั้งวัน   นางรู้สึกเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้านครั้นจะไปข้างนอกก็อึดอัดกับผู้คนมากมาย

 

            ฟิโลโซเฟอร์เดินตัวห่อลงมายังชั้นล่าง   อากาศวันนี้หนาวเย็นมาก   เขาตรงดิ่งไปที่อ่างล้างหน้าที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง   จัดการกวักน้ำขึ้นล้างหน้าด้วยอาการสั่นสะท้าน   น้ำเย็นๆ ทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าว   แก้มสองข้างกลายเป็นสีชมพูเข้มทันที   เด็กชายมองน้ำในอ่างทองเหลืองแล้วคิดว่าสักวันคงได้กลายเป็นน้ำแข็ง

 

 “ ไปนั่งที่โต๊ะสิ   วันนี้แม่เลื่อนโต๊ะทานอาหารไปไว้ใกล้เตาในครัว   พวกเราจะได้อุ่นขึ้นหน่อย   อีกไม่นานคงต้องใช้เตาผิงกันละ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ก็ปราดเข้าไปนั่งอย่างว่าง่าย   คาโอเรียยืนทำตาลอยอยู่ข้างมารดา   โดยไม่มีทีท่าว่าจะช่วยงานในครัวแต่อย่างใด   กลิ่นขนมปังหอมฉุยลอยมาจากเตา   ส่วนหม้อใหญ่ที่ใช้อุ่นนมก็กำลังเดือดปุดๆ เมื่อคาโลไรน์เติมใบโรสแมรี่สดลงไปมันก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว   เสียงประทัดและเสียงโห่เกรียวกราวดังมาจากด้านนอก   เรียกความสนใจของเด็กๆ ให้หันไปมอง

 

“ เทศการต้อนรับฤดูหนาว   ข้าลืมเสียสะนิด   มีใครสนใจจะออกไปเที่ยวนอกบ้านบ้าง ”

 

อาเธอร์ถาม

เขาเพิ่งกลับมาจากคอกม้า

ชายหนุ่มดูอารมณ์ดีขึ้นมากเมื่อได้ม้าสองตัวกลับคืนมา

และในใจก็นึกขอบคุณท่านชาโคลอยู่ตลอด

 

“ อากาศหนาวเย็นอย่างนี้หรือคะ   จะออกไปข้างนอก   เด็กๆ คงได้ป่วยกันพอดี ”

 

คาโลไรน์ไม่เห็นด้วย

 

“ มันไม่ร้ายแรงอย่างนั้นหรอก   นี่เจ้าจะได้ลูกๆ อุดอู้อยู่บ้านในวันดีๆ อย่างนี้หรือ   ในฐานะที่เราเป็นชาวโอรีเวียคนหนึ่ง   ในขณะที่คนอื่นอยู่ในงานรื่นเริงแต่พวกเรากลับทำตัวเหมือนไว้ทุกข์   ข้างนอกน่ะมีคนพลุกพล่านข้าว่าดูอบอุ่นกว่าในนี้เป็นไหนๆ ตอนข้าเป็นเด็กๆ จำได้ว่าเทศการนี้สนุกที่สุด ”

 

อาเธอร์ว่า

 

“ แล้วตอนโตเป็นผู้ใหญ่   เทศการนี้ไม่สนุกแล้วหรือ ”

 

บุตรชายของเขาถาม

 

“ พออายุมากขึ้นความรับผิดชอบมีมากขึ้น   บางทีก็ลืมเลือนบางสิ่งบางอย่างไป   เหมือนกับของที่เราคิดว่าสำคัญแต่เมื่อเวลาผ่านไปมันกลับไม่สำคัญแล้ว ”

 

คนเป็นพ่อตอบ

 

“ แล้วเทศการต้อนรับฤดูหนาวนี่คืออะไรหรือคะ ”

 

คาโอเรียสงสัย  

 

ถ้าอยู่ที่ซีนาร์ยมันเป็นช่วงเวลาที่ชาวไร่ชาวนาจะเลี้ยงฉลอง   แต่เป็นการฉลองกันเองในครอบครัว   หลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตอันแสนเหน็ดเหนื่อยจบลง   ชาวเมืองจะทำอาหารอย่างดีเลี้ยงกัน   หรือบางทีอาจเชิญเพื่อนบ้านมาเป็นแขก   พวกเขาจะดื่มกินกันทั้งวันทั้งคืน   พูดคุยกันไม่หยุดหย่อนเดินจับกลุ่มเวียนไปบ้านโน้นที  

 

แต่สำหรับโอรีเวีย   เมืองนี้ไม่ได้ทำการเกษตร   เด็กหญิงนึกไม่ออกว่าจะฉลองเทศกาลกันด้วยเรื่องอะไร

 

“ ช่วงเวลานี้ของทุกปี ” 

 

อาเธอร์เล่า

 

“ ตัวแทนผู้คนจากเมืองต่างๆ จะเดินทางมาที่นี่   พร้อมทั้งส่วนแบ่งของผลผลิตในปีนั้นๆ เพื่อมอบให้แด่เจ้าแห่งโอรีเวีย ”

 

“ อ้อ   เหมือนที่บางเมืองต้องส่งเครื่องบรรณาการ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่า  

 

อาเธอร์ดีดหน้าผากเข้าให้

 

“ อย่าพูดแบบนั้นมันไม่ใช่ซะหน่อย   และข้าคงต้องเตือนเจ้าอยู่โอรีเวียควรระวังคำพูดด้วย ”

 

“ แล้วมันต่างจากเครื่องบรรณาการอย่างไรเล่า ”

 

เด็กชายทำเสียงอู้อี้พลางลูบคลำหน้าผาก

 

“ บรรณาการนั้นส่งไปเพื่อแสดงความสวามิภักดิ์   หากปีใดไม่ส่งก็คือกระด้างกระเดื่องและปีนั้นอาจมีภัย   แต่สิ่งที่ส่งมายังโอรีเวียนั้นคือผลผลิตจากความเต็มใจ   และเมืองนั้นก็จะได้รับพรจากผู้ใช้เวทมนตร์ให้ผลผลิตในปีถัดไปอุดมสมบูรณ์   หากเมืองใดไม่สงผลผลิตมาก็ไม่เป็นไร   แค่ปีนั้นจะไม่ได้รับพรก็เท่านั้นเอง ”

 

“ เมืองซีนาร์ยเคยส่งผลผลิตมาที่นี่หรือไม่ ” 

 

ฟิโลโซเฟอร์ถาม

 

“ เหมือนจะไม่เคยก็เมืองของเราอุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่ต้น   ตำนานเก่าแก่บอกว่าซีนาร์ยได้รับพรมาตั้งแต่โบราณ   และมนต์นั้นไม่เคยเสื่อมไป ”

 

อาเธอร์ตอบ

 

“ ท่านพ่อข้ามีอีกเรื่องอยากจะถาม ”

 

“ ว่ามาสิ ”

 

“ ท่านเคยเห็นคนที่มีดวงตาสีน้ำเงินเข้ม   ผมสีเหมือนพระจันทร์หรือไม่   พวกเขาดูแปลกมากราวกับไม่ใช่มนุษย์ ”

 

“ อ้อ   นั่นเป็นลักษณะเฉพาะของชาวไอโอเนีย   เจ้าคงไม่ได้ทักว่าพวกเขาเหมือนตัวประหลาดนะ ”

 

อาเธอร์ว่า

 

“ เปล่าหรอกท่านพ่อ   อันที่จริงข้าอยากจะบอกว่า   พวกนางงดงามราวกับนางฟ้าต่างหากล่ะ ”

 

“ รู้สึกว่าลูกชายของเราจะโตเป็นหนุ่มแล้ว ”

 

คาโลไรน์ล้อ

 

 

ทั้งหมดจึงออกจากบ้านในเวลาต่อมา   สายลมพัดผ่านตัวตึกส่งเสียงครวญเบาๆ แม้ท้องฟ้าอากาศดูอึมครึม   แต่ก็ไม่มีหิมะตกลงมาอย่างที่คาดการเอาไว้   ในยามนี้แม้เป็นเวลาสายมากแล้วอากาศก็ยังหนาวเย็นมาก   ดังนั้นพวกเขาจึงสวมเสื้อคลุมสีเข้มตัวหนา   คาโอเรียเกาะแขนมารดาแน่นขณะเดินเบียดไปกับผู้คน   กระต่ายลูผู้น่าสงสารถูกขังไว้ในบ้านเพียงลำพัง   มันเสี่ยงเกินไปที่จะพามันออกมาด้วย    

 

บนท้องถนนคราคล่ำไปด้วยผู้คน   กระดาษสีเงินปลิวฟุ้งอยู่ในอากาศใครบางคนคงโปรยมันลงมาจากหอสูงในที่ใดที่หนึ่ง   เทศการนี้จัดขึ้นทุกปีและแต่ละปีก็มีนักท่องเที่ยวจากต่างเมืองเดินทางมาเป็นจำนวนมาก   แต่ดูเหมือนว่าปีนี้จะมีคนมากเป็นพิเศษ   นั่นอาจเป็นเพราะเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้น   ท้องถนนที่เคยดูกว้างขวางกลับดูแคบลง   สองข้างทางเต็มไปด้วยพ่อค้าเร่ที่นำของมาวางขายไปตลอดความยาวของถนน   ตามลานกว้างและสวนหย่อมใช้เป็นลานแสดงต่างๆ มากมาย

 

ครอบครัวของอาเธอร์ค่อยๆ เดินฝ่าฝูงชนไปอย่างระมัดระวัง   เสียงกลองดังกระหึ่มมาจากทุกทิศทาง   ฟิโลโซเฟอร์เดินเบียดผู้คนตามท้องถนน   เขาคิดว่าได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาแว่วๆ บางทีด้านหน้าอาจมีเวทีประลอง   หญิงชราในชุดสีม่วงเข้มเหลือบมองมาเมื่อเขาเดินผ่าน

 

           

            พวกเขาเดินชมเมืองไปตามท้องถนนที่คับคั่งนานจนลืมเวลา   เด็กชายตัวน้อยผู้เดินทางจากชนบทห่างไกล   รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับเมืองที่โอ่อ่าแห่งนี้รู้สึกตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ที่ถนนสายหนึ่ง   เบื้องหน้าคือกำแพงสีขาว   ถนนที่ทอดผ่านประตูบานใหญ่ก็เป็นสีขาว

 

“ กำแพงเมือง   มีเมืองซ้อนอยู่ในเมืองอีกทีอย่างนั้นหรือ ”

 

เด็กชายหันมาถามผู้เป็นบิดา

 

“ ที่นี่คือปราสาทขาว   ที่อยู่ของเหล่านักเวทย์   และมีโรงเรียนอยู่ในด้วย ”

 

“ หมายความว่าพวกเราต้องเข้าไปเรียนหนังสือข้างในนั้น ”

 

คาโอเรียว่าพลางทำตาโต

 

“ ถูก   พ่อเองก็เคยเรียนที่นั่นด้วยเช่นกัน ”

 

“ ยอดไปเลย   ตอนนี้ข้างในมีอะไรพวกเราเข้าไปได้ไหม ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถาม

เขามองผู้คนแต่งกายสวยงามเดินผ่านเข้าออกกันขวักไขว่

คนเหล่านั้นส่วนใหญ่สวมหน้ากาก

และเด็กชายก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

 

“ วันนี้เป็นวันที่สี่ของเทศกาล   ตอนนี้คงเป็นพิธีมอบผลผลิต   ถ้าเจ้าอยากเข้าไปก็ตามมาสิ ”

 

อาเธอร์ว่าพลางเดินเข้าร้านขายหน้ากากร้านหนึ่งที่อยู่ข้างทาง

 

“ เราจำเป็นต้องซื้อด้วยหรือ   ข้าเห็นบางคนไม่ได้สวมหน้ากาก ”  

 

คาโลไรน์ถามขึ้น

 

“ มันเป็นธรรมเนียมน่ะ   แต่ถ้าเจ้าไม่ชอบไม่ต้องสวมก็ได้   ไม่มีการบังคับใดๆ ทั้งสิ้น ”

 

“ ไม่ใช่ไม่ชอบ   แต่ข้าว่าสิ้นเปลืองเปล่าๆ อีกอย่างหน้ากากแบบนั้นข้าทำเองก็ได้   เราอาจต้องอยู่เมืองนี้อีกนานข้าว่าประหยัดไว้ก่อนดีกว่า ” 

 

อาเธอร์ลูบผมนางอย่างเอ็นดู

 

“ เจ้านี่รอบคอบยิ่งนัก   ตกลงเราไม่ซื้อหน้ากาก ”

 

“ เดี๋ยววันหลังแม่ทำให้นะ ”

 

คาโลไรน์ก้มลงบอกบุตรสาวเมื่อเห็นนางทำตาละห้อย

 

 

ถนนทั้งเส้นเป็นหินอ่อนสีขาวทอดยาวไปสู่ปราสาท   สองข้างทางมีแนวไม้ขึ้นเป็นพุ่มมองเห็นปราสาทตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า   แม้วันนี้อากาศจะหม่นมัวแต่ตัวปราสาทกลับแลดูสว่างเรื่อเรือง   อาเธอร์พาพวกเขาเดินไปตามทางที่คดเคี้ยวจนมาถึงอนุสาวรีย์ประจำเมือง   มันเป็นปั้นรูปมือสีขาวมากมายงอกขึ้นจากพื้นดินพุ่งทะยานขึ้นสูงเฉียดฟ้า   มือที่อยู่เหนือสุดชูกิ่งมะกอกที่มีทั้งดอก ใบและผลส่วนมือที่เหลือช่วยพยุงไว้   บริเวณโดยรอบมีรูปสลักหญิงชายนอนเรียงรายล้อมรอบอนุสาวรีย์   ตรงนี้คือที่ฝังร่างของนักรบโบราณ   บริเวณนี้จึงเป็นทั้งสุสานเก่าแก่   ที่ก่อตั้งโรงเรียนและสภาของผู้ใช้เวทมนต์   พวกเขาต่างมองสุสานด้วยความครั่นคร้าม   วัตถุก่อสร้างสีขาวบริสุทธิ์ยังงดงามไร้ตำหนิเหมือนเพิ่งสร้างเสร็จไปเมื่อวาน   ทั้งที่ความจริงแล้วมันมีอายุนับพันปี   มือสีขาวทั้งหลายต่างประสานกันอย่างเป็นมิตร

 

“ อนุสาวรีย์นี่มีความหมายอย่างไรหรือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถาม   สายตาจับจ้องที่มือมากมายเหล่านั้น   ใจหนึ่งก็คิดว่ามันสวยงามอลังการแต่อีกหนึ่งใจกลับรู้สึกสยองพิกล   อาเธอร์ไม่ตอบเขาหยุดนิ่งหน้าหลุมศพหลุมหนึ่ง   ป้ายหินจารึกเผยให้รู้ว่าเจ้าของร่างคือคารีออสราชาแห่งดาบ   ชายหนุ่มคุกเข่าลงพลางกล่าวคำอธิฐาน   เบื้องหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยกองดอกไม้และเทียนส่องวิญญาณ   ชายหัวล้านที่ยืนอยู่ใกล้ๆ นั้นประกาศตัวเสียงดังว่าเขาสืบเชื้อสายโดยตรงมาจากคารีออส   อาเธอร์ทำสีหน้าเบื่อหน่ายแล้วเดินเลี่ยงออกมา

 

“ มีคนประเภทนี้มากมายชอบอ้างตัวเป็นลูกหลานคนที่มีชื่อเสียง ”

 

ชายชราในชุดคลุมยาวสีขาวเดินตรงเข้ามา

ดวงตาสีเทาของเขามองมาที่เด็กๆ อย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง

 

“ นี่คืออนุสรแห่งภราดรภาพ   สร้างขึ้นมาในยุคที่กองทัพของเหล่าผู้ใช้เวทมนต์และมนุษย์โค่นจอมมารซาเหวจหลอดได้สำเร็จ   อนุสรแห่งนี้หาได้สร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะไม่   หากแต่สร้างขึ้นเพื่อสัมพันธภาพในหมู่เรา   ศพที่รายรอบอยู่นี้คือวีรชนผู้พลีชีพเพื่อแลกกับสันติสุขในยุคสมัยนั้น   บุคคลเหล่านี้น่ายกย่องยิ่งนัก ”

 

ผู้มาใหม่หันไปพูดกับฟิโลโซเฟอร์   

อาเธอร์โค้งให้ชายชราด้วยท่าทีสุภาพนอบน้อม

 

“ จากไปนานเลยนะ   ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกลับมาอีก   แต่ก็ดีแล้วที่กลับมา   ที่แห่งนี้ยังมีคนต้องการเจ้าอยู่ ”

 

“ ขอบคุณที่ท่านคิดเช่นนั้น ”

 

“ เจ้าก็ยังหนุ่มและแข็งแรง   เหตุใดจึงปลดระวางตัวเองไปอยู่ในไร่นาเสียล่ะ ”   

 

ชายชราแปลกหน้าถามต่อ

 

“ ข้าคิดว่าข้าถือดาบมานานเกินไปแล้ว ”

 

อาเธอร์ตอบด้วยน้ำเสียงกระอักกระอวน

 

“ เจ้านี่ดื้อดึงอย่างที่บิดาของเจ้าว่าไว้เลย   แล้วนี่คงเป็นเด็กๆ ที่เจ้าพามาจากซีนาร์ยสินะน่าสนใจๆ  ”

 

ชายชราก้าวเดินอีกครั้ง

ท่าทางอย่างกับกำลังเลื่อนลอยไปบนถนน

คทาเหล็กกำหลวมๆ อยู่ในมือข้างหนึ่ง

 

“ คนๆ นี้เป็นใครกันฮะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์สงสัย

 

“ ถ้าจำไม่ผิดเขาคือที่ปรึกษาของจอมเวทย์วาลานประธานแห่งสภาพ่อมดคนปัจจุบัน   แต่เขาไม่เหมือนท่านดีมีนหรอกนะ   อยู่ใกล้ผู้ใช้เวทมนต์เจ้าต้องสำรวมเอาไว้ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นคนหนุ่มหรือคนแก่ก็ตามที ”

 

“ เราไม่ไปตรงที่เขาทำพิธีมอบผลผลิตกันหรือ ”

 

คาโลไรน์ถามขึ้นบ้าง

 

“ ไม่ล่ะ   ตรงนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเรา   อีกอย่างทั้งผู้คนทั้งสิ่งของเบียดเสียดกัน   ข้าว่าเจ้าไม่ชอบแน่   ปราสาทขาวนั้นกว้างขวางนัก   ยังมีมุมอื่นน่าสนใจกว่า ”

 

อาเธอร์ตอบ

 

 

ตามลานกว้างมีซุ้มจัดแสดงของเมืองต่างๆ เสียงปรบมือเสียงโห่ร้องที่ดังมาเป็นระยะ   สร้างความคึกคักให้กับผู้ที่ออกมาเที่ยวชมงาน   ทั้งๆ ที่พยายามจับมือกันเดินแล้วแต่สุดท้ายฟิโลโซเฟอร์ก็พลัดหลงจนได้   เขาเดินอยู่เพียงลำพังท่ามกลางคนแปลกหน้า    แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเพราะเขาเริ่มคุ้นเคยกับเมืองนี้แล้วอย่างน้อยเขาก็หาทางกลับบ้านเองได้   เด็กชายหยุดดูการแข่งขันยิงธนู   ชายร่างยักษ์ผู้มีแผลเป็นกลางใบหน้าขี่ม้าเทศตัวใหญ่เขาควบม้ามาโดยเร็ว   ชั่วขณะนั้นเขาเล็งศรไปที่โถแก้วที่เรียงรายกันอยู่แตกกระจายเกลื่อน   ผู้คนที่รอชมต่างส่งเสียงเชียร์ด้วยความชื่นชมชายคนนั้นชักม้ากลับ   เขาโบกมือให้ผู้คนอย่างเบิกบาน   

 

ฟิโลโซเฟอร์เดินฝ่าฝูงชนมาอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้   กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็มาอยู่ภายในบริเวณหนึ่งของสวนสวย   แม้พื้นที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความอึกทึก   แต่ที่ตรงนี้กลับกลับเงียบสงบ   มีผู้คนเดินไปมาค่อนข้างบางตาแนวต้นสนยืนเรียงรายสงบนิ่งอยู่สองข้างทางดูน่าเกรงขาม   เขาเดินไปเรื่อยๆ บนถนนที่ปูด้วยหินอ่อน   บางครั้งก็มีคนกลุ่มเล็กๆ เดินผ่านเขาไป   เด็กน้อยผู้มาจากต่างถิ่นรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมที่แห่งนี้ไม่มีการจัดกิจกรรมใดๆ เลย   ในบรรดากลุ่มคนที่เดินผ่านไป   มีบางคนหันมองเขาอย่างเป็นกังวลอาจจะเป็นเพราะพวกเขาประหลาดใจที่เห็นเด็กชายตัวเล็กๆ เดินอยู่เพียงลำพัง   ไม่ว่าจะเป็นที่ซีนาร์ยหรืออื่นใดต่างมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน   นั่นคือความรักและหวงแหนในเด็กตัวน้อยๆ   

           

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา