โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.72K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
33) สองเหรียญทอง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความดารีลหันไปมองหน้าเขาทำท่าเหมือนจะยิ้มแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ยิ้ม
“ อาหารสามจานของเจ้าไม่พร่องสักนิด ไม่ไหวเลยนะ ร้านนี้เป็นร้านชื่อดัง ทำแบบนี้เจ้าของร้านจะคิดอย่างไร ”
อยู่ๆ ดารีลก็พูดขึ้น
“ มันช่วยไม่ได้นี่นา แต่ขนมหวานหมดเกลี้ยงนะ น้ำชาก็เกือบหมด หรือข้าต้องกินกากชาเข้าไปด้วย เจ้าของร้านจึงจะพอใจ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ และข้าก็แอบเอาชาจากข้างนอกเข้ามา ทั้งที่ชาของทางร้านเป็นชาชั้นสูง ดูชั่วร้ายเหมือนกัน มาเก็บหลักฐาน ”
เขาชี้ไปที่ถ้วยชาของฟิโลโซเฟอร์
เด็กชายจึงเลื่อนไปให้เขา
ดารีลตักกากชาลงในเตา
วนนิ้วรอบเตาหนึ่งรอบก็เกิดไฟสีฟ้าเผากากชาหายไปในพริบตา
“ เก็บสามจานนี้ด้วยไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์นึกสนุก
“ ไม่ดีกว่า มันเป็นของแห้งนี่นะ เจ้าอยากห่อกลับบ้านหรือไม่ ”
พูดถึงบ้านเด็กชายก็สะดุ้ง
“ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ท่านแม่ของข้าเป็นห่วงหรือยังนี่ ”
“ สงสัยเจ้าไม่ได้ออกจากบ้านอีกแน่นอน ”
ดารีลทำเสียงขู่
แล้วหันไปสั่นกระดิ่งทองเหลืองเพื่อเรียกบริกร
แต่คนที่เข้ามาในห้องกลับเป็นถึงเจ้าของร้าน
เขาเป็นชายสูงอายุที่ยังดูแข็งแรง
สวมเสื้อผ้าหรูหรา ผมยาวสีเทาหวีเรียบสะอาดสะอ้าน
“ นึกไม่ถึงวันนี้ทางร้านของเราจะได้มีโอกาสต้อนรับแขกคนสำคัญ ”
เขากล่าวกับดารีลพลางปรายหางตามาทางฟิโลโซเฟอร์เล็กน้อย
หนุ่มน้อยพ่อมดยื่นมือให้อีกฝ่ายจับแบบมึนๆ อึนๆ
แต่ดูเหมือนเขาจะนึกไม่ออกว่าควรพูดอะไร
หลังจากปล่อยมือแล้วจึงนิ่งเฉย
“ ต้องขออภัย ถ้าหากข้าทราบล่วงหน้าว่าท่านจะมา ก็จัดอาหารชุดพิเศษไว้ต้อนรับ ”
เขาว่าพลางมองจานอาหารที่เหลืออย่างผิดหวัง
“ น่าเสียดายที่ข้าเพิ่งมารู้ตอนได้ยินเสียงท่านเป่าขลุ่ย เด็กในร้านก็ไม่เตือนข้าเลย ”
“ อะไรนะ แค่ได้ยินเสียงขลุ่ยท่านก็รู้แล้วหรือว่าเป็นใคร ท่านนี่สุดยอดจริงๆ ”
เด็กชายว่า
“ เจ้าไม่รู้อะไร คนผู้นี้มีลักษณะเฉพาะ ส่วนเจ้าได้นั่งตามลำพังกับเขาเช่นนี้หาไม่ได้ง่ายนัก เจ้าเป็นใครกัน ”
“ เขาเป็นเด็กชายคนหนึ่ง ที่เพิ่งย้ายเข้าเมืองมา และข้ามีเรื่องต้องเตือนเขา อย่างเช่นการแต่งตัว ”
ดารีลตอบแทน
“ ก็ข้ามัวแต่สับสน เลยลืมเปลี่ยนชุด ไม่ได้ตั้งใจจะออกมาทั้งอย่างนี้ ”
ฟิโลโซเฟอร์เถียง
“ เดี๋ยวนี้ท่านวิตกเรื่องการแต่งกายของชาวเมืองแล้วหรือ ”
ชายเจ้าของร้านอาหารถาม
“ ส่วนเรื่องอาหารที่เหลือ เป็นเพราะพวกเราอิ่มกันมาก แต่อย่างน้อยขนมหวานก็หมด ”
อยู่ๆ ดารีลก็เปลี่ยนเรื่อง
“ ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ”
“ ถ้าท่านไม่มีเรื่องใดต้องกังวลแล้ว ก็คิดราคาอาหารมาเถอะ ”
“ เพียงท่านก้าวเท้าเข้ามาก็เป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว ข้าหวังเพียงจะมีโอกาสต้อนรับท่านอีก เรื่องราคาอาหารโปรดอย่าใส่ใจ ”
ดารีลชำเลืองมองสมุดเมนูอาหาร
เขาวางเหรียญทองคำลงบนโต๊ะสองเหรียญ
จากนั้นคว้าข้อมือฟิโลโซเฟอร์ลากออกไปจากที่นั่น
โดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด
“ อาหารทั้งหมดตั้งสองเหรียญทองเลยหรือ ”
เด็กชายถามขึ้นเมื่อออกมาถึงหน้าร้าน
เขารู้สึกสะพรึงกับราคานั้น
“ ข้าจ่ายเกินราคาไปต่างหากล่ะ”
ดารีลตอบด้วยสีหน้าไม่เดือดร้อน
“ ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย ”
เขาสงสัย
“ ก็ไม่ทำไมหรอก ข้าแค่อยากตัดปัญหา นี่เจ้าอย่าสงสัยเรื่องเล็กน้อยได้หรือไม่ ”
“ สองเหรียญทองมันไม่น้อยเลยนะ และข้าไม่เห็นว่าเราจะมีปัญหากับทางร้าน อีกอย่างคนผู้นั้นที่คุยกับเจ้าน่ะ ดูเหมือนเขาจะชอบเจ้าเสียด้วย ”
“ เอาเป็นว่าข้าเต็มใจจ่ายเจ้าอย่ากังวลไป ตอนนี้มองท้องฟ้าสิเย็นมากแล้ว เจ้าก็ควรกลับบ้านเสียก่อนที่จะมีใครเป็นห่วง ข้าเองก็ได้เวลากลับแล้วเช่นกัน ”
ดารีลว่าแล้วออกเดิน
“ แยกกันตรงนี้นะ เดินทางกลับดีๆ ล่ะ แล้วอย่าแอบไปซุกซนที่ไหนอีก ”
หนุ่มน้อยนักเวทเดินไปโบกมือไปโดยไม่หันกลับมามอง
“ เดียวก่อน ”
ฟิโลโซเฟอร์วิ่งตามไปคว้าชายเสื้อคลุมของเขาไว้
“ มีอะไรอีกล่ะ ”
ดารีลหันกลับมา
“ ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอก ”
เด็กชายว่า
“ สำคัญมากหรือเปล่าล่ะ ”
“ ใช่ มากถึงมากที่สุด ”
“ ก็ได้ ว่ามา ”
“ คือ ”
ฟิโลโซเฟอร์เอาสองมือไขว้หลังบิดไปมาท่าทางเก้อเขิน
“ ยังไงล่ะ ข้ามีเวลาไม่มากนะ ”
“ คือว่า เวลาที่เดินออกจากบ้าน ข้าจะมีวิธีจำเส้นทางในแบบของข้าเอง แต่ถ้าหากมีใครบางคนพาออกนอกเส้นทางแล้วล่ะก็ ข้าจะหลงทันที ”
“ หา ”
คนตัวโตกว่าลากเสียงต่ำ
“ ดารีลเจ้าต้องรับผิดชอบข้าแล้วล่ะ ”
เด็กชายทำตาละห้อยพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกชื่อถนนมา ”
“ อะไรคือชื่อถนน ”
คราวนี้ดารีลมีท่าทีตกตะลึงจริงๆ
“ เดี๋ยวนะ จริงอยู่ว่าเจ้าเพิ่งย้ายมาใหม่ แต่ชื่นถนนหน้าบ้านก็ควรรู้มิใช่หรือ อย่าบอกนะว่าไม่มีใครสอนเจ้าเรื่องนี้ ”
“ ก็จะทำไมล่ะ ตอนอยู่ที่ซีนาร์ยข้าไม่สนใจถนนสักนิด เดินไปได้ทุกที่จำแค่ทิศทาง มีแนวป่า หุบเขา และลำธารเป็นเครื่องหมาย ข้าไม่เคยหลง แม้ตอนกลางคืนอาศัยแสงดาวข้าก็หาทางกลับบ้านได้ แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน มีถนนมากมายวุ่นวายสับสน มองไปทางไหนก็เหมือนๆ กัน นี่ต่อให้ตะวันตกดินข้าก็ไม่แน่ใจว่าดวงดาวจะสามารถพาข้ากลับถึงบ้าน ”
“ ถนนที่โอรีเวียมีแบบแผน ถนนสายหลักเป็นเส้นตรงเจ็ดเส้นเชื่อมระหว่างประตูเมืองกับปราสาทขาว สายรองหมุนเป็นวงกลมสิบสามวง เจ้าต้องเข้าใจว่าตอนนี้อยู่ถนนเส้นใดและจุดหมายอยู่ที่ใดแน่ เพียงเท่านี้ก็ยากแก่การหลงแล้ว การเดินทางโดยอาศัยจำทิศทางนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะพบทางตัน ”
ดารีลว่า
“ ดูเหมือนตอนนี้จะสายเกินไปที่จะเรียนรู้แล้ว ”
เด็กชายว่าเสียงละห้อย
ดารีลหลับตาสีหน้าเคร่งขรึม
“ เอาล่ะบอกมาสิว่าจำอะไรได้บ้าง รอบๆ บ้านของเจ้ามีสิ่งใดเป็นจุดน่าสนใจ ”
“ ข้าจำได้ทั้งหมดแหละ ถ้าไปถึงถนนเส้นนั้นให้หลับตาเดินยังได้ แต่มันก็ไม่มีอะไรเด่นเป็นแค่บ้านตึกสามสี่ชั้นเบียดเสียดกัน ถนนเส้นถัดไปเป็นตลาด อ้อตอนนั้นข้าเดินผ่านร้านขายหนังสือที่เต็มไปด้วยเด็กๆ นักเรียนด้วยล่ะ ”
“ ชื่อร้าน ”
“ ข้าไม่ได้อ่าน ”
ดารีลถอนหายใจเฮือก
สีหน้าเริ่มปรากฏร่องรอยของความกลัดกลุ้ม
“ เจ้าเด็กเพ้อเจ้อ ในเมืองใหญ่ที่สับสนวุ่นวาย เจ้าต้องหัดสังเกตให้มากกว่านี้ ”
“ ก็ข้าไม่รู้นี่ แต่ก่อนก็เคยเดินทางคนเดียว แม้บ้านเดิมข้าจะอยู่ชนบทแต่ตัวเมืองซีนาร์ยก็เดินจนรอบไม่เคยหลง นึกไม่ถึงที่โอรีเวียมีถนนมากมายผู้คนคับคั่งราวกับเขาวงกต ”
ฟิโลโซเฟอร์แก้ตัว
“ นั่นไม่ใช่ข้ออ้าง และการที่เจ้าหลงทางก็ไม่ได้เป็นความผิดของถนน ”
“ แบบนี้แล้วข้าควรทำอย่างไรล่ะ ”
เด็กชายนั่งลงกับพื้นถนน
ยกมือกุมขมับรู้สึกหมดหนทางอย่างจริงจัง
“ มีอยู่ทางหนึ่ง ชายชราสองคนนั้น ที่เข้ามาหาเรื่องเจ้า พวกเขาอาจช่วยได้ ”
“ ไม่มีทาง ตาแก่ใจร้าย ต่อให้ต้องนอนข้างถนนข้าก็ไม่ไปขอร้องพวกเขา ”
“ ถ้าเจ้าไม่อยากข้าทำให้แทนก็ได้ ”
เด็กชายลุกพรวดขึ้นคว้าข้อมือเขาไว้
“ อย่านะ พวกเขาเป็นคนไม่ดี เจ้าเข้าไปหามีแต่จะพาเรื่องปวดหัวมาให้ ”
“ เจ้านี่ตัดสินคนไวจริง เพิ่งคุยกันครั้งเดียวก็คิดไปไกลแล้ว เอาเถอะนั่นจะเป็นทางเลือกสุดท้าย ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองคิดดีๆ มีอะไรบ้างที่จำได้อย่างสถานที่หรือคนที่มีชื่อเสียง ”
“ ท่านดีมีน ”
เด็กชายตอบอย่างไว
ดารีลเลิกคิ้ว
“ พ่อมดดีมีนอย่างนั้นหรือ ”
“ ใช่เขานั่นแหละเจ้ารู้จักหรือไม่ ”
“ ก็ย่อมรู้ นี่เป็นตัวเลือกที่ดี พ่อมดดีมีนเดินทางบ่อยอยู่ไม่เป็นที่ ให้ตามหาเขาข้าว่าคงงานหนักเอาการ ว่าแต่พวกเจ้ารู้จักคนผู้นี้แต่กลับบอกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา ข้ายังต้องเชื่ออีกหรือไม่ ”
“ ท่านพ่อเคยมีตำแหน่งในโอรีเวียแต่มันเป็นอดีตไปแล้ว ”
“ ถ้าอย่างนั้นเขาคงรู้เรื่องที่พวกเจ้าฝ่าหุบเขามรณะใช่ใหม ”
แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่สายตาที่จ้องเด็กน้อยนั้นคมกริบ
“ เขาคือคนในสภา และเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เรื่องนี้จึงปิดเป็นความลับ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบตามจริง
“ อ้อ ความคิดของบิดาเจ้าน่าสนใจ เอาล่ะมีรายชื่ออื่นที่น่าสนใจหรือเปล่า ”
“ วอลค่อน เขามีโรงแรมเล็กๆ บนถนนสายหนึ่ง ”
ดารีลก้มหน้ามองพื้น
“ แล้วกัน เจ้านี่เป็นคนสุดโต่งจริงๆ พอถามหาคนมีชื่อเสียงก็เรียกเสียระดับสูงมา แต่อีกคนกลับไร้ที่มาที่ไปเหลือเชื่อเลย ”
“ มันช่วยไม่ได้นี่นาพวกเราเพิ่งมาถึงที่รู้จักก็แค่มิตรสหายเดิมเท่านั้น ”
หนุ่มน้อยหันไปมองพระอาทิตย์อีกครั้ง
กิริยานั้นทำเอาฟิโลโซเฟอร์ใจเสีย
“ เจ้ากลับไปเถอะข้าไม่เป็นไรหรอก ”
เด็กชายว่า
“ ทำไมล่ะ ”
“ ข้ารู้ เจ้าคงมีใครบางคนรอพบอยู่ ไปหาพวกเขาเถอะ ธุระของเจ้าข้าไม่รบกวนแล้ว ”
เด็กน้อยเอ่ยเสียงเศร้า
“ ก็จริง แต่ถึงแม้ข้าไม่ไปก็ไม่มีใครตาย ดังนั้นแล้วข้าจึงเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุด ”
คำพูดนั้นทำเอาเด็กชายตัวน้อยหันขวับไปจ้องหน้าเขา
ฟิโลโซเฟอร์ยิ้มหวานด้วยหัวใจพองโต
คำว่าสำคัญที่สุดเปี่ยมความหมายยิ่งนัก
แต่เด็กชายอาจเข้าใจเนื้อความผิดไป
“ ทำไมข้าพูดอะไรผิดหรืออย่างไร เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วมาคิดหาทางกันต่อ มีสถานที่ใดที่เจ้าเคยไปเอาที่เด่นๆ และอยู่ใกล้บ้าน ”
“ จริงสิข้าเคยไปสุสาน พวกเราไปเคารพหลุมศพคุณปู่ ข้าจำสีธงประจำรถม้าและจำถนนที่ต้องลงได้ แต่จากนี่ไปสุสานอย่างไรข้าไม่รู้ ”
“ อย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย ”
ดารีลยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก
เป็นรอยยิ้มที่ลึกลับและชวนให้ลุ่มหลง
“ อาหารสามจานของเจ้าไม่พร่องสักนิด ไม่ไหวเลยนะ ร้านนี้เป็นร้านชื่อดัง ทำแบบนี้เจ้าของร้านจะคิดอย่างไร ”
อยู่ๆ ดารีลก็พูดขึ้น
“ มันช่วยไม่ได้นี่นา แต่ขนมหวานหมดเกลี้ยงนะ น้ำชาก็เกือบหมด หรือข้าต้องกินกากชาเข้าไปด้วย เจ้าของร้านจึงจะพอใจ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ และข้าก็แอบเอาชาจากข้างนอกเข้ามา ทั้งที่ชาของทางร้านเป็นชาชั้นสูง ดูชั่วร้ายเหมือนกัน มาเก็บหลักฐาน ”
เขาชี้ไปที่ถ้วยชาของฟิโลโซเฟอร์
เด็กชายจึงเลื่อนไปให้เขา
ดารีลตักกากชาลงในเตา
วนนิ้วรอบเตาหนึ่งรอบก็เกิดไฟสีฟ้าเผากากชาหายไปในพริบตา
“ เก็บสามจานนี้ด้วยไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์นึกสนุก
“ ไม่ดีกว่า มันเป็นของแห้งนี่นะ เจ้าอยากห่อกลับบ้านหรือไม่ ”
พูดถึงบ้านเด็กชายก็สะดุ้ง
“ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ท่านแม่ของข้าเป็นห่วงหรือยังนี่ ”
“ สงสัยเจ้าไม่ได้ออกจากบ้านอีกแน่นอน ”
ดารีลทำเสียงขู่
แล้วหันไปสั่นกระดิ่งทองเหลืองเพื่อเรียกบริกร
แต่คนที่เข้ามาในห้องกลับเป็นถึงเจ้าของร้าน
เขาเป็นชายสูงอายุที่ยังดูแข็งแรง
สวมเสื้อผ้าหรูหรา ผมยาวสีเทาหวีเรียบสะอาดสะอ้าน
“ นึกไม่ถึงวันนี้ทางร้านของเราจะได้มีโอกาสต้อนรับแขกคนสำคัญ ”
เขากล่าวกับดารีลพลางปรายหางตามาทางฟิโลโซเฟอร์เล็กน้อย
หนุ่มน้อยพ่อมดยื่นมือให้อีกฝ่ายจับแบบมึนๆ อึนๆ
แต่ดูเหมือนเขาจะนึกไม่ออกว่าควรพูดอะไร
หลังจากปล่อยมือแล้วจึงนิ่งเฉย
“ ต้องขออภัย ถ้าหากข้าทราบล่วงหน้าว่าท่านจะมา ก็จัดอาหารชุดพิเศษไว้ต้อนรับ ”
เขาว่าพลางมองจานอาหารที่เหลืออย่างผิดหวัง
“ น่าเสียดายที่ข้าเพิ่งมารู้ตอนได้ยินเสียงท่านเป่าขลุ่ย เด็กในร้านก็ไม่เตือนข้าเลย ”
“ อะไรนะ แค่ได้ยินเสียงขลุ่ยท่านก็รู้แล้วหรือว่าเป็นใคร ท่านนี่สุดยอดจริงๆ ”
เด็กชายว่า
“ เจ้าไม่รู้อะไร คนผู้นี้มีลักษณะเฉพาะ ส่วนเจ้าได้นั่งตามลำพังกับเขาเช่นนี้หาไม่ได้ง่ายนัก เจ้าเป็นใครกัน ”
“ เขาเป็นเด็กชายคนหนึ่ง ที่เพิ่งย้ายเข้าเมืองมา และข้ามีเรื่องต้องเตือนเขา อย่างเช่นการแต่งตัว ”
ดารีลตอบแทน
“ ก็ข้ามัวแต่สับสน เลยลืมเปลี่ยนชุด ไม่ได้ตั้งใจจะออกมาทั้งอย่างนี้ ”
ฟิโลโซเฟอร์เถียง
“ เดี๋ยวนี้ท่านวิตกเรื่องการแต่งกายของชาวเมืองแล้วหรือ ”
ชายเจ้าของร้านอาหารถาม
“ ส่วนเรื่องอาหารที่เหลือ เป็นเพราะพวกเราอิ่มกันมาก แต่อย่างน้อยขนมหวานก็หมด ”
อยู่ๆ ดารีลก็เปลี่ยนเรื่อง
“ ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ”
“ ถ้าท่านไม่มีเรื่องใดต้องกังวลแล้ว ก็คิดราคาอาหารมาเถอะ ”
“ เพียงท่านก้าวเท้าเข้ามาก็เป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว ข้าหวังเพียงจะมีโอกาสต้อนรับท่านอีก เรื่องราคาอาหารโปรดอย่าใส่ใจ ”
ดารีลชำเลืองมองสมุดเมนูอาหาร
เขาวางเหรียญทองคำลงบนโต๊ะสองเหรียญ
จากนั้นคว้าข้อมือฟิโลโซเฟอร์ลากออกไปจากที่นั่น
โดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด
“ อาหารทั้งหมดตั้งสองเหรียญทองเลยหรือ ”
เด็กชายถามขึ้นเมื่อออกมาถึงหน้าร้าน
เขารู้สึกสะพรึงกับราคานั้น
“ ข้าจ่ายเกินราคาไปต่างหากล่ะ”
ดารีลตอบด้วยสีหน้าไม่เดือดร้อน
“ ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย ”
เขาสงสัย
“ ก็ไม่ทำไมหรอก ข้าแค่อยากตัดปัญหา นี่เจ้าอย่าสงสัยเรื่องเล็กน้อยได้หรือไม่ ”
“ สองเหรียญทองมันไม่น้อยเลยนะ และข้าไม่เห็นว่าเราจะมีปัญหากับทางร้าน อีกอย่างคนผู้นั้นที่คุยกับเจ้าน่ะ ดูเหมือนเขาจะชอบเจ้าเสียด้วย ”
“ เอาเป็นว่าข้าเต็มใจจ่ายเจ้าอย่ากังวลไป ตอนนี้มองท้องฟ้าสิเย็นมากแล้ว เจ้าก็ควรกลับบ้านเสียก่อนที่จะมีใครเป็นห่วง ข้าเองก็ได้เวลากลับแล้วเช่นกัน ”
ดารีลว่าแล้วออกเดิน
“ แยกกันตรงนี้นะ เดินทางกลับดีๆ ล่ะ แล้วอย่าแอบไปซุกซนที่ไหนอีก ”
หนุ่มน้อยนักเวทเดินไปโบกมือไปโดยไม่หันกลับมามอง
“ เดียวก่อน ”
ฟิโลโซเฟอร์วิ่งตามไปคว้าชายเสื้อคลุมของเขาไว้
“ มีอะไรอีกล่ะ ”
ดารีลหันกลับมา
“ ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอก ”
เด็กชายว่า
“ สำคัญมากหรือเปล่าล่ะ ”
“ ใช่ มากถึงมากที่สุด ”
“ ก็ได้ ว่ามา ”
“ คือ ”
ฟิโลโซเฟอร์เอาสองมือไขว้หลังบิดไปมาท่าทางเก้อเขิน
“ ยังไงล่ะ ข้ามีเวลาไม่มากนะ ”
“ คือว่า เวลาที่เดินออกจากบ้าน ข้าจะมีวิธีจำเส้นทางในแบบของข้าเอง แต่ถ้าหากมีใครบางคนพาออกนอกเส้นทางแล้วล่ะก็ ข้าจะหลงทันที ”
“ หา ”
คนตัวโตกว่าลากเสียงต่ำ
“ ดารีลเจ้าต้องรับผิดชอบข้าแล้วล่ะ ”
เด็กชายทำตาละห้อยพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกชื่อถนนมา ”
“ อะไรคือชื่อถนน ”
คราวนี้ดารีลมีท่าทีตกตะลึงจริงๆ
“ เดี๋ยวนะ จริงอยู่ว่าเจ้าเพิ่งย้ายมาใหม่ แต่ชื่นถนนหน้าบ้านก็ควรรู้มิใช่หรือ อย่าบอกนะว่าไม่มีใครสอนเจ้าเรื่องนี้ ”
“ ก็จะทำไมล่ะ ตอนอยู่ที่ซีนาร์ยข้าไม่สนใจถนนสักนิด เดินไปได้ทุกที่จำแค่ทิศทาง มีแนวป่า หุบเขา และลำธารเป็นเครื่องหมาย ข้าไม่เคยหลง แม้ตอนกลางคืนอาศัยแสงดาวข้าก็หาทางกลับบ้านได้ แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน มีถนนมากมายวุ่นวายสับสน มองไปทางไหนก็เหมือนๆ กัน นี่ต่อให้ตะวันตกดินข้าก็ไม่แน่ใจว่าดวงดาวจะสามารถพาข้ากลับถึงบ้าน ”
“ ถนนที่โอรีเวียมีแบบแผน ถนนสายหลักเป็นเส้นตรงเจ็ดเส้นเชื่อมระหว่างประตูเมืองกับปราสาทขาว สายรองหมุนเป็นวงกลมสิบสามวง เจ้าต้องเข้าใจว่าตอนนี้อยู่ถนนเส้นใดและจุดหมายอยู่ที่ใดแน่ เพียงเท่านี้ก็ยากแก่การหลงแล้ว การเดินทางโดยอาศัยจำทิศทางนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะพบทางตัน ”
ดารีลว่า
“ ดูเหมือนตอนนี้จะสายเกินไปที่จะเรียนรู้แล้ว ”
เด็กชายว่าเสียงละห้อย
ดารีลหลับตาสีหน้าเคร่งขรึม
“ เอาล่ะบอกมาสิว่าจำอะไรได้บ้าง รอบๆ บ้านของเจ้ามีสิ่งใดเป็นจุดน่าสนใจ ”
“ ข้าจำได้ทั้งหมดแหละ ถ้าไปถึงถนนเส้นนั้นให้หลับตาเดินยังได้ แต่มันก็ไม่มีอะไรเด่นเป็นแค่บ้านตึกสามสี่ชั้นเบียดเสียดกัน ถนนเส้นถัดไปเป็นตลาด อ้อตอนนั้นข้าเดินผ่านร้านขายหนังสือที่เต็มไปด้วยเด็กๆ นักเรียนด้วยล่ะ ”
“ ชื่อร้าน ”
“ ข้าไม่ได้อ่าน ”
ดารีลถอนหายใจเฮือก
สีหน้าเริ่มปรากฏร่องรอยของความกลัดกลุ้ม
“ เจ้าเด็กเพ้อเจ้อ ในเมืองใหญ่ที่สับสนวุ่นวาย เจ้าต้องหัดสังเกตให้มากกว่านี้ ”
“ ก็ข้าไม่รู้นี่ แต่ก่อนก็เคยเดินทางคนเดียว แม้บ้านเดิมข้าจะอยู่ชนบทแต่ตัวเมืองซีนาร์ยก็เดินจนรอบไม่เคยหลง นึกไม่ถึงที่โอรีเวียมีถนนมากมายผู้คนคับคั่งราวกับเขาวงกต ”
ฟิโลโซเฟอร์แก้ตัว
“ นั่นไม่ใช่ข้ออ้าง และการที่เจ้าหลงทางก็ไม่ได้เป็นความผิดของถนน ”
“ แบบนี้แล้วข้าควรทำอย่างไรล่ะ ”
เด็กชายนั่งลงกับพื้นถนน
ยกมือกุมขมับรู้สึกหมดหนทางอย่างจริงจัง
“ มีอยู่ทางหนึ่ง ชายชราสองคนนั้น ที่เข้ามาหาเรื่องเจ้า พวกเขาอาจช่วยได้ ”
“ ไม่มีทาง ตาแก่ใจร้าย ต่อให้ต้องนอนข้างถนนข้าก็ไม่ไปขอร้องพวกเขา ”
“ ถ้าเจ้าไม่อยากข้าทำให้แทนก็ได้ ”
เด็กชายลุกพรวดขึ้นคว้าข้อมือเขาไว้
“ อย่านะ พวกเขาเป็นคนไม่ดี เจ้าเข้าไปหามีแต่จะพาเรื่องปวดหัวมาให้ ”
“ เจ้านี่ตัดสินคนไวจริง เพิ่งคุยกันครั้งเดียวก็คิดไปไกลแล้ว เอาเถอะนั่นจะเป็นทางเลือกสุดท้าย ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองคิดดีๆ มีอะไรบ้างที่จำได้อย่างสถานที่หรือคนที่มีชื่อเสียง ”
“ ท่านดีมีน ”
เด็กชายตอบอย่างไว
ดารีลเลิกคิ้ว
“ พ่อมดดีมีนอย่างนั้นหรือ ”
“ ใช่เขานั่นแหละเจ้ารู้จักหรือไม่ ”
“ ก็ย่อมรู้ นี่เป็นตัวเลือกที่ดี พ่อมดดีมีนเดินทางบ่อยอยู่ไม่เป็นที่ ให้ตามหาเขาข้าว่าคงงานหนักเอาการ ว่าแต่พวกเจ้ารู้จักคนผู้นี้แต่กลับบอกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา ข้ายังต้องเชื่ออีกหรือไม่ ”
“ ท่านพ่อเคยมีตำแหน่งในโอรีเวียแต่มันเป็นอดีตไปแล้ว ”
“ ถ้าอย่างนั้นเขาคงรู้เรื่องที่พวกเจ้าฝ่าหุบเขามรณะใช่ใหม ”
แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่สายตาที่จ้องเด็กน้อยนั้นคมกริบ
“ เขาคือคนในสภา และเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เรื่องนี้จึงปิดเป็นความลับ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบตามจริง
“ อ้อ ความคิดของบิดาเจ้าน่าสนใจ เอาล่ะมีรายชื่ออื่นที่น่าสนใจหรือเปล่า ”
“ วอลค่อน เขามีโรงแรมเล็กๆ บนถนนสายหนึ่ง ”
ดารีลก้มหน้ามองพื้น
“ แล้วกัน เจ้านี่เป็นคนสุดโต่งจริงๆ พอถามหาคนมีชื่อเสียงก็เรียกเสียระดับสูงมา แต่อีกคนกลับไร้ที่มาที่ไปเหลือเชื่อเลย ”
“ มันช่วยไม่ได้นี่นาพวกเราเพิ่งมาถึงที่รู้จักก็แค่มิตรสหายเดิมเท่านั้น ”
หนุ่มน้อยหันไปมองพระอาทิตย์อีกครั้ง
กิริยานั้นทำเอาฟิโลโซเฟอร์ใจเสีย
“ เจ้ากลับไปเถอะข้าไม่เป็นไรหรอก ”
เด็กชายว่า
“ ทำไมล่ะ ”
“ ข้ารู้ เจ้าคงมีใครบางคนรอพบอยู่ ไปหาพวกเขาเถอะ ธุระของเจ้าข้าไม่รบกวนแล้ว ”
เด็กน้อยเอ่ยเสียงเศร้า
“ ก็จริง แต่ถึงแม้ข้าไม่ไปก็ไม่มีใครตาย ดังนั้นแล้วข้าจึงเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุด ”
คำพูดนั้นทำเอาเด็กชายตัวน้อยหันขวับไปจ้องหน้าเขา
ฟิโลโซเฟอร์ยิ้มหวานด้วยหัวใจพองโต
คำว่าสำคัญที่สุดเปี่ยมความหมายยิ่งนัก
แต่เด็กชายอาจเข้าใจเนื้อความผิดไป
“ ทำไมข้าพูดอะไรผิดหรืออย่างไร เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วมาคิดหาทางกันต่อ มีสถานที่ใดที่เจ้าเคยไปเอาที่เด่นๆ และอยู่ใกล้บ้าน ”
“ จริงสิข้าเคยไปสุสาน พวกเราไปเคารพหลุมศพคุณปู่ ข้าจำสีธงประจำรถม้าและจำถนนที่ต้องลงได้ แต่จากนี่ไปสุสานอย่างไรข้าไม่รู้ ”
“ อย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย ”
ดารีลยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก
เป็นรอยยิ้มที่ลึกลับและชวนให้ลุ่มหลง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ